Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. ราชวโคฺค

    4. Rājavaggo

    ๑. ฆฎิการสุตฺตวณฺณนา

    1. Ghaṭikārasuttavaṇṇanā

    ๒๘๒. เอวํ เม สุตนฺติ ฆฎิการสุตฺตํฯ ตตฺถ สิตํ ปาตฺวากาสีติ มหามเคฺคน คจฺฉโนฺต อญฺญตรํ ภูมิปฺปเทสํ โอโลเกตฺวา – ‘‘อตฺถิ นุ โข มยา จริยํ จรมาเนน อิมสฺมิํ ฐาเน นิวุตฺถปุพฺพ’’นฺติ อาวชฺชโนฺต อทฺทส – ‘‘กสฺสปพุทฺธกาเล อิมสฺมิํ ฐาเน เวคฬิงฺคํ นาม คามนิคโม อโหสิ, อหํ ตทา โชติปาโล นาม มาณโว อโหสิํ, มยฺหํ สหาโย ฆฎิกาโร นาม กุมฺภกาโร อโหสิ, เตน สทฺธิํ มยา อิธ เอกํ สุการณํ กตํ, ตํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อปากฎํ ปฎิจฺฉนฺนํ, หนฺท นํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปากฎํ กโรมี’’ติ มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ ปเทเส ฐิตโกว สิตปาตุกมฺมมกาสิ, อคฺคคฺคทเนฺต ทเสฺสตฺวา มนฺทหสิตํ หสิฯ ยถา หิ โลกิยมนุสฺสา อุรํ ปหรนฺตา – ‘‘กุหํ กุห’’นฺติ หสนฺติ, น เอวํ พุทฺธา, พุทฺธานํ ปน หสิตํ หฎฺฐปหฎฺฐาการมตฺตเมว โหติฯ

    282.Evaṃme sutanti ghaṭikārasuttaṃ. Tattha sitaṃ pātvākāsīti mahāmaggena gacchanto aññataraṃ bhūmippadesaṃ oloketvā – ‘‘atthi nu kho mayā cariyaṃ caramānena imasmiṃ ṭhāne nivutthapubba’’nti āvajjanto addasa – ‘‘kassapabuddhakāle imasmiṃ ṭhāne vegaḷiṅgaṃ nāma gāmanigamo ahosi, ahaṃ tadā jotipālo nāma māṇavo ahosiṃ, mayhaṃ sahāyo ghaṭikāro nāma kumbhakāro ahosi, tena saddhiṃ mayā idha ekaṃ sukāraṇaṃ kataṃ, taṃ bhikkhusaṅghassa apākaṭaṃ paṭicchannaṃ, handa naṃ bhikkhusaṅghassa pākaṭaṃ karomī’’ti maggā okkamma aññatarasmiṃ padese ṭhitakova sitapātukammamakāsi, aggaggadante dassetvā mandahasitaṃ hasi. Yathā hi lokiyamanussā uraṃ paharantā – ‘‘kuhaṃ kuha’’nti hasanti, na evaṃ buddhā, buddhānaṃ pana hasitaṃ haṭṭhapahaṭṭhākāramattameva hoti.

    หสิตญฺจ นาเมตํ เตรสหิ โสมนสฺสสหคตจิเตฺตหิ โหติฯ ตตฺถ โลกิยมหาชโน อกุสลโต จตูหิ, กามาวจรกุสลโต จตูหีติ อฎฺฐหิ จิเตฺตหิ หสติ, เสกฺขา อกุสลโต ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตานิ เทฺว อปเนตฺวา ฉหิ จิเตฺตหิ หสนฺติ, ขีณาสวา จตูหิ สเหตุกกิริยจิเตฺตหิ เอเกน อเหตุกกิริยจิเตฺตนาติ ปญฺจหิ จิเตฺตหิ หสนฺติฯ เตสุปิ พลวารมฺมเณ อาปาถคเต ทฺวีหิ ญาณสมฺปยุตฺตจิเตฺตหิ หสนฺติ, ทุพฺพลารมฺมเณ ทุเหตุกจิตฺตทฺวเยน จ อเหตุกจิเตฺตน จาติ ตีหิ จิเตฺตหิ หสนฺติฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน กิริยาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุโสมนสฺสสหคตจิตฺตํ ภควโต หฎฺฐปหฎฺฐาการมตฺตํ หสิตํ อุปฺปาเทสิฯ

    Hasitañca nāmetaṃ terasahi somanassasahagatacittehi hoti. Tattha lokiyamahājano akusalato catūhi, kāmāvacarakusalato catūhīti aṭṭhahi cittehi hasati, sekkhā akusalato diṭṭhisampayuttāni dve apanetvā chahi cittehi hasanti, khīṇāsavā catūhi sahetukakiriyacittehi ekena ahetukakiriyacittenāti pañcahi cittehi hasanti. Tesupi balavārammaṇe āpāthagate dvīhi ñāṇasampayuttacittehi hasanti, dubbalārammaṇe duhetukacittadvayena ca ahetukacittena cāti tīhi cittehi hasanti. Imasmiṃ pana ṭhāne kiriyāhetukamanoviññāṇadhātusomanassasahagatacittaṃ bhagavato haṭṭhapahaṭṭhākāramattaṃ hasitaṃ uppādesi.

    ตํ ปเนตํ หสิตํ เอวํ อปฺปมตฺตกมฺปิ เถรสฺส ปากฎํ อโหสิฯ กถํ? ตถารูเป หิ กาเล ตถาคตสฺส จตูหิ ทาฐาหิ จตุทฺทีปิกมหาเมฆมุขโต สเตรตาวิชฺชุลตา วิย วิโรจมานา มหาตาลกฺขนฺธปมาณา รสฺมิวฎฺฎิโย อุฎฺฐหิตฺวา ติกฺขตฺตุํ สีสวรํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ทาฐเคฺคสุเยว อนฺตรธายนฺติฯ เตน สญฺญาเณน อายสฺมา อานโนฺท ภควโต ปจฺฉโต คจฺฉมาโนปิ สิตปาตุภาวํ ชานาติฯ

    Taṃ panetaṃ hasitaṃ evaṃ appamattakampi therassa pākaṭaṃ ahosi. Kathaṃ? Tathārūpe hi kāle tathāgatassa catūhi dāṭhāhi catuddīpikamahāmeghamukhato sateratāvijjulatā viya virocamānā mahātālakkhandhapamāṇā rasmivaṭṭiyo uṭṭhahitvā tikkhattuṃ sīsavaraṃ padakkhiṇaṃ katvā dāṭhaggesuyeva antaradhāyanti. Tena saññāṇena āyasmā ānando bhagavato pacchato gacchamānopi sitapātubhāvaṃ jānāti.

    ภควนฺตํ เอตทโวจาติ – ‘‘เอตฺถ กิร กสฺสโป ภควา ภิกฺขุสงฺฆํ โอวทิ, จตุสจฺจปฺปกาสนํ อกาสิ, ภควโตปิ เอตฺถ นิสีทิตุํ รุจิํ อุปฺปาเทสฺสามิ, เอวมยํ ภูมิภาโค ทฺวีหิ พุเทฺธหิ ปริภุโตฺต ภวิสฺสติ, มหาชโน คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา เจติยฎฺฐานํ กตฺวา ปริจรโนฺต สคฺคมคฺคปรายโณ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอตํ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต,’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ

    Bhagavantaṃ etadavocāti – ‘‘ettha kira kassapo bhagavā bhikkhusaṅghaṃ ovadi, catusaccappakāsanaṃ akāsi, bhagavatopi ettha nisīdituṃ ruciṃ uppādessāmi, evamayaṃ bhūmibhāgo dvīhi buddhehi paribhutto bhavissati, mahājano gandhamālādīhi pūjetvā cetiyaṭṭhānaṃ katvā paricaranto saggamaggaparāyaṇo bhavissatī’’ti cintetvā etaṃ ‘‘tena hi, bhante,’’tiādivacanaṃ avoca.

    ๒๘๓. มุณฺฑเกน สมณเกนาติ มุณฺฑํ มุโณฺฑติ, สมณํ วา สมโณติ วตฺตุํ วฎฺฎติ, อยํ ปน อปริปกฺกญาณตฺตา พฺราหฺมณกุเล อุคฺคหิตโวหารวเสเนว หีเฬโนฺต เอวมาหฯ โสตฺติสินานินฺติ สินานตฺถาย กตโสตฺติํฯ โสตฺติ นาม กุรุวินฺทปาสาณจุณฺณานิ ลาขาย พนฺธิตฺวา กตคุฬิกกลาปกา วุจฺจติ, ยํ สนฺธาย – ‘‘เตน โข ปน สมเยน ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู กุรุวินฺทกสุตฺติยา นหายนฺตี’’ติ (จูฬว. ๒๔๓) วุตฺตํฯ ตํ อุโภสุ อเนฺตสุ คเหตฺวา สรีรํ ฆํสนฺติฯ เอวํ สมฺมาติ ยถา เอตรหิปิ มนุสฺสา ‘‘เจติยวนฺทนาย คจฺฉาม, ธมฺมสฺสวนตฺถาย คจฺฉามา’’ติ วุตฺตา อุสฺสาหํ น กโรนฺติ, ‘‘นฎสมชฺชาทิทสฺสนตฺถาย คจฺฉามา’’ติ วุตฺตา ปน เอกวจเนเนว สมฺปฎิจฺฉนฺติ, ตเถว สินฺหายิตุนฺติ วุเตฺต เอกวจเนน สมฺปฎิจฺฉโนฺต เอวมาหฯ

    283.Muṇḍakena samaṇakenāti muṇḍaṃ muṇḍoti, samaṇaṃ vā samaṇoti vattuṃ vaṭṭati, ayaṃ pana aparipakkañāṇattā brāhmaṇakule uggahitavohāravaseneva hīḷento evamāha. Sottisināninti sinānatthāya katasottiṃ. Sotti nāma kuruvindapāsāṇacuṇṇāni lākhāya bandhitvā kataguḷikakalāpakā vuccati, yaṃ sandhāya – ‘‘tena kho pana samayena chabbaggiyā bhikkhū kuruvindakasuttiyā nahāyantī’’ti (cūḷava. 243) vuttaṃ. Taṃ ubhosu antesu gahetvā sarīraṃ ghaṃsanti. Evaṃ sammāti yathā etarahipi manussā ‘‘cetiyavandanāya gacchāma, dhammassavanatthāya gacchāmā’’ti vuttā ussāhaṃ na karonti, ‘‘naṭasamajjādidassanatthāya gacchāmā’’ti vuttā pana ekavacaneneva sampaṭicchanti, tatheva sinhāyitunti vutte ekavacanena sampaṭicchanto evamāha.

    ๒๘๔. โชติปาลํ มาณวํ อามเนฺตสีติ เอกปเสฺส อริยปริหาเรน ปฐมตรํ นฺหายิตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ฐิโต ตสฺส มหเนฺตน อิสฺสริยปริหาเรน นฺหายนฺตสฺส นฺหานปริโยสานํ อาคเมตฺวา ตํ นิวตฺถนิวาสนํ เกเส โวทเก กุรุมานํ อามเนฺตสิฯ อยนฺติ อาสนฺนตฺตา ทเสฺสโนฺต อาหฯ โอวฎฺฎิกํ วินิวเฎฺฐตฺวาติ นาคพโล โพธิสโตฺต ‘‘อเปหิ สมฺมา’’ติ อีสกํ ปริวตฺตมาโนว เตน คหิตคหณํ วิสฺสชฺชาเปตฺวาติ อโตฺถฯ เกเสสุ ปรามสิตฺวา เอตทโวจาติ โส กิร จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ โชติปาโล ปญฺญวา, สกิํ ทสฺสนํ ลภมาโน ตถาคตสฺส ทสฺสเนปิ ปสีทิสฺสติ, ธมฺมกถายปิ ปสีทิสฺสติ, ปสโนฺน จ ปสนฺนาการํ กาตุํ สกฺขิสฺสติ, มิตฺตา นาม เอตทตฺถํ โหนฺติ, ยํกิญฺจิ กตฺวา มม สหายํ คเหตฺวา ทสพลสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติฯ ตสฺมา นํ เกเสสุ ปรามสิตฺวา เอตทโวจฯ

    284.Jotipālaṃ māṇavaṃ āmantesīti ekapasse ariyaparihārena paṭhamataraṃ nhāyitvā paccuttaritvā ṭhito tassa mahantena issariyaparihārena nhāyantassa nhānapariyosānaṃ āgametvā taṃ nivatthanivāsanaṃ kese vodake kurumānaṃ āmantesi. Ayanti āsannattā dassento āha. Ovaṭṭikaṃ vinivaṭṭhetvāti nāgabalo bodhisatto ‘‘apehi sammā’’ti īsakaṃ parivattamānova tena gahitagahaṇaṃ vissajjāpetvāti attho. Kesesu parāmasitvā etadavocāti so kira cintesi – ‘‘ayaṃ jotipālo paññavā, sakiṃ dassanaṃ labhamāno tathāgatassa dassanepi pasīdissati, dhammakathāyapi pasīdissati, pasanno ca pasannākāraṃ kātuṃ sakkhissati, mittā nāma etadatthaṃ honti, yaṃkiñci katvā mama sahāyaṃ gahetvā dasabalassa santikaṃ gamissāmī’’ti. Tasmā naṃ kesesu parāmasitvā etadavoca.

    อิตฺตรชโจฺจติ อญฺญชาติโก, มยา สทฺธิํ อสมานชาติโก, ลามกชาติโกติ อโตฺถฯ น วติทนฺติ อิทํ อมฺหากํ คมนํ น วต โอรกํ ภวิสฺสติ น ขุทฺทกํ, มหนฺตํ ภวิสฺสติฯ อยญฺหิ น อตฺตโน ถาเมน คณฺหิ, สตฺถุ ถาเมน คณฺหีติ คหณสฺมิํเยว นิฎฺฐํ อคมาสิฯ ยาวตาโทหิปีติ เอตฺถ โทการหิการปิการา นิปาตา, ยาวตุปริมนฺติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘วาจาย อาลปนํ โอวฎฺฎิกาย คหณญฺจ อติกฺกมิตฺวา ยาว เกสคฺคหณมฺปิ ตตฺถ คมนตฺถํ ปโยโค กตฺตโพฺพ’’ติฯ

    Ittarajaccoti aññajātiko, mayā saddhiṃ asamānajātiko, lāmakajātikoti attho. Na vatidanti idaṃ amhākaṃ gamanaṃ na vata orakaṃ bhavissati na khuddakaṃ, mahantaṃ bhavissati. Ayañhi na attano thāmena gaṇhi, satthu thāmena gaṇhīti gahaṇasmiṃyeva niṭṭhaṃ agamāsi. Yāvatādohipīti ettha dokārahikārapikārā nipātā, yāvatuparimanti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘vācāya ālapanaṃ ovaṭṭikāya gahaṇañca atikkamitvā yāva kesaggahaṇampi tattha gamanatthaṃ payogo kattabbo’’ti.

    ๒๘๕. ธมฺมิยา กถายาติ อิธ สติปฎิลาภตฺถาย ปุเพฺพนิวาสปฎิสํยุตฺตา ธมฺมี กถา เวทิตพฺพาฯ ตสฺส หิ ภควา, – ‘‘โชติปาล, ตฺวํ น ลามกฎฺฐานํ โอติณฺณสโตฺต, มหาโพธิปลฺลเงฺก ปน สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปเตฺถตฺวา โอติโณฺณสิ, ตาทิสสฺส นาม ปมาทวิหาโร น ยุโตฺต’’ติอาทินา นเยน สติปฎิลาภาย ธมฺมํ กเถสิฯ ปรสมุทฺทวาสีเถรา ปน วทนฺติ – ‘‘โชติปาล, ยถา อหํ ทสปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา วีสติสหสฺสภิกฺขุปริวาโร โลเก วิจรามิ, เอวเมวํ ตฺวมฺปิ ทสปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา สมณคณปริวาโร โลเก วิจริสฺสสิฯ เอวรูเปน นาม ตยา ปมาทํ อาปชฺชิตุํ น ยุตฺต’’นฺติ ยถาสฺส ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมติ, เอวํ กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ กเถสีติฯ

    285.Dhammiyākathāyāti idha satipaṭilābhatthāya pubbenivāsapaṭisaṃyuttā dhammī kathā veditabbā. Tassa hi bhagavā, – ‘‘jotipāla, tvaṃ na lāmakaṭṭhānaṃ otiṇṇasatto, mahābodhipallaṅke pana sabbaññutaññāṇaṃ patthetvā otiṇṇosi, tādisassa nāma pamādavihāro na yutto’’tiādinā nayena satipaṭilābhāya dhammaṃ kathesi. Parasamuddavāsītherā pana vadanti – ‘‘jotipāla, yathā ahaṃ dasapāramiyo pūretvā sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitvā vīsatisahassabhikkhuparivāro loke vicarāmi, evamevaṃ tvampi dasapāramiyo pūretvā sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitvā samaṇagaṇaparivāro loke vicarissasi. Evarūpena nāma tayā pamādaṃ āpajjituṃ na yutta’’nti yathāssa pabbajjāya cittaṃ namati, evaṃ kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ kathesīti.

    ๒๘๖. อลตฺถ โข, อานนฺท,…เป.… ปพฺพชฺชํ อลตฺถ อุปสมฺปทนฺติ ปพฺพชิตฺวา กิมกาสิ? ยํ โพธิสเตฺตหิ กตฺตพฺพํฯ โพธิสตฺตา หิ พุทฺธานํ สมฺมุเข ปพฺพชนฺติฯ ปพฺพชิตฺวา จ ปน อิตฺตรสตฺตา วิย ปติตสิงฺคา น โหนฺติ, จตุปาริสุทฺธิสีเล ปน สุปติฎฺฐาย เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา เตรส ธุตงฺคานิ สมาทาย อรญฺญํ ปวิสิตฺวา คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูรยมานา สมณธมฺมํ กโรนฺตา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ยาว อนุโลมญาณํ อาหจฺจ ติฎฺฐนฺติ, มคฺคผลตฺถํ วายามํ น กโรนฺติฯ โชติปาโลปิ ตเถว อกาสิฯ

    286.Alattha kho, ānanda,…pe… pabbajjaṃ alattha upasampadanti pabbajitvā kimakāsi? Yaṃ bodhisattehi kattabbaṃ. Bodhisattā hi buddhānaṃ sammukhe pabbajanti. Pabbajitvā ca pana ittarasattā viya patitasiṅgā na honti, catupārisuddhisīle pana supatiṭṭhāya tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ uggaṇhitvā terasa dhutaṅgāni samādāya araññaṃ pavisitvā gatapaccāgatavattaṃ pūrayamānā samaṇadhammaṃ karontā vipassanaṃ vaḍḍhetvā yāva anulomañāṇaṃ āhacca tiṭṭhanti, maggaphalatthaṃ vāyāmaṃ na karonti. Jotipālopi tatheva akāsi.

    ๒๘๗. อฑฺฒมาสุปสมฺปเนฺนติ กุลทารกญฺหิ ปพฺพาเชตฺวา อฑฺฒมาสมฺปิ อวสิตฺวา คเต มาตาปิตูนํ โสโก น วูปสมฺมติ, โสปิ ปตฺตจีวรคฺคหณํ น ชานาติ, ทหรภิกฺขุสามเณเรหิ สทฺธิํ วิสฺสาโส น อุปฺปชฺชติ, เถเรหิ สทฺธิํ สิเนโห น ปติฎฺฐาติ, คตคตฎฺฐาเน อนภิรติ อุปฺปชฺชติฯ เอตฺตกํ ปน กาลํ นิวาเส สติ มาตาปิตโร ปสฺสิตุํ ลภนฺติฯ เตน เตสํ โสโก ตนุภาวํ คจฺฉติ, ปตฺตจีวรคฺคหณํ ชานาติ, สามเณรทหรภิกฺขูหิ สทฺธิํ วิสฺสาโส ชายติ, เถเรหิ สทฺธิํ สิเนโห ปติฎฺฐาติ, คตคตฎฺฐาเน อภิรมติ, น อุกฺกณฺฐติฯ ตสฺมา เอตฺตกํ วสิตุํ วฎฺฎตีติ อฑฺฒมาสํ วสิตฺวา ปกฺกามิฯ

    287.Aḍḍhamāsupasampanneti kuladārakañhi pabbājetvā aḍḍhamāsampi avasitvā gate mātāpitūnaṃ soko na vūpasammati, sopi pattacīvaraggahaṇaṃ na jānāti, daharabhikkhusāmaṇerehi saddhiṃ vissāso na uppajjati, therehi saddhiṃ sineho na patiṭṭhāti, gatagataṭṭhāne anabhirati uppajjati. Ettakaṃ pana kālaṃ nivāse sati mātāpitaro passituṃ labhanti. Tena tesaṃ soko tanubhāvaṃ gacchati, pattacīvaraggahaṇaṃ jānāti, sāmaṇeradaharabhikkhūhi saddhiṃ vissāso jāyati, therehi saddhiṃ sineho patiṭṭhāti, gatagataṭṭhāne abhiramati, na ukkaṇṭhati. Tasmā ettakaṃ vasituṃ vaṭṭatīti aḍḍhamāsaṃ vasitvā pakkāmi.

    ปณฺฑุปุฎกสฺส สาลิโนติ ปุฎเก กตฺวา สุกฺขาปิตสฺส รตฺตสาลิโนฯ ตสฺส กิร สาลิโน วปฺปกาลโต ปฎฺฐาย อยํ ปริหาโร – เกทารา สุปริกมฺมกตา โหนฺติ, ตตฺถ พีชานิ ปติฎฺฐาเปตฺวา คโนฺธทเกน สิญฺจิํสุ, วปฺปกาเล วิตานํ วิย อุปริ วตฺถกิลญฺชํ พนฺธิตฺวา ปริปกฺกกาเล วีหิสีสานิ ฉินฺทิตฺวา มุฎฺฐิมเตฺต ปุฎเก กตฺวา โยตฺตพเทฺธ เวหาสํเยว สุกฺขาเปตฺวา คนฺธจุณฺณานิ อตฺถริตฺวา โกฎฺฐเกสุ ปูเรตฺวา ตติเย วเสฺส วิวริํสุฯ เอวํ ติวสฺสํ ปริวุตฺถสฺส สุคนฺธรตฺตสาลิโน อปคตกาฬเก สุปริสุเทฺธ ตณฺฑุเล คเหตฺวา ขชฺชกวิกติมฺปิ ภตฺตมฺปิ ปฎิยาทิยิํสุฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ…เป.… กาลํ อาโรจาเปสีติฯ

    Paṇḍupuṭakassa sālinoti puṭake katvā sukkhāpitassa rattasālino. Tassa kira sālino vappakālato paṭṭhāya ayaṃ parihāro – kedārā suparikammakatā honti, tattha bījāni patiṭṭhāpetvā gandhodakena siñciṃsu, vappakāle vitānaṃ viya upari vatthakilañjaṃ bandhitvā paripakkakāle vīhisīsāni chinditvā muṭṭhimatte puṭake katvā yottabaddhe vehāsaṃyeva sukkhāpetvā gandhacuṇṇāni attharitvā koṭṭhakesu pūretvā tatiye vasse vivariṃsu. Evaṃ tivassaṃ parivutthassa sugandharattasālino apagatakāḷake suparisuddhe taṇḍule gahetvā khajjakavikatimpi bhattampi paṭiyādiyiṃsu. Taṃ sandhāya vuttaṃ paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ…pe… kālaṃ ārocāpesīti.

    ๒๘๘. อธิวุโฎฺฐ เมติ กิํ สนฺธาย วทติ? เวคฬิงฺคโต นิกฺขมนกาเล ฆฎิกาโร อตฺตโน สนฺติเก วสฺสาวาสํ วสนตฺถาย ปฎิญฺญํ อคฺคเหสิ, ตํ สนฺธาย วทติฯ อหุเทว อญฺญถตฺตํ อหุ โทมนสฺสนฺติ เตมาสํ ทานํ ทาตุํ, ธมฺมญฺจ โสตุํ, อิมินา จ นิยาเมน วีสติ ภิกฺขุสหสฺสานิ ปฎิชคฺคิตุํ นาลตฺถนฺติ อลาภํ อารพฺภ จิตฺตญฺญถตฺตํ จิตฺตโทมนสฺสํ อโหสิ, น ตถาคตํ อารพฺภฯ กสฺมา? โสตาปนฺนตฺตาฯ โส กิร ปุเพฺพ พฺราหฺมณภโตฺต อโหสิฯ อเถกสฺมิํ สมเย ปจฺจเนฺต กุปิเต วูปสมนตฺถํ คจฺฉโนฺต อุรจฺฉทํ นาม ธีตรมาห – ‘‘อมฺม อมฺหากํ เทเว มา ปมชฺชี’’ติฯ พฺราหฺมณา ตํ ราชธีตรํ ทิสฺวา วิสญฺญิโน อเหสุํฯ เก อิเม จาติ วุเตฺต ตุมฺหากํ ภูมิเทวาติฯ ภูมิเทวา นาม เอวรูปา โหนฺตีติ นิฎฺฐุภิตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิฯ สา เอกทิวสํ วีถิํ โอโลเกนฺตี ฐิตา กสฺสปสฺส ภควโต อคฺคสาวกํ ทิสฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา อนุโมทนํ สุณมานาเยว โสตาปนฺนา หุตฺวา ‘‘อเญฺญปิ ภิกฺขู อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สตฺถา วีสติยา ภิกฺขุสหเสฺสหิ สทฺธิํ อิสิปตเน วสตี’’ติ จ สุตฺวา นิมเนฺตตฺวา ทานํ อทาสิฯ

    288.Adhivuṭṭho meti kiṃ sandhāya vadati? Vegaḷiṅgato nikkhamanakāle ghaṭikāro attano santike vassāvāsaṃ vasanatthāya paṭiññaṃ aggahesi, taṃ sandhāya vadati. Ahudeva aññathattaṃ ahu domanassanti temāsaṃ dānaṃ dātuṃ, dhammañca sotuṃ, iminā ca niyāmena vīsati bhikkhusahassāni paṭijaggituṃ nālatthanti alābhaṃ ārabbha cittaññathattaṃ cittadomanassaṃ ahosi, na tathāgataṃ ārabbha. Kasmā? Sotāpannattā. So kira pubbe brāhmaṇabhatto ahosi. Athekasmiṃ samaye paccante kupite vūpasamanatthaṃ gacchanto uracchadaṃ nāma dhītaramāha – ‘‘amma amhākaṃ deve mā pamajjī’’ti. Brāhmaṇā taṃ rājadhītaraṃ disvā visaññino ahesuṃ. Ke ime cāti vutte tumhākaṃ bhūmidevāti. Bhūmidevā nāma evarūpā hontīti niṭṭhubhitvā pāsādaṃ abhiruhi. Sā ekadivasaṃ vīthiṃ olokentī ṭhitā kassapassa bhagavato aggasāvakaṃ disvā pakkosāpetvā piṇḍapātaṃ datvā anumodanaṃ suṇamānāyeva sotāpannā hutvā ‘‘aññepi bhikkhū atthī’’ti pucchitvā ‘‘satthā vīsatiyā bhikkhusahassehi saddhiṃ isipatane vasatī’’ti ca sutvā nimantetvā dānaṃ adāsi.

    ราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา อาคโตฯ อถ นํ ปฐมตรเมว พฺราหฺมณา อาคนฺตฺวา ธีตุ อวณฺณํ วตฺวา ปริภินฺทิํสุฯ ราชา ปน ธีตุ ชาตกาเลเยว วรํ อทาสิฯ ตสฺสา ‘‘สตฺต ทิวสานิ รชฺชํ ทาตพฺพ’’นฺติ วรํ คณฺหิํสุฯ อถสฺสา ราชา สตฺต ทิวสานิ รชฺชํ นิยฺยาเตสิฯ สา สตฺถารํ โภชยมานา ราชานํ ปโกฺกสาเปตฺวา พหิสาณิยํ นิสีทาเปสิฯ ราชา สตฺถุ อนุโมทนํ สุตฺวาว โสตาปโนฺน ชาโตฯ โสตาปนฺนสฺส จ นาม ตถาคตํ อารพฺภ อาฆาโต นตฺถิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘น ตถาคตํ อารพฺภา’’ติฯ

    Rājā paccantaṃ vūpasametvā āgato. Atha naṃ paṭhamatarameva brāhmaṇā āgantvā dhītu avaṇṇaṃ vatvā paribhindiṃsu. Rājā pana dhītu jātakāleyeva varaṃ adāsi. Tassā ‘‘satta divasāni rajjaṃ dātabba’’nti varaṃ gaṇhiṃsu. Athassā rājā satta divasāni rajjaṃ niyyātesi. Sā satthāraṃ bhojayamānā rājānaṃ pakkosāpetvā bahisāṇiyaṃ nisīdāpesi. Rājā satthu anumodanaṃ sutvāva sotāpanno jāto. Sotāpannassa ca nāma tathāgataṃ ārabbha āghāto natthi. Tena vuttaṃ – ‘‘na tathāgataṃ ārabbhā’’ti.

    ยํ อิจฺฉติ ตํ หรตูติ โส กิร ภาชนานิ ปจิตฺวา กยวิกฺกยํ น กโรติ, เอวํ ปน วตฺวา ทารุตฺถาย วา มตฺติกตฺถาย วา ปลาลตฺถาย วา อรญฺญํ คจฺฉติฯ มหาชนา ‘‘ฆฎิกาเรน ภาชนานิ ปกฺกานี’’ติ สุตฺวา ปริสุทฺธตณฺฑุลโลณทธิเตลผาณิตาทีนิ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺติฯ สเจ ภาชนํ มหคฺฆํ โหติ, มูลํ อปฺปํ, ยํ วา ตํ วา ทตฺวา คณฺหามาติ ตํ น คณฺหนฺติฯ ธมฺมิโก วาณิโช มาตาปิตโร ปฎิชคฺคติ, สมฺมาสมฺพุทฺธํ อุปฎฺฐหติ, พหุ โน อกุสลํ ภวิสฺสตีติ ปุน คนฺตฺวา มูลํ อาหรนฺติฯ สเจ ปน ภาชนํ อปฺปคฺฆํ โหติ, อาภตํ มูลํ พหุ, ธมฺมิโก วาณิโช, อมฺหากํ ปุญฺญํ ภวิสฺสตีติ ยถาภตํ ฆรสามิกา วิย สาธุกํ ปฎิสาเมตฺวา คจฺฉนฺติฯ เอวํคุโณ ปน กสฺมา น ปพฺพชตีติฯ รโญฺญ วจนปถํ ปจฺฉินฺทโนฺต อเนฺธ ชิเณฺณ มาตาปิตโร โปเสตีติ อาหฯ

    Yaṃ icchati taṃ haratūti so kira bhājanāni pacitvā kayavikkayaṃ na karoti, evaṃ pana vatvā dārutthāya vā mattikatthāya vā palālatthāya vā araññaṃ gacchati. Mahājanā ‘‘ghaṭikārena bhājanāni pakkānī’’ti sutvā parisuddhataṇḍulaloṇadadhitelaphāṇitādīni gahetvā āgacchanti. Sace bhājanaṃ mahagghaṃ hoti, mūlaṃ appaṃ, yaṃ vā taṃ vā datvā gaṇhāmāti taṃ na gaṇhanti. Dhammiko vāṇijo mātāpitaro paṭijaggati, sammāsambuddhaṃ upaṭṭhahati, bahu no akusalaṃ bhavissatīti puna gantvā mūlaṃ āharanti. Sace pana bhājanaṃ appagghaṃ hoti, ābhataṃ mūlaṃ bahu, dhammiko vāṇijo, amhākaṃ puññaṃ bhavissatīti yathābhataṃ gharasāmikā viya sādhukaṃ paṭisāmetvā gacchanti. Evaṃguṇo pana kasmā na pabbajatīti. Rañño vacanapathaṃ pacchindanto andhe jiṇṇe mātāpitaro posetīti āha.

    ๒๘๙. โก นุ โขติ กุหิํ นุ โขฯ กุมฺภิยาติ อุกฺขลิโตฯ ปริโยคาติ สูปภาชนโตฯ ปริภุญฺชาติ ภุญฺชฯ กสฺมา ปเนเต เอวํ วทนฺติ? ฆฎิกาโร กิร ภตฺตํ ปจิตฺวา สูปํ สมฺปาเทตฺวา มาตาปิตโร โภเชตฺวา สยมฺปิ ภุญฺชิตฺวา ภควโต วฑฺฒมานกํ ภตฺตสูปํ ปฎฺฐเปตฺวา อาสนํ ปญฺญเปตฺวา อาธารกํ อุปฎฺฐเปตฺวา อุทกํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา มาตาปิตูนํ สญฺญํ ทตฺวา อรญฺญํ คจฺฉติฯ ตสฺมา เอวํ วทนฺติฯ อภิวิสฺสโตฺถติ อติวิสฺสโตฺถฯ ปีติสุขํ น วิชหตีติ น นิรนฺตรํ วิชหติ, อถ โข รตฺติภาเค วา ทิวสภาเค วา คาเม วา อรเญฺญ วา ยสฺมิํ ยสฺมิํ ขเณ – ‘‘สเทวเก นาม โลเก อคฺคปุคฺคโล มยฺหํ เคหํ ปวิสิตฺวา สหเตฺถน อามิสํ คเหตฺวา ปริภุญฺชติ, ลาภา วต เม’’ติ อนุสฺสรติ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ ขเณ ปญฺจวณฺณา ปีติ อุปฺปชฺชติฯ ตํ สนฺธาย เอวํ วุตฺตํฯ

    289.Ko nu khoti kuhiṃ nu kho. Kumbhiyāti ukkhalito. Pariyogāti sūpabhājanato. Paribhuñjāti bhuñja. Kasmā panete evaṃ vadanti? Ghaṭikāro kira bhattaṃ pacitvā sūpaṃ sampādetvā mātāpitaro bhojetvā sayampi bhuñjitvā bhagavato vaḍḍhamānakaṃ bhattasūpaṃ paṭṭhapetvā āsanaṃ paññapetvā ādhārakaṃ upaṭṭhapetvā udakaṃ paccupaṭṭhapetvā mātāpitūnaṃ saññaṃ datvā araññaṃ gacchati. Tasmā evaṃ vadanti. Abhivissatthoti ativissattho. Pītisukhaṃna vijahatīti na nirantaraṃ vijahati, atha kho rattibhāge vā divasabhāge vā gāme vā araññe vā yasmiṃ yasmiṃ khaṇe – ‘‘sadevake nāma loke aggapuggalo mayhaṃ gehaṃ pavisitvā sahatthena āmisaṃ gahetvā paribhuñjati, lābhā vata me’’ti anussarati, tasmiṃ tasmiṃ khaṇe pañcavaṇṇā pīti uppajjati. Taṃ sandhāya evaṃ vuttaṃ.

    ๒๙๐. กโฬปิยาติ ปจฺฉิโตฯ กิํ ปน ภควา เอวมกาสีติฯ ปจฺจโย ธมฺมิโก, ภิกฺขูนํ ปเตฺต ภตฺตสทิโส, ตสฺมา เอวมกาสิฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติปิ จ สาวกานํเยว โหติ, พุทฺธานํ สิกฺขาปทเวลา นาม นตฺถิฯ ยถา หิ รโญฺญ อุยฺยาเน ปุปฺผผลานิ โหนฺติ, อเญฺญสํ ตานิ คณฺหนฺตานํ นิคฺคหํ กโรนฺติ, ราชา ยถารุจิยา ปริภุญฺชติ, เอวํสมฺปทเมตํฯ ปรสมุทฺทวาสีเถรา ปน ‘‘เทวตา กิร ปฎิคฺคเหตฺวา อทํสู’’ติ วทนฺติฯ

    290.Kaḷopiyāti pacchito. Kiṃ pana bhagavā evamakāsīti. Paccayo dhammiko, bhikkhūnaṃ patte bhattasadiso, tasmā evamakāsi. Sikkhāpadapaññattipi ca sāvakānaṃyeva hoti, buddhānaṃ sikkhāpadavelā nāma natthi. Yathā hi rañño uyyāne pupphaphalāni honti, aññesaṃ tāni gaṇhantānaṃ niggahaṃ karonti, rājā yathāruciyā paribhuñjati, evaṃsampadametaṃ. Parasamuddavāsītherā pana ‘‘devatā kira paṭiggahetvā adaṃsū’’ti vadanti.

    ๒๙๑. หรถ, ภเนฺต, หรถ ภทฺรมุขาติ อมฺหากํ ปุโตฺต ‘‘กุหิํ คโตสี’’ติ วุเตฺต – ‘‘ทสพลสฺส สนฺติก’’นฺติ วทติ, กุหิํ นุ โข คจฺฉติ, สตฺถุ วสนฎฺฐานสฺส โอวสฺสกภาวมฺปิ น ชานาตีติ ปุเตฺต อปราธสญฺญิโน คหเณ ตุฎฺฐจิตฺตา เอวมาหํสุฯ

    291.Haratha, bhante, haratha bhadramukhāti amhākaṃ putto ‘‘kuhiṃ gatosī’’ti vutte – ‘‘dasabalassa santika’’nti vadati, kuhiṃ nu kho gacchati, satthu vasanaṭṭhānassa ovassakabhāvampi na jānātīti putte aparādhasaññino gahaṇe tuṭṭhacittā evamāhaṃsu.

    เตมาสํ อากาสจฺฉทนํ อฎฺฐาสีติ ภควา กิร จตุนฺนํ วสฺสิกานํ มาสานํ เอกํ มาสํ อติกฺกมิตฺวา ติณํ อาหราเปสิ, ตสฺมา เอวมาหฯ อยํ ปเนตฺถ ปทโตฺถ – อากาสํ ฉทนมสฺสาติ อากาสจฺฉทนํฯ น เทโวติวสฺสีติ เกวลํ นาติวสฺสิ, ยถา ปเนตฺถ ปกติยา จ นิพฺพโกสสฺส อุทกปาตฎฺฐานพฺภนฺตเร เอกมฺปิ อุทกพินฺทุ นาติวสฺสิ, เอวํ ฆนฉทนเคหพฺภนฺตเร วิย น วาตาตปาปิ อาพาธํ อกํสุ, ปกติยา อุตุผรณเมว อโหสิฯ อปรภาเค ตสฺมิํ นิคเม ฉฑฺฑิเตปิ ตํ ฐานํ อโนวสฺสกเมว อโหสิฯ มนุสฺสา กมฺมํ กโรนฺตา เทเว วสฺสเนฺต ตตฺถ สาฎเก ฐเปตฺวา กมฺมํ กโรนฺติฯ ยาว กปฺปุฎฺฐานา ตํ ฐานํ ตาทิสเมว ภวิสฺสติฯ ตญฺจ โข ปน น ตถาคตสฺส อิทฺธานุภาเวน, เตสํเยว ปน คุณสมฺปตฺติยาฯ เตสญฺหิ – ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ กตฺถ น ลเภยฺย, อมฺหากํ นาม ทฺวินฺนํ อนฺธกานํ นิเวสนํ อุตฺติณํ กาเรสี’’ติ น ตปฺปจฺจยา โทมนสฺสํ อุทปาทิ – ‘‘สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคโล อมฺหากํ นิเวสนา ติณํ อาหราเปตฺวา คนฺธกุฎิํ ฉาทาเปสี’’ติ ปน เตสํ อนปฺปกํ พลวโสมนสฺสํ อุทปาทิฯ อิติ เตสํเยว คุณสมฺปตฺติยา อิทํ ปาฎิหาริยํ ชาตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Temāsaṃ ākāsacchadanaṃ aṭṭhāsīti bhagavā kira catunnaṃ vassikānaṃ māsānaṃ ekaṃ māsaṃ atikkamitvā tiṇaṃ āharāpesi, tasmā evamāha. Ayaṃ panettha padattho – ākāsaṃ chadanamassāti ākāsacchadanaṃ. Na devotivassīti kevalaṃ nātivassi, yathā panettha pakatiyā ca nibbakosassa udakapātaṭṭhānabbhantare ekampi udakabindu nātivassi, evaṃ ghanachadanagehabbhantare viya na vātātapāpi ābādhaṃ akaṃsu, pakatiyā utupharaṇameva ahosi. Aparabhāge tasmiṃ nigame chaḍḍitepi taṃ ṭhānaṃ anovassakameva ahosi. Manussā kammaṃ karontā deve vassante tattha sāṭake ṭhapetvā kammaṃ karonti. Yāva kappuṭṭhānā taṃ ṭhānaṃ tādisameva bhavissati. Tañca kho pana na tathāgatassa iddhānubhāvena, tesaṃyeva pana guṇasampattiyā. Tesañhi – ‘‘sammāsambuddho kattha na labheyya, amhākaṃ nāma dvinnaṃ andhakānaṃ nivesanaṃ uttiṇaṃ kāresī’’ti na tappaccayā domanassaṃ udapādi – ‘‘sadevake loke aggapuggalo amhākaṃ nivesanā tiṇaṃ āharāpetvā gandhakuṭiṃ chādāpesī’’ti pana tesaṃ anappakaṃ balavasomanassaṃ udapādi. Iti tesaṃyeva guṇasampattiyā idaṃ pāṭihāriyaṃ jātanti veditabbaṃ.

    ๒๙๒. ตณฺฑุลวาหสตานีติ เอตฺถ เทฺว สกฎานิ เอโก วาโหติ เวทิตโพฺพฯ ตทุปิยญฺจ สูเปยฺยนฺติ สูปตฺถาย ตทนุรูปํ เตลผาณิตาทิํฯ วีสติภิกฺขุสหสฺสสฺส เตมาสตฺถาย ภตฺตํ ภวิสฺสตีติ กิร สญฺญาย ราชา เอตฺตกํ เปเสสิฯ อลํ เม รโญฺญว โหตูติ กสฺมา ปฎิกฺขิปิ? อธิคตอปฺปิจฺฉตายฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘นาหํ รญฺญา ทิฎฺฐปุโพฺพ, กถํ นุ โข เปเสสี’’ติฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘สตฺถา พาราณสิํ คโต, อทฺธา โส รโญฺญ วสฺสาวาสํ ยาจิยมาโน มยฺหํ ปฎิญฺญาตภาวํ อาโรเจตฺวา มม คุณกถํ กเถสิ, คุณกถาย ลทฺธลาโภ ปน นเฎน นจฺจิตฺวา ลทฺธํ วิย คายเกน คายิตฺวา ลทฺธํ วิย จ โหติฯ กิํ มยฺหํ อิมินา, กมฺมํ กตฺวา อุปฺปเนฺนน มาตาปิตูนมฺปิ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสปิ อุปฎฺฐานํ สกฺกา กาตุ’’นฺติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    292.Taṇḍulavāhasatānīti ettha dve sakaṭāni eko vāhoti veditabbo. Tadupiyañca sūpeyyanti sūpatthāya tadanurūpaṃ telaphāṇitādiṃ. Vīsatibhikkhusahassassa temāsatthāya bhattaṃ bhavissatīti kira saññāya rājā ettakaṃ pesesi. Alaṃ me raññova hotūti kasmā paṭikkhipi? Adhigataappicchatāya. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘nāhaṃ raññā diṭṭhapubbo, kathaṃ nu kho pesesī’’ti. Tato cintesi – ‘‘satthā bārāṇasiṃ gato, addhā so rañño vassāvāsaṃ yāciyamāno mayhaṃ paṭiññātabhāvaṃ ārocetvā mama guṇakathaṃ kathesi, guṇakathāya laddhalābho pana naṭena naccitvā laddhaṃ viya gāyakena gāyitvā laddhaṃ viya ca hoti. Kiṃ mayhaṃ iminā, kammaṃ katvā uppannena mātāpitūnampi sammāsambuddhassapi upaṭṭhānaṃ sakkā kātu’’nti. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    ฆฎิการสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ghaṭikārasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. ฆฎิการสุตฺตํ • 1. Ghaṭikārasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. ฆฎิการสุตฺตวณฺณนา • 1. Ghaṭikārasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact