Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๘. โคปกโมคฺคลฺลานสุตฺตํ

    8. Gopakamoggallānasuttaṃ

    ๗๙. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ อายสฺมา อานโนฺท ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป อจิรปรินิพฺพุเต ภควติฯ เตน โข ปน สมเยน ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุโตฺต ราชคหํ ปฎิสงฺขาราเปติ รโญฺญ ปโชฺชตสฺส อาสงฺกมาโนฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อติปฺปโค โข ตาว ราชคเห ปิณฺฑาย จริตุํฯ ยํนูนาหํ เยน โคปกโมคฺคลฺลานสฺส พฺราหฺมณสฺส กมฺมโนฺต, เยน โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกเมยฺย’’นฺติฯ

    79. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ āyasmā ānando rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe aciraparinibbute bhagavati. Tena kho pana samayena rājā māgadho ajātasattu vedehiputto rājagahaṃ paṭisaṅkhārāpeti rañño pajjotassa āsaṅkamāno. Atha kho āyasmā ānando pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi. Atha kho āyasmato ānandassa etadahosi – ‘‘atippago kho tāva rājagahe piṇḍāya carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ yena gopakamoggallānassa brāhmaṇassa kammanto, yena gopakamoggallāno brāhmaṇo tenupasaṅkameyya’’nti.

    อถ โข อายสฺมา อานโนฺท เยน โคปกโมคฺคลฺลานสฺส พฺราหฺมณสฺส กมฺมโนฺต, เยน โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘เอตุ โข ภวํ อานโนฺทฯ สฺวาคตํ โภโต อานนฺทสฺสฯ จิรสฺสํ โข ภวํ อานโนฺท อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ ภวํ อานโนฺท, อิทมาสนํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ นิสีทิ โข อายสฺมา อานโนฺท ปญฺญเตฺต อาสเนฯ โคปกโมคฺคลฺลาโนปิ โข พฺราหฺมโณ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธเมฺมหิ สเพฺพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โส ภวํ โคตโม อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ? ‘‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธเมฺมหิ สเพฺพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โส ภควา อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู, มคฺควิทู, มคฺคโกวิโท; มคฺคานุคา จ ปน เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา’’ติฯ อยญฺจ หิทํ อายสฺมโต อานนฺทสฺส โคปกโมคฺคลฺลาเนน พฺราหฺมเณน สทฺธิํ อนฺตรากถา วิปฺปกตา อโหสิฯ

    Atha kho āyasmā ānando yena gopakamoggallānassa brāhmaṇassa kammanto, yena gopakamoggallāno brāhmaṇo tenupasaṅkami. Addasā kho gopakamoggallāno brāhmaṇo āyasmantaṃ ānandaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘etu kho bhavaṃ ānando. Svāgataṃ bhoto ānandassa. Cirassaṃ kho bhavaṃ ānando imaṃ pariyāyamakāsi yadidaṃ idhāgamanāya. Nisīdatu bhavaṃ ānando, idamāsanaṃ paññatta’’nti. Nisīdi kho āyasmā ānando paññatte āsane. Gopakamoggallānopi kho brāhmaṇo aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho gopakamoggallāno brāhmaṇo āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘atthi nu kho, bho ānanda, ekabhikkhupi tehi dhammehi sabbenasabbaṃ sabbathāsabbaṃ samannāgato yehi dhammehi samannāgato so bhavaṃ gotamo ahosi arahaṃ sammāsambuddho’’ti? ‘‘Natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi tehi dhammehi sabbenasabbaṃ sabbathāsabbaṃ samannāgato yehi dhammehi samannāgato so bhagavā ahosi arahaṃ sammāsambuddho. So hi, brāhmaṇa, bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā, asañjātassa maggassa sañjanetā, anakkhātassa maggassa akkhātā, maggaññū, maggavidū, maggakovido; maggānugā ca pana etarahi sāvakā viharanti pacchā samannāgatā’’ti. Ayañca hidaṃ āyasmato ānandassa gopakamoggallānena brāhmaṇena saddhiṃ antarākathā vippakatā ahosi.

