Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) |
๓. โคธิกสุตฺตวณฺณนา
3. Godhikasuttavaṇṇanā
๑๕๙. ปพฺพตสฺส ปเสฺสติ ปพฺพตปาเท อุปจฺจกายํฯ สมเย สมเย ลทฺธตฺตา สามยิกํฯ เตนาห ‘‘อปฺปิตปฺปิตกฺขเณ ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุจฺจตี’’ติฯ โลกิยวิมุตฺติ หิ อนจฺจนฺตปหายิตาย สมยวิมุตฺติ นาม, โลกุตฺตรวิมุตฺติ อจฺจนฺตปหายิตาย อสมยวิมุตฺติฯ ตาหิ สมนฺนาคตา ‘‘สมยวิมุตฺตา, อสมยวิมุตฺตา’’ติ จ วุจฺจนฺติฯ ยาว ปฐมชฺฌานนิพฺพตฺตนํ, ตาว กสฺมา ปริหายีติ อโตฺถ? สาพาธตฺตาติ สโรคตฺตาฯ วาตปิตฺตเสมฺหวเสนาติ กทาจิ วาตปิตฺตวเสน, กทาจิ วาตเสมฺหวเสน, อุภินฺนมฺปิ สนฺนิปาตวเสนฯ อนุสายิโกติ กายํ อนุคนฺตฺวา สยิโต, ยาปฺยามยภาเวน ฐิโตติ อโตฺถฯ สมาธิสฺสาติ สมาธิภาวนายฯ อุปการกธเมฺม อุตุโภชนาทิเกฯ ปูเรตุนฺติ สโมธาเนตุํฯ ปริหายีติ สรีรสฺส อกลฺลภาวโตฯ
159.Pabbatassa passeti pabbatapāde upaccakāyaṃ. Samaye samaye laddhattā sāmayikaṃ. Tenāha ‘‘appitappitakkhaṇe paccanīkadhammehi vimuccatī’’ti. Lokiyavimutti hi anaccantapahāyitāya samayavimutti nāma, lokuttaravimutti accantapahāyitāya asamayavimutti. Tāhi samannāgatā ‘‘samayavimuttā, asamayavimuttā’’ti ca vuccanti. Yāva paṭhamajjhānanibbattanaṃ, tāva kasmā parihāyīti attho? Sābādhattāti sarogattā. Vātapittasemhavasenāti kadāci vātapittavasena, kadāci vātasemhavasena, ubhinnampi sannipātavasena. Anusāyikoti kāyaṃ anugantvā sayito, yāpyāmayabhāvena ṭhitoti attho. Samādhissāti samādhibhāvanāya. Upakārakadhamme utubhojanādike. Pūretunti samodhānetuṃ. Parihāyīti sarīrassa akallabhāvato.
อาหเรยฺยนฺติ ชีวิตหรณตฺถาย อุปเนยฺยํฯ นิพทฺธา คติ โหติ เกวลํ พฺรหฺมโลกูปปตฺติโต, น โสตาปนฺนาทีนํ วิย ปริจฺฉินฺนภาเวนฯ เตนาห ‘‘พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตตี’’ติฯ
Āhareyyanti jīvitaharaṇatthāya upaneyyaṃ. Nibaddhā gati hoti kevalaṃ brahmalokūpapattito, na sotāpannādīnaṃ viya paricchinnabhāvena. Tenāha ‘‘brahmaloke nibbattatī’’ti.
ชลมานาติ สมุฎฺฐิตนิยตอิทฺธิยา อนญฺญสาธารณปริวารสมฺปตฺติยา จ สเทวเก โลเก ชลมานาฯ มํสจกฺขุ ทิพฺพจกฺขุ ธมฺมจกฺขุ ปญฺญาจกฺขุ สมนฺตจกฺขูติ ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมาฯ อานุภาวธราติ อจิเนฺตยฺยาปริเมยฺยพุทฺธานุภาวสมฺปนฺนาฯ อานุภาวปริยาโยปิ หิ ชุติ-สโทฺท โหติ ‘‘อิทฺธิชุติพลวีริยูปปตฺตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๒.๒๒.๑๕๘๙, ๑๕๙๕) วิยฯ อนวเสสโต มานํ สิยติ สมุจฺฉินฺทตีติ อคฺคมโคฺค มานสํฯ ตนฺนิพฺพตฺตนา ปน อรหตฺตสฺส มานสตา ทฎฺฐพฺพาฯ สีลาทีนีติ อนุตฺตรสีลาทีนิฯ สิกฺขมาโนติ สิกฺขานิ ภาเวโนฺต อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปาเทโนฺตฯ น จิตฺตภาวนาฯ เตนาห ‘‘สกรณีโย’’ติฯ ชเนติ สตฺตสฺส กาเย, สเทวเก โลเกติ อโตฺถฯ วิสฺสุตาติ อนญฺญสาธารเณหิ สีลาทิคุเณหิ วิสฺสุตาฯ
Jalamānāti samuṭṭhitaniyataiddhiyā anaññasādhāraṇaparivārasampattiyā ca sadevake loke jalamānā. Maṃsacakkhu dibbacakkhu dhammacakkhu paññācakkhu samantacakkhūti pañcahi cakkhūhi cakkhumā. Ānubhāvadharāti acinteyyāparimeyyabuddhānubhāvasampannā. Ānubhāvapariyāyopi hi juti-saddo hoti ‘‘iddhijutibalavīriyūpapattī’’tiādīsu (jā. 2.22.1589, 1595) viya. Anavasesato mānaṃ siyati samucchindatīti aggamaggo mānasaṃ. Tannibbattanā pana arahattassa mānasatā daṭṭhabbā. Sīlādīnīti anuttarasīlādīni. Sikkhamānoti sikkhāni bhāvento attano santāne uppādento. Na cittabhāvanā. Tenāha ‘‘sakaraṇīyo’’ti. Janeti sattassa kāye, sadevake loketi attho. Vissutāti anaññasādhāraṇehi sīlādiguṇehi vissutā.
เวทนํ วิกฺขเมฺภตฺวาติ อุปฺปนฺนํ ทุกฺขเวทนํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนอตฺตกิลมถํ อนุปฺปาทนวเสน วิกฺขเมฺภตฺวา ตํเยว เวทนํ ปริคฺคเหตฺวา ปวตฺตวิปสฺสนา วีถิเมว โอตรตีติ กตฺวา มูลกมฺมฎฺฐานนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘สมสีสี หุตฺวา ปรินิพฺพายี’’ติ วตฺวา ตสฺส ปเภทํ วิภชิตฺวา อิธาธิเปฺปตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สมสีสี นาม ติวิโธ โหตี’’ติอาทิมาหฯ อิริยาปถวเสน สมสีสี อิริยาปถสมสีสีฯ เอส นโย เสสทฺวเยปิฯ
Vedanaṃ vikkhambhetvāti uppannaṃ dukkhavedanaṃ paṭicca uppannaattakilamathaṃ anuppādanavasena vikkhambhetvā taṃyeva vedanaṃ pariggahetvā pavattavipassanā vīthimeva otaratīti katvā mūlakammaṭṭhānanti vuttaṃ. ‘‘Samasīsī hutvā parinibbāyī’’ti vatvā tassa pabhedaṃ vibhajitvā idhādhippetaṃ dassetuṃ ‘‘samasīsī nāma tividho hotī’’tiādimāha. Iriyāpathavasena samasīsī iriyāpathasamasīsī. Esa nayo sesadvayepi.
อิริยาปถโกปนญฺจาติ อิริยาปเถหิ อสมาโยโคฯ เอกปฺปหาเรเนวาติ เอกเวลายเมวฯ ปรินิพฺพานวเสนาติ อนุปาทิเสสปรินิพฺพานวเสน, น กิเลสกฺขยมเตฺตนฯ เอตฺถาติ เอเตสุ ทฺวีสุ นเยสุฯ เอวํ สติ เตเนว อิริยาปเถน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา เตเนว อิริยาปเถน, เอกสฺมิํ อโนฺตโรเคเยว วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา เตเนว โรเคน ปรินิพฺพายนฺตา ขีณาสวา พหโวปิ สมสีสิโน เอว สมฺภเวยฺยุํฯ ตสฺมา วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Iriyāpathakopanañcāti iriyāpathehi asamāyogo. Ekappahārenevāti ekavelāyameva. Parinibbānavasenāti anupādisesaparinibbānavasena, na kilesakkhayamattena. Etthāti etesu dvīsu nayesu. Evaṃ sati teneva iriyāpathena vipassanaṃ paṭṭhapetvā teneva iriyāpathena, ekasmiṃ antorogeyeva vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ patvā teneva rogena parinibbāyantā khīṇāsavā bahavopi samasīsino eva sambhaveyyuṃ. Tasmā vuttanayeneva attho veditabbo.
สีสเญฺจตฺถ เตรส – ปลิโพธสีสํ ตณฺหา, พนฺธนสีสํ มาโน, ปรามาสสีสํ ทิฎฺฐิ, วิเกฺขปสีสํ อุทฺธจฺจํ, กิเลสสีสํ อวิชฺชา, อธิโมกฺขสีสํ สทฺธา, ปคฺคหสีสํ วีริยํ, อุปฎฺฐานสีสํ สติ, อวิเกฺขปสีสํ สมาธิ, ทสฺสนสีสํ ปญฺญา, ปวตฺติสีสํ ชีวิตินฺทฺริยํ, โคจรสีสํ วิโมโกฺข, สงฺขารสีสํ นิโรโธติฯ อิเมสุ เตรสสุ สีเสสุ ปลิโพธสีสาทีนิ ปวตฺติสีสญฺจ ปริยาทิยิตพฺพานิ, อธิโมกฺขสีสาทีนิ ปริยาทายกานิ, ปริยาทายกผลํ โคจรสีสํฯ ตญฺหิ วิสยชฺฌตฺตํ ผลํ วิโมโกฺข, ปริยาทายกสฺส มคฺคสฺส ผลสฺส จ อารมฺมณํ สงฺขารสีสํ สงฺขารวิเวกภูโต นิโรโธติ ปริยาทิยิตพฺพานํ ปริยาทายกผลารมฺมณานํ สห วิย สํสิทฺธํ ทสฺสเนน สมสีสิภาวํ ทเสฺสตุํ ปฎิสมฺภิทายํ เตรส สีสานิ วุตฺตานิฯ อิธ ปน ‘‘อปุพฺพํ อจริมํ อาสวปริยาทานญฺจ โหติ ชีวิตปริยาทานญฺจา’’ติ (ปุ. ป. ๑๖) วจนโต เตสุ กิเลสปวตฺตสีสานเมว วเสน โยชนํ กโรโนฺต ‘‘เอตฺถ จ ปวตฺติสีส’’นฺติอาทิมาหฯ
Sīsañcettha terasa – palibodhasīsaṃ taṇhā, bandhanasīsaṃ māno, parāmāsasīsaṃ diṭṭhi, vikkhepasīsaṃ uddhaccaṃ, kilesasīsaṃ avijjā, adhimokkhasīsaṃ saddhā, paggahasīsaṃ vīriyaṃ, upaṭṭhānasīsaṃ sati, avikkhepasīsaṃ samādhi, dassanasīsaṃ paññā, pavattisīsaṃ jīvitindriyaṃ, gocarasīsaṃ vimokkho, saṅkhārasīsaṃ nirodhoti. Imesu terasasu sīsesu palibodhasīsādīni pavattisīsañca pariyādiyitabbāni, adhimokkhasīsādīni pariyādāyakāni, pariyādāyakaphalaṃ gocarasīsaṃ. Tañhi visayajjhattaṃ phalaṃ vimokkho, pariyādāyakassa maggassa phalassa ca ārammaṇaṃ saṅkhārasīsaṃ saṅkhāravivekabhūto nirodhoti pariyādiyitabbānaṃ pariyādāyakaphalārammaṇānaṃ saha viya saṃsiddhaṃ dassanena samasīsibhāvaṃ dassetuṃ paṭisambhidāyaṃ terasa sīsāni vuttāni. Idha pana ‘‘apubbaṃ acarimaṃ āsavapariyādānañca hoti jīvitapariyādānañcā’’ti (pu. pa. 16) vacanato tesu kilesapavattasīsānameva vasena yojanaṃ karonto ‘‘ettha ca pavattisīsa’’ntiādimāha.
ตตฺถ ปวตฺติสีสํ ปวตฺตโต วุฎฺฐหโนฺต มโคฺค จุติโต อุทฺธํ อปฺปวตฺติกรณวเสน ยทิปิ ปริยาทียติ, ยาว ปน จุติ, ตาว ปวตฺติสพฺภาวโต ‘‘ปวตฺติสีสํ ชีวิตินฺทฺริยํ จุติจิตฺตํ เขเปตี’’ติ อาหฯ กิเลสปริยาทาเนน ปน มคฺคจิเตฺตน อตฺตโน อนนฺตรํ วิย นิปฺผาเทตพฺพา ปจฺจเวกฺขณวารา จ กิเลสปริยาทานเสฺสว วาราติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติฯ ‘‘วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๗๘; สํ. นิ. ๓.๑๒) วจนโต ปจฺจเวกฺขณปริสมาปเนน กิเลสปริยาทานํ สมาปิตํ นาม โหติ, ตํ ปน ปริสมาปนํ ยทิ จุติจิเตฺตน โหติ, เตเนว ชีวิตปริสมาปนญฺจ โหตีติ อิมาย วารจุติสมตาย กิเลสปริยาทานชีวิตปริยาทานานํ อปุพฺพาจริมตา เวทิตพฺพาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทฺวินฺนํ จิตฺตานํ เอกโต อุปฺปาโท นตฺถี’’ติอาทิมาหฯ ทฺวินฺนํ จิตฺตานนฺติ จุติจิตฺตมคฺคจิตฺตานํฯ ตนฺติ ปจฺจเวกฺขณํ ปริปุณฺณชวนจิตฺตานํ สตฺตกฺขตฺตุํ ปวตฺติยา, อปริปุณฺณานํ วา ปญฺจกฺขตฺตุํ ปวตฺติยาฯ กิญฺจาปิ ‘‘เอโก วา เทฺว วา’’ติ วุตฺตํ ยถา ‘‘เอกํ วา เทฺว วา ตทารมฺมณจิตฺตานี’’ติ, เหฎฺฐิมเนฺตน ปน เทฺว ปวตฺตนฺติฯ
Tattha pavattisīsaṃ pavattato vuṭṭhahanto maggo cutito uddhaṃ appavattikaraṇavasena yadipi pariyādīyati, yāva pana cuti, tāva pavattisabbhāvato ‘‘pavattisīsaṃ jīvitindriyaṃ cuticittaṃ khepetī’’ti āha. Kilesapariyādānena pana maggacittena attano anantaraṃ viya nipphādetabbā paccavekkhaṇavārā ca kilesapariyādānasseva vārāti vattabbataṃ arahanti. ‘‘Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hotī’’ti (ma. ni. 1.78; saṃ. ni. 3.12) vacanato paccavekkhaṇaparisamāpanena kilesapariyādānaṃ samāpitaṃ nāma hoti, taṃ pana parisamāpanaṃ yadi cuticittena hoti, teneva jīvitaparisamāpanañca hotīti imāya vāracutisamatāya kilesapariyādānajīvitapariyādānānaṃ apubbācarimatā veditabbāti dassento ‘‘dvinnaṃ cittānaṃ ekato uppādo natthī’’tiādimāha. Dvinnaṃ cittānanti cuticittamaggacittānaṃ. Tanti paccavekkhaṇaṃ paripuṇṇajavanacittānaṃ sattakkhattuṃ pavattiyā, aparipuṇṇānaṃ vā pañcakkhattuṃ pavattiyā. Kiñcāpi ‘‘eko vā dve vā’’ti vuttaṃ yathā ‘‘ekaṃ vā dve vā tadārammaṇacittānī’’ti, heṭṭhimantena pana dve pavattanti.
อุปฺปาเฎตฺวาติ อุทฺธริตฺวาติ อโตฺถฯ อนุปาทิเสเสนาติ อนุปาทิเสสนิพฺพาเนนฯ
Uppāṭetvāti uddharitvāti attho. Anupādisesenāti anupādisesanibbānena.
ธูมายิตตฺตนฺติ ธูมสฺส วิย อยิตภาวํ ปวตฺติอาการํฯ ธูมสทิสา วลาหกา ธูมวลาหกา, ติมิรวลาหกา, เย มหิกา ‘‘ติมิร’’นฺติ วุจฺจนฺติฯ อปฺปติฎฺฐิเตนาติ ปติฎฺฐํ อลภเนฺตนฯ อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ เอตํ กรณวจนํ, อนุปฺปตฺติธเมฺมนาติ อโตฺถฯ สติ หิ อุปฺปาเท ปติฎฺฐิตํ นาม สิยา, อฎฺฐกถายํ ปน ยเทว ตสฺส วิญฺญาณสฺส อปฺปติฎฺฐานการณํ, ตเทว ปรินิพฺพานการณนฺติ วุตฺตํ ‘‘อปฺปติฎฺฐิตการณา’’ติฯ
Dhūmāyitattanti dhūmassa viya ayitabhāvaṃ pavattiākāraṃ. Dhūmasadisā valāhakā dhūmavalāhakā, timiravalāhakā, ye mahikā ‘‘timira’’nti vuccanti. Appatiṭṭhitenāti patiṭṭhaṃ alabhantena. Itthambhūtalakkhaṇe etaṃ karaṇavacanaṃ, anuppattidhammenāti attho. Sati hi uppāde patiṭṭhitaṃ nāma siyā, aṭṭhakathāyaṃ pana yadeva tassa viññāṇassa appatiṭṭhānakāraṇaṃ, tadeva parinibbānakāraṇanti vuttaṃ ‘‘appatiṭṭhitakāraṇā’’ti.
โสเกน ผุฎฺฐสฺสาติ ‘‘อผโล วต เม วายาโม ชาโต’’ติ โสเกน อภิภูตสฺสฯ อภสฺสถาติ พลวโสกาภิตุนฺนสฺส สติสโมฺมสา สิถิลํ คหิตา ภสฺสิ ปติตา สา กจฺฉาฯ
Sokena phuṭṭhassāti ‘‘aphalo vata me vāyāmo jāto’’ti sokena abhibhūtassa. Abhassathāti balavasokābhitunnassa satisammosā sithilaṃ gahitā bhassi patitā sā kacchā.
โคธิกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Godhikasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๓. โคธิกสุตฺตํ • 3. Godhikasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๓. โคธิกสุตฺตวณฺณนา • 3. Godhikasuttavaṇṇanā