Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๔. ราชวโคฺค
4. Rājavaggo
๑. ฆฎิการสุตฺตวณฺณนา
1. Ghaṭikārasuttavaṇṇanā
๒๘๒. จริยนฺติ โพธิจริยํ, โพธิสมฺภารสมฺภรณวเสน ปวตฺติตํ โพธิสตฺตปฎิปตฺตินฺติ อโตฺถฯ สุการณนฺติ โพธิปริปาจนสฺส เอกนฺติกํ สุนฺทรํ การณํ, กสฺสปสฺส ภควโต ปยิรุปาสนาทิํ สนฺธาย วทติฯ ตญฺหิ เตน สทฺธิํ มยา อิธ กตนฺติ วตฺตพฺพตํ ลภติฯ มนฺทหสิตนฺติ อีสกํ หสิตํฯ กุหํ กุหนฺติ หาส-สทฺทสฺส อนุกรณเมตํฯ หฎฺฐปหฎฺฐาการมตฺตนฺติ หฎฺฐปหฎฺฐมตฺตํฯ ยถา คหิตสเงฺกตา ‘‘ปหโฎฺฐ ภควา’’ติ สญฺชานนฺติ, เอวํ อาการทสฺสนมตฺตํฯ
282.Cariyanti bodhicariyaṃ, bodhisambhārasambharaṇavasena pavattitaṃ bodhisattapaṭipattinti attho. Sukāraṇanti bodhiparipācanassa ekantikaṃ sundaraṃ kāraṇaṃ, kassapassa bhagavato payirupāsanādiṃ sandhāya vadati. Tañhi tena saddhiṃ mayā idha katanti vattabbataṃ labhati. Mandahasitanti īsakaṃ hasitaṃ. Kuhaṃ kuhanti hāsa-saddassa anukaraṇametaṃ. Haṭṭhapahaṭṭhākāramattanti haṭṭhapahaṭṭhamattaṃ. Yathā gahitasaṅketā ‘‘pahaṭṭho bhagavā’’ti sañjānanti, evaṃ ākāradassanamattaṃ.
อิทานิ อิมินา ปสเงฺคน ตาสํ สมุฎฺฐานํ วิภาคโต ทเสฺสตุํ ‘‘หสิตญฺจ นาเมต’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ อชฺฌุเปกฺขนวเสนปิ หาโส น สมฺภวติ, ปเคว โทมนสฺสวเสนาติ อาห ‘‘เตรสหิ โสมนสฺสสหคตจิเตฺตหี’’ติฯ นนุ จ เกจิ โกธวเสนปิ หสนฺตีติ? น, เตสมฺปิ ยํ ตํ โกธวตฺถุ, ตสฺส มยํ ทานิ ยถากามการิตํ อาปชฺชิสฺสามาติ ทุวิเญฺญยฺยนฺตเรน โสมนสฺสจิเตฺตเนว หาสสฺส อุปฺปชฺชนโตฯ เตสูติ ปญฺจสุ โสมนสฺสสหคตจิเตฺตสุฯ พลวารมฺมเณติ อุฬารอารมฺมเณ ยมกมหาปาฎิหาริยสทิเสฯ ทุพฺพลารมฺมเณติ อนุฬาเร อารมฺมเณฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน…เป.… อุปฺปาเทสีติ อิทํ โปราณฎฺฐกถายํ ตถา อาคตตฺตา วุตฺตํฯ น อเหตุกโสมนสฺสสหคตจิเตฺตน ภควโต สิตํ โหตีติ ทสฺสนตฺถํฯ
Idāni iminā pasaṅgena tāsaṃ samuṭṭhānaṃ vibhāgato dassetuṃ ‘‘hasitañca nāmeta’’ntiādi āraddhaṃ. Tattha ajjhupekkhanavasenapi hāso na sambhavati, pageva domanassavasenāti āha ‘‘terasahi somanassasahagatacittehī’’ti. Nanu ca keci kodhavasenapi hasantīti? Na, tesampi yaṃ taṃ kodhavatthu, tassa mayaṃ dāni yathākāmakāritaṃ āpajjissāmāti duviññeyyantarena somanassacitteneva hāsassa uppajjanato. Tesūti pañcasu somanassasahagatacittesu. Balavārammaṇeti uḷāraārammaṇe yamakamahāpāṭihāriyasadise. Dubbalārammaṇeti anuḷāre ārammaṇe. Imasmiṃ pana ṭhāne…pe… uppādesīti idaṃ porāṇaṭṭhakathāyaṃ tathā āgatattā vuttaṃ. Na ahetukasomanassasahagatacittena bhagavato sitaṃ hotīti dassanatthaṃ.
อภิธมฺมฎีกายํ (ธ. ส. มูลฎี. ๕๖๘) ปน ‘‘อตีตํสาทีสุ อปฺปฎิหตํ ญาณํ วตฺวา ‘อิเมหิ ตีหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตสฺส พุทฺธสฺส ภควโต สพฺพํ กายกมฺมํ ญาณปุพฺพงฺคมํ ญาณานุปริวตฺต’นฺติอาทิวจนโต (มหานิ. ๖๙, ๑๕๖; จูฬนิ. มาฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕; เนตฺติ. ๑๕; ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๓๐๕; วิภ. มูลฎี. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา; ที. นิ. ฎี. ๓.๑๔๑, ๓๐๕) ‘ภควโต อิทํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชตี’ติ วุตฺตวจนํ วิจาเรตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อิมินา หสิตุปฺปาทจิเตฺตน ปวตฺติยมานมฺปิ ภควโต สิตกรณํ ปุเพฺพนิวาส-อนาคตํส-สพฺพญฺญุตญฺญาณานํ อนุวตฺตกตฺตา ญาณานุปริวตฺติเยวาติ, เอวํ ปน ญาณานุปริวตฺติภาเว สติ น โกจิ ปาฬิอฎฺฐกถานํ วิโรโธฯ ตถา หิ อภิธมฺมฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๕๖๘) ‘‘เตสํ ญาณานํ จิณฺณปริยเนฺต อิทํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชตี’’ติ วุตฺตํฯ อวสฺสญฺจ เอตํ เอวํ อิจฺฉิตพฺพํ, อญฺญถา อาวชฺชนสฺสปิ ภควโต ปวตฺติ ตถารูเป กาเล น สํยุเชฺชยฺย, ตสฺสปิ หิ วิญฺญตฺติสมุฎฺฐาปกภาวสฺส อิจฺฉิตตฺตา, ตถา หิ วุตฺตํ – ‘‘เอวญฺจ กตฺวา มโนทฺวาราวชฺชนสฺสปิ วิญฺญตฺติสมุฎฺฐาปกตฺตํ อุปปนฺนํ โหตี’’ติ, น จ วิญฺญตฺติสมุฎฺฐาปกเตฺต ตํสมุฎฺฐิตาย วิญฺญตฺติยา กายกมฺมาทิภาวํ อาปชฺชนภาโว วิพนฺธตีติ ตเมว สนฺธาย วทติฯ เตนาห ‘‘เอวํ อปฺปมตฺตกมฺปี’’ติฯ สเตริตา วิชฺชุลตา นาม สเตรตาวิชฺชุลตาฯ สา หิ อิตรวิชฺชุลตา วิย ขณฎฺฐิติกา สีฆนิโรธา จ น โหติ, อปิจ โข ทนฺธนิโรธา, ตญฺจ สพฺพกาลํ จตุทีปิกมหาเมฆโตว นิจฺฉรติ เตนาห ‘‘จาตุทฺทีปิกมหาเมฆมุขโต’’ติฯ อยํ กิร ตาสํ รสฺมิวฎฺฎีนํ ธมฺมตา, ยทิทํ ติกฺขตฺตุํ สิรวรํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ทาฐเคฺคสุเยว อนฺตรธานํฯ
Abhidhammaṭīkāyaṃ (dha. sa. mūlaṭī. 568) pana ‘‘atītaṃsādīsu appaṭihataṃ ñāṇaṃ vatvā ‘imehi tīhi dhammehi samannāgatassa buddhassa bhagavato sabbaṃ kāyakammaṃ ñāṇapubbaṅgamaṃ ñāṇānuparivatta’ntiādivacanato (mahāni. 69, 156; cūḷani. māgharājamāṇavapucchāniddesa 85; paṭi. ma. 3.5; netti. 15; dī. ni. aṭṭha. 3.305; vibha. mūlaṭī. suttantabhājanīyavaṇṇanā; dī. ni. ṭī. 3.141, 305) ‘bhagavato idaṃ cittaṃ uppajjatī’ti vuttavacanaṃ vicāretabba’’nti vuttaṃ. Tattha iminā hasituppādacittena pavattiyamānampi bhagavato sitakaraṇaṃ pubbenivāsa-anāgataṃsa-sabbaññutaññāṇānaṃ anuvattakattā ñāṇānuparivattiyevāti, evaṃ pana ñāṇānuparivattibhāve sati na koci pāḷiaṭṭhakathānaṃ virodho. Tathā hi abhidhammaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 568) ‘‘tesaṃ ñāṇānaṃ ciṇṇapariyante idaṃ cittaṃ uppajjatī’’ti vuttaṃ. Avassañca etaṃ evaṃ icchitabbaṃ, aññathā āvajjanassapi bhagavato pavatti tathārūpe kāle na saṃyujjeyya, tassapi hi viññattisamuṭṭhāpakabhāvassa icchitattā, tathā hi vuttaṃ – ‘‘evañca katvā manodvārāvajjanassapi viññattisamuṭṭhāpakattaṃ upapannaṃ hotī’’ti, na ca viññattisamuṭṭhāpakatte taṃsamuṭṭhitāya viññattiyā kāyakammādibhāvaṃ āpajjanabhāvo vibandhatīti tameva sandhāya vadati. Tenāha ‘‘evaṃ appamattakampī’’ti. Sateritā vijjulatā nāma sateratāvijjulatā. Sā hi itaravijjulatā viya khaṇaṭṭhitikā sīghanirodhā ca na hoti, apica kho dandhanirodhā, tañca sabbakālaṃ catudīpikamahāmeghatova niccharati tenāha ‘‘cātuddīpikamahāmeghamukhato’’ti. Ayaṃ kira tāsaṃ rasmivaṭṭīnaṃ dhammatā, yadidaṃ tikkhattuṃ siravaraṃ padakkhiṇaṃ katvā dāṭhaggesuyeva antaradhānaṃ.
๒๘๓. ยทิปิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปานํ สตสหสฺสญฺจ ปญฺญาปารมิตา ปริภาวิตา, ตถาปิ อิทานิ ตํ พุทฺธนฺตรํ ตสฺสา ปฎิปาเทตพฺพตฺตา วุตฺตํ ‘‘อปริปกฺกญาณตฺตา’’ติฯ กามญฺจสฺส ญาณาย อิทานิปิ ปฎิปาเทตพฺพตา อตฺถิ, เอวํ สเนฺตปิ นนุ สมฺมาสมฺพุเทฺธสุ ปสาเทน สมฺภาวนาย ภวิตพฺพํ ตถา จิรกาลํ ปริภาวิตตฺตา, กถํ ตตฺถ หีฬนาติ อาห ‘‘พฺราหฺมณกุเล’’ติอาทิฯ จิรกาลปริจิตาปิ หิ คุณภาวนา อปฺปเกนปิ อกลฺยาณมิตฺตสํสเคฺคน วิปริวตฺตติ อญฺญถตฺตํ คจฺฉติฯ เตน มหาสโตฺตปิ ชาติสิทฺธายํ ลทฺธิยํ ฐตฺวา ชาติสิเทฺธน มาเนน เอวมาห – ‘‘กิํ ปน เตน มุณฺฑเกน สมณเกน ทิเฎฺฐนา’’ติฯ ตถา หิ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ –
283. Yadipi cattāri asaṅkhyeyyāni kappānaṃ satasahassañca paññāpāramitā paribhāvitā, tathāpi idāni taṃ buddhantaraṃ tassā paṭipādetabbattā vuttaṃ ‘‘aparipakkañāṇattā’’ti. Kāmañcassa ñāṇāya idānipi paṭipādetabbatā atthi, evaṃ santepi nanu sammāsambuddhesu pasādena sambhāvanāya bhavitabbaṃ tathā cirakālaṃ paribhāvitattā, kathaṃ tattha hīḷanāti āha ‘‘brāhmaṇakule’’tiādi. Cirakālaparicitāpi hi guṇabhāvanā appakenapi akalyāṇamittasaṃsaggena viparivattati aññathattaṃ gacchati. Tena mahāsattopi jātisiddhāyaṃ laddhiyaṃ ṭhatvā jātisiddhena mānena evamāha – ‘‘kiṃ pana tena muṇḍakena samaṇakena diṭṭhenā’’ti. Tathā hi vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ –
‘‘ตสฺมา อกลฺยาณชนํ, อาสีวิสมิโวรคํ,
‘‘Tasmā akalyāṇajanaṃ, āsīvisamivoragaṃ,
อารกา ปริวเชฺชยฺย, ภูติกาโม วิจกฺขโณ’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๗๐-๑๗๒);
Ārakā parivajjeyya, bhūtikāmo vicakkhaṇo’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.170-172);
นฺหานจุเณฺณน สุเตฺตน กตา โสตฺติ, กุรุวินฺทคุฬิกา, สา เอว สินายนฺติ กายํ วิโสเธนฺติ เอตายาติ สินานํฯ เตนาห – ‘‘โสตฺติ สินานนฺติ สินานตฺถาย กตโสตฺติ’’นฺติฯ
Nhānacuṇṇena suttena katā sotti, kuruvindaguḷikā, sā eva sināyanti kāyaṃ visodhenti etāyāti sinānaṃ. Tenāha – ‘‘sotti sinānanti sinānatthāya katasotti’’nti.
๒๘๔. อริยปริหาเรนาติ อริยานํ ปริหาเรน, อนาคามีนํ นฺหานกาเล อตฺตโน กายสฺส ปริหารนิยาเมนาติ อโตฺถฯ อตฺตโน ญาณสมฺปตฺติยา วิภวสมฺปตฺติยา ปสนฺนการํ กาตุํ สกฺขิสฺสติฯ เอตทตฺถนฺติ ‘‘อหิตนิวารณํ, หิเต นิโยชนํ พฺยสเน ปริวชฺชน’’นฺติ ยทิทํ, เอตทตฺถํ มิตฺตา นาม โหนฺติฯ เกจิ ‘‘ยาเวตฺถ อหุปี’’ติ ปฐนฺติ, เตสํ ยาว เอตฺถ เกสคฺคคหณํ ตาว อยํ นิพโนฺธ อหุปีติ อโตฺถฯ
284.Ariyaparihārenāti ariyānaṃ parihārena, anāgāmīnaṃ nhānakāle attano kāyassa parihāraniyāmenāti attho. Attano ñāṇasampattiyā vibhavasampattiyā pasannakāraṃ kātuṃ sakkhissati. Etadatthanti ‘‘ahitanivāraṇaṃ, hite niyojanaṃ byasane parivajjana’’nti yadidaṃ, etadatthaṃ mittā nāma honti. Keci ‘‘yāvettha ahupī’’ti paṭhanti, tesaṃ yāva ettha kesaggagahaṇaṃ tāva ayaṃ nibandho ahupīti attho.