    อถ โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามโตฺต ราชคเห กมฺมเนฺต อนุสญฺญายมาโน เยน โคปกโมคฺคลฺลานสฺส พฺราหฺมณสฺส กมฺมโนฺต, เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อานเนฺทน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามโตฺต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘กายนุตฺถ, โภ อานนฺท, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา’’ติ? ‘‘อิธ มํ, พฺราหฺมณ, โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ เอวมาห – ‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธเมฺมหิ สเพฺพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โส ภวํ โคตโม อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’ติฯ เอวํ วุเตฺต อหํ, พฺราหฺมณ, โคปกโมคฺคลฺลานํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจํ – ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธเมฺมหิ สเพฺพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โส ภควา อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู, มคฺควิทู, มคฺคโกวิโท; มคฺคานุคา จ ปน เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา’ติฯ อยํ โข โน, พฺราหฺมณ, โคปกโมคฺคลฺลาเนน พฺราหฺมเณน สทฺธิํ อนฺตรากถา วิปฺปกตาฯ อถ ตฺวํ อนุปฺปโตฺต’’ติฯ

    Atha kho vassakāro brāhmaṇo magadhamahāmatto rājagahe kammante anusaññāyamāno yena gopakamoggallānassa brāhmaṇassa kammanto, yenāyasmā ānando tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā ānandena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho vassakāro brāhmaṇo magadhamahāmatto āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘kāyanuttha, bho ānanda, etarahi kathāya sannisinnā, kā ca pana vo antarākathā vippakatā’’ti? ‘‘Idha maṃ, brāhmaṇa, gopakamoggallāno brāhmaṇo evamāha – ‘atthi nu kho, bho ānanda, ekabhikkhupi tehi dhammehi sabbenasabbaṃ sabbathāsabbaṃ samannāgato yehi dhammehi samannāgato so bhavaṃ gotamo ahosi arahaṃ sammāsambuddho’ti. Evaṃ vutte ahaṃ, brāhmaṇa, gopakamoggallānaṃ brāhmaṇaṃ etadavocaṃ – ‘natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi tehi dhammehi sabbenasabbaṃ sabbathāsabbaṃ samannāgato yehi dhammehi samannāgato so bhagavā ahosi arahaṃ sammāsambuddho. So hi, brāhmaṇa, bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā, asañjātassa maggassa sañjanetā, anakkhātassa maggassa akkhātā, maggaññū, maggavidū, maggakovido; maggānugā ca pana etarahi sāvakā viharanti pacchā samannāgatā’ti. Ayaṃ kho no, brāhmaṇa, gopakamoggallānena brāhmaṇena saddhiṃ antarākathā vippakatā. Atha tvaṃ anuppatto’’ti.

    ๘๐. ‘‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตน โภตา โคตเมน ฐปิโต – ‘อยํ โว มมจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตี’ติ, ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยาถา’’ติ 1? ‘‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ฐปิโต – ‘อยํ โว มมจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตี’ติ, ยํ มยํ เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยามา’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ สเงฺฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต – ‘อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตี’ติ, ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยาถา’’ติ? ‘‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ สเงฺฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต – ‘อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตี’ติ, ยํ มยํ เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยามา’’ติฯ ‘‘เอวํ อปฺปฎิสรเณ จ ปน, โภ อานนฺท, โก เหตุ สามคฺคิยา’’ติ? ‘‘น โข มยํ, พฺราหฺมณ, อปฺปฎิสรณา; สปฺปฎิสรณา มยํ, พฺราหฺมณ; ธมฺมปฺปฎิสรณา’’ติฯ

    80. ‘‘Atthi nu kho, bho ānanda, ekabhikkhupi tena bhotā gotamena ṭhapito – ‘ayaṃ vo mamaccayena paṭisaraṇaṃ bhavissatī’ti, yaṃ tumhe etarahi paṭipādeyyāthā’’ti 2? ‘‘Natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena ṭhapito – ‘ayaṃ vo mamaccayena paṭisaraṇaṃ bhavissatī’ti, yaṃ mayaṃ etarahi paṭipādeyyāmā’’ti. ‘‘Atthi pana, bho ānanda, ekabhikkhupi saṅghena sammato, sambahulehi therehi bhikkhūhi ṭhapito – ‘ayaṃ no bhagavato accayena paṭisaraṇaṃ bhavissatī’ti, yaṃ tumhe etarahi paṭipādeyyāthā’’ti? ‘‘Natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi saṅghena sammato, sambahulehi therehi bhikkhūhi ṭhapito – ‘ayaṃ no bhagavato accayena paṭisaraṇaṃ bhavissatī’ti, yaṃ mayaṃ etarahi paṭipādeyyāmā’’ti. ‘‘Evaṃ appaṭisaraṇe ca pana, bho ānanda, ko hetu sāmaggiyā’’ti? ‘‘Na kho mayaṃ, brāhmaṇa, appaṭisaraṇā; sappaṭisaraṇā mayaṃ, brāhmaṇa; dhammappaṭisaraṇā’’ti.

    ‘‘‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตน โภตา โคตเมน ฐปิโต – อยํ โว มมจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตีติ, ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยาถา’ติ – อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ฐปิโต – อยํ โว มมจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตีติ, ยํ มยํ เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยามา’ติ วเทสิ; ‘อตฺถิ ปน, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ สเงฺฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต – อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตีติ, ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยาถา’ติ – อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ สเงฺฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต – อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตีติ, ยํ มยํ เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยามา’ติ – วเทสิ; ‘เอวํ อปฺปฎิสรเณ จ ปน, โภ อานนฺท, โก เหตุ สามคฺคิยา’ติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘น โข มยํ, พฺราหฺมณ , อปฺปฎิสรณา; สปฺปฎิสรณา มยํ, พฺราหฺมณ; ธมฺมปฺปฎิสรณา’ติ วเทสิฯ อิมสฺส ปน, โภ อานนฺท, ภาสิตสฺส กถํ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ?

    ‘‘‘Atthi nu kho, bho ānanda, ekabhikkhupi tena bhotā gotamena ṭhapito – ayaṃ vo mamaccayena paṭisaraṇaṃ bhavissatīti, yaṃ tumhe etarahi paṭipādeyyāthā’ti – iti puṭṭho samāno ‘natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena ṭhapito – ayaṃ vo mamaccayena paṭisaraṇaṃ bhavissatīti, yaṃ mayaṃ etarahi paṭipādeyyāmā’ti vadesi; ‘atthi pana, bho ānanda, ekabhikkhupi saṅghena sammato, sambahulehi therehi bhikkhūhi ṭhapito – ayaṃ no bhagavato accayena paṭisaraṇaṃ bhavissatīti, yaṃ tumhe etarahi paṭipādeyyāthā’ti – iti puṭṭho samāno ‘natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi saṅghena sammato, sambahulehi therehi bhikkhūhi ṭhapito – ayaṃ no bhagavato accayena paṭisaraṇaṃ bhavissatīti, yaṃ mayaṃ etarahi paṭipādeyyāmā’ti – vadesi; ‘evaṃ appaṭisaraṇe ca pana, bho ānanda, ko hetu sāmaggiyā’ti iti puṭṭho samāno ‘na kho mayaṃ, brāhmaṇa , appaṭisaraṇā; sappaṭisaraṇā mayaṃ, brāhmaṇa; dhammappaṭisaraṇā’ti vadesi. Imassa pana, bho ānanda, bhāsitassa kathaṃ attho daṭṭhabbo’’ti?

    ๘๑. ‘‘อตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิฎฺฐํฯ เต มยํ ตทหุโปสเถ ยาวติกา เอกํ คามเขตฺตํ อุปนิสฺสาย วิหราม เต สเพฺพ เอกชฺฌํ สนฺนิปตาม; สนฺนิปติตฺวา ยสฺส ตํ ปวตฺตติ ตํ อเชฺฌสามฯ ตสฺมิํ เจ ภญฺญมาเน โหติ ภิกฺขุสฺส อาปตฺติ โหติ วีติกฺกโม ตํ มยํ ยถาธมฺมํ ยถานุสิฎฺฐํ กาเรมาติฯ

    81. ‘‘Atthi kho, brāhmaṇa, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena bhikkhūnaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, pātimokkhaṃ uddiṭṭhaṃ. Te mayaṃ tadahuposathe yāvatikā ekaṃ gāmakhettaṃ upanissāya viharāma te sabbe ekajjhaṃ sannipatāma; sannipatitvā yassa taṃ pavattati taṃ ajjhesāma. Tasmiṃ ce bhaññamāne hoti bhikkhussa āpatti hoti vītikkamo taṃ mayaṃ yathādhammaṃ yathānusiṭṭhaṃ kāremāti.

    ‘‘น กิร โน ภวโนฺต กาเรนฺติ; ธโมฺม โน กาเรติ’’ฯ ‘‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ ยํ ตุเมฺห เอตรหิ สกฺกโรถ ครุํ กโรถ 3 มาเนถ ปูเชถ; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา 4 อุปนิสฺสาย วิหรถา’’ติ? ‘‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ ยํ มยํ เอตรหิ สกฺกโรม ครุํ กโรม มาเนม ปูเชม; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรามา’’ติฯ

    ‘‘Na kira no bhavanto kārenti; dhammo no kāreti’’. ‘‘Atthi nu kho, bho ānanda, ekabhikkhupi yaṃ tumhe etarahi sakkarotha garuṃ karotha 5 mānetha pūjetha; sakkatvā garuṃ katvā 6 upanissāya viharathā’’ti? ‘‘Natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi yaṃ mayaṃ etarahi sakkaroma garuṃ karoma mānema pūjema; sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharāmā’’ti.

    ‘‘‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ เตน โภตา โคตเมน ฐปิโต – อยํ โว มมจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตีติ ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยาถา’ติ – อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ฐปิโต – อยํ โว มมจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตีติ ยํ มยํ เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยามา’ติ วเทสิ; ‘อตฺถิ ปน, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ สเงฺฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต – อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตีติ ยํ ตุเมฺห เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยาถา’ติ – อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ สเงฺฆน สมฺมโต, สมฺพหุเลหิ เถเรหิ ภิกฺขูหิ ฐปิโต – อยํ โน ภควโต อจฺจเยน ปฎิสรณํ ภวิสฺสตีติ ยํ มยํ เอตรหิ ปฎิปาเทยฺยามา’ติ วเทสิ; ‘อตฺถิ นุ โข, โภ อานนฺท, เอกภิกฺขุปิ ยํ ตุเมฺห เอตรหิ สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรถา’ติ – อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ ยํ มยํ เอตรหิ สกฺกโรม ครุํ กโรม มาเนม ปูเชม; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรามา’ติ วเทสิฯ อิมสฺส ปน, โภ อานนฺท, ภาสิตสฺส กถํ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ?

    ‘‘‘Atthi nu kho, bho ānanda, ekabhikkhupi tena bhotā gotamena ṭhapito – ayaṃ vo mamaccayena paṭisaraṇaṃ bhavissatīti yaṃ tumhe etarahi paṭipādeyyāthā’ti – iti puṭṭho samāno ‘natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena ṭhapito – ayaṃ vo mamaccayena paṭisaraṇaṃ bhavissatīti yaṃ mayaṃ etarahi paṭipādeyyāmā’ti vadesi; ‘atthi pana, bho ānanda, ekabhikkhupi saṅghena sammato, sambahulehi therehi bhikkhūhi ṭhapito – ayaṃ no bhagavato accayena paṭisaraṇaṃ bhavissatīti yaṃ tumhe etarahi paṭipādeyyāthā’ti – iti puṭṭho samāno ‘natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi saṅghena sammato, sambahulehi therehi bhikkhūhi ṭhapito – ayaṃ no bhagavato accayena paṭisaraṇaṃ bhavissatīti yaṃ mayaṃ etarahi paṭipādeyyāmā’ti vadesi; ‘atthi nu kho, bho ānanda, ekabhikkhupi yaṃ tumhe etarahi sakkarotha garuṃ karotha mānetha pūjetha; sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharathā’ti – iti puṭṭho samāno ‘natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi yaṃ mayaṃ etarahi sakkaroma garuṃ karoma mānema pūjema; sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharāmā’ti vadesi. Imassa pana, bho ānanda, bhāsitassa kathaṃ attho daṭṭhabbo’’ti?

    ๘๒. ‘‘อตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ทส ปสาทนียา ธมฺมา อกฺขาตาฯ ยสฺมิํ โน อิเม ธมฺมา สํวิชฺชนฺติ ตํ มยํ เอตรหิ สกฺกโรม ครุํ กโรม มาเนม ปูเชม; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรามฯ กตเม ทส?

    82. ‘‘Atthi kho, brāhmaṇa, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena dasa pasādanīyā dhammā akkhātā. Yasmiṃ no ime dhammā saṃvijjanti taṃ mayaṃ etarahi sakkaroma garuṃ karoma mānema pūjema; sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharāma. Katame dasa?

    ‘‘อิธ , พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ สีลวา โหติ, ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ อาจารโคจรสมฺปโนฺน, อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี, สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุฯ

    ‘‘Idha , brāhmaṇa, bhikkhu sīlavā hoti, pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharati ācāragocarasampanno, aṇumattesu vajjesu bhayadassāvī, samādāya sikkhati sikkhāpadesu.

    ‘‘พหุสฺสุโต โหติ สุตธโร สุตสนฺนิจโยฯ เย เต ธมฺมา อาทิกลฺยาณา, มเชฺฌกลฺยาณา, ปริโยสานกลฺยาณา, สาตฺถํ, สพฺยญฺชนํ 7, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ อภิวทนฺตฺนฺตฺติ ตถารูปาสฺส ธมฺมา พหุสฺสุตา โหนฺติ ธาตา 8 วจสา ปริจิตา มนสานุเปกฺขิตา ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธาฯ

    ‘‘Bahussuto hoti sutadharo sutasannicayo. Ye te dhammā ādikalyāṇā, majjhekalyāṇā, pariyosānakalyāṇā, sātthaṃ, sabyañjanaṃ 9, kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ abhivadantntti tathārūpāssa dhammā bahussutā honti dhātā 10 vacasā paricitā manasānupekkhitā diṭṭhiyā suppaṭividdhā.

    ‘‘สนฺตุโฎฺฐ โหติ ( ) 11 จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรหิฯ

    ‘‘Santuṭṭho hoti ( ) 12 cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārehi.

    ‘‘จตุนฺนํ ฌานานํ อาภิเจตสิกานํ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารานํ นิกามลาภี โหติ อกิจฺฉลาภี อกสิรลาภีฯ

    ‘‘Catunnaṃ jhānānaṃ ābhicetasikānaṃ diṭṭhadhammasukhavihārānaṃ nikāmalābhī hoti akicchalābhī akasiralābhī.

    ‘‘อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภติ – เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ ติโรภาวํ; ติโรกุฎฺฎํ 13 ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรติ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมติ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสติ 14 ปริมชฺชติ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตติฯ

    ‘‘Anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhoti – ekopi hutvā bahudhā hoti, bahudhāpi hutvā eko hoti; āvibhāvaṃ tirobhāvaṃ; tirokuṭṭaṃ 15 tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamāno gacchati, seyyathāpi ākāse; pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karoti, seyyathāpi udake; udakepi abhijjamāne gacchati, seyyathāpi pathaviyaṃ; ākāsepi pallaṅkena kamati, seyyathāpi pakkhī sakuṇo; imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāve pāṇinā parimasati 16 parimajjati, yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vatteti.

    ‘‘ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณาติ – ทิเพฺพ จ มานุเส จ, เย ทูเร สนฺติเก จฯ

    ‘‘Dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇāti – dibbe ca mānuse ca, ye dūre santike ca.

    ‘‘ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติฯ สราคํ วา จิตฺตํ ‘สราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ ‘วีตราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สโทสํ วา จิตฺตํ ‘สโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ ‘วีตโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สโมหํ วา จิตฺตํ ‘สโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ ‘วีตโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สํขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘สํขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิกฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ , มหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘มหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘อมหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘สอุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘อนุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, สมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘สมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘อสมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘อวิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานาติฯ

    ‘‘Parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānāti. Sarāgaṃ vā cittaṃ ‘sarāgaṃ citta’nti pajānāti, vītarāgaṃ vā cittaṃ ‘vītarāgaṃ citta’nti pajānāti, sadosaṃ vā cittaṃ ‘sadosaṃ citta’nti pajānāti, vītadosaṃ vā cittaṃ ‘vītadosaṃ citta’nti pajānāti, samohaṃ vā cittaṃ ‘samohaṃ citta’nti pajānāti, vītamohaṃ vā cittaṃ ‘vītamohaṃ citta’nti pajānāti, saṃkhittaṃ vā cittaṃ ‘saṃkhittaṃ citta’nti pajānāti, vikkhittaṃ vā cittaṃ ‘vikkhittaṃ citta’nti pajānāti , mahaggataṃ vā cittaṃ ‘mahaggataṃ citta’nti pajānāti, amahaggataṃ vā cittaṃ ‘amahaggataṃ citta’nti pajānāti, sauttaraṃ vā cittaṃ ‘sauttaraṃ citta’nti pajānāti, anuttaraṃ vā cittaṃ ‘anuttaraṃ citta’nti pajānāti, samāhitaṃ vā cittaṃ ‘samāhitaṃ citta’nti pajānāti, asamāhitaṃ vā cittaṃ ‘asamāhitaṃ citta’nti pajānāti, vimuttaṃ vā cittaṃ ‘vimuttaṃ citta’nti pajānāti, avimuttaṃ vā cittaṃ ‘avimuttaṃ citta’nti pajānāti.

    ‘‘อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ติํสมฺปิ ชาติโย จตฺตารีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป – ‘อมุตฺราสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิํ; ตตฺราปาสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’ติฯ อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ

    ‘‘Anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo tissopi jātiyo catassopi jātiyo pañcapi jātiyo dasapi jātiyo vīsampi jātiyo tiṃsampi jātiyo cattārīsampi jātiyo paññāsampi jātiyo jātisatampi jātisahassampi jātisatasahassampi anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe – ‘amutrāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto amutra udapādiṃ; tatrāpāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto idhūpapanno’ti. Iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati.

    ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ

    ‘‘Dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe, sugate duggate yathākammūpage satte pajānāti.

    ‘‘อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ

    ‘‘Āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharati.

    ‘‘อิเม โข, พฺราหฺมณ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ทส ปสาทนียา ธมฺมา อกฺขาตาฯ ยสฺมิํ โน อิเม ธมฺมา สํวิชฺชนฺติ ตํ มยํ เอตรหิ สกฺกโรม ครุํ กโรม มาเนม ปูเชม; สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรามา’’ติฯ

    ‘‘Ime kho, brāhmaṇa, tena bhagavatā jānatā passatā arahatā sammāsambuddhena dasa pasādanīyā dhammā akkhātā. Yasmiṃ no ime dhammā saṃvijjanti taṃ mayaṃ etarahi sakkaroma garuṃ karoma mānema pūjema; sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharāmā’’ti.

    ๘๓. เอวํ วุเตฺต วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามโตฺต อุปนนฺทํ เสนาปติํ อามเนฺตสิ – ‘‘ตํ กิํ มญฺญติ ภวํ เสนาปติ 17 ยทิเม โภโนฺต สกฺกาตพฺพํ สกฺกโรนฺติ, ครุํ กาตพฺพํ ครุํ กโรนฺติ, มาเนตพฺพํ มาเนนฺติ , ปูเชตพฺพํ ปูเชนฺติ’’? ‘‘ตคฺฆิเม 18 โภโนฺต สกฺกาตพฺพํ สกฺกโรนฺติ, ครุํ กาตพฺพํ ครุํ กโรนฺติ, มาเนตพฺพํ มาเนนฺติ, ปูเชตพฺพํ ปูเชนฺติฯ อิมญฺจ หิ เต โภโนฺต น สกฺกเรยฺยุํ น ครุํ กเรยฺยุํ น มาเนยฺยุํ น ปูเชยฺยุํ; อถ กิญฺจรหิ เต โภโนฺต สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา มาเนตฺวา ปูเชตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุ’’นฺติ? อถ โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามโตฺต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘กหํ ปน ภวํ อานโนฺท เอตรหิ วิหรตี’’ติ? ‘‘เวฬุวเน โขหํ, พฺราหฺมณ, เอตรหิ วิหรามี’’ติฯ ‘‘กจฺจิ ปน, โภ อานนฺท, เวฬุวนํ รมณียเญฺจว อปฺปสทฺทญฺจ อปฺปนิโคฺฆสญฺจ วิชนวาตํ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกํ 19 ปฎิสลฺลานสารุปฺป’’นฺติ? ‘‘ตคฺฆ, พฺราหฺมณ, เวฬุวนํ รมณียเญฺจว อปฺปสทฺทญฺจ อปฺปนิโคฺฆสญฺจ วิชนวาตํ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกํ ปฎิสลฺลานสารุปฺปํ, ยถา ตํ ตุมฺหาทิเสหิ รกฺขเกหิ โคปเกหี’’ติฯ ‘‘ตคฺฆ, โภ อานนฺท, เวฬุวนํ รมณียเญฺจว อปฺปสทฺทญฺจ อปฺปนิโคฺฆสญฺจ วิชนวาตํ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกํ ปฎิสลฺลานสารุปฺปํ, ยถา ตํ ภวเนฺตหิ ฌายีหิ ฌานสีลีหิฯ ฌายิโน เจว ภวโนฺต ฌานสีลิโน จ’’ฯ

    83. Evaṃ vutte vassakāro brāhmaṇo magadhamahāmatto upanandaṃ senāpatiṃ āmantesi – ‘‘taṃ kiṃ maññati bhavaṃ senāpati 20 yadime bhonto sakkātabbaṃ sakkaronti, garuṃ kātabbaṃ garuṃ karonti, mānetabbaṃ mānenti , pūjetabbaṃ pūjenti’’? ‘‘Tagghime 21 bhonto sakkātabbaṃ sakkaronti, garuṃ kātabbaṃ garuṃ karonti, mānetabbaṃ mānenti, pūjetabbaṃ pūjenti. Imañca hi te bhonto na sakkareyyuṃ na garuṃ kareyyuṃ na māneyyuṃ na pūjeyyuṃ; atha kiñcarahi te bhonto sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā mānetvā pūjetvā upanissāya vihareyyu’’nti? Atha kho vassakāro brāhmaṇo magadhamahāmatto āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘kahaṃ pana bhavaṃ ānando etarahi viharatī’’ti? ‘‘Veḷuvane khohaṃ, brāhmaṇa, etarahi viharāmī’’ti. ‘‘Kacci pana, bho ānanda, veḷuvanaṃ ramaṇīyañceva appasaddañca appanigghosañca vijanavātaṃ manussarāhasseyyakaṃ 22 paṭisallānasāruppa’’nti? ‘‘Taggha, brāhmaṇa, veḷuvanaṃ ramaṇīyañceva appasaddañca appanigghosañca vijanavātaṃ manussarāhasseyyakaṃ paṭisallānasāruppaṃ, yathā taṃ tumhādisehi rakkhakehi gopakehī’’ti. ‘‘Taggha, bho ānanda, veḷuvanaṃ ramaṇīyañceva appasaddañca appanigghosañca vijanavātaṃ manussarāhasseyyakaṃ paṭisallānasāruppaṃ, yathā taṃ bhavantehi jhāyīhi jhānasīlīhi. Jhāyino ceva bhavanto jhānasīlino ca’’.

    ‘‘เอกมิทาหํ , โภ อานนฺท, สมยํ โส ภวํ โคตโม เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลายํฯ อถ ขฺวาหํ, โภ อานนฺท, เยน มหาวนํ กูฎาคารสาลา เยน โส ภวํ โคตโม เตนุปสงฺกมิํฯ ตตฺร จ ปน โส 23 ภวํ โคตโม อเนกปริยาเยน ฌานกถํ กเถสิฯ ฌายี เจว โส ภวํ โคตโม อโหสิ ฌานสีลี จฯ สพฺพญฺจ ปน โส ภวํ โคตโม ฌานํ วเณฺณสี’’ติฯ

    ‘‘Ekamidāhaṃ , bho ānanda, samayaṃ so bhavaṃ gotamo vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāyaṃ. Atha khvāhaṃ, bho ānanda, yena mahāvanaṃ kūṭāgārasālā yena so bhavaṃ gotamo tenupasaṅkamiṃ. Tatra ca pana so 24 bhavaṃ gotamo anekapariyāyena jhānakathaṃ kathesi. Jhāyī ceva so bhavaṃ gotamo ahosi jhānasīlī ca. Sabbañca pana so bhavaṃ gotamo jhānaṃ vaṇṇesī’’ti.

    ๘๔. ‘‘น จ โข, พฺราหฺมณ, โส ภควา สพฺพํ ฌานํ วเณฺณสิ, นปิ โส ภควา สพฺพํ ฌานํ น วเณฺณสีติฯ กถํ รูปญฺจ , พฺราหฺมณ, โส ภควา ฌานํ น วเณฺณสิ? อิธ, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ กามราคปริยุฎฺฐิเตน เจตสา วิหรติ กามราคปเรเตน, อุปฺปนฺนสฺส จ กามราคสฺส นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส กามราคํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ พฺยาปาทปริยุฎฺฐิเตน เจตสา วิหรติ พฺยาปาทปเรเตน, อุปฺปนฺนสฺส จ พฺยาปาทสฺส นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส พฺยาปาทํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ ถินมิทฺธปริยุฎฺฐิเตน เจตสา วิหรติ ถินมิทฺธปเรเตน, อุปฺปนฺนสฺส จ ถินมิทฺธสฺส นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส ถินมิทฺธํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจปริยุฎฺฐิเตน เจตสา วิหรติ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจปเรเตน, อุปฺปนฺนสฺส จ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ วิจิกิจฺฉาปริยุฎฺฐิเตน เจตสา วิหรติ วิจิกิจฺฉาปเรเตน, อุปฺปนฺนาย จ วิจิกิจฺฉาย นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ; โส วิจิกิจฺฉํเยว อนฺตรํ กริตฺวา ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติฯ เอวรูปํ โข, พฺราหฺมณ, โส ภควา ฌานํ น วเณฺณสิฯ

    84. ‘‘Na ca kho, brāhmaṇa, so bhagavā sabbaṃ jhānaṃ vaṇṇesi, napi so bhagavā sabbaṃ jhānaṃ na vaṇṇesīti. Kathaṃ rūpañca , brāhmaṇa, so bhagavā jhānaṃ na vaṇṇesi? Idha, brāhmaṇa, ekacco kāmarāgapariyuṭṭhitena cetasā viharati kāmarāgaparetena, uppannassa ca kāmarāgassa nissaraṇaṃ yathābhūtaṃ nappajānāti; so kāmarāgaṃyeva antaraṃ karitvā jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati. Byāpādapariyuṭṭhitena cetasā viharati byāpādaparetena, uppannassa ca byāpādassa nissaraṇaṃ yathābhūtaṃ nappajānāti; so byāpādaṃyeva antaraṃ karitvā jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati. Thinamiddhapariyuṭṭhitena cetasā viharati thinamiddhaparetena, uppannassa ca thinamiddhassa nissaraṇaṃ yathābhūtaṃ nappajānāti; so thinamiddhaṃyeva antaraṃ karitvā jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati. Uddhaccakukkuccapariyuṭṭhitena cetasā viharati uddhaccakukkuccaparetena, uppannassa ca uddhaccakukkuccassa nissaraṇaṃ yathābhūtaṃ nappajānāti; so uddhaccakukkuccaṃyeva antaraṃ karitvā jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati. Vicikicchāpariyuṭṭhitena cetasā viharati vicikicchāparetena, uppannāya ca vicikicchāya nissaraṇaṃ yathābhūtaṃ nappajānāti; so vicikicchaṃyeva antaraṃ karitvā jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati. Evarūpaṃ kho, brāhmaṇa, so bhagavā jhānaṃ na vaṇṇesi.

    ‘‘กถํ รูปญฺจ, พฺราหฺมณ, โส ภควา ฌานํ วเณฺณสิ? อิธ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ…เป.… ตติยํ ฌานํ… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอวรูปํ โข, พฺราหฺมณ, โส ภควา ฌานํ วเณฺณสี’’ติฯ

    ‘‘Kathaṃ rūpañca, brāhmaṇa, so bhagavā jhānaṃ vaṇṇesi? Idha, brāhmaṇa, bhikkhu vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ…pe… tatiyaṃ jhānaṃ… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Evarūpaṃ kho, brāhmaṇa, so bhagavā jhānaṃ vaṇṇesī’’ti.

    ‘‘คารยฺหํ กิร, โภ อานนฺท, โส ภวํ โคตโม ฌานํ ครหิ, ปาสํสํ ปสํสิฯ หนฺท, จ ทานิ มยํ, โภ อานนฺท, คจฺฉาม; พหุกิจฺจา มยํ พหุกรณียา’’ติฯ ‘‘ยสฺสทานิ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, กาลํ มญฺญสี’’ติฯ อถ โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามโตฺต อายสฺมโต อานนฺทสฺส ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    ‘‘Gārayhaṃ kira, bho ānanda, so bhavaṃ gotamo jhānaṃ garahi, pāsaṃsaṃ pasaṃsi. Handa, ca dāni mayaṃ, bho ānanda, gacchāma; bahukiccā mayaṃ bahukaraṇīyā’’ti. ‘‘Yassadāni tvaṃ, brāhmaṇa, kālaṃ maññasī’’ti. Atha kho vassakāro brāhmaṇo magadhamahāmatto āyasmato ānandassa bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi.

    อถ โข โคปกโมคฺคลฺลาโน พฺราหฺมโณ อจิรปกฺกเนฺต วสฺสกาเร พฺราหฺมเณ มคธมหามเตฺต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘ยํ โน มยํ ภวนฺตํ อานนฺทํ อปุจฺฉิมฺหา ตํ โน ภวํ อานโนฺท น พฺยากาสี’’ติฯ ‘‘นนุ เต, พฺราหฺมณ, อโวจุมฺหา – ‘นตฺถิ โข, พฺราหฺมณ, เอกภิกฺขุปิ เตหิ ธเมฺมหิ สเพฺพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพํ สมนฺนาคโต เยหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โส ภควา อโหสิ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู, มคฺควิทู, มคฺคโกวิโท ฯ มคฺคานุคา จ ปน เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา’’’ติฯ

    Atha kho gopakamoggallāno brāhmaṇo acirapakkante vassakāre brāhmaṇe magadhamahāmatte āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘yaṃ no mayaṃ bhavantaṃ ānandaṃ