Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๔. คิลานสุตฺตํ
4. Gilānasuttaṃ
๑๐๕๐. เอกํ สมยํ ภควา สเกฺกสุ วิหรติ กปิลวตฺถุสฺมิํ นิโคฺรธาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา ภิกฺขู ภควโต จีวรกมฺมํ กโรนฺติ – ‘‘นิฎฺฐิตจีวโร ภควา เตมาสจฺจเยน จาริกํ ปกฺกมิสฺสตี’’ติฯ อโสฺสสิ โข มหานาโม สโกฺก – ‘‘สมฺพหุลา กิร ภิกฺขู ภควโต จีวรกมฺมํ กโรนฺติ – ‘นิฎฺฐิตจีวโร ภควา เตมาสจฺจเยน จาริกํ ปกฺกมิสฺสตี’’’ติ ฯ อถ โข มหานาโม สโกฺก เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข มหานาโม สโกฺก ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘สุตเมตํ, ภเนฺต – ‘สมฺพหุลา กิร ภิกฺขู ภควโต จีวรกมฺมํ กโรนฺติ – นิฎฺฐิตจีวโร ภควา เตมาสจฺจเยน จาริกํ ปกฺกมิสฺสตี’ติฯ น โข เนตํ 1, ภเนฺต, ภควโต สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตํ สปฺปเญฺญน อุปาสเกน สปฺปโญฺญ อุปาสโก อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน โอวทิตโพฺพ’’ติฯ
1050. Ekaṃ samayaṃ bhagavā sakkesu viharati kapilavatthusmiṃ nigrodhārāme. Tena kho pana samayena sambahulā bhikkhū bhagavato cīvarakammaṃ karonti – ‘‘niṭṭhitacīvaro bhagavā temāsaccayena cārikaṃ pakkamissatī’’ti. Assosi kho mahānāmo sakko – ‘‘sambahulā kira bhikkhū bhagavato cīvarakammaṃ karonti – ‘niṭṭhitacīvaro bhagavā temāsaccayena cārikaṃ pakkamissatī’’’ti . Atha kho mahānāmo sakko yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho mahānāmo sakko bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘sutametaṃ, bhante – ‘sambahulā kira bhikkhū bhagavato cīvarakammaṃ karonti – niṭṭhitacīvaro bhagavā temāsaccayena cārikaṃ pakkamissatī’ti. Na kho netaṃ 2, bhante, bhagavato sammukhā sutaṃ sammukhā paṭiggahitaṃ sappaññena upāsakena sappañño upāsako ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno ovaditabbo’’ti.
‘‘สปฺปเญฺญน มหานาม, อุปาสเกน สปฺปโญฺญ อุปาสโก อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน จตูหิ อสฺสาสนีเยหิ ธเมฺมหิ อสฺสาเสตโพฺพ – ‘อสฺสาสตายสฺมา – อตฺถายสฺมโต พุเทฺธ อเวจฺจปฺปสาโท อิติปิ โส ภควา…เป.… สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควาติ ฯ อสฺสาสตายสฺมา – อตฺถายสฺมโต ธเมฺม…เป.… สเงฺฆ…เป.… อริยกนฺตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ…เป.… สมาธิสํวตฺตนิกานี’’’ติฯ
‘‘Sappaññena mahānāma, upāsakena sappañño upāsako ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno catūhi assāsanīyehi dhammehi assāsetabbo – ‘assāsatāyasmā – atthāyasmato buddhe aveccappasādo itipi so bhagavā…pe… satthā devamanussānaṃ buddho bhagavāti . Assāsatāyasmā – atthāyasmato dhamme…pe… saṅghe…pe… ariyakantāni sīlāni akhaṇḍāni…pe… samādhisaṃvattanikānī’’’ti.
‘‘สปฺปเญฺญน , มหานาม, อุปาสเกน สปฺปโญฺญ อุปาสโก อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน อิเมหิ จตูหิ อสฺสาสนีเยหิ ธเมฺมหิ อสฺสาเสตฺวา เอวมสฺส วจนีโย – ‘อตฺถายสฺมโต มาตาปิตูสุ อเปกฺขา’ติ? โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘อตฺถิ เม มาตาปิตูสุ อเปกฺขา’ติ, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อายสฺมา โข มาริโส มรณธโมฺมฯ สเจ ปายสฺมา มาตาปิตูสุ อเปกฺขํ กริสฺสติ, มริสฺสเตว; โน เจ ปายสฺมา มาตาปิตูสุ อเปกฺขํ กริสฺสติ, มริสฺสเตวฯ สาธายสฺมา, ยา เต มาตาปิตูสุ อเปกฺขา ตํ ปชหา’’’ติฯ
‘‘Sappaññena , mahānāma, upāsakena sappañño upāsako ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno imehi catūhi assāsanīyehi dhammehi assāsetvā evamassa vacanīyo – ‘atthāyasmato mātāpitūsu apekkhā’ti? So ce evaṃ vadeyya – ‘atthi me mātāpitūsu apekkhā’ti, so evamassa vacanīyo – ‘āyasmā kho māriso maraṇadhammo. Sace pāyasmā mātāpitūsu apekkhaṃ karissati, marissateva; no ce pāyasmā mātāpitūsu apekkhaṃ karissati, marissateva. Sādhāyasmā, yā te mātāpitūsu apekkhā taṃ pajahā’’’ti.
‘‘โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘ยา เม มาตาปิตูสุ อเปกฺขา สา ปหีนา’ติ, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อตฺถิ ปนายสฺมโต ปุตฺตทาเรสุ อเปกฺขา’ติ? โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘อตฺถิ เม ปุตฺตทาเรสุ อเปกฺขา’ติ, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อายสฺมา โข มาริโส มรณธโมฺมฯ สเจ ปายสฺมา ปุตฺตทาเรสุ อเปกฺขํ กริสฺสติ, มริสฺสเตว; โน เจ ปายสฺมา ปุตฺตทาเรสุ อเปกฺขํ กริสฺสติ, มริสฺสเตวฯ สาธายสฺมา, ยา เต ปุตฺตทาเรสุ อเปกฺขา ตํ ปชหา’’’ติฯ
‘‘So ce evaṃ vadeyya – ‘yā me mātāpitūsu apekkhā sā pahīnā’ti, so evamassa vacanīyo – ‘atthi panāyasmato puttadāresu apekkhā’ti? So ce evaṃ vadeyya – ‘atthi me puttadāresu apekkhā’ti, so evamassa vacanīyo – ‘āyasmā kho māriso maraṇadhammo. Sace pāyasmā puttadāresu apekkhaṃ karissati, marissateva; no ce pāyasmā puttadāresu apekkhaṃ karissati, marissateva. Sādhāyasmā, yā te puttadāresu apekkhā taṃ pajahā’’’ti.
‘‘โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘ยา เม ปุตฺตทาเรสุ อเปกฺขา สา ปหีนา’ติ, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อตฺถิ ปนายสฺมโต มานุสเกสุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ อเปกฺขา’ติ? โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘อตฺถิ เม มานุสเกสุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ อเปกฺขา’ติ, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘มานุสเกหิ โข, อาวุโส, กาเมหิ ทิพฺพา กามา อภิกฺกนฺตตรา จ ปณีตตรา จฯ สาธายสฺมา, มานุสเกหิ กาเมหิ จิตฺตํ วุฎฺฐาเปตฺวา จาตุมหาราชิเกสุ 3 เทเวสุ จิตฺตํ อธิโมเจหี’’’ติฯ
‘‘So ce evaṃ vadeyya – ‘yā me puttadāresu apekkhā sā pahīnā’ti, so evamassa vacanīyo – ‘atthi panāyasmato mānusakesu pañcasu kāmaguṇesu apekkhā’ti? So ce evaṃ vadeyya – ‘atthi me mānusakesu pañcasu kāmaguṇesu apekkhā’ti, so evamassa vacanīyo – ‘mānusakehi kho, āvuso, kāmehi dibbā kāmā abhikkantatarā ca paṇītatarā ca. Sādhāyasmā, mānusakehi kāmehi cittaṃ vuṭṭhāpetvā cātumahārājikesu 4 devesu cittaṃ adhimocehī’’’ti.
‘‘โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘มานุสเกหิ เม กาเมหิ จิตฺตํ วุฎฺฐิตํ, จาตุมหาราชิเกสุ เทเวสุ จิตฺตํ อธิโมจิต’นฺติ, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘จาตุมหาราชิเกหิ โข, อาวุโส , เทเวหิ ตาวติํสา เทวา อภิกฺกนฺตตรา จ ปณีตตรา จฯ สาธายสฺมา, จาตุมหาราชิเกหิ เทเวหิ จิตฺตํ วุฎฺฐาเปตฺวา ตาวติํเสสุ เทเวสุ จิตฺตํ อธิโมเจหี’’’ติฯ
‘‘So ce evaṃ vadeyya – ‘mānusakehi me kāmehi cittaṃ vuṭṭhitaṃ, cātumahārājikesu devesu cittaṃ adhimocita’nti, so evamassa vacanīyo – ‘cātumahārājikehi kho, āvuso , devehi tāvatiṃsā devā abhikkantatarā ca paṇītatarā ca. Sādhāyasmā, cātumahārājikehi devehi cittaṃ vuṭṭhāpetvā tāvatiṃsesu devesu cittaṃ adhimocehī’’’ti.
‘‘โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘จาตุมหาราชิเกหิ เม เทเวหิ จิตฺตํ วุฎฺฐิตํ, ตาวติํเสสุ เทเวสุ จิตฺตํ อธิโมจิต’นฺติ, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘ตาวติํเสหิ โข, อาวุโส, เทเวหิ ยามา เทวา…เป.… ตุสิตา เทวา…เป.… นิมฺมานรตี เทวา…เป.… ปรนิมฺมิตวสวตฺตี เทวา…เป.… ปรนิมฺมิตวสวตฺตีหิ โข, อาวุโส, เทเวหิ พฺรหฺมโลโก อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จฯ สาธายสฺมา, ปรนิมฺมิตวสวตฺตีหิ เทเวหิ จิตฺตํ วุฎฺฐาเปตฺวา พฺรหฺมโลเก จิตฺตํ อธิโมเจหี’ติฯ โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘ปรนิมฺมิตวสวตฺตีหิ เม เทเวหิ จิตฺตํ วุฎฺฐิตํ, พฺรหฺมโลเก จิตฺตํ อธิโมจิต’นฺติ, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘พฺรหฺมโลโกปิ โข, อาวุโส, อนิโจฺจ อทฺธุโว สกฺกายปริยาปโนฺนฯ สาธายสฺมา, พฺรหฺมโลกา จิตฺตํ วุฎฺฐาเปตฺวา สกฺกายนิโรเธ จิตฺตํ อุปสํหราหี’’’ติฯ
‘‘So ce evaṃ vadeyya – ‘cātumahārājikehi me devehi cittaṃ vuṭṭhitaṃ, tāvatiṃsesu devesu cittaṃ adhimocita’nti, so evamassa vacanīyo – ‘tāvatiṃsehi kho, āvuso, devehi yāmā devā…pe… tusitā devā…pe… nimmānaratī devā…pe… paranimmitavasavattī devā…pe… paranimmitavasavattīhi kho, āvuso, devehi brahmaloko abhikkantataro ca paṇītataro ca. Sādhāyasmā, paranimmitavasavattīhi devehi cittaṃ vuṭṭhāpetvā brahmaloke cittaṃ adhimocehī’ti. So ce evaṃ vadeyya – ‘paranimmitavasavattīhi me devehi cittaṃ vuṭṭhitaṃ, brahmaloke cittaṃ adhimocita’nti, so evamassa vacanīyo – ‘brahmalokopi kho, āvuso, anicco addhuvo sakkāyapariyāpanno. Sādhāyasmā, brahmalokā cittaṃ vuṭṭhāpetvā sakkāyanirodhe cittaṃ upasaṃharāhī’’’ti.
‘‘โส เจ เอวํ วเทยฺย – ‘พฺรหฺมโลกา เม จิตฺตํ วุฎฺฐิตํ, สกฺกายนิโรเธ จิตฺตํ อุปสํหรามี’ติ; เอวํ วิมุตฺตจิตฺตสฺส โข, มหานาม, อุปาสกสฺส อาสวา 5 วิมุตฺตจิเตฺตน ภิกฺขุนา น กิญฺจิ นานากรณํ วทามิ, ยทิทํ – วิมุตฺติยา วิมุตฺต’’นฺติฯ จตุตฺถํฯ
‘‘So ce evaṃ vadeyya – ‘brahmalokā me cittaṃ vuṭṭhitaṃ, sakkāyanirodhe cittaṃ upasaṃharāmī’ti; evaṃ vimuttacittassa kho, mahānāma, upāsakassa āsavā 6 vimuttacittena bhikkhunā na kiñci nānākaraṇaṃ vadāmi, yadidaṃ – vimuttiyā vimutta’’nti. Catutthaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๔. คิลานสุตฺตวณฺณนา • 4. Gilānasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๔. คิลานสุตฺตวณฺณนา • 4. Gilānasuttavaṇṇanā