๒๘๕. สติปฎิลาภตฺถายาติ โพธิยา มหาภินีหารํ กตฺวา โพธิสมฺภารปฎิปทาย ปูรณภาเว สติยา ปฎิลาภตฺถายฯ อิทานิ ตสฺส สตุปฺปาทนียกถาย ปวตฺติตาการํ สเงฺขเปเนว ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺส หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ น ลามกฎฺฐานํ โอติณฺณสโตฺตติ อิมินา มหาสตฺตสฺส ปณีตาธิมุตฺตตํ ทเสฺสตฺวา เอวํ ปณีตาธิมุตฺติกสฺส ปมาทกิริยา น ยุตฺตาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตาทิสสฺส นาม ปมาทวิหาโร น ยุโตฺต’’ติ อาหฯ ตทา โพธิสตฺตสฺส เนกฺขมฺมชฺฌาสโย เตลปฺปทีโป วิย วิเสสโต นิพฺพตฺติ, ตํ ทิสฺวา ภควา ตทนุรูปํ ธมฺมกถํ กโรโนฺต ‘‘ตาทิสสฺส…เป.… กเถสี’’ติฯ ปรสมุทฺทวาสี เถรา อญฺญถา วทนฺติฯ อฎฺฐกถายํ ปน นายํ พุทฺธานํ ภาโร, ยทิทํ ปูริตปารมีนํ โพธิสตฺตานํ ตถา ธมฺมเทสนา เตสํ มหาภินีหารสมนนฺตรมฺปิ โพธิสมฺภารสฺส สยมฺภุญาเณเนว ปฎิวิทิตตฺตาฯ ตสฺมา โพธิสตฺตภาวปเวทนเมว ตสฺส ภควา อกาสีติ ทเสฺสตุํ ‘‘สติปฎิลาภตฺถายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สติปฎิลาภตฺถายาติ สมฺมาปฎิปตฺติยา อุชฺชลเน ปากฎกรสติปฎิลาภายฯ
285.Satipaṭilābhatthāyāti bodhiyā mahābhinīhāraṃ katvā bodhisambhārapaṭipadāya pūraṇabhāve satiyā paṭilābhatthāya. Idāni tassa satuppādanīyakathāya pavattitākāraṃ saṅkhepeneva dassetuṃ ‘‘tassa hī’’tiādi vuttaṃ. Tattha na lāmakaṭṭhānaṃ otiṇṇasattoti iminā mahāsattassa paṇītādhimuttataṃ dassetvā evaṃ paṇītādhimuttikassa pamādakiriyā na yuttāti dassento ‘‘tādisassa nāma pamādavihāro na yutto’’ti āha. Tadā bodhisattassa nekkhammajjhāsayo telappadīpo viya visesato nibbatti, taṃ disvā bhagavā tadanurūpaṃ dhammakathaṃ karonto ‘‘tādisassa…pe… kathesī’’ti. Parasamuddavāsī therā aññathā vadanti. Aṭṭhakathāyaṃ pana nāyaṃ buddhānaṃ bhāro, yadidaṃ pūritapāramīnaṃ bodhisattānaṃ tathā dhammadesanā tesaṃ mahābhinīhārasamanantarampi bodhisambhārassa sayambhuñāṇeneva paṭividitattā. Tasmā bodhisattabhāvapavedanameva tassa bhagavā akāsīti dassetuṃ ‘‘satipaṭilābhatthāyā’’tiādi vuttaṃ. Satipaṭilābhatthāyāti sammāpaṭipattiyā ujjalane pākaṭakarasatipaṭilābhāya.
๒๘๖. ญาณญฺหิ กิเลสธมฺมวิทาลนปทาลเนหิ สิงฺคํ วิยาติ สิงฺคํฯ ตญฺหิ ปฎิปตฺติยา อุปตฺถมฺภิตํ อุสฺสิตํ นาม โหติ, ตทภาเว ปติตํ นามฯ เกจิ ปน วีริยํ สิงฺคนฺติ วทนฺติฯ ตสฺมิํ สมฺมปฺปธานวเสน ปวเตฺต พาหิรปพฺพชฺชํ อุปคตาปิ มหาสตฺตา วิสุทฺธาสยา อปฺปิจฺฉตาทิคุณสมงฺคิโน ยถารหํ คนฺถธุรํ วาสธุรญฺจ ปริพฺรูหยนฺตา วิหรนฺติ, ปเคว พุทฺธสาสเน อปฺปิจฺฉตาทีหีติ อาห ‘‘จตุปาริสุทฺธิสีเล ปนา’’ติอาทิฯ วิปสฺสนํ พฺรูเหนฺตา สิขาปฺปตฺตวิปสฺสนา โหนฺตีติ วุตฺตํ – ‘‘ยาว อนุโลมญาณํ อาหจฺจ ติฎฺฐนฺตี’’ติ, อนุโลมญาณโต โอรเมว วิปสฺสนํ ฐเปนฺตีติ อโตฺถฯ มคฺคผลตฺถํ วายามํ น กโรนฺติ ปญฺญาปารมิตาย สพฺพญฺญุตญฺญาณคพฺภสฺส อปริปุณฺณตฺตา อปริปกฺกตฺตา จฯ
286. Ñāṇañhi kilesadhammavidālanapadālanehi siṅgaṃ viyāti siṅgaṃ. Tañhi paṭipattiyā upatthambhitaṃ ussitaṃ nāma hoti, tadabhāve patitaṃ nāma. Keci pana vīriyaṃ siṅganti vadanti. Tasmiṃ sammappadhānavasena pavatte bāhirapabbajjaṃ upagatāpi mahāsattā visuddhāsayā appicchatādiguṇasamaṅgino yathārahaṃ ganthadhuraṃ vāsadhurañca paribrūhayantā viharanti, pageva buddhasāsane appicchatādīhīti āha ‘‘catupārisuddhisīle panā’’tiādi. Vipassanaṃ brūhentā sikhāppattavipassanā hontīti vuttaṃ – ‘‘yāva anulomañāṇaṃ āhacca tiṭṭhantī’’ti, anulomañāṇato orameva vipassanaṃ ṭhapentīti attho. Maggaphalatthaṃ vāyāmaṃ na karonti paññāpāramitāya sabbaññutaññāṇagabbhassa aparipuṇṇattā aparipakkattā ca.
๒๘๗. เถเรหีติ วุทฺธตเรหิฯ นิวาเส สตีติ ยสฺมิํ ฐาเน ปพฺพชิโต, ตเตฺถว นิวาเสฯ วปฺปกาลโตติ สสฺสานํ วปฺปกาลโตฯ ปุเพฺพ วิย ตโต ปรํ ติขิเณน สูริยสนฺตาเปน ปโยชนํ นตฺถีติ วุตฺตํ – ‘‘วปฺปกาเล วิตานํ วิย อุปริ วตฺถกิลญฺชํ พนฺธิตฺวา’’ติฯ ปุฎเกติ กลาเปฯ
287.Therehīti vuddhatarehi. Nivāse satīti yasmiṃ ṭhāne pabbajito, tattheva nivāse. Vappakālatoti sassānaṃ vappakālato. Pubbe viya tato paraṃ tikhiṇena sūriyasantāpena payojanaṃ natthīti vuttaṃ – ‘‘vappakāle vitānaṃ viya upari vatthakilañjaṃ bandhitvā’’ti. Puṭaketi kalāpe.
๒๘๘. ปจฺจยสามคฺคิเหตุกตฺตา ธมฺมปฺปตฺติยา ปเทสโต ปริญฺญาวตฺถุกาปิ อริยา อุปฎฺฐิเต จิตฺตวิฆาตปจฺจเย ยเทตํ นาติสาวชฺชํ, ตเทวํ คณฺหนฺตีติ อยเมตฺถ ธมฺมตาติ อาห – ‘‘อลาภํ อารพฺภ จิตฺตญฺญถตฺต’’นฺติอาทิฯ โสติ กิกี กาสิราชาฯ พฺราหฺมณภโตฺตติ พฺราหฺมเณสุ ภโตฺตฯ เทเวติ พฺราหฺมเณ สนฺธายาหฯ ภูมิเทวาติ เตสํ สมญฺญา, ตทา พฺราหฺมณครุโก โลโกฯ ตทา หิ กสฺสโปปิ ภควา พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ธีตุ อวณฺณํ วตฺวาติ, ‘‘มหาราช, ตว ธีตา พฺราหฺมณสมยํ ปหาย มุณฺฑปาสณฺฑิกสมยํ คณฺหี’’ติอาทินา ราชปุตฺติยา อคุณํ วตฺวาฯ วรํ คณฺหิํสุ ญาตกาฯ รชฺชํ นิยฺยาเตสิ ‘‘มา เม วจนํ มุสา อโหสิ, อฎฺฐเม ทิวเส นิคฺคณฺหิสฺสามี’’ติฯ
288. Paccayasāmaggihetukattā dhammappattiyā padesato pariññāvatthukāpi ariyā upaṭṭhite cittavighātapaccaye yadetaṃ nātisāvajjaṃ, tadevaṃ gaṇhantīti ayamettha dhammatāti āha – ‘‘alābhaṃ ārabbha cittaññathatta’’ntiādi. Soti kikī kāsirājā. Brāhmaṇabhattoti brāhmaṇesu bhatto. Deveti brāhmaṇe sandhāyāha. Bhūmidevāti tesaṃ samaññā, tadā brāhmaṇagaruko loko. Tadā hi kassapopi bhagavā brāhmaṇakule nibbatti. Dhītu avaṇṇaṃ vatvāti, ‘‘mahārāja, tava dhītā brāhmaṇasamayaṃ pahāya muṇḍapāsaṇḍikasamayaṃ gaṇhī’’tiādinā rājaputtiyā aguṇaṃ vatvā. Varaṃ gaṇhiṃsu ñātakā. Rajjaṃ niyyātesi ‘‘mā me vacanaṃ musā ahosi, aṭṭhame divase niggaṇhissāmī’’ti.
ปาวนอสฺมนยนวเสน สมฺมา ปาวีกตตฺตา ปริสุทฺธตณฺฑุลานิฯ ปาฬิยํ ตณฺฑุลปฎิภสฺตานีติ ตณฺฑุลขณฺฑานิฯ มุคฺคปฎิภสฺตกฬายปฎิภเสฺตสุปิ เอเสว นโยฯ
Pāvanaasmanayanavasena sammā pāvīkatattā parisuddhataṇḍulāni. Pāḷiyaṃ taṇḍulapaṭibhastānīti taṇḍulakhaṇḍāni. Muggapaṭibhastakaḷāyapaṭibhastesupi eseva nayo.
๒๘๙. โก นุ โขติ ภุมฺมเตฺถ ปจฺจตฺตวจนนฺติ อาห – ‘‘กุหิํ นุ โข’’ติ ปาริปูริํ โยชียนฺติ พฺยญฺชนโภชนานิ เอตฺถาติ ปริโยโค, ตโต ปริโยคาฯ เตนาห ‘‘สูปภาชนโต’’ติฯ สญฺญํ ทตฺวาติ วุตฺตํ สพฺพํ อาจิกฺขิตฺวา ตุมฺหากํ อตฺถาย สมฺปาเทตฺวา นิกฺขิโตฺต อุปฎฺฐาโกติ ภควโต อาโรเจถาติ สญฺญํ ทตฺวาฯ อติวิสฺสโตฺถติ อติวิย วิสฺสโตฺถฯ ปญฺจวณฺณาติ ขุทฺทิกาทิวเสน ปญฺจปฺปการาฯ
289.Ko nu khoti bhummatthe paccattavacananti āha – ‘‘kuhiṃ nu kho’’ti pāripūriṃ yojīyanti byañjanabhojanāni etthāti pariyogo, tato pariyogā. Tenāha ‘‘sūpabhājanato’’ti. Saññaṃ datvāti vuttaṃ sabbaṃ ācikkhitvā tumhākaṃ atthāya sampādetvā nikkhitto upaṭṭhākoti bhagavato ārocethāti saññaṃ datvā. Ativissatthoti ativiya vissattho. Pañcavaṇṇāti khuddikādivasena pañcappakārā.
๒๙๐. กินฺติ นิสฺสเกฺก ปจฺจตฺตวจนํ, กสฺมาติ อโตฺถ? ธมฺมิโกติ อิมินา อาคมนสุทฺธิํ ทเสฺสติ ฯ ภิกฺขูนํ ปเตฺต ภตฺตสทิโสติ อิมินา อุปาสเกน สตฺถุ ปริจฺจตฺตภาวํ ตตฺถ สตฺถุโน จ อปริสงฺกตํ ทเสฺสติฯ สิกฺขาปทเวลา นาม นตฺถีติ ธมฺมสฺสามิภาวโต สิกฺขาปทมริยาทา นาม นตฺถิ ปณฺณตฺติวเชฺช, ปกติวเชฺช ปน เสตุฆาโต เอวฯ
290.Kinti nissakke paccattavacanaṃ, kasmāti attho? Dhammikoti iminā āgamanasuddhiṃ dasseti . Bhikkhūnaṃ patte bhattasadisoti iminā upāsakena satthu pariccattabhāvaṃ tattha satthuno ca aparisaṅkataṃ dasseti. Sikkhāpadavelā nāma natthīti dhammassāmibhāvato sikkhāpadamariyādā nāma natthi paṇṇattivajje, pakativajje pana setughāto eva.
๒๙๑. ฉทนฎฺฐาเน ยทากาสํ, ตเทว ตสฺส เคหสฺส ฉทนนฺติ อากาสจฺฉทนํฯ ปกติยา อุตุผรณเมวาติ ฉาทิเต ยาทิสํ อุตุ, ฉทเน อุตฺติณภาเวปิ ตมฺหิ เคเห ตาทิสเมว อุตุผรณํ อโหสิฯ เตสํเยวาติ เตสํ ฆฎิการสฺส มาตาปิตูนํ เอวฯ
291. Chadanaṭṭhāne yadākāsaṃ, tadeva tassa gehassa chadananti ākāsacchadanaṃ. Pakatiyā utupharaṇamevāti chādite yādisaṃ utu, chadane uttiṇabhāvepi tamhi gehe tādisameva utupharaṇaṃ ahosi. Tesaṃyevāti tesaṃ ghaṭikārassa mātāpitūnaṃ eva.
๒๙๒. ‘‘จตโสฺส มุฎฺฐิโย เอโก กุฑุโว, จตฺตาโร กุฑุวา เอโก ปโตฺถ, จตฺตาโร ปตฺถา เอโก อาฬฺหโก, จตฺตาโร อาฬฺหกา เอกํ โทณํ, จตฺตาริ โทณานิ เอกา มานิกา, จตโสฺส มานิกา เอกา ขารี, วีสติ ขาริกา เอโก วาโหติ ตเทว เอกสกฎ’’นฺติ สุตฺตนิปาตฎฺฐกถาทีสุ (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๖๖๒) วุตฺตํ, อิธ ปน ‘‘เทฺว สกฎานิ เอโก วาโห’’ติ วุตฺตํฯ เตลผาณิตาทินฺติ อาทิ-สเทฺทน สปฺปิอาทิํ มริจาทิกฎุกภณฺฑญฺจ สงฺคณฺหาติฯ นาหํ รญฺญา ทิฎฺฐปุโพฺพ, กุโต ปริปฺผโสฺสติ อธิปฺปาโยฯ นจฺจิตฺวาติ นจฺจํ ทตฺวาฯ
292. ‘‘Catasso muṭṭhiyo eko kuḍuvo, cattāro kuḍuvā eko pattho, cattāro patthā eko āḷhako, cattāro āḷhakā ekaṃ doṇaṃ, cattāri doṇāni ekā mānikā, catasso mānikā ekā khārī, vīsati khārikā eko vāhoti tadeva ekasakaṭa’’nti suttanipātaṭṭhakathādīsu (su. ni. aṭṭha. 2.662) vuttaṃ, idha pana ‘‘dve sakaṭāni eko vāho’’ti vuttaṃ. Telaphāṇitādinti ādi-saddena sappiādiṃ maricādikaṭukabhaṇḍañca saṅgaṇhāti. Nāhaṃ raññā diṭṭhapubbo, kuto paripphassoti adhippāyo. Naccitvāti naccaṃ datvā.
ฆฎิการสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Ghaṭikārasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. ฆฎิการสุตฺตํ • 1. Ghaṭikārasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. ฆฎิการสุตฺตวณฺณนา • 1. Ghaṭikārasuttavaṇṇanā