Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๕๔] ๑๖. ฆฎปณฺฑิตชาตกวณฺณนา

    [454] 16. Ghaṭapaṇḍitajātakavaṇṇanā

    อุเฎฺฐหิ กณฺหาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มตปุตฺตํ กุฎุมฺพิกํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ มฎฺฐกุณฺฑลิสทิสเมวฯ อิธ ปน สตฺถา ตํ อุปาสกํ ‘‘กิํ, อุปาสก, โสจสี’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อุปาสก, โปราณกปณฺฑิตา ปณฺฑิตานํ กถํ สุตฺวา มตปุตฺตํ นานุโสจิํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Uṭṭhehikaṇhāti idaṃ satthā jetavane viharanto mataputtaṃ kuṭumbikaṃ ārabbha kathesi. Vatthu maṭṭhakuṇḍalisadisameva. Idha pana satthā taṃ upāsakaṃ ‘‘kiṃ, upāsaka, socasī’’ti vatvā ‘‘āma, bhante’’nti vutte ‘‘upāsaka, porāṇakapaṇḍitā paṇḍitānaṃ kathaṃ sutvā mataputtaṃ nānusociṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต อุตฺตรปเถ กํสโภเค อสิตญฺชนนคเร มหากํโส นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส กํโส จ, อุปกํโส จาติ เทฺว ปุตฺตา อเหสุํ, เทวคพฺภา นาม เอกา ธีตาฯ ตสฺสา ชาตทิวเส เนมิตฺตกา พฺราหฺมณา ‘‘เอติสฺสา กุจฺฉิยํ นิพฺพตฺตปุตฺตา กํสโคตฺตํ กํสวํสํ นาเสสฺสนฺตี’’ติ พฺยากริํสุฯ ราชา พลวสิเนเหน ธีตรํ วินาเสตุํ นาสกฺขิ, ‘‘ภาตโร ชานิสฺสนฺตี’’ติ ยาวตายุกํ ฐตฺวา กาลมกาสิฯ ตสฺมิํ กาลกเต กํโส ราชา อโหสิ, อุปกํโส อุปราชาฯ เต จินฺตยิํสุ ‘‘สเจ มยํ ภคินิํ นาเสสฺสาม, คารยฺหา ภวิสฺสาม, เอตํ กสฺสจิ อทตฺวา นิสฺสามิกํ กตฺวา ปฎิชคฺคิสฺสามา’’ติฯ เต เอกถูณกํ ปาสาทํ กาเรตฺวา ตํ ตตฺถ วสาเปสุํฯ นนฺทิโคปา นาม ตสฺสา ปริจาริกา อโหสิฯ อนฺธกเวโณฺฑ นาม ทาโส ตสฺสา สามิโก อารกฺขมกาสิฯ

    Atīte uttarapathe kaṃsabhoge asitañjananagare mahākaṃso nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tassa kaṃso ca, upakaṃso cāti dve puttā ahesuṃ, devagabbhā nāma ekā dhītā. Tassā jātadivase nemittakā brāhmaṇā ‘‘etissā kucchiyaṃ nibbattaputtā kaṃsagottaṃ kaṃsavaṃsaṃ nāsessantī’’ti byākariṃsu. Rājā balavasinehena dhītaraṃ vināsetuṃ nāsakkhi, ‘‘bhātaro jānissantī’’ti yāvatāyukaṃ ṭhatvā kālamakāsi. Tasmiṃ kālakate kaṃso rājā ahosi, upakaṃso uparājā. Te cintayiṃsu ‘‘sace mayaṃ bhaginiṃ nāsessāma, gārayhā bhavissāma, etaṃ kassaci adatvā nissāmikaṃ katvā paṭijaggissāmā’’ti. Te ekathūṇakaṃ pāsādaṃ kāretvā taṃ tattha vasāpesuṃ. Nandigopā nāma tassā paricārikā ahosi. Andhakaveṇḍo nāma dāso tassā sāmiko ārakkhamakāsi.

    ตทา อุตฺตรมธุราย มหาสาคโร นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส สาคโร, อุปสาคโร จาติ เทฺว ปุตฺตา อเหสุํฯ เตสุ ปิตุ อจฺจเยน สาคโร ราชา อโหสิ, อุปสาคโร อุปราชาฯ โส อุปกํสสฺส สหายโก เอกาจริยกุเล เอกโต อุคฺคหิตสิโปฺปฯ โส สาครสฺส ภาตุ อเนฺตปุเร ทุพฺภิตฺวา ภายมาโน ปลายิตฺวา กํสโภเค อุปกํสสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ อุปกํโส ตํ รโญฺญ ทเสฺสสิ, ราชา ตสฺส มหนฺตํ ยสํ อทาสิฯ โส ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต เทวคพฺภาย นิวาสํ เอกถมฺภํ ปาสาทํ ทิสฺวา ‘‘กเสฺสโส นิวาโส’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ การณํ สุตฺวา เทวคพฺภาย ปฎิพทฺธจิโตฺต อโหสิฯ เทวคพฺภาปิ เอกทิวสํ ตํ อุปกํเสน สทฺธิํ ราชุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘โก เอโส’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘มหาสาครสฺส ปุโตฺต อุปสาคโร นามา’’ติ นนฺทิโคปาย สนฺติกา สุตฺวา ตสฺมิํ ปฎิพทฺธจิตฺตา อโหสิฯ อุปสาคโร นนฺทิโคปาย ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘ภคินิ, สกฺขิสฺสสิ เม เทวคพฺภํ ทเสฺสตุ’’นฺติ อาหฯ สา ‘‘น เอตํ สามิ, ครุก’’นฺติ วตฺวา ตํ การณํ เทวคพฺภาย อาโรเจสิฯ สา ปกติยาว ตสฺมิํ ปฎิพทฺธจิตฺตา ตํ วจนํ สุตฺวา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา นนฺทิโคปา อุปสาครสฺส สญฺญํ ทตฺวา รตฺติภาเค ตํ ปาสาทํ อาโรเปสิฯ โส เทวคพฺภาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิฯ อถ เนสํ ปุนปฺปุนํ สํวาเสน เทวคพฺภา คพฺภํ ปฎิลภิฯ

    Tadā uttaramadhurāya mahāsāgaro nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tassa sāgaro, upasāgaro cāti dve puttā ahesuṃ. Tesu pitu accayena sāgaro rājā ahosi, upasāgaro uparājā. So upakaṃsassa sahāyako ekācariyakule ekato uggahitasippo. So sāgarassa bhātu antepure dubbhitvā bhāyamāno palāyitvā kaṃsabhoge upakaṃsassa santikaṃ agamāsi. Upakaṃso taṃ rañño dassesi, rājā tassa mahantaṃ yasaṃ adāsi. So rājupaṭṭhānaṃ gacchanto devagabbhāya nivāsaṃ ekathambhaṃ pāsādaṃ disvā ‘‘kasseso nivāso’’ti pucchitvā taṃ kāraṇaṃ sutvā devagabbhāya paṭibaddhacitto ahosi. Devagabbhāpi ekadivasaṃ taṃ upakaṃsena saddhiṃ rājupaṭṭhānaṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘ko eso’’ti pucchitvā ‘‘mahāsāgarassa putto upasāgaro nāmā’’ti nandigopāya santikā sutvā tasmiṃ paṭibaddhacittā ahosi. Upasāgaro nandigopāya lañjaṃ datvā ‘‘bhagini, sakkhissasi me devagabbhaṃ dassetu’’nti āha. Sā ‘‘na etaṃ sāmi, garuka’’nti vatvā taṃ kāraṇaṃ devagabbhāya ārocesi. Sā pakatiyāva tasmiṃ paṭibaddhacittā taṃ vacanaṃ sutvā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā nandigopā upasāgarassa saññaṃ datvā rattibhāge taṃ pāsādaṃ āropesi. So devagabbhāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi. Atha nesaṃ punappunaṃ saṃvāsena devagabbhā gabbhaṃ paṭilabhi.

    อปรภาเค ตสฺสา คพฺภปติฎฺฐานํ ปากฎํ อโหสิฯ ภาตโร นนฺทิโคปํ ปุจฺฉิํสุ, สา อภยํ ยาจิตฺวา ตํ อนฺตรํ กเถสิฯ เต สุตฺวา ‘‘ภคินิํ นาเสตุํ น สกฺกา, สเจ ธีตรํ วิชายิสฺสติ, ตมฺปิ น นาเสสฺสาม, สเจ ปน ปุโตฺต ภวิสฺสติ, นาเสสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา เทวคพฺภํ อุปสาครเสฺสว อทํสุฯ สา ปริปุณฺณคพฺภา ธีตรํ วิชายิฯ ภาตโร สุตฺวา หฎฺฐตุฎฺฐา ตสฺสา ‘‘อญฺชนเทวี’’ติ นามํ กริํสุฯ เตสํ โภควฑฺฒมานํ นาม โภคคามํ อทํสุฯ อุปสาคโร เทวคพฺภํ คเหตฺวา โภควฑฺฒมานคาเม วสิฯ เทวคพฺภาย ปุนปิ คโพฺภ ปติฎฺฐาสิ, นนฺทิโคปาปิ ตํ ทิวสเมว คพฺภํ ปฎิลภิฯ ตาสุ ปริปุณฺณคพฺภาสุ เอกทิวสเมว เทวคพฺภา ปุตฺตํ วิชายิ, นนฺทิโคปา ธีตรํ วิชายิฯ เทวคพฺภา ปุตฺตสฺส วินาสนภเยน ปุตฺตํ นนฺทิโคปาย รหเสฺสน เปเสตฺวา ตสฺสา ธีตรํ อาหราเปสิฯ ตสฺสา วิชาตภาวํ ภาติกานํ อาโรเจสุํฯ เต ‘‘ปุตฺตํ วิชาตา, ธีตร’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ธีตร’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ โปเสถา’’ติ อาหํสุฯ เอเตนุปาเยน เทวคพฺภา ทส ปุเตฺต วิชายิ, ทส ธีตโร นนฺทิโคปา วิชายิฯ ทส ปุตฺตา นนฺทิโคปาย สนฺติเก วฑฺฒนฺติ, ธีตโร เทวคพฺภายฯ ตํ อนฺตรํ โกจิ น ชานาติฯ เทวคพฺภาย เชฎฺฐปุโตฺต วาสุเทโว นาม อโหสิ, ทุติโย พลเทโว, ตติโย จนฺทเทโว, จตุโตฺถ สูริยเทโว, ปญฺจโม อคฺคิเทโว, ฉโฎฺฐ วรุณเทโว, สตฺตโม อชฺชุโน, อฎฺฐโม ปชฺชุโน, นวโม ฆฎปณฺฑิโต, ทสโม องฺกุโร นาม อโหสิฯ เต อนฺธกเวณฺฑทาสปุตฺตา ทส ภาติกา เจฎกาติ ปากฎา อเหสุํฯ

    Aparabhāge tassā gabbhapatiṭṭhānaṃ pākaṭaṃ ahosi. Bhātaro nandigopaṃ pucchiṃsu, sā abhayaṃ yācitvā taṃ antaraṃ kathesi. Te sutvā ‘‘bhaginiṃ nāsetuṃ na sakkā, sace dhītaraṃ vijāyissati, tampi na nāsessāma, sace pana putto bhavissati, nāsessāmā’’ti cintetvā devagabbhaṃ upasāgarasseva adaṃsu. Sā paripuṇṇagabbhā dhītaraṃ vijāyi. Bhātaro sutvā haṭṭhatuṭṭhā tassā ‘‘añjanadevī’’ti nāmaṃ kariṃsu. Tesaṃ bhogavaḍḍhamānaṃ nāma bhogagāmaṃ adaṃsu. Upasāgaro devagabbhaṃ gahetvā bhogavaḍḍhamānagāme vasi. Devagabbhāya punapi gabbho patiṭṭhāsi, nandigopāpi taṃ divasameva gabbhaṃ paṭilabhi. Tāsu paripuṇṇagabbhāsu ekadivasameva devagabbhā puttaṃ vijāyi, nandigopā dhītaraṃ vijāyi. Devagabbhā puttassa vināsanabhayena puttaṃ nandigopāya rahassena pesetvā tassā dhītaraṃ āharāpesi. Tassā vijātabhāvaṃ bhātikānaṃ ārocesuṃ. Te ‘‘puttaṃ vijātā, dhītara’’nti pucchitvā ‘‘dhītara’’nti vutte ‘‘tena hi posethā’’ti āhaṃsu. Etenupāyena devagabbhā dasa putte vijāyi, dasa dhītaro nandigopā vijāyi. Dasa puttā nandigopāya santike vaḍḍhanti, dhītaro devagabbhāya. Taṃ antaraṃ koci na jānāti. Devagabbhāya jeṭṭhaputto vāsudevo nāma ahosi, dutiyo baladevo, tatiyo candadevo, catuttho sūriyadevo, pañcamo aggidevo, chaṭṭho varuṇadevo, sattamo ajjuno, aṭṭhamo pajjuno, navamo ghaṭapaṇḍito, dasamo aṅkuro nāma ahosi. Te andhakaveṇḍadāsaputtā dasa bhātikā ceṭakāti pākaṭā ahesuṃ.

    เต อปรภาเค วุทฺธิมนฺวาย ถามพลสมฺปนฺนา กกฺขฬา ผรุสา หุตฺวา วิโลปํ กโรนฺตา วิจรนฺติ , รโญฺญ คจฺฉเนฺต ปณฺณากาเรปิ วิลุมฺปเนฺตวฯ มนุสฺสา สนฺนิปติตฺวา ‘‘อนฺธกเวณฺฑทาสปุตฺตา ทส ภาติกา รฎฺฐํ วิลุมฺปนฺตี’’ติ ราชงฺคเณ อุปโกฺกสิํสุฯ ราชา อนฺธกเวณฺฑํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กสฺมา ปุเตฺตหิ วิโลปํ การาเปสี’’ติ ตเชฺชสิฯ เอวํ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ มนุเสฺสหิ อุปโกฺกเส กเต ราชา ตํ สนฺตเชฺชสิฯ โส มรณภยภีโต ราชานํ อภยํ ยาจิตฺวา ‘‘เทว, เอเต น มยฺหํ ปุตฺตา, อุปสาครสฺส ปุตฺตา’’ติ ตํ อนฺตรํ อาโรเจสิฯ ราชา ภีโต ‘‘เกน เต อุปาเยน คณฺหามา’’ติ อมเจฺจ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เอเต, เทว, มลฺลยุทฺธวิตฺตกา, นคเร ยุทฺธํ กาเรตฺวา ตตฺถ เน ยุทฺธมณฺฑลํ อาคเต คาหาเปตฺวา มาเรสฺสามา’’ติ วุเตฺต จารุรญฺจ, มุฎฺฐิกญฺจาติ เทฺว มเลฺล โปเสตฺวา ‘‘อิโต สตฺตเม ทิวเส ยุทฺธํ ภวิสฺสตี’’ติ นคเร เภริํ จราเปตฺวา ราชงฺคเณ ยุทฺธมณฺฑลํ สชฺชาเปตฺวา อกฺขวาฎํ กาเรตฺวา ยุทฺธมณฺฑลํ อลงฺการาเปตฺวา ธชปฎากํ พนฺธาเปสิฯ สกลนครํ สงฺขุภิฯ จกฺกาติจกฺกํ มญฺจาติมญฺจํ พนฺธิตฺวา จารุรมุฎฺฐิกา ยุทฺธมณฺฑลํ อาคนฺตฺวา วคฺคนฺตา คชฺชนฺตา อโปฺผเฎนฺตา วิจริํสุฯ ทส ภาติกาปิ อาคนฺตฺวา รชกวีถิํ วิลุมฺปิตฺวา วณฺณสาฎเก นิวาเสตฺวา คนฺธาปเณสุ คนฺธํ , มาลาการาปเณสุ มาลํ วิลุมฺปิตฺวา วิลิตฺตคตฺตา มาลธาริโน กตกณฺณปูรา วคฺคนฺตา คชฺชนฺตา อโปฺผเฎนฺตา ยุทฺธมณฺฑลํ ปวิสิํสุฯ

    Te aparabhāge vuddhimanvāya thāmabalasampannā kakkhaḷā pharusā hutvā vilopaṃ karontā vicaranti , rañño gacchante paṇṇākārepi vilumpanteva. Manussā sannipatitvā ‘‘andhakaveṇḍadāsaputtā dasa bhātikā raṭṭhaṃ vilumpantī’’ti rājaṅgaṇe upakkosiṃsu. Rājā andhakaveṇḍaṃ pakkosāpetvā ‘‘kasmā puttehi vilopaṃ kārāpesī’’ti tajjesi. Evaṃ dutiyampi tatiyampi manussehi upakkose kate rājā taṃ santajjesi. So maraṇabhayabhīto rājānaṃ abhayaṃ yācitvā ‘‘deva, ete na mayhaṃ puttā, upasāgarassa puttā’’ti taṃ antaraṃ ārocesi. Rājā bhīto ‘‘kena te upāyena gaṇhāmā’’ti amacce pucchitvā ‘‘ete, deva, mallayuddhavittakā, nagare yuddhaṃ kāretvā tattha ne yuddhamaṇḍalaṃ āgate gāhāpetvā māressāmā’’ti vutte cārurañca, muṭṭhikañcāti dve malle posetvā ‘‘ito sattame divase yuddhaṃ bhavissatī’’ti nagare bheriṃ carāpetvā rājaṅgaṇe yuddhamaṇḍalaṃ sajjāpetvā akkhavāṭaṃ kāretvā yuddhamaṇḍalaṃ alaṅkārāpetvā dhajapaṭākaṃ bandhāpesi. Sakalanagaraṃ saṅkhubhi. Cakkāticakkaṃ mañcātimañcaṃ bandhitvā cāruramuṭṭhikā yuddhamaṇḍalaṃ āgantvā vaggantā gajjantā apphoṭentā vicariṃsu. Dasa bhātikāpi āgantvā rajakavīthiṃ vilumpitvā vaṇṇasāṭake nivāsetvā gandhāpaṇesu gandhaṃ , mālākārāpaṇesu mālaṃ vilumpitvā vilittagattā māladhārino katakaṇṇapūrā vaggantā gajjantā apphoṭentā yuddhamaṇḍalaṃ pavisiṃsu.

    ตสฺมิํ ขเณ จารุโร อโปฺผเฎโนฺต วิจรติฯ พลเทโว ตํ ทิสฺวา ‘‘น นํ หเตฺถน ฉุปิสฺสามี’’ติ หตฺถิสาลโต มหนฺตํ หตฺถิโยตฺตํ อาหริตฺวา วคฺคิตฺวา คชฺชิตฺวา โยตฺตํ ขิปิตฺวา จารุรํ อุทเร เวเฐตฺวา เทฺว โยตฺตโกฎิโย เอกโต กตฺวา วเตฺตตฺวา อุกฺขิปิตฺวา สีสมตฺถเก ภเมตฺวา ภูมิยํ โปเถตฺวา พหิ อกฺขวาเฎ ขิปิฯ จารุเร มเต ราชา มุฎฺฐิกมลฺลํ อาณาเปสิฯ โส อุฎฺฐาย วคฺคิตฺวา คชฺชิตฺวา อโปฺผเฎสิฯ พลเทโว ตํ โปเถตฺวา อฎฺฐีนิ สญฺจุเณฺณตฺวา ‘‘อมโลฺลมฺหิ, อมโลฺลมฺหี’’ติ วทนฺตเมว ‘‘นาหํ ตว มลฺลภาวํ วา อมลฺลภาวํ วา ชานามี’’ติ หเตฺถ คเหตฺวา ภูมิยํ โปเถตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา พหิ อกฺขวาเฎ ขิปิฯ มุฎฺฐิโก มรโนฺต ‘‘ยโกฺข หุตฺวา ตํ ขาทิตุํ ลภิสฺสามี’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ โส กาลมตฺติกอฎวิยํ นาม ยโกฺข หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ราชา ‘‘คณฺหถ ทส ภาติเก เจฎเก’’ติ อุฎฺฐหิ ฯ ตสฺมิํ ขเณ วาสุเทโว จกฺกํ ขิปิฯ ตํ ทฺวินฺนมฺปิ ภาติกานํ สีสานิ ปาเตสิฯ มหาชโน ภีตตสิโต ‘‘อวสฺสยา โน โหถา’’ติ เตสํ ปาเทสุ ปติตฺวา นิปชฺชิฯ เต เทฺวปิ มาตุเล มาเรตฺวา อสิตญฺชนนคเร รชฺชํ คเหตฺวา มาตาปิตโร ตตฺถ กตฺวา ‘‘สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ คณฺหิสฺสามา’’ติ นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน กาลโยนกรโญฺญ นิวาสํ อยุชฺฌนครํ คนฺตฺวา ตํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํ ปริขารุกฺขคหนํ วิทฺธํเสตฺวา ปาการํ ภินฺทิตฺวา ราชานํ คเหตฺวา ตํ รชฺชํ อตฺตโน หตฺถคตํ กตฺวา ทฺวารวติํ ปาปุณิํสุฯ ตสฺส ปน นครสฺส เอกโต สมุโทฺท เอกโต ปพฺพโต, อมนุสฺสปริคฺคหิตํ กิร ตํ อโหสิฯ

    Tasmiṃ khaṇe cāruro apphoṭento vicarati. Baladevo taṃ disvā ‘‘na naṃ hatthena chupissāmī’’ti hatthisālato mahantaṃ hatthiyottaṃ āharitvā vaggitvā gajjitvā yottaṃ khipitvā cāruraṃ udare veṭhetvā dve yottakoṭiyo ekato katvā vattetvā ukkhipitvā sīsamatthake bhametvā bhūmiyaṃ pothetvā bahi akkhavāṭe khipi. Cārure mate rājā muṭṭhikamallaṃ āṇāpesi. So uṭṭhāya vaggitvā gajjitvā apphoṭesi. Baladevo taṃ pothetvā aṭṭhīni sañcuṇṇetvā ‘‘amallomhi, amallomhī’’ti vadantameva ‘‘nāhaṃ tava mallabhāvaṃ vā amallabhāvaṃ vā jānāmī’’ti hatthe gahetvā bhūmiyaṃ pothetvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā bahi akkhavāṭe khipi. Muṭṭhiko maranto ‘‘yakkho hutvā taṃ khādituṃ labhissāmī’’ti patthanaṃ paṭṭhapesi. So kālamattikaaṭaviyaṃ nāma yakkho hutvā nibbatti. Rājā ‘‘gaṇhatha dasa bhātike ceṭake’’ti uṭṭhahi . Tasmiṃ khaṇe vāsudevo cakkaṃ khipi. Taṃ dvinnampi bhātikānaṃ sīsāni pātesi. Mahājano bhītatasito ‘‘avassayā no hothā’’ti tesaṃ pādesu patitvā nipajji. Te dvepi mātule māretvā asitañjananagare rajjaṃ gahetvā mātāpitaro tattha katvā ‘‘sakalajambudīpe rajjaṃ gaṇhissāmā’’ti nikkhamitvā anupubbena kālayonakarañño nivāsaṃ ayujjhanagaraṃ gantvā taṃ parikkhipitvā ṭhitaṃ parikhārukkhagahanaṃ viddhaṃsetvā pākāraṃ bhinditvā rājānaṃ gahetvā taṃ rajjaṃ attano hatthagataṃ katvā dvāravatiṃ pāpuṇiṃsu. Tassa pana nagarassa ekato samuddo ekato pabbato, amanussapariggahitaṃ kira taṃ ahosi.

    ตสฺส อารกฺขํ คเหตฺวา ฐิตยโกฺข ปจฺจามิเตฺต ทิสฺวา คทฺรภเวเสน คทฺรภรวํ รวติฯ ตสฺมิํ ขเณ ยกฺขานุภาเวน สกลนครํ อุปฺปติตฺวา มหาสมุเทฺท เอกสฺมิํ ทีปเก ติฎฺฐติฯ ปจฺจามิเตฺตสุ คเตสุ ปุนาคนฺตฺวา สกฎฺฐาเนเยว ปติฎฺฐาติฯ ตทาปิ โส คทฺรโภ เตสํ ทสนฺนํ ภาติกานํ อาคมนํ ญตฺวา คทฺรภรวํ รวิฯ นครํ อุปฺปติตฺวา ทีปเก ปติฎฺฐาย เตสุ นครํ อทิสฺวา นิวตฺตเนฺตสุ ปุนาคนฺตฺวา สกฎฺฐาเน ปติฎฺฐาสิฯ เต ปุน นิวตฺติํสุ, ปุนปิ คทฺรโภ ตเถว อกาสิฯ เต ทฺวารวตินคเร รชฺชํ คณฺหิตุํ อสโกฺกนฺตา กณฺหทีปายนสฺส อิสิโน สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยํ ทฺวารวติยํ รชฺชํ คเหตุํ น สโกฺกม, เอกํ โน อุปายํ กโรถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ปริขาปิเฎฺฐ อสุกสฺมิํ นาม ฐาเน เอโก คทฺรโภ จรติฯ โส หิ อมิเตฺต ทิสฺวา วิรวติ, ตสฺมิํ ขเณ นครํ อุปฺปติตฺวา คจฺฉติ, ตุเมฺห ตสฺส ปาเท คณฺหถ, อยํ โว นิปฺผชฺชนูปาโย’’ติ วุเตฺต ตาปสํ วนฺทิตฺวา คนฺตฺวา คทฺรภสฺส ปาเทสุ คเหตฺวา นิปติตฺวา ‘‘สามิ, ฐเปตฺวา ตุเมฺห อโญฺญ อมฺหากํ อวสฺสโย นตฺถิ, อมฺหากํ นครํ คณฺหนกาเล มา รวิตฺถา’’ติ ยาจิํสุฯ คทฺรโภ ‘‘น สกฺกา น วิรวิตุํ, ตุเมฺห ปน ปฐมตรํ อาคนฺตฺวา จตฺตาโร ชนา มหนฺตานิ อยนงฺคลานิ คเหตฺวา จตูสุ นครทฺวาเรสุ มหเนฺต อยขาณุเก ภูมิยํ อาโกเฎตฺวา นครสฺส อุปฺปตนกาเล นงฺคลานิ คเหตฺวา นงฺคลพทฺธํ อยสงฺขลิกํ อยขาณุเก พเนฺธยฺยาถ, นครํ อุปฺปติตุํ น สกฺขิสฺสตี’’ติ อาหฯ

    Tassa ārakkhaṃ gahetvā ṭhitayakkho paccāmitte disvā gadrabhavesena gadrabharavaṃ ravati. Tasmiṃ khaṇe yakkhānubhāvena sakalanagaraṃ uppatitvā mahāsamudde ekasmiṃ dīpake tiṭṭhati. Paccāmittesu gatesu punāgantvā sakaṭṭhāneyeva patiṭṭhāti. Tadāpi so gadrabho tesaṃ dasannaṃ bhātikānaṃ āgamanaṃ ñatvā gadrabharavaṃ ravi. Nagaraṃ uppatitvā dīpake patiṭṭhāya tesu nagaraṃ adisvā nivattantesu punāgantvā sakaṭṭhāne patiṭṭhāsi. Te puna nivattiṃsu, punapi gadrabho tatheva akāsi. Te dvāravatinagare rajjaṃ gaṇhituṃ asakkontā kaṇhadīpāyanassa isino santikaṃ gantvā vanditvā ‘‘bhante, mayaṃ dvāravatiyaṃ rajjaṃ gahetuṃ na sakkoma, ekaṃ no upāyaṃ karothā’’ti pucchitvā ‘‘parikhāpiṭṭhe asukasmiṃ nāma ṭhāne eko gadrabho carati. So hi amitte disvā viravati, tasmiṃ khaṇe nagaraṃ uppatitvā gacchati, tumhe tassa pāde gaṇhatha, ayaṃ vo nipphajjanūpāyo’’ti vutte tāpasaṃ vanditvā gantvā gadrabhassa pādesu gahetvā nipatitvā ‘‘sāmi, ṭhapetvā tumhe añño amhākaṃ avassayo natthi, amhākaṃ nagaraṃ gaṇhanakāle mā ravitthā’’ti yāciṃsu. Gadrabho ‘‘na sakkā na viravituṃ, tumhe pana paṭhamataraṃ āgantvā cattāro janā mahantāni ayanaṅgalāni gahetvā catūsu nagaradvāresu mahante ayakhāṇuke bhūmiyaṃ ākoṭetvā nagarassa uppatanakāle naṅgalāni gahetvā naṅgalabaddhaṃ ayasaṅkhalikaṃ ayakhāṇuke bandheyyātha, nagaraṃ uppatituṃ na sakkhissatī’’ti āha.

    เต ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา ตสฺมิํ อวิรวเนฺตเยว นงฺคลานิ อาทาย จตูสุ นครทฺวาเรสุ ขาณุเก ภูมิยํ อาโกเฎตฺวา อฎฺฐํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ คทฺรโภ วิรวิ, นครํ อุปฺปติตุมารภิฯ จตูสุ ทฺวาเรสุ ฐิตา จตูหิ อยนงฺคเลหิ คเหตฺวา นงฺคลพทฺธา อยสงฺขลิกา ขาณุเกสุ พนฺธิํสุ, นครํ อุปฺปติตุํ นาสกฺขิฯ ทส ภาติกา ตโต นครํ ปวิสิตฺวา ราชานํ มาเรตฺวา รชฺชํ คณฺหิํสุฯ เอวํ เต สกลชมฺพุทีเป เตสฎฺฐิยา นครสหเสฺสสุ สพฺพราชาโน จเกฺกน ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ทฺวารวติยํ วสมานา รชฺชํ ทส โกฎฺฐาเส กตฺวา วิภชิํสุ, ภคินิํ ปน อญฺชนเทวิํ น สริํสุฯ ตโต ปุน ‘‘เอกาทส โกฎฺฐาเส กโรมา’’ติ วุเตฺต องฺกุโร ‘‘มม โกฎฺฐาสํ ตสฺสา เทถ, อหํ โวหารํ กตฺวา ชีวิสฺสามิ, เกวลํ ตุเมฺห อตฺตโน ชนปเท มยฺหํ สุงฺกํ วิสฺสเชฺชถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตสฺส โกฎฺฐาสํ ภคินิยา ทตฺวา สทฺธิํ ตาย นว ราชาโน ทฺวารวติยํ วสิํสุฯ องฺกุโร ปน วณิชฺชมกาสิฯ เอวํ เตสุ อปราปรํ ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒมาเนสุ อทฺธาเน คเต มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ

    Te ‘‘sādhū’’ti vatvā tasmiṃ aviravanteyeva naṅgalāni ādāya catūsu nagaradvāresu khāṇuke bhūmiyaṃ ākoṭetvā aṭṭhaṃsu. Tasmiṃ khaṇe gadrabho viravi, nagaraṃ uppatitumārabhi. Catūsu dvāresu ṭhitā catūhi ayanaṅgalehi gahetvā naṅgalabaddhā ayasaṅkhalikā khāṇukesu bandhiṃsu, nagaraṃ uppatituṃ nāsakkhi. Dasa bhātikā tato nagaraṃ pavisitvā rājānaṃ māretvā rajjaṃ gaṇhiṃsu. Evaṃ te sakalajambudīpe tesaṭṭhiyā nagarasahassesu sabbarājāno cakkena jīvitakkhayaṃ pāpetvā dvāravatiyaṃ vasamānā rajjaṃ dasa koṭṭhāse katvā vibhajiṃsu, bhaginiṃ pana añjanadeviṃ na sariṃsu. Tato puna ‘‘ekādasa koṭṭhāse karomā’’ti vutte aṅkuro ‘‘mama koṭṭhāsaṃ tassā detha, ahaṃ vohāraṃ katvā jīvissāmi, kevalaṃ tumhe attano janapade mayhaṃ suṅkaṃ vissajjethā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tassa koṭṭhāsaṃ bhaginiyā datvā saddhiṃ tāya nava rājāno dvāravatiyaṃ vasiṃsu. Aṅkuro pana vaṇijjamakāsi. Evaṃ tesu aparāparaṃ puttadhītāhi vaḍḍhamānesu addhāne gate mātāpitaro kālamakaṃsu.

    ตทา กิร มนุสฺสานํ วีสติวสฺสสหสฺสายุกกาโล อโหสิฯ ตทา วาสุเทวมหาราชสฺส เอโก ปุโตฺต กาลมกาสิฯ ราชา โสกปเรโต สพฺพกิจฺจานิ ปหาย มญฺจสฺส อฎนิํ ปริคฺคเหตฺวา วิลปโนฺต นิปชฺชิฯ ตสฺมิํ กาเล ฆฎปณฺฑิโต จิเนฺตสิ ‘‘ฐเปตฺวา มํ อโญฺญ โกจิ มม ภาตุ โสกํ หริตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, อุปาเยนสฺส โสกํ หริสฺสามี’’ติฯ โส อุมฺมตฺตกเวสํ คเหตฺวา ‘‘สสํ เม เทถ, สสํ เม เทถา’’ติ อากาสํ อุโลฺลเกโนฺต สกลนครํ วิจริฯ ‘‘ฆฎปณฺฑิโต อุมฺมตฺตโก ชาโต’’ติ สกลนครํ สงฺขุภิฯ ตสฺมิํ กาเล โรหิเณโยฺย นาม อมโจฺจ วาสุเทวรโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา เตน สทฺธิํ กถํ สมุฎฺฐาเปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Tadā kira manussānaṃ vīsativassasahassāyukakālo ahosi. Tadā vāsudevamahārājassa eko putto kālamakāsi. Rājā sokapareto sabbakiccāni pahāya mañcassa aṭaniṃ pariggahetvā vilapanto nipajji. Tasmiṃ kāle ghaṭapaṇḍito cintesi ‘‘ṭhapetvā maṃ añño koci mama bhātu sokaṃ harituṃ samattho nāma natthi, upāyenassa sokaṃ harissāmī’’ti. So ummattakavesaṃ gahetvā ‘‘sasaṃ me detha, sasaṃ me dethā’’ti ākāsaṃ ullokento sakalanagaraṃ vicari. ‘‘Ghaṭapaṇḍito ummattako jāto’’ti sakalanagaraṃ saṅkhubhi. Tasmiṃ kāle rohiṇeyyo nāma amacco vāsudevarañño santikaṃ gantvā tena saddhiṃ kathaṃ samuṭṭhāpento paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๖๕.

    165.

    ‘‘อุเฎฺฐหิ กณฺห กิํ เสสิ, โก อโตฺถ สุปเนน เต;

    ‘‘Uṭṭhehi kaṇha kiṃ sesi, ko attho supanena te;

    โยปิ ตุยฺหํ สโก ภาตา, หทยํ จกฺขุ จ ทกฺขิณํ;

    Yopi tuyhaṃ sako bhātā, hadayaṃ cakkhu ca dakkhiṇaṃ;

    ตสฺส วาตา พลียนฺติ, ฆโฎ ชปฺปติ เกสวา’’ติฯ

    Tassa vātā balīyanti, ghaṭo jappati kesavā’’ti.

    ตตฺถ กณฺหาติ โคเตฺตนาลปติ, กณฺหายนโคโตฺต กิเรสฯ โก อโตฺถติ กตรา นาม วฑฺฒิฯ หทยํ จกฺขุ จ ทกฺขิณนฺติ หทเยน เจว ทกฺขิณจกฺขุนา จ สมาโนติ อโตฺถฯ ตสฺส วาตา พลียนฺตีติ ตสฺส หทยํ อปสฺมารวาตา อวตฺถรนฺตีติ อโตฺถฯ ชปฺปตีติ ‘‘สสํ เม เทถา’’ติ วิปฺปลปติฯ เกสวาติ โส กิร เกสโสภนตาย ‘‘เกสวา’’ติ ปญฺญายิตฺถ, เตน ตํ นาเมนาลปติฯ

    Tattha kaṇhāti gottenālapati, kaṇhāyanagotto kiresa. Ko atthoti katarā nāma vaḍḍhi. Hadayaṃ cakkhu ca dakkhiṇanti hadayena ceva dakkhiṇacakkhunā ca samānoti attho. Tassa vātā balīyantīti tassa hadayaṃ apasmāravātā avattharantīti attho. Jappatīti ‘‘sasaṃ me dethā’’ti vippalapati. Kesavāti so kira kesasobhanatāya ‘‘kesavā’’ti paññāyittha, tena taṃ nāmenālapati.

    เอวํ อมเจฺจน วุเตฺต ตสฺส อุมฺมตฺตกภาวํ ญตฺวา สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Evaṃ amaccena vutte tassa ummattakabhāvaṃ ñatvā satthā abhisambuddho hutvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๖๖.

    166.

    ‘‘ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา, โรหิเณยฺยสฺส เกสโว;

    ‘‘Tassa taṃ vacanaṃ sutvā, rohiṇeyyassa kesavo;

    ตรมานรูโป วุฎฺฐาสิ, ภาตุโสเกน อฎฺฎิโต’’ติฯ

    Taramānarūpo vuṭṭhāsi, bhātusokena aṭṭito’’ti.

    ราชา อุฎฺฐาย สีฆํ ปาสาทา โอตริตฺวา ฆฎปณฺฑิตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อุโภสุ หเตฺถสุ ทฬฺหํ คเหตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ตติยํ คาถมาห –

    Rājā uṭṭhāya sīghaṃ pāsādā otaritvā ghaṭapaṇḍitassa santikaṃ gantvā ubhosu hatthesu daḷhaṃ gahetvā tena saddhiṃ sallapanto tatiyaṃ gāthamāha –

    ๑๖๗.

    167.

    ‘‘กิํ นุ อุมฺมตฺตรูโปว, เกวลํ ทฺวารกํ อิมํ;

    ‘‘Kiṃ nu ummattarūpova, kevalaṃ dvārakaṃ imaṃ;

    สโส สโสติ ลปสิ, โก นุ เต สสมาหรี’’ติฯ

    Saso sasoti lapasi, ko nu te sasamāharī’’ti.

    ตตฺถ เกวลํ ทฺวารกํ อิมนฺติ กสฺมา อุมฺมตฺตโก วิย หุตฺวา สกลํ อิมํ ทฺวารวตินครํ วิจรโนฺต ‘‘สโส สโส’’ติ ลปสิฯ โก ตว สสํ หริ, เกน เต สโส คหิโตติ ปุจฺฉติฯ

    Tattha kevalaṃ dvārakaṃ imanti kasmā ummattako viya hutvā sakalaṃ imaṃ dvāravatinagaraṃ vicaranto ‘‘saso saso’’ti lapasi. Ko tava sasaṃ hari, kena te saso gahitoti pucchati.

    โส รญฺญา เอวํ วุเตฺตปิ ปุนปฺปุนํ ตเทว วจนํ วทติฯ ราชา ปุน เทฺว คาถา อภาสิ –

    So raññā evaṃ vuttepi punappunaṃ tadeva vacanaṃ vadati. Rājā puna dve gāthā abhāsi –

    ๑๖๘.

    168.

    ‘‘โสวณฺณมยํ มณีมยํ, โลหมยํ อถ รูปิยามยํ;

    ‘‘Sovaṇṇamayaṃ maṇīmayaṃ, lohamayaṃ atha rūpiyāmayaṃ;

    สงฺขสิลาปวาฬมยํ, การยิสฺสามิ เต สสํฯ

    Saṅkhasilāpavāḷamayaṃ, kārayissāmi te sasaṃ.

    ๑๖๙.

    169.

    ‘‘สนฺติ อเญฺญปิ สสกา, อรเญฺญ วนโคจรา;

    ‘‘Santi aññepi sasakā, araññe vanagocarā;

    เตปิ เต อานยิสฺสามิ, กีทิสํ สสมิจฺฉสี’’ติฯ

    Tepi te ānayissāmi, kīdisaṃ sasamicchasī’’ti.

    ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – เตสุ สุวณฺณมยาทีสุ ยํ อิจฺฉสิ, ตํ วท, อหํ เต กาเรตฺวา ทสฺสามิ, อถาปิ เต น โรเจสิ, อเญฺญปิ อรเญฺญ วนโคจรา สสกา อตฺถิ, เตปิ เต อานยิสฺสามิ, วท ภทฺรมุข, กีทิสํ สสมิจฺฉสีติฯ

    Tatrāyaṃ saṅkhepattho – tesu suvaṇṇamayādīsu yaṃ icchasi, taṃ vada, ahaṃ te kāretvā dassāmi, athāpi te na rocesi, aññepi araññe vanagocarā sasakā atthi, tepi te ānayissāmi, vada bhadramukha, kīdisaṃ sasamicchasīti.

    รโญฺญ กถํ สุตฺวา ฆฎปณฺฑิโต ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Rañño kathaṃ sutvā ghaṭapaṇḍito chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    ๑๗๐.

    170.

    ‘‘น จาหเมเต อิจฺฉามิ, เย สสา ปถวิสฺสิตา;

    ‘‘Na cāhamete icchāmi, ye sasā pathavissitā;

    จนฺทโต สสมิจฺฉามิ, ตํ เม โอหร เกสวา’’ติฯ

    Candato sasamicchāmi, taṃ me ohara kesavā’’ti.

    ตตฺถ โอหราติ โอตาเรหิฯ

    Tattha oharāti otārehi.

    ราชา ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘นิสฺสํสยํ เม ภาตา อุมฺมตฺตโกว ชาโต’’ติ โทมนสฺสปฺปโตฺต สตฺตมํ คาถมาห –

    Rājā tassa kathaṃ sutvā ‘‘nissaṃsayaṃ me bhātā ummattakova jāto’’ti domanassappatto sattamaṃ gāthamāha –

    ๑๗๑.

    171.

    ‘‘โส นูน มธุรํ ญาติ, ชีวิตํ วิชหิสฺสสิ;

    ‘‘So nūna madhuraṃ ñāti, jīvitaṃ vijahissasi;

    อปตฺถิยํ โย ปตฺถยสิ, จนฺทโต สสมิจฺฉสี’’ติฯ

    Apatthiyaṃ yo patthayasi, candato sasamicchasī’’ti.

    ตตฺถ ญาตีติ กนิฎฺฐํ อาลปโนฺต อาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ตาต, มยฺหํ ปิยญาติ โส ตฺวํ นูน อติมธุรํ อตฺตโน ชีวิตํ วิชหิสฺสสิ, โย อปเตฺถตพฺพํ ปตฺถยสี’’ติฯ

    Tattha ñātīti kaniṭṭhaṃ ālapanto āha. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘tāta, mayhaṃ piyañāti so tvaṃ nūna atimadhuraṃ attano jīvitaṃ vijahissasi, yo apatthetabbaṃ patthayasī’’ti.

    ฆฎปณฺฑิโต รโญฺญ วจนํ สุตฺวา นิจฺจโล ฐตฺวา ‘‘ภาติก, ตฺวํ จนฺทโต สสกํ ปเตฺถนฺตสฺส ตํ อลภิตฺวา ชีวิตกฺขยภาวํ ชานโนฺต กิํ การณา มตปุตฺตํ อนุโสจสี’’ติ วตฺวา อฎฺฐมํ คาถมาห –

    Ghaṭapaṇḍito rañño vacanaṃ sutvā niccalo ṭhatvā ‘‘bhātika, tvaṃ candato sasakaṃ patthentassa taṃ alabhitvā jīvitakkhayabhāvaṃ jānanto kiṃ kāraṇā mataputtaṃ anusocasī’’ti vatvā aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๗๒.

    172.

    ‘‘เอวํ เจ กณฺห ชานาสิ, ยทญฺญมนุสาสสิ;

    ‘‘Evaṃ ce kaṇha jānāsi, yadaññamanusāsasi;

    กสฺมา ปุเร มตํ ปุตฺตํ, อชฺชาปิ มนุโสจสี’’ติฯ

    Kasmā pure mataṃ puttaṃ, ajjāpi manusocasī’’ti.

    ตตฺถ เอวนฺติ อิทํ อลพฺภเนยฺยฎฺฐานํ นาม น ปเตฺถตพฺพนฺติ ยทิ เอวํ ชานาสิฯ ยทญฺญมนุสาสสีติ เอวํ ชานโนฺตว ยทิ อญฺญํ อนุสาสสีติ อโตฺถฯ ปุเรติ อถ กสฺมา อิโต จตุมาสมตฺถเก มตปุตฺตํ อชฺชาปิ อนุโสจสีติ วทติฯ

    Tattha evanti idaṃ alabbhaneyyaṭṭhānaṃ nāma na patthetabbanti yadi evaṃ jānāsi. Yadaññamanusāsasīti evaṃ jānantova yadi aññaṃ anusāsasīti attho. Pureti atha kasmā ito catumāsamatthake mataputtaṃ ajjāpi anusocasīti vadati.

    เอวํ โส อนฺตรวีถิยํ ฐิตโกว ‘‘ภาติก, อหํ ตาว ปญฺญายมานํ ปเตฺถมิ, ตฺวํ ปน อปญฺญายมานสฺส โสจสี’’ติ วตฺวา ตสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺต ปุน เทฺว คาถา อภาสิ –

    Evaṃ so antaravīthiyaṃ ṭhitakova ‘‘bhātika, ahaṃ tāva paññāyamānaṃ patthemi, tvaṃ pana apaññāyamānassa socasī’’ti vatvā tassa dhammaṃ desento puna dve gāthā abhāsi –

    ๑๗๓.

    173.

    ‘‘ยํ น ลพฺภา มนุเสฺสน, อมนุเสฺสน วา ปุน;

    ‘‘Yaṃ na labbhā manussena, amanussena vā puna;

    ชาโต เม มา มรี ปุโตฺต, กุโต ลพฺภา อลพฺภิยํฯ

    Jāto me mā marī putto, kuto labbhā alabbhiyaṃ.

    ๑๗๔.

    174.

    ‘‘น มนฺตา มูลเภสชฺชา, โอสเธหิ ธเนน วา;

    ‘‘Na mantā mūlabhesajjā, osadhehi dhanena vā;

    สกฺกา อานยิตุํ กณฺห, ยํ เปตมนุโสจสี’’ติฯ

    Sakkā ānayituṃ kaṇha, yaṃ petamanusocasī’’ti.

    ตตฺถ นฺติ ภาติก ยํ เอวํ ชาโต เม ปุโตฺต มา มรีติ มนุเสฺสน วา เทเวน วา ปุน น ลพฺภา น สกฺกา ลทฺธุํ, ตํ ตฺวํ ปเตฺถสิ, ตเทตํ กุโต ลพฺภา เกน การเณน สกฺกา ลทฺธุํ, น สกฺกาติ ทีเปติฯ กสฺมา? ยสฺมา อลพฺภิยํ, อลพฺภเนยฺยฎฺฐานญฺหิ นาเมตนฺติ อโตฺถฯ มนฺตาติ มนฺตปโยเคนฯ มูลเภสชฺชาติ มูลเภสเชฺชนฯ โอสเธหีติ นานาวิโธสเธหิฯ ธเนน วาติ โกฎิสตสเงฺขฺยนปิ ธเนน วาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยํ ตฺวํ เปตมนุโสจสิ, ตํ เอเตหิ มนฺตปโยคาทีหิ อาเนตุํ น สกฺกา’’ติฯ

    Tattha yanti bhātika yaṃ evaṃ jāto me putto mā marīti manussena vā devena vā puna na labbhā na sakkā laddhuṃ, taṃ tvaṃ patthesi, tadetaṃ kuto labbhā kena kāraṇena sakkā laddhuṃ, na sakkāti dīpeti. Kasmā? Yasmā alabbhiyaṃ, alabbhaneyyaṭṭhānañhi nāmetanti attho. Mantāti mantapayogena. Mūlabhesajjāti mūlabhesajjena. Osadhehīti nānāvidhosadhehi. Dhanena vāti koṭisatasaṅkhyenapi dhanena vā. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yaṃ tvaṃ petamanusocasi, taṃ etehi mantapayogādīhi ānetuṃ na sakkā’’ti.

    ราชา ตํ สุตฺวา ‘‘ยุตฺตํ, ตาต, สลฺลกฺขิตํ เม, มม โสกหรณตฺถาย ตยา อิทํ กต’’นฺติ ฆฎปณฺฑิตํ วเณฺณโนฺต จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Rājā taṃ sutvā ‘‘yuttaṃ, tāta, sallakkhitaṃ me, mama sokaharaṇatthāya tayā idaṃ kata’’nti ghaṭapaṇḍitaṃ vaṇṇento catasso gāthā abhāsi –

    ๑๗๕.

    175.

    ‘‘ยสฺส เอตาทิสา อสฺสุ, อมจฺจา ปุริสปณฺฑิตา;

    ‘‘Yassa etādisā assu, amaccā purisapaṇḍitā;

    ยถา นิชฺฌาปเย อชฺช, ฆโฎ ปุริสปณฺฑิโตฯ

    Yathā nijjhāpaye ajja, ghaṭo purisapaṇḍito.

    ๑๗๖.

    176.

    ‘‘อาทิตฺตํ วต มํ สนฺตํ, ฆตสิตฺตํว ปาวกํ;

    ‘‘Ādittaṃ vata maṃ santaṃ, ghatasittaṃva pāvakaṃ;

    วารินา วิย โอสิญฺจํ, สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํฯ

    Vārinā viya osiñcaṃ, sabbaṃ nibbāpaye daraṃ.

    ๑๗๗.

    177.

    ‘‘อพฺพหี วต เม สลฺลํ, ยมาสิ หทยสฺสิตํ;

    ‘‘Abbahī vata me sallaṃ, yamāsi hadayassitaṃ;

    โย เม โสกปเรตสฺส, ปุตฺตโสกํ อปานุทิฯ

    Yo me sokaparetassa, puttasokaṃ apānudi.

    ๑๗๘.

    178.

    ‘‘โสหํ อพฺพูฬฺหสโลฺลสฺมิ, วีตโสโก อนาวิโล;

    ‘‘Sohaṃ abbūḷhasallosmi, vītasoko anāvilo;

    น โสจามิ น โรทามิ, ตว สุตฺวาน มาณวา’’ติฯ

    Na socāmi na rodāmi, tava sutvāna māṇavā’’ti.

    ตตฺถ ปฐมคาถาย สเงฺขปโตฺถ – ยถา เยน การเณน อชฺช มํ ปุตฺตโสกปเรตํ ฆโฎ ปุริสปณฺฑิโต โสกหรณตฺถาย นิชฺฌาปเย นิชฺฌาเปสิ โพเธสิฯ ยสฺส อญฺญสฺสปิ เอตาทิสา ปุริสปณฺฑิตา อมจฺจา อสฺสุ, ตสฺส กุโต โสโกติฯ เสสคาถา วุตฺตตฺถาเยวฯ

    Tattha paṭhamagāthāya saṅkhepattho – yathā yena kāraṇena ajja maṃ puttasokaparetaṃ ghaṭo purisapaṇḍito sokaharaṇatthāya nijjhāpaye nijjhāpesi bodhesi. Yassa aññassapi etādisā purisapaṇḍitā amaccā assu, tassa kuto sokoti. Sesagāthā vuttatthāyeva.

    อวสาเน –

    Avasāne –

    ๑๗๙.

    179.

    ‘‘เอวํ กโรนฺติ สปฺปญฺญา, เย โหนฺติ อนุกมฺปกา;

    ‘‘Evaṃ karonti sappaññā, ye honti anukampakā;

    นิวตฺตยนฺติ โสกมฺหา, ฆโฎ เชฎฺฐํว ภาตร’’นฺติฯ –

    Nivattayanti sokamhā, ghaṭo jeṭṭhaṃva bhātara’’nti. –

    อยํ อภิสมฺพุทฺธคาถา อุตฺตานตฺถาเยวฯ

    Ayaṃ abhisambuddhagāthā uttānatthāyeva.

    เอวํ ฆฎกุมาเรน วีตโสเก กเต วาสุเทเว รชฺชํ อนุสาสเนฺต ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ทสภาติกปุตฺตา กุมารา จินฺตยิํสุ ‘‘กณฺหทีปายนํ ‘ทิพฺพจกฺขุโก’ติ วทนฺติ, วีมํสิสฺสาม ตาว น’’นฺติฯ เต เอกํ ทหรกุมารํ อลงฺกริตฺวา คพฺภินิอากาเรน ทเสฺสตฺวา อุทเร มสูรกํ พนฺธิตฺวา ตสฺส สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘ภเนฺต, อยํ กุมาริกา กิํ วิชายิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ตาปโส ‘‘ทสภาติกราชูนํ วินาสกาโล ปโตฺต, มยฺหํ นุ โข อายุสงฺขาโร กีทิโส โหตี’’ติ โอโลเกโนฺต ‘‘อเชฺชว มรณํ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘กุมารา อิมินา ตุมฺหากํ โก อโตฺถ’’ติ วตฺวา ‘‘กเถเถว โน, ภเนฺต’’ติ นิพโทฺธ ‘‘อยํ อิโต สตฺตเม ทิวเส ขทิรฆฎิกํ วิชายิสฺสติ, ตาย วาสุเทวกุลํ นสฺสิสฺสติ, อปิจ โข ปน ตุเมฺห ตํ ขทิรฆฎิกํ คเหตฺวา ฌาเปตฺวา ฉาริกํ นทิยํ ปกฺขิเปยฺยาถา’’ติ อาหฯ อถ นํ เต ‘‘กูฎชฎิล, ปุริโส วิชายนโก นาม นตฺถี’’ติ วตฺวา ตนฺตรชฺชุกํ นาม กมฺมกรณํ กตฺวา ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาปยิํสุฯ ราชาโน กุมาเร ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กิํ การณา ตาปสํ มารยิตฺถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา สพฺพํ สุตฺวา ภีตา ตสฺส อารกฺขํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส ตสฺส กุจฺฉิโต นิกฺขนฺตํ ขทิรฆฎิกํ ฌาเปตฺวา ฉาริกํ นทิยํ ขิปิํสุฯ สา นทิยา วุยฺหมานา มุขทฺวาเร เอกปเสฺส ลคฺคิ, ตโต เอรกํ นิพฺพตฺติฯ

    Evaṃ ghaṭakumārena vītasoke kate vāsudeve rajjaṃ anusāsante dīghassa addhuno accayena dasabhātikaputtā kumārā cintayiṃsu ‘‘kaṇhadīpāyanaṃ ‘dibbacakkhuko’ti vadanti, vīmaṃsissāma tāva na’’nti. Te ekaṃ daharakumāraṃ alaṅkaritvā gabbhiniākārena dassetvā udare masūrakaṃ bandhitvā tassa santikaṃ netvā ‘‘bhante, ayaṃ kumārikā kiṃ vijāyissatī’’ti pucchiṃsu. Tāpaso ‘‘dasabhātikarājūnaṃ vināsakālo patto, mayhaṃ nu kho āyusaṅkhāro kīdiso hotī’’ti olokento ‘‘ajjeva maraṇaṃ bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘kumārā iminā tumhākaṃ ko attho’’ti vatvā ‘‘kathetheva no, bhante’’ti nibaddho ‘‘ayaṃ ito sattame divase khadiraghaṭikaṃ vijāyissati, tāya vāsudevakulaṃ nassissati, apica kho pana tumhe taṃ khadiraghaṭikaṃ gahetvā jhāpetvā chārikaṃ nadiyaṃ pakkhipeyyāthā’’ti āha. Atha naṃ te ‘‘kūṭajaṭila, puriso vijāyanako nāma natthī’’ti vatvā tantarajjukaṃ nāma kammakaraṇaṃ katvā tattheva jīvitakkhayaṃ pāpayiṃsu. Rājāno kumāre pakkosāpetvā ‘‘kiṃ kāraṇā tāpasaṃ mārayitthā’’ti pucchitvā sabbaṃ sutvā bhītā tassa ārakkhaṃ datvā sattame divase tassa kucchito nikkhantaṃ khadiraghaṭikaṃ jhāpetvā chārikaṃ nadiyaṃ khipiṃsu. Sā nadiyā vuyhamānā mukhadvāre ekapasse laggi, tato erakaṃ nibbatti.

    อเถกทิวสํ เต ราชาโน ‘‘สมุทฺทกีฬํ กีฬิสฺสามา’’ติ มุขทฺวารํ คนฺตฺวา มหามณฺฑปํ การาเปตฺวา อลงฺกตมณฺฑเป ขาทนฺตา ปิวนฺตา กีฬาวเสเนว ปวตฺตหตฺถปาทปรามาสา ทฺวิธา ภิชฺชิตฺวา มหากลหํ กริํสุฯ อเถโก อญฺญํ มุคฺครํ อลภโนฺต เอรกวนโต เอกํ เอรกปตฺตํ คณฺหิฯ ตํ คหิตมตฺตเมว ขทิรมุสลํ อโหสิฯ โส เตน มหาชนํ โปเถสิ ฯ อถเญฺญหิ สเพฺพหิ คหิตคหิตํ ขทิรมุสลเมว อโหสิฯ เต อญฺญมญฺญํ ปหริตฺวา มหาวินาสํ ปาปุณิํสุฯ เตสุ มหาวินาสํ วินสฺสเนฺตสุ วาสุเทโว จ พลเทโว จ ภคินี อญฺชนเทวี จ ปุโรหิโต จาติ จตฺตาโร ชนา รถํ อภิรุหิตฺวา ปลายิํสุ, เสสา สเพฺพปิ วินฎฺฐาฯ เตปิ จตฺตาโร รเถน ปลายนฺตา กาฬมตฺติกอฎวิํ ปาปุณิํสุฯ โส หิ มุฎฺฐิกมโลฺล ปตฺถนํ กตฺวา ยโกฺข หุตฺวา ตตฺถ นิพฺพโตฺต พลเทวสฺส อาคตภาวํ ญตฺวา ตตฺถ คามํ มาเปตฺวา มลฺลเวสํ คเหตฺวา ‘‘โก ยุชฺฌิตุกาโม’’ติ วคฺคโนฺต คชฺชโนฺต อโปฺผเฎโนฺต วิจริฯ พลเทโว ตํ ทิสฺวาว ‘‘ภาติก, อหํ อิมินา สทฺธิํ ยุชฺฌิสฺสามี’’ติ วตฺวา วาสุเทเว วาเรเนฺตเยว รถา โอรุยฺห ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วคฺคโนฺต คชฺชโนฺต อโปฺผเฎสิฯ อถ นํ โส ปสาริตหเตฺถเยว คเหตฺวา มูลกนฺทํ วิย ขาทิฯ วาสุเทโว ตสฺส มตภาวํ ญตฺวา ภคินิญฺจ ปุโรหิตญฺจ อาทาย สพฺพรตฺติํ คนฺตฺวา สูริโยทเย เอกํ ปจฺจนฺตคามํ ปตฺวา ‘‘อาหารํ ปจิตฺวา อาหรถา’’ติ ภคินิญฺจ ปุโรหิตญฺจ คามํ ปหิณิตฺวา สยํ เอกสฺมิํ คจฺฉนฺตเร ปฎิจฺฉโนฺน นิปชฺชิฯ

    Athekadivasaṃ te rājāno ‘‘samuddakīḷaṃ kīḷissāmā’’ti mukhadvāraṃ gantvā mahāmaṇḍapaṃ kārāpetvā alaṅkatamaṇḍape khādantā pivantā kīḷāvaseneva pavattahatthapādaparāmāsā dvidhā bhijjitvā mahākalahaṃ kariṃsu. Atheko aññaṃ muggaraṃ alabhanto erakavanato ekaṃ erakapattaṃ gaṇhi. Taṃ gahitamattameva khadiramusalaṃ ahosi. So tena mahājanaṃ pothesi . Athaññehi sabbehi gahitagahitaṃ khadiramusalameva ahosi. Te aññamaññaṃ paharitvā mahāvināsaṃ pāpuṇiṃsu. Tesu mahāvināsaṃ vinassantesu vāsudevo ca baladevo ca bhaginī añjanadevī ca purohito cāti cattāro janā rathaṃ abhiruhitvā palāyiṃsu, sesā sabbepi vinaṭṭhā. Tepi cattāro rathena palāyantā kāḷamattikaaṭaviṃ pāpuṇiṃsu. So hi muṭṭhikamallo patthanaṃ katvā yakkho hutvā tattha nibbatto baladevassa āgatabhāvaṃ ñatvā tattha gāmaṃ māpetvā mallavesaṃ gahetvā ‘‘ko yujjhitukāmo’’ti vagganto gajjanto apphoṭento vicari. Baladevo taṃ disvāva ‘‘bhātika, ahaṃ iminā saddhiṃ yujjhissāmī’’ti vatvā vāsudeve vārenteyeva rathā oruyha tassa santikaṃ gantvā vagganto gajjanto apphoṭesi. Atha naṃ so pasāritahattheyeva gahetvā mūlakandaṃ viya khādi. Vāsudevo tassa matabhāvaṃ ñatvā bhaginiñca purohitañca ādāya sabbarattiṃ gantvā sūriyodaye ekaṃ paccantagāmaṃ patvā ‘‘āhāraṃ pacitvā āharathā’’ti bhaginiñca purohitañca gāmaṃ pahiṇitvā sayaṃ ekasmiṃ gacchantare paṭicchanno nipajji.

    อถ นํ ชรา นาม เอโก ลุทฺทโก คจฺฉํ จลนฺตํ ทิสฺวา ‘‘สูกโร เอตฺถ ภวิสฺสตี’’ติ สญฺญาย สตฺติํ ขิปิตฺวา ปาเท วิชฺฌิตฺวา ‘‘โก มํ วิชฺฌี’’ติ วุเตฺต มนุสฺสสฺส วิทฺธภาวํ ญตฺวา ภีโต ปลายิตุํ อารภิ ฯ ราชา สติํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา อุฎฺฐาย ‘‘มาตุล, มา ภายิ, เอหี’’ติ ปโกฺกสิตฺวา อาคตํ ‘‘โกสิ นาม ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อหํ สามิ, ชรา นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘ชราย วิโทฺธ มริสฺสตีติ กิร มํ โปราณา พฺยากริํสุ, นิสฺสํสยํ อชฺช มยา มริตพฺพ’’นฺติ ญตฺวา ‘‘มาตุล, มา ภายิ, เอหิ ปหารํ เม พนฺธา’’ติ เตน ปหารมุขํ พนฺธาเปตฺวา ตํ อุโยฺยเชสิฯ พลวเวทนา ปวตฺติํสุ, อิตเรหิ อาภตํ อาหารํ ปริภุญฺชิตุํ นาสกฺขิฯ อถ เต อามเนฺตตฺวา ‘‘อชฺช อหํ มริสฺสามิ, ตุเมฺห ปน สุขุมาลา อญฺญํ กมฺมํ กตฺวา ชีวิตุํ น สกฺขิสฺสถ, อิมํ วิชฺชํ สิกฺขถา’’ติ เอกํ วิชฺชํ สิกฺขาเปตฺวา เต อุโยฺยเชตฺวา ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ เอวํ อญฺชนเทวิํ ฐเปตฺวา สเพฺพว วินาสํ ปาปุณิํสูติฯ

    Atha naṃ jarā nāma eko luddako gacchaṃ calantaṃ disvā ‘‘sūkaro ettha bhavissatī’’ti saññāya sattiṃ khipitvā pāde vijjhitvā ‘‘ko maṃ vijjhī’’ti vutte manussassa viddhabhāvaṃ ñatvā bhīto palāyituṃ ārabhi . Rājā satiṃ paccupaṭṭhapetvā uṭṭhāya ‘‘mātula, mā bhāyi, ehī’’ti pakkositvā āgataṃ ‘‘kosi nāma tva’’nti pucchitvā ‘‘ahaṃ sāmi, jarā nāmā’’ti vutte ‘‘jarāya viddho marissatīti kira maṃ porāṇā byākariṃsu, nissaṃsayaṃ ajja mayā maritabba’’nti ñatvā ‘‘mātula, mā bhāyi, ehi pahāraṃ me bandhā’’ti tena pahāramukhaṃ bandhāpetvā taṃ uyyojesi. Balavavedanā pavattiṃsu, itarehi ābhataṃ āhāraṃ paribhuñjituṃ nāsakkhi. Atha te āmantetvā ‘‘ajja ahaṃ marissāmi, tumhe pana sukhumālā aññaṃ kammaṃ katvā jīvituṃ na sakkhissatha, imaṃ vijjaṃ sikkhathā’’ti ekaṃ vijjaṃ sikkhāpetvā te uyyojetvā tattheva jīvitakkhayaṃ pāpuṇi. Evaṃ añjanadeviṃ ṭhapetvā sabbeva vināsaṃ pāpuṇiṃsūti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘อุปาสก, เอวํ โปราณกปณฺฑิตา ปณฺฑิตานํ กถํ สุตฺวา อตฺตโน ปุตฺตโสกํ หริํสุ, มา จินฺตยี’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุปาสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา โรหิเณโยฺย อานโนฺท อโหสิ, วาสุเทโว สาริปุโตฺต, อวเสสา พุทฺธปริสา, ฆฎปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘upāsaka, evaṃ porāṇakapaṇḍitā paṇḍitānaṃ kathaṃ sutvā attano puttasokaṃ hariṃsu, mā cintayī’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne upāsako sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā rohiṇeyyo ānando ahosi, vāsudevo sāriputto, avasesā buddhaparisā, ghaṭapaṇḍito pana ahameva ahosinti.

    ฆฎปณฺฑิตชาตกวณฺณนา โสฬสมาฯ

    Ghaṭapaṇḍitajātakavaṇṇanā soḷasamā.

    อิติ โสฬสชาตกปฎิมณฺฑิตสฺส

    Iti soḷasajātakapaṭimaṇḍitassa

    ทสกนิปาตชาตกสฺส อตฺถวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasakanipātajātakassa atthavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ชาตกุทฺทานํ –

    Jātakuddānaṃ –

    จตุทฺวาโร กณฺหุโปโส, สงฺข โพธิ ทีปายโน;

    Catudvāro kaṇhuposo, saṅkha bodhi dīpāyano;

    นิโคฺรธ ตกฺกล ธมฺม-ปาโล กุกฺกุฎ กุณฺฑลี;

    Nigrodha takkala dhamma-pālo kukkuṭa kuṇḍalī;

    พิลาร จกฺก ภูริ จ, มงฺคล ฆฎ โสฬสฯ

    Bilāra cakka bhūri ca, maṅgala ghaṭa soḷasa.

    ทสกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasakanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๕๔. ฆฎปณฺฑิตชาตกํ • 454. Ghaṭapaṇḍitajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact