Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๑๐๘
The Middle-Length Suttas Collection 108
โคปกโมคฺคลฺลานสุตฺต
With Moggallāna the Guardian
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ อายสฺมา อานนฺโท ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป อจิรปรินิพฺพุเต ภควติฯ
So I have heard. At one time Venerable Ānanda was staying near Rājagaha, in the Bamboo Grove, the squirrels’ feeding ground. It was not long after the Buddha had become fully extinguished.
เตน โข ปน สมเยน ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต ราชคหํ ปฏิสงฺขาราเปติ รญฺโญ ปชฺโชตสฺส อาสงฺกมาโนฯ
Now at that time King Ajātasattu of Magadha, son of the princess of Videha, being suspicious of King Pajjota, was having Rājagaha fortified.
อถ โข อายสฺมา อานนฺโท ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ
Then Venerable Ānanda robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Rājagaha for alms.
อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ: “อติปฺปโค โข ตาว ราชคเห ปิณฺฑาย จริตุํฯ ยนฺนูนาหํ เยน โคปกโมคฺคลฺลานสฺส พฺราหฺมณสฺส กมฺมนฺโต, เยน โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกเมยฺยนฺ”ติฯ
Then it occurred to him, “It’s too early to wander for alms in Rājagaha. Why don’t I go to see the brahmin Moggallāna the Guardian at his place of work?”
อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน โคปกโมคฺคลฺลานสฺส พฺราหฺมณสฺส กมฺมนฺโต, เยน โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “เอตุ โข ภวํ อานนฺโทฯ สฺวาคตํ โภโต อานนฺทสฺสฯ จิรสฺสํ โข ภวํ อานนฺโท อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ ภวํ อานนฺโท, อิทมาสนํ ปญฺญตฺตนฺ”ติฯ
So that’s what he did. Moggallāna the Guardian saw Ānanda coming off in the distance and said to him, “Come, Master Ānanda! Welcome, Master Ānanda! It’s been a long time since you took the opportunity to come here. Please, sir, sit down, this seat is ready.”
นิสีทิ โข อายสฺมา อานนฺโท ปญฺญตฺเต อาสเนฯ โคปกโมคฺคลฺลาโนปิ โข พฺราหฺมโณ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธมฺเมหิ สพฺเพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต โส ภวํ โคตโม อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ”ติ?
Ānanda sat down on the seat spread out, while Moggallāna took a low seat and sat to one side. Then he said to Ānanda, “Master Ānanda, is there even a single bhikkhu who has all the same qualities in each and every way as possessed by Master Gotama, the perfected one, the fully awakened Buddha?”
“นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธมฺเมหิ สพฺเพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต โส ภควา อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู, มคฺควิทู, มคฺคโกวิโท; มคฺคานุคา จ ปน เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา”ติฯ
“No, brahmin, there is not. For the Blessed One gave rise to the unarisen path, gave birth to the unborn path, and explained the unexplained path. He is the knower of the path, the discoverer of the path, the expert on the path. And now the disciples live following the path; they acquire it later.”
อยญฺจ หิทํ อายสฺมโต อานนฺทสฺส โคปกโมคฺคลฺลาเนน พฺราหฺมเณน สทฺธึ อนฺตรากถา วิปฺปกตา อโหสิฯ
But this conversation between Ānanda and Moggallāna the Guardian was left unfinished.
อถ โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต ราชคเห กมฺมนฺเต อนุสญฺญายมาโน เยน โคปกโมคฺคลฺลานสฺส พฺราหฺมณสฺส กมฺมนฺโต, เยนายสฺมา อานนฺโท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อานนฺเทน สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “กาย นุตฺถ, โภ อานนฺท, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?
For just then the brahmin Vassakāra, a minister of Magadha, while supervising the work at Rājagaha, approached Ānanda at Moggallāna’s place of work and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to Ānanda, “Master Ānanda, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”
“อิธ มํ, พฺราหฺมณ, โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ เอวมาห: ‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธมฺเมหิ สพฺเพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต โส ภวํ โคตโม อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ'ติฯ เอวํ วุตฺเต, อหํ, พฺราหฺมณ, โคปกโมคฺคลฺลานํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจํ: ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธมฺเมหิ สพฺเพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต โส ภควา อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู, มคฺควิทู, มคฺคโกวิโท; มคฺคานุคา จ ปน เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา'ติฯ อยํ โข โน, พฺราหฺมณ, โคปกโมคฺคลฺลาเนน พฺราหฺมเณน สทฺธึ อนฺตรากถา วิปฺปกตาฯ อถ ตฺวํ อนุปฺปตฺโต”ติฯ
So Ānanda told him of the conversation that they were having when Vassakāra arrived. Vassakāra said:
“อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตน โภตา โคตเมน ฐปิโต: ‘อยํ โว มมจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตี'ติ, ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยาถา”ติ?
“Master Ānanda, is there even a single bhikkhu who was appointed by Master Gotama, saying: ‘This one will be your refuge when I have passed away,’ to whom you now turn?”
“นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ฐปิโต: ‘อยํ โว มมจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตี'ติ, ยํ มยํ เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยามา”ติฯ
“No, there is not.”
“อตฺถิ ปน, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ สงฺเฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต: ‘อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตี'ติ, ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยาถา”ติ?
“But is there even a single bhikkhu who has been elected to such a position by the Saṅgha and appointed by several senior bhikkhus?”
“นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ สงฺเฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต: ‘อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตี'ติ, ยํ มยํ เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยามา”ติฯ
“No, there is not.”
“เอวํ อปฺปฏิสรเณ จ ปน, โภ อานนฺท, โก เหตุ สามคฺคิยา”ติ?
“But since you lack a refuge, Master Ānanda, what’s the reason for your harmony?”
“น โข มยํ, พฺราหฺมณ, อปฺปฏิสรณา; สปฺปฏิสรณา มยํ, พฺราหฺมณ; ธมฺมปฺปฏิสรณา”ติฯ
“We don’t lack a refuge, brahmin, we have a refuge. The teaching is our refuge.”
“‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตน โภตา โคตเมน ฐปิโต—อยํ โว มมจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตีติ, ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยาถา'ติ—อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ฐปิโต—อยํ โว มมจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตีติ, ยํ มยํ เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยามา'ติ วเทสิ; ‘อตฺถิ ปน, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ สงฺเฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต—อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตีติ, ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยาถา'ติ—อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ สงฺเฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต—อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตีติ, ยํ มยํ เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยามา'ติ—วเทสิ; ‘เอวํ อปฺปฏิสรเณ จ ปน, โภ อานนฺท, โก เหตุ สามคฺคิยา'ติ อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘น โข มยํ, พฺราหฺมณ, อปฺปฏิสรณา; สปฺปฏิสรณา มยํ, พฺราหฺมณ; ธมฺมปฺปฏิสรณา'ติ วเทสิฯ อิมสฺส ปน, โภ อานนฺท, ภาสิตสฺส กถํ อตฺโถ ทฏฺฐพฺโพ”ติ?
“But Master Ānanda, when asked whether there was even a single bhikkhu—either appointed by the Buddha, or elected by the Saṅgha and appointed by several senior bhikkhus—who serves as your refuge after the Buddha passed away, to whom you now turn, you replied, ‘No, there is not.’ But you say that the reason for your harmony is that you have the teaching as a refuge. How should I see the meaning of this statement?”
“อตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิฏฺฐํฯ เต มยํ ตทหุโปสเถ ยาวติกา เอกํ คามเขตฺตํ อุปนิสฺสาย วิหราม เต สพฺเพ เอกชฺฌํ สนฺนิปตาม; สนฺนิปติตฺวา ยสฺส ตํ ปวตฺตติ ตํ อชฺเฌสามฯ ตสฺมิญฺเจ ภญฺญมาเน โหติ ภิกฺขุสฺส อาปตฺติ โหติ วีติกฺกโม ตํ มยํ ยถาธมฺมํ ยถานุสิฏฺฐํ กาเรมาติฯ น กิร โน ภวนฺโต กาเรนฺติ; ธมฺโม โน กาเรติ”ฯ
“The Blessed One, who knows and sees, the perfected one, the fully awakened Buddha laid down training rules and recited the monastic code for the bhikkhus. On the day of the Uposatha all of us who live in dependence on one village district gather together as one. We invite one who has freshly rehearsed the code to recite it. If anyone remembers an offense or transgression while they’re reciting, we make them act in line with the teachings and in line with the instructions. It’s not the venerables that make us act, it’s the teaching that makes us act.”
“อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ ยํ ตุเมฺห เอตรหิ สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรถา”ติ?
“Master Ānanda, is there even a single bhikkhu who you honor, respect, revere, venerate, and rely on?”
“นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ ยํ มยํ เอตรหิ สกฺกโรม ครุํ กโรม มาเนม ปูเชม; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรามา”ติฯ
“There is, brahmin.”
“‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตน โภตา โคตเมน ฐปิโต—อยํ โว มมจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตีติ ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยาถา'ติ—อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ฐปิโต—อยํ โว มมจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตีติ ยํ มยํ เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยามา'ติ วเทสิ; ‘อตฺถิ ปน, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ สงฺเฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต—อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตีติ ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยาถา'ติ—อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ สงฺเฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต—อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฏิสรณํ ภวิสฺสตีติ ยํ มยํ เอตรหิ ปฏิปาเทยฺยามา'ติ วเทสิ; ‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ ยํ ตุเมฺห เอตรหิ สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรถา'ติ—อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ ยํ มยํ เอตรหิ สกฺกโรม ครุํ กโรม มาเนม ปูเชม; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรามา'ติ วเทสิฯ อิมสฺส ปน, โภ อานนฺท, ภาสิตสฺส กถํ อตฺโถ ทฏฺฐพฺโพ”ติ?
“But Master Ānanda, when asked whether there was even a single bhikkhu—either appointed by the Buddha, or elected by the Saṅgha and appointed by several senior bhikkhus—who serves as your refuge after the Buddha passed away, to whom you now turn, you replied, ‘No, there is not.’ But when asked whether there is even a single bhikkhu who you honor, respect, revere, venerate, and rely on, you replied, ‘There is.’ How should I see the meaning of this statement?”
“อตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ทส ปสาทนียา ธมฺมา อกฺขาตาฯ ยสฺมึ โน อิเม ธมฺมา สํวิชฺชนฺติ ตํ มยํ เอตรหิ สกฺกโรม ครุํ กโรม มาเนม ปูเชม; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรามฯ กตเม ทส?
“There are ten inspiring things explained by the Blessed One, who knows and sees, the perfected one, the fully awakened Buddha. We honor anyone in whom these things are found. What ten?
อิธ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ สีลวา โหติ, ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ อาจารโคจรสมฺปนฺโน, อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี, สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุฯ
It’s when a bhikkhu is ethical, restrained in the monastic code, conducting themselves well and seeking alms in suitable places. Seeing danger in the slightest fault, they keep the rules they’ve undertaken.
พหุสฺสุโต โหติ สุตธโร สุตสนฺนิจโยฯ เย เต ธมฺมา อาทิกลฺยาณา, มชฺเฌกลฺยาณา, ปริโยสานกลฺยาณา, สาตฺถํ, สพฺยญฺชนํ, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ อภิวทนฺติ ตถารูปาสฺส ธมฺมา พหุสฺสุตา โหนฺติ ธาตา วจสา ปริจิตา มนสานุเปกฺขิตา ทิฏฺฐิยา สุปฺปฏิวิทฺธาฯ
They’re very learned, remembering and keeping what they’ve learned. These teachings are good in the beginning, good in the middle, and good in the end, meaningful and well-phrased, describing a spiritual practice that’s entirely full and pure. They are very learned in such teachings, remembering them, reinforcing them by recitation, mentally scrutinizing them, and comprehending them theoretically.
สนฺตุฏฺโฐ โหติ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรหิฯ
They’re content with robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick.
จตุนฺนํ ฌานานํ อาภิเจตสิกานํ ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหารานํ นิกามลาภี โหติ อกิจฺฉลาภี อกสิรลาภีฯ
They get the four jhānas—blissful meditations in the present life that belong to the higher mind—when they want, without trouble or difficulty.
อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภติ—เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ ติโรภาวํ; ติโรกุฏฺฏํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรติ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลงฺเกน กมติ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสติ ปริมชฺชติ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วตฺเตติฯ
They wield the many kinds of psychic power: multiplying themselves and becoming one again; appearing and disappearing; going unimpeded through a wall, a rampart, or a mountain as if through space; diving in and out of the earth as if it were water; walking on water as if it were earth; flying cross-legged through the sky like a bird; touching and stroking with the hand the sun and moon, so mighty and powerful. They control the body as far as the Brahmā realm.
ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สทฺเท สุณาติ—ทิพฺเพ จ มานุเส จ, เย ทูเร สนฺติเก จฯ
With clairaudience that is purified and superhuman, they hear both kinds of sounds, human and divine, whether near or far.
ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติฯ สราคํ วา จิตฺตํ ‘สราคํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ ‘วีตราคํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, สโทสํ วา จิตฺตํ ‘สโทสํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ ‘วีตโทสํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, สโมหํ วา จิตฺตํ ‘สโมหํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ ‘วีตโมหํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘สงฺขิตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, มหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘มหคฺคตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘อมหคฺคตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, เสาตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘เสาตฺตรํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘อนุตฺตรํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, สมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘สมาหิตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘อสมาหิตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิมุตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานาติฯ
They understand the minds of other beings and individuals, having comprehended them with their own mind. They understand mind with greed as ‘mind with greed’, and mind without greed as ‘mind without greed’. They understand mind with hate … mind without hate … mind with delusion … mind without delusion … constricted mind … scattered mind … expansive mind … unexpansive mind … mind that is not supreme … mind that is supreme … mind immersed in samādhi … mind not immersed in samādhi … freed mind … They understand unfreed mind as ‘unfreed mind’.
อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ตึสมฺปิ ชาติโย จตฺตารีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ วิวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป: ‘อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน'ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ
They recollect many kinds of past lives. That is: one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths; many eons of the world contracting, many eons of the world expanding, many eons of the world contracting and expanding. They remember: ‘There, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn somewhere else. There, too, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn here.’ And so they recollect their many kinds of past lives, with features and details.
ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติฯ
With clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. They understand how sentient beings are reborn according to their deeds.
อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ
They realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life. And they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements.
อิเม โข, พฺราหฺมณ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ทส ปสาทนียา ธมฺมา อกฺขาตาฯ ยสฺมึ โน อิเม ธมฺมา สํวิชฺชนฺติ ตํ มยํ เอตรหิ สกฺกโรม ครุํ กโรม มาเนม ปูเชม; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรามา”ติฯ
These are the ten inspiring things explained by the Blessed One, who knows and sees, the perfected one, the fully awakened Buddha. We honor anyone in whom these things are found, and rely on them.”
เอวํ วุตฺเต, วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต อุปนนฺทํ เสนาปตึ อามนฺเตสิ: “ตํ กึ มญฺญติ ภวํ เสนาปติ ยทิเม โภนฺโต สกฺกาตพฺพํ สกฺกโรนฺติ, ครุํ กาตพฺพํ ครุํ กโรนฺติ, มาเนตพฺพํ มาเนนฺติ, ปูเชตพฺพํ ปูเชนฺติ”?
When he had spoken, Vassakāra addressed General Upananda, “What do you think, general? Do these venerables honor, respect, revere, and venerate those who are worthy?”
“ตคฺฆิเม โภนฺโต สกฺกาตพฺพํ สกฺกโรนฺติ, ครุํ กาตพฺพํ ครุํ กโรนฺติ, มาเนตพฺพํ มาเนนฺติ, ปูเชตพฺพํ ปูเชนฺติฯ อิมญฺจ หิ เต โภนฺโต น สกฺกเรยฺยุํ น ครุํ กเรยฺยุํ น มาเนยฺยุํ น ปูเชยฺยุํ; อถ กิญฺจรหิ เต โภนฺโต สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา มาเนตฺวา ปูเชตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุนฺ”ติ?
“Indeed they do. For if these venerables were not to honor, respect, revere, and venerate such a person, then who exactly would they honor?”
อถ โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “กหํ ปน ภวํ อานนฺโท เอตรหิ วิหรตี”ติ?
Then Vassakāra said to Ānanda, “Where are you staying at present?”
“เวฬุวเน โขหํ, พฺราหฺมณ, เอตรหิ วิหรามี”ติฯ
“In the Bamboo Grove, brahmin.”
“กจฺจิ ปน, โภ อานนฺท, เวฬุวนํ รมณียญฺเจว อปฺปสทฺทญฺจ อปฺปนิคฺโฆสญฺจ วิชนวาตํ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกํ ปฏิสลฺลานสารุปฺปนฺ”ติ?
“I hope the Bamboo Grove is delightful, quiet and still, far from the madding crowd, remote from human settlements, and fit for retreat?”
“ตคฺฆ, พฺราหฺมณ, เวฬุวนํ รมณียญฺเจว อปฺปสทฺทญฺจ อปฺปนิคฺโฆสญฺจ วิชนวาตํ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกํ ปฏิสลฺลานสารุปฺปํ, ยถา ตํ ตุมฺหาทิเสหิ รกฺขเกหิ โคปเกหี”ติฯ
“Indeed it is, brahmin. And it is like that owing to such protectors and guardians as yourself.”
“ตคฺฆ, โภ อานนฺท, เวฬุวนํ รมณียญฺเจว อปฺปสทฺทญฺจ อปฺปนิคฺโฆสญฺจ วิชนวาตํ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกํ ปฏิสลฺลานสารุปฺปํ, ยถา ตํ ภวนฺเตหิ ฌายีหิ ฌานสีลีหิฯ ฌายิโน เจว ภวนฺโต ฌานสีลิโน จฯ
“Surely, Master Ānanda, it is owing to the venerables who meditate, making a habit of meditating. For the venerables do in fact meditate and make a habit of meditating.
เอกมิทาหํ, โภ อานนฺท, สมยํ โส ภวํ โคตโม เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฏาคารสาลายํฯ อถ ขฺวาหํ, โภ อานนฺท, เยน มหาวนํ กูฏาคารสาลา เยน โส ภวํ โคตโม เตนุปสงฺกมึฯ ตตฺร จ ปน โส ภวํ โคตโม อเนกปริยาเยน ฌานกถํ กเถสิฯ ฌายี เจว โส ภวํ โคตโม อโหสิ ฌานสีลี จฯ สพฺพญฺจ ปน โส ภวํ โคตโม ฌานํ วณฺเณสี”ติฯ
This one time, Master Ānanda, Master Gotama was staying near Vesālī, at the Great Wood, in the hall with the peaked roof. So I went there to see him. And there he spoke about meditation in many ways. He meditated, and made a habit of meditating. And he praised all kinds of meditation.”
“น จ โข, พฺราหฺมณ, โส ภควา สพฺพํ ฌานํ วณฺเณสิ, นปิ โส ภควา สพฺพํ ฌานํ น วณฺเณสีติฯ กถํ รูปญฺจ, พฺราหฺมณ, โส ภควา ฌานํ น วณฺเณสิ? อิธ, พฺราหฺมณ, เอกจฺโจ กามราคปริยุฏฺฐิเตน เจตสา วิหรติ กามราคปเรเตน, อุปฺปนฺนสฺส จ กามราคสฺส นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส กามราคํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ พฺยาปาทปริยุฏฺฐิเตน เจตสา วิหรติ พฺยาปาทปเรเตน, อุปฺปนฺนสฺส จ พฺยาปาทสฺส นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส พฺยาปาทํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ ถินมิทฺธปริยุฏฺฐิเตน เจตสา วิหรติ ถินมิทฺธปเรเตน, อุปฺปนฺนสฺส จ ถินมิทฺธสฺส นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส ถินมิทฺธํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจปริยุฏฺฐิเตน เจตสา วิหรติ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจปเรเตน, อุปฺปนฺนสฺส จ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ วิจิกิจฺฉาปริยุฏฺฐิเตน เจตสา วิหรติ วิจิกิจฺฉาปเรเตน, อุปฺปนฺนาย จ วิจิกิจฺฉาย นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส วิจิกิจฺฉํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ เอวรูปํ โข, พฺราหฺมณ, โส ภควา ฌานํ น วณฺเณสิฯ
“No, brahmin, the Buddha did not praise all kinds of meditation, nor did he dispraise all kinds of meditation. And what kind of meditation did he not praise? It’s when someone’s heart is overcome and mired in sensual desire, and they don’t truly understand the escape from sensual desire that has arisen. Harboring sensual desire within they meditate and concentrate and contemplate and ruminate. Their heart is overcome and mired in ill will … dullness and drowsiness … restlessness and remorse … doubt, and they don’t truly know and see the escape from doubt that has arisen. Harboring doubt within they meditate and concentrate and contemplate and ruminate. The Buddha didn’t praise this kind of meditation.
กถํ รูปญฺจ, พฺราหฺมณ, โส ภควา ฌานํ วณฺเณสิ? อิธ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ … ตติยํ ฌานํ … จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอวรูปํ โข, พฺราหฺมณ, โส ภควา ฌานํ วณฺเณสี”ติฯ
And what kind of meditation did he praise? It’s when a bhikkhu, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, enters and remains in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. As the placing of the mind and keeping it connected are stilled, they enter and remain in the second jhāna, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. And with the fading away of rapture, they enter and remain in the third jhāna, where they meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ Giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, they enter and remain in the fourth jhāna, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. The Buddha praised this kind of meditation.”
“คารยฺหํ กิร, โภ อานนฺท, โส ภวํ โคตโม ฌานํ ครหิ, ปาสํสํ ปสํสิฯ หนฺท จ ทานิ มยํ, โภ อานนฺท, คจฺฉาม; พหุกิจฺจา มยํ พหุกรณียา”ติฯ
“Well, Master Ānanda, it seems that Master Gotama criticized the kind of meditation that deserves criticism and praised that deserving of praise. Well, now, Master Ānanda, I must go. I have many duties, and much to do.”
“ยสฺสทานิ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, กาลํ มญฺญสี”ติฯ
“Please, brahmin, go at your convenience.”
อถ โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต อายสฺมโต อานนฺทสฺส ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ
Then Vassakāra the brahmin, having approved and agreed with what Venerable Ānanda said, got up from his seat and left.
อถ โข โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ อจิรปกฺกนฺเต วสฺสกาเร พฺราหฺมเณ มคธมหามตฺเต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “ยํ โน มยํ ภวนฺตํ อานนฺทํ อปุจฺฉิมฺหา ตํ โน ภวํ อานนฺโท น พฺยากาสี”ติฯ
Soon after he had left, Moggallāna the Guardian said to Ānanda, “Master Ānanda, you still haven’t answered my question.”
“นนุ เต, พฺราหฺมณ, อโวจุมฺหา: ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธมฺเมหิ สพฺเพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต โส ภควา อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู, มคฺควิทู, มคฺคโกวิโทฯ มคฺคานุคา จ ปน เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา'”ติฯ
“But brahmin, didn’t I say: ‘There is no single bhikkhu who has all the same qualities in each and every way as possessed by Master Gotama, the perfected one, the fully awakened Buddha. For the Blessed One gave rise to the unarisen path, gave birth to the unborn path, and explained the unexplained path. He is the knower of the path, the discoverer of the path, the expert on the path. And now the disciples live following the path; they acquire it later.’”
โคปกโมคฺคลฺลานสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ อฏฺฐมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]