Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๒. โคทตฺตเตฺถรคาถาวณฺณนา

    2. Godattattheragāthāvaṇṇanā

    ยถาปิ ภโทฺทติอาทิกา อายสฺมโต โคทตฺตเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยํ กุสลํ อุปจินิตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ สตฺถวาหกุเล นิพฺพโตฺตฯ โคทโตฺตติ นาเมน วยปฺปโตฺต ปิตริ กาลงฺกเต กุฎุมฺพํ สณฺฐเปโนฺต ปญฺจหิ สกฎสเตหิ ภณฺฑํ อาทาย อปราปรํ สญฺจริตฺวา วาณิเชฺชน ชีวิกํ กเปฺปติ ยถาวิภวํ ปุญฺญานิปิ กโรติฯ โส เอกทิวสํ อนฺตรามเคฺค ธุเร ยุตฺตโคเณ วหิตุํ อสโกฺกเนฺต ปติเต มนุเสฺสสุ ตํ วุฎฺฐาเปตุํ อสโกฺกเนฺตสุ สยเมว คนฺตฺวา ตํ นงฺคุเฎฺฐ คาฬฺหํ วิชฺฌิฯ โคโณ ‘‘อยํ อสปฺปุริโส มม พลาพลํ อชานโนฺต คาฬฺหํ วิชฺฌตี’’ติ กุโทฺธ มนุสฺสวาจาย, ‘‘โภ โคทตฺต, อหํ เอตฺตกํ กาลํ อตฺตโน พลํ อนิคุหโนฺต ตุยฺหํ ภารํ วหิํ, อชฺช ปน อสมตฺถภาเวน ปติตํ มํ อติวิย พาธสิ, โหตุ, อิโต จวิตฺวา นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน ตํ พาเธตุํ สมโตฺถ ปฎิสตฺตุ ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนานุรูเปน อโกฺกสิฯ ตํ สุตฺวา โคทโตฺต ‘‘เอวํ นาม สเตฺต พาเธตฺวา กิํ อิมาย ชีวิกายา’’ติ สํเวคชาโต สพฺพํ วิภวํ ปหาย อญฺญตรสฺส มหาเถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปตฺวา สมาปตฺติสุเขน วีตินาเมโนฺต เอกทิวสํ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคตานํ คหฎฺฐปพฺพชิตานํ อริยคณานํ โลกธเมฺม อารพฺภ ธมฺมํ กเถโนฺต –

    Yathāpi bhaddotiādikā āyasmato godattattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayaṃ kusalaṃ upacinitvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ satthavāhakule nibbatto. Godattoti nāmena vayappatto pitari kālaṅkate kuṭumbaṃ saṇṭhapento pañcahi sakaṭasatehi bhaṇḍaṃ ādāya aparāparaṃ sañcaritvā vāṇijjena jīvikaṃ kappeti yathāvibhavaṃ puññānipi karoti. So ekadivasaṃ antarāmagge dhure yuttagoṇe vahituṃ asakkonte patite manussesu taṃ vuṭṭhāpetuṃ asakkontesu sayameva gantvā taṃ naṅguṭṭhe gāḷhaṃ vijjhi. Goṇo ‘‘ayaṃ asappuriso mama balābalaṃ ajānanto gāḷhaṃ vijjhatī’’ti kuddho manussavācāya, ‘‘bho godatta, ahaṃ ettakaṃ kālaṃ attano balaṃ aniguhanto tuyhaṃ bhāraṃ vahiṃ, ajja pana asamatthabhāvena patitaṃ maṃ ativiya bādhasi, hotu, ito cavitvā nibbattanibbattaṭṭhāne taṃ bādhetuṃ samattho paṭisattu bhaveyya’’nti patthanānurūpena akkosi. Taṃ sutvā godatto ‘‘evaṃ nāma satte bādhetvā kiṃ imāya jīvikāyā’’ti saṃvegajāto sabbaṃ vibhavaṃ pahāya aññatarassa mahātherassa santike pabbajitvā vipassanāya kammaṃ karonto nacirasseva arahattaṃ patvā samāpattisukhena vītināmento ekadivasaṃ attano santikaṃ upagatānaṃ gahaṭṭhapabbajitānaṃ ariyagaṇānaṃ lokadhamme ārabbha dhammaṃ kathento –

    ๖๕๙.

    659.

    ‘‘ยถาปิ ภโทฺท อาชโญฺญ, ธุเร ยุโตฺต ธุรสฺสโห;

    ‘‘Yathāpi bhaddo ājañño, dhure yutto dhurassaho;

    มถิโต อติภาเรน, สํยุคํ นาติวตฺตติฯ

    Mathito atibhārena, saṃyugaṃ nātivattati.

    ๖๖๐.

    660.

    ‘‘เอวํ ปญฺญาย เย ติตฺตา, สมุโทฺท วารินา ยถา;

    ‘‘Evaṃ paññāya ye tittā, samuddo vārinā yathā;

    น ปเร อติมญฺญนฺติ, อริยธโมฺมว ปาณินํฯ

    Na pare atimaññanti, ariyadhammova pāṇinaṃ.

    ๖๖๑.

    661.

    ‘‘กาเล กาลวสํ ปตฺตา, ภวาภววสํ คตา;

    ‘‘Kāle kālavasaṃ pattā, bhavābhavavasaṃ gatā;

    นรา ทุกฺขํ นิคจฺฉนฺติ, เตธ โสจนฺติ มาณวาฯ

    Narā dukkhaṃ nigacchanti, tedha socanti māṇavā.

    ๖๖๒.

    662.

    ‘‘อุนฺนตา สุขธเมฺมน, ทุกฺขธเมฺมน โจนตา;

    ‘‘Unnatā sukhadhammena, dukkhadhammena conatā;

    ทฺวเยน พาลา หญฺญนฺติ, ยถาภูตํ อทสฺสิโนฯ

    Dvayena bālā haññanti, yathābhūtaṃ adassino.

    ๖๖๓.

    663.

    ‘‘เย จ ทุเกฺข สุขสฺมิญฺจ, มเชฺฌ สิพฺพินิมจฺจคู;

    ‘‘Ye ca dukkhe sukhasmiñca, majjhe sibbinimaccagū;

    ฐิตา เต อินฺทขีโลว, น เต อุนฺนตโอนตาฯ

    Ṭhitā te indakhīlova, na te unnataonatā.

    ๖๖๔.

    664.

    ‘‘น เหว ลาเภ นาลาเภ, น ยเส น จ กิตฺติยา;

    ‘‘Na heva lābhe nālābhe, na yase na ca kittiyā;

    น นินฺทายํ ปสํสาย, น เต ทุเกฺข สุขมฺหิ จฯ

    Na nindāyaṃ pasaṃsāya, na te dukkhe sukhamhi ca.

    ๖๖๕.

    665.

    ‘‘สพฺพตฺถ เต น ลิมฺปนฺติ, อุทพินฺทุว โปกฺขเร;

    ‘‘Sabbattha te na limpanti, udabinduva pokkhare;

    สพฺพตฺถ สุขิตา ธีรา, สพฺพตฺถ อปราชิตาฯ

    Sabbattha sukhitā dhīrā, sabbattha aparājitā.

    ๖๖๖.

    666.

    ‘‘ธเมฺมน จ อลาโภ โย, โย จ ลาโภ อธมฺมิโก;

    ‘‘Dhammena ca alābho yo, yo ca lābho adhammiko;

    อลาโภ ธมฺมิโก เสโยฺย, ยเญฺจ ลาโภ อธมฺมิโกฯ

    Alābho dhammiko seyyo, yañce lābho adhammiko.

    ๖๖๗.

    667.

    ‘‘ยโส จ อปฺปพุทฺธีนํ, วิญฺญูนํ อยโส จ โย;

    ‘‘Yaso ca appabuddhīnaṃ, viññūnaṃ ayaso ca yo;

    อยโสว เสโยฺย วิญฺญูนํ, น ยโส อปฺปพุทฺธินํฯ

    Ayasova seyyo viññūnaṃ, na yaso appabuddhinaṃ.

    ๖๖๘.

    668.

    ‘‘ทุเมฺมเธหิ ปสํสา จ, วิญฺญูหิ ครหา จ ยา;

    ‘‘Dummedhehi pasaṃsā ca, viññūhi garahā ca yā;

    ครหาว เสโยฺย วิญฺญูหิ, ยเญฺจ พาลปฺปสํสนาฯ

    Garahāva seyyo viññūhi, yañce bālappasaṃsanā.

    ๖๖๙.

    669.

    ‘‘สุขญฺจ กามมยิกํ, ทุกฺขญฺจ ปวิเวกิยํ;

    ‘‘Sukhañca kāmamayikaṃ, dukkhañca pavivekiyaṃ;

    ปวิเวกทุกฺขํ เสโยฺย, ยเญฺจ กามมยํ สุขํฯ

    Pavivekadukkhaṃ seyyo, yañce kāmamayaṃ sukhaṃ.

    ๖๗๐.

    670.

    ‘‘ชีวิตญฺจ อธเมฺมน, ธเมฺมน มรณญฺจ ยํ;

    ‘‘Jīvitañca adhammena, dhammena maraṇañca yaṃ;

    มรณํ ธมฺมิกํ เสโยฺย, ยเญฺจ ชีเว อธมฺมิกํฯ

    Maraṇaṃ dhammikaṃ seyyo, yañce jīve adhammikaṃ.

    ๖๗๑.

    671.

    ‘‘กามโกปปฺปหีนา เย, สนฺตจิตฺตา ภวาภเว;

    ‘‘Kāmakopappahīnā ye, santacittā bhavābhave;

    จรนฺติ โลเก อสิตา, นตฺถิ เตสํ ปิยาปิยํฯ

    Caranti loke asitā, natthi tesaṃ piyāpiyaṃ.

    ๖๗๒.

    672.

    ‘‘ภาวยิตฺวาน โพชฺฌเงฺค, อินฺทฺริยานิ พลานิ จ;

    ‘‘Bhāvayitvāna bojjhaṅge, indriyāni balāni ca;

    ปปฺปุยฺย ปรมํ สนฺติํ, ปรินิพฺพนฺตินาสวา’’ติฯ – อิมา คาถา อภาสิ;

    Pappuyya paramaṃ santiṃ, parinibbantināsavā’’ti. – imā gāthā abhāsi;

    ตตฺถ อาชโญฺญติ, อุสภาชานีโยฯ ธุเร ยุโตฺตติ, สกฎธุเร โยชิโตฯ ธุรสฺสโหติ, ธุรวาโหฯ คาถาสุขตฺถเญฺจตฺถ ทฺวิสการโต นิเทฺทโส กโต, สกฎภารํ วหิตุํ สมโตฺถติ อโตฺถฯ มถิโต อติภาเรนาติ, อติภาเรน ครุภาเรน ปีฬิโตฯ ‘‘มทฺทิโต’’ติปิ ปาฬิ, โส เอวโตฺถฯ สํยุคนฺติ, อตฺตโน ขเนฺธ ฐปิตํ ยุคํ นาติวตฺตติ น อติกฺกาเมติ, สมฺมา โย อุทฺธริตฺวา ธุรํ ฉเฑฺฑตฺวา น ติฎฺฐติฯ เอวนฺติ ยถา โส โธรโยฺห อตฺตโน ภทฺราชานียตาย อตฺตโน ธีรวีรตาย อตฺตโน ภารํ นาติวตฺตติ น ปริจฺจชติ, เอวํ เย วารินา วิย มหาสมุโทฺท โลกิยโลกุตฺตราย ปญฺญาย ติตฺตา ธาตา ปริปุณฺณา, เต ปเร นิหีนปเญฺญ น อติมญฺญนฺติ, น ปริภวนฺติฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘อริยธโมฺมว ปาณิน’’นฺติ, ปาณินํ สเตฺตสุ อยํ อริยานํ ธโมฺม ยทิทํ เตสํ ปญฺญาย ปาริปูริํ คตตฺตา ลาภาทินา อตฺตานุกฺกํสนํ วิย อลาภาทินา ปเรสํ อวมฺภนํฯ

    Tattha ājaññoti, usabhājānīyo. Dhure yuttoti, sakaṭadhure yojito. Dhurassahoti, dhuravāho. Gāthāsukhatthañcettha dvisakārato niddeso kato, sakaṭabhāraṃ vahituṃ samatthoti attho. Mathito atibhārenāti, atibhārena garubhārena pīḷito. ‘‘Maddito’’tipi pāḷi, so evattho. Saṃyuganti, attano khandhe ṭhapitaṃ yugaṃ nātivattati na atikkāmeti, sammā yo uddharitvā dhuraṃ chaḍḍetvā na tiṭṭhati. Evanti yathā so dhorayho attano bhadrājānīyatāya attano dhīravīratāya attano bhāraṃ nātivattati na pariccajati, evaṃ ye vārinā viya mahāsamuddo lokiyalokuttarāya paññāya tittā dhātā paripuṇṇā, te pare nihīnapaññe na atimaññanti, na paribhavanti. Tattha kāraṇamāha ‘‘ariyadhammova pāṇina’’nti, pāṇinaṃ sattesu ayaṃ ariyānaṃ dhammo yadidaṃ tesaṃ paññāya pāripūriṃ gatattā lābhādinā attānukkaṃsanaṃ viya alābhādinā paresaṃ avambhanaṃ.

    เอวํ ปญฺญาปาริปูริยา อริยานํ สุขวิหารํ ทเสฺสตฺวา ตทภาวโต อนริยานํ ทุกฺขวิหารํ ทเสฺสตุํ ‘‘กาเล’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กาเลติ ลาภาลาภาทินา สมงฺคีภูตกาเลฯ กาลวสํ ปตฺตาติ ลาภาทิกาลสฺส จ วสํ อุปคตา, ลาภาทินา โสมนสฺสิตา อลาภาทินา จ โทมนสฺสิตาติ อโตฺถฯ ภวาภววสํ คตาติ ภวสฺส อภวสฺส จ วสํ อุปคตา วุทฺธิหานิโย อนุวตฺตนฺตา เตฯ นรา ทุกฺขํ นิคจฺฉนฺติ, เตธ โสจนฺติ มาณวาติ เต นรา ‘‘มาณวา’’ติ ลทฺธนามา สตฺตา ลาภาลาภาทิวเสน วุทฺธิหานิวเสน อนุโรธปฎิวิโรธํ อาปนฺนา อิธโลเก โสจนฺติ, ปรโลเก จ นิรยาทิทุกฺขํ คจฺฉนฺติ ปาปุณนฺตีติ อโตฺถฯ

    Evaṃ paññāpāripūriyā ariyānaṃ sukhavihāraṃ dassetvā tadabhāvato anariyānaṃ dukkhavihāraṃ dassetuṃ ‘‘kāle’’tiādi vuttaṃ. Tattha kāleti lābhālābhādinā samaṅgībhūtakāle. Kālavasaṃ pattāti lābhādikālassa ca vasaṃ upagatā, lābhādinā somanassitā alābhādinā ca domanassitāti attho. Bhavābhavavasaṃ gatāti bhavassa abhavassa ca vasaṃ upagatā vuddhihāniyo anuvattantā te. Narā dukkhaṃ nigacchanti, tedha socanti māṇavāti te narā ‘‘māṇavā’’ti laddhanāmā sattā lābhālābhādivasena vuddhihānivasena anurodhapaṭivirodhaṃ āpannā idhaloke socanti, paraloke ca nirayādidukkhaṃ gacchanti pāpuṇantīti attho.

    ‘‘อุนฺนตา’’ติอาทินาปิ โลกธมฺมวเสน สตฺตานํ อนตฺถปฺปตฺติเมว ทเสฺสติฯ ตตฺถ อุนฺนตา สุขธเมฺมนาติ สุขเหตุนา สุขปจฺจเยน โภคสมฺปตฺติอาทินา อุนฺนติํ คตา, โภคมทาทินา มตฺตาติ อโตฺถฯ ทุกฺขธเมฺมน โจนตาติ ทุกฺขเหตุนา ทุกฺขปจฺจเยน โภควิปตฺติอาทินา นิหีนตํ คตา ทาลิทฺทิยาทินา กาปญฺญตํ ปตฺตาฯ ทฺวเยนาติ ยถาวุเตฺตน อุนฺนติโอนติทฺวเยน ลาภาลาภาทิทฺวเยน วา พาลปุถุชฺชนา หญฺญนฺติ, อนุโรธปฎิวิโรธวเสน วิพาธียนฺติ ปีฬิยนฺติฯ กสฺมา? ยถาภูตํ อทสฺสิโน ยสฺมา เต ธมฺมสภาวํ ยาถาวโต นพฺภญฺญํสุ, ปริญฺญาตกฺขนฺธา ปหีนกิเลสา จ น โหนฺติ, ตสฺมาติ อโตฺถฯ ‘‘ยถาภูตํ อทสฺสนา’’ติปิ ปฐนฺติ, อทสฺสนเหตูติ อโตฺถฯ เย จ ทุเกฺข สุขสฺมิญฺจ, มเชฺฌ สิพฺพินิมจฺจคูติ เย ปน อริยา ทุกฺขเวทนาย สุขเวทนาย มชฺฌตฺตตาเวทนาย จ ตปฺปฎิพทฺธํ ฉนฺทราคภูตํ สิพฺพินิํ ตณฺหํ อคฺคมคฺคาธิคเมน อจฺจคู อติกฺกมิํสุ, เต อินฺทขีโล วิย วาเตหิ โลกธเมฺมหิ อสมฺปกมฺปิยา ฐิตา, น เต อุนฺนตโอนตา, กทาจิปิ อุนฺนตา วา โอนตา วา น โหนฺติ สพฺพโส อนุนยปฎิฆาภาวโตฯ

    ‘‘Unnatā’’tiādināpi lokadhammavasena sattānaṃ anatthappattimeva dasseti. Tattha unnatā sukhadhammenāti sukhahetunā sukhapaccayena bhogasampattiādinā unnatiṃ gatā, bhogamadādinā mattāti attho. Dukkhadhammena conatāti dukkhahetunā dukkhapaccayena bhogavipattiādinā nihīnataṃ gatā dāliddiyādinā kāpaññataṃ pattā. Dvayenāti yathāvuttena unnationatidvayena lābhālābhādidvayena vā bālaputhujjanā haññanti, anurodhapaṭivirodhavasena vibādhīyanti pīḷiyanti. Kasmā? Yathābhūtaṃ adassino yasmā te dhammasabhāvaṃ yāthāvato nabbhaññaṃsu, pariññātakkhandhā pahīnakilesā ca na honti, tasmāti attho. ‘‘Yathābhūtaṃ adassanā’’tipi paṭhanti, adassanahetūti attho. Ye ca dukkhe sukhasmiñca, majjhe sibbinimaccagūti ye pana ariyā dukkhavedanāya sukhavedanāya majjhattatāvedanāya ca tappaṭibaddhaṃ chandarāgabhūtaṃ sibbiniṃ taṇhaṃ aggamaggādhigamena accagū atikkamiṃsu, te indakhīlo viya vātehi lokadhammehi asampakampiyā ṭhitā, na te unnataonatā, kadācipi unnatā vā onatā vā na honti sabbaso anunayapaṭighābhāvato.

    เอวํ เวทนาธิฎฺฐานํ อรหโต อนุปเลปํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ โลกธเมฺม วิภชิตฺวา สพฺพตฺถกเมวสฺส อนุปเลปํ ทเสฺสโนฺต ‘‘น เหวา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ลาเภติ จีวราทีนํ ปจฺจยานํ ปฎิลาเภฯ อลาเภติ เตสํเยว อปฺปฎิลาเภ อปคเมฯ น ยเสติ ปริวารหานิยํ อกิตฺติยญฺจฯ กิตฺติยาติ ปรมฺมุขา กิตฺตเน ปตฺถฎยสตายํฯ นินฺทายนฺติ สมฺมุขา ครหายํฯ ปสํสายนฺติ, ปจฺจกฺขโต คุณาภิตฺถวเนฯ ทุเกฺขติ ทุเกฺข อุปฺปเนฺนฯ สุเขติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ

    Evaṃ vedanādhiṭṭhānaṃ arahato anupalepaṃ dassetvā idāni lokadhamme vibhajitvā sabbatthakamevassa anupalepaṃ dassento ‘‘na hevā’’tiādimāha. Tattha lābheti cīvarādīnaṃ paccayānaṃ paṭilābhe. Alābheti tesaṃyeva appaṭilābhe apagame. Na yaseti parivārahāniyaṃ akittiyañca. Kittiyāti parammukhā kittane patthaṭayasatāyaṃ. Nindāyanti sammukhā garahāyaṃ. Pasaṃsāyanti, paccakkhato guṇābhitthavane. Dukkheti dukkhe uppanne. Sukheti etthāpi eseva nayo.

    สพฺพตฺถาติ สพฺพสฺมิํ ยถาวุเตฺต อฎฺฐวิเธปิ โลกธเมฺม, สพฺพตฺถ วา รูปาทิเก วิสเย เต ขีณาสวา น ลิมฺปนฺติ สพฺพโส ปหีนกิเลสตฺตาฯ ยถา กิํ? อุทพินฺทุว โปกฺขเร ยถา กมลทเล ชลพินฺทุ อลฺลียิตฺวา ฐิตมฺปิ เตน น ลิมฺปติ, ชลพินฺทุนา จ กมลทลํ, อญฺญทตฺถุ วิสํสฎฺฐเมว, เอวเมเตปิ อุปฎฺฐิเต ลาภาทิเก, อาปาถคเต รูปาทิอารมฺมเณ จ วิสํสฎฺฐา เอวํฯ ตโต เอว ธีรา ปณฺฑิตา สพฺพตฺถ ลาภาทีสุ ญาณมุเขน ปิยนิมิตฺตานํ โสกาทีนญฺจ อภาวโต สุขิตา ลาภาทีหิ จ อนภิภวนียโต สพฺพตฺถ อปราชิตาว โหนฺติฯ

    Sabbatthāti sabbasmiṃ yathāvutte aṭṭhavidhepi lokadhamme, sabbattha vā rūpādike visaye te khīṇāsavā na limpanti sabbaso pahīnakilesattā. Yathā kiṃ? Udabinduva pokkhare yathā kamaladale jalabindu allīyitvā ṭhitampi tena na limpati, jalabindunā ca kamaladalaṃ, aññadatthu visaṃsaṭṭhameva, evametepi upaṭṭhite lābhādike, āpāthagate rūpādiārammaṇe ca visaṃsaṭṭhā evaṃ. Tato eva dhīrā paṇḍitā sabbattha lābhādīsu ñāṇamukhena piyanimittānaṃ sokādīnañca abhāvato sukhitā lābhādīhi ca anabhibhavanīyato sabbattha aparājitāva honti.

    อิทานิ ลาภาลาภาทีสุ เสยฺยํ นิทฺธาเรตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ธเมฺมนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ธเมฺมน จ อลาโภ โยติ โย ธมฺมํ รกฺขนฺตสฺส ตํนิมิตฺตํ อลาโภ ลาภาภาโว, ลาภหานิฯ โย จ ลาโภ อธมฺมิโก อธเมฺมน อญฺญาเยน พุทฺธปฎิกุเฎฺฐน วิธินา อุปฺปโนฺน, เตสุ ทฺวีสุ อลาโภ ธมฺมิโก ธมฺมาวโห เสโยฺย, ยาทิสํ ลาภํ ปริวชฺชนฺตสฺส อกุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, กุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, ตาทิโส อลาโภ ปาสํสตโร อตฺถาวโหฯ ยเญฺจ ลาโภ อธมฺมิโกติ โย ลาโภ อธเมฺมน อุปฺปโนฺน, โส น เสโยฺยติ อธิปฺปาโยฯ

    Idāni lābhālābhādīsu seyyaṃ niddhāretvā dassento ‘‘dhammenā’’tiādimāha. Tattha dhammena ca alābho yoti yo dhammaṃ rakkhantassa taṃnimittaṃ alābho lābhābhāvo, lābhahāni. Yo ca lābho adhammiko adhammena aññāyena buddhapaṭikuṭṭhena vidhinā uppanno, tesu dvīsu alābho dhammiko dhammāvaho seyyo, yādisaṃ lābhaṃ parivajjantassa akusalā dhammā parihāyanti, kusalā dhammā abhivaḍḍhanti, tādiso alābho pāsaṃsataro atthāvaho. Yañce lābho adhammikoti yo lābho adhammena uppanno, so na seyyoti adhippāyo.

    ยโส จ อปฺปพุทฺธีนํ, วิญฺญูนํ อยโส จ โยติ โย อปฺปพุทฺธีนํ ทุปฺปญฺญานํ วเสน ปุคฺคลสฺส ยโส ลพฺภติ, โย จ วิญฺญูนํ ปณฺฑิตานํ วเสน อยโส ยสหานิฯ อิเมสุ ทฺวีสุ อยโสว เสโยฺย วิญฺญูนํฯ เต หิสฺส ยถา อกุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, กุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, เอวํ ยสหานิํ อิเจฺฉยฺยุํ, ตถา จ ภพฺพชาติโก ตํ อคุณํ ปหาย คุเณ ปติเฎฺฐยฺยฯ น ยโส อปฺปพุทฺธีนนฺติ ทุปฺปญฺญานํ วเสน ยโส เสโยฺย โหติ, เต หิ อภูตคุณาภิพฺยาหารวเสนาปิ นํ อุปฺปาเทยฺยุํ, โส จสฺส อิธ เจว วิญฺญูครหาทินา สมฺปราเย จ ทุคฺคติยํ ทุกฺขปริกฺกิเลสาทินา อนตฺถาวโหฯ เตนาห ภควา – ‘‘ลาโภ สิโลโก สกฺกาโร, มิจฺฉาลโทฺธ จ โย ยโส’’ติ (สุ. นิ. ๔๔๐) ‘‘สกฺกาโร กาปุริสํ หนฺตี’’ติ (จูฬว. ๓๓๕; อ. นิ. ๔.๖๘) จฯ

    Yasoca appabuddhīnaṃ, viññūnaṃ ayaso ca yoti yo appabuddhīnaṃ duppaññānaṃ vasena puggalassa yaso labbhati, yo ca viññūnaṃ paṇḍitānaṃ vasena ayaso yasahāni. Imesu dvīsu ayasova seyyo viññūnaṃ. Te hissa yathā akusalā dhammā parihāyanti, kusalā dhammā abhivaḍḍhanti, evaṃ yasahāniṃ iccheyyuṃ, tathā ca bhabbajātiko taṃ aguṇaṃ pahāya guṇe patiṭṭheyya. Na yaso appabuddhīnanti duppaññānaṃ vasena yaso seyyo hoti, te hi abhūtaguṇābhibyāhāravasenāpi naṃ uppādeyyuṃ, so cassa idha ceva viññūgarahādinā samparāye ca duggatiyaṃ dukkhaparikkilesādinā anatthāvaho. Tenāha bhagavā – ‘‘lābho siloko sakkāro, micchāladdho ca yo yaso’’ti (su. ni. 440) ‘‘sakkāro kāpurisaṃ hantī’’ti (cūḷava. 335; a. ni. 4.68) ca.

    ทุเมฺมเธหีติ, นิปฺปเญฺญหิฯ ยเญฺจ พาลปฺปสํสนาติ พาเลหิ อวิทฺทสูหิ ยา นาม ปสํสนาฯ

    Dummedhehīti, nippaññehi. Yañce bālappasaṃsanāti bālehi aviddasūhi yā nāma pasaṃsanā.

    กามมยิกนฺติ วตฺถุกามมยํ, กามคุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนํฯ ทุกฺขญฺจ ปวิเวกิยนฺติ ปวิเวกโต นิพฺพตฺตํ กายกิลมถวเสน ปวตฺตํ วิสมาสนุปตาปาทิเหตุกํ กายิกํ ทุกฺขํ, ตํ ปน นิรามิสวิวฎฺฎูปนิสฺสยตาย วิญฺญูนํ ปาสํสาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปวิเวกทุกฺขํ เสโยฺย’’ติฯ

    Kāmamayikanti vatthukāmamayaṃ, kāmaguṇe paṭicca uppannaṃ. Dukkhañca pavivekiyanti pavivekato nibbattaṃ kāyakilamathavasena pavattaṃ visamāsanupatāpādihetukaṃ kāyikaṃ dukkhaṃ, taṃ pana nirāmisavivaṭṭūpanissayatāya viññūnaṃ pāsaṃsā. Tena vuttaṃ ‘‘pavivekadukkhaṃ seyyo’’ti.

    ชีวิตญฺจ อธเมฺมนาติ อธเมฺมน ชีวิกกปฺปนํ ชีวิตเหตุ อธมฺมจรณํฯ ธเมฺมน มรณํ นาม ‘‘อิมํ นาม ปาปํ อกโรนฺตํ ตํ มาเรสฺสามี’’ติ เกนจิ วุเตฺต มาเรเนฺตปิ ตสฺมิํ ปาปํ อกตฺวา ธมฺมํ อวิโกเปนฺตสฺส ธมฺมเหตุมรณํ ธมฺมิกํ เสโยฺยติ ตาทิสํ มรณํ ธมฺมโต อนเปตตฺตา ธมฺมิกํ สคฺคสมฺปาปนโต นิพฺพานุปนิสฺสยโต จ วิญฺญูนํ ปาสํสตรํฯ ตถา หิ วุตฺตํ –

    Jīvitañcaadhammenāti adhammena jīvikakappanaṃ jīvitahetu adhammacaraṇaṃ. Dhammena maraṇaṃ nāma ‘‘imaṃ nāma pāpaṃ akarontaṃ taṃ māressāmī’’ti kenaci vutte mārentepi tasmiṃ pāpaṃ akatvā dhammaṃ avikopentassa dhammahetumaraṇaṃ dhammikaṃ seyyoti tādisaṃ maraṇaṃ dhammato anapetattā dhammikaṃ saggasampāpanato nibbānupanissayato ca viññūnaṃ pāsaṃsataraṃ. Tathā hi vuttaṃ –

    ‘‘จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ, องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน;

    ‘‘Caje dhanaṃ aṅgavarassa hetu, aṅgaṃ caje jīvitaṃ rakkhamāno;

    องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ, จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรโนฺต’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๗๐);

    Aṅgaṃ dhanaṃ jīvitañcāpi sabbaṃ, caje naro dhammamanussaranto’’ti. (jā. 2.21.470);

    ยเญฺจ ชีเว อธมฺมิกนฺติ ปุริโส ยํ ธมฺมโต อเปตํ ชีวิกํ ชีเวยฺย, ตํ น เสเวยฺย วิญฺญูหิ ครหิตตฺตา อปายสมฺปาปนโต จาติ อธิปฺปาโยฯ

    Yañce jīve adhammikanti puriso yaṃ dhammato apetaṃ jīvikaṃ jīveyya, taṃ na seveyya viññūhi garahitattā apāyasampāpanato cāti adhippāyo.

    อิทานิ ยถาวุตฺตํ ขีณาสวานํ อนุปเลปํ การณโต ทเสฺสโนฺต ‘‘กามโกปปหีนา’’ติอาทิคาถมาหฯ

    Idāni yathāvuttaṃ khīṇāsavānaṃ anupalepaṃ kāraṇato dassento ‘‘kāmakopapahīnā’’tiādigāthamāha.

    ตตฺถ กามโกปปหีนาติ อริยมเคฺคน สพฺพโสว ปหีนา อนุโรธปฎิวิโรธาฯ สนฺตจิตฺตา ภวาภเวติ ขุทฺทเก เจว มหเนฺต จ ภเว อนวเสสปหีนกิเลสปริฬาหตาย วูปสนฺตจิตฺตาฯ โลเกติ ขนฺธาทิโลเกฯ อสิตาติ ตณฺหาทิฎฺฐินิสฺสยวเสน อนิสฺสิตาฯ นตฺถิ เตสํ ปิยาปิยนฺติ เตสํ ขีณาสวานํ กตฺถจิ ลาภาทิเก รูปาทิวิสเย จ ปิยํ วา อปิยํ วา นตฺถิ, ตํนิมิตฺตานํ กิเลสานํ สพฺพโส สมุจฺฉินฺนตฺตาฯ

    Tattha kāmakopapahīnāti ariyamaggena sabbasova pahīnā anurodhapaṭivirodhā. Santacittā bhavābhaveti khuddake ceva mahante ca bhave anavasesapahīnakilesapariḷāhatāya vūpasantacittā. Loketi khandhādiloke. Asitāti taṇhādiṭṭhinissayavasena anissitā. Natthi tesaṃ piyāpiyanti tesaṃ khīṇāsavānaṃ katthaci lābhādike rūpādivisaye ca piyaṃ vā apiyaṃ vā natthi, taṃnimittānaṃ kilesānaṃ sabbaso samucchinnattā.

    อิทานิ ยาย ภาวนาย เต เอวรูปา ชาตา, ตํ ทเสฺสตฺวา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา เทสนาย กูฎํ คณฺหโนฺต ‘‘ภาวยิตฺวานา’’ติ โอสานคาถมาหฯ ตตฺถ ปปฺปุยฺยาติ, ปาปุณิตฺวาฯ เสสํ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ อิมา เอว จ คาถา เถรสฺส อญฺญาพฺยากรณาปิ อเหสุํฯ

    Idāni yāya bhāvanāya te evarūpā jātā, taṃ dassetvā anupādisesāya nibbānadhātuyā desanāya kūṭaṃ gaṇhanto ‘‘bhāvayitvānā’’ti osānagāthamāha. Tattha pappuyyāti, pāpuṇitvā. Sesaṃ heṭṭhā vuttanayameva. Imā eva ca gāthā therassa aññābyākaraṇāpi ahesuṃ.

    โคทตฺตเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Godattattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    จุทฺทสกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cuddasakanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๒. โคทตฺตเตฺถรคาถา • 2. Godattattheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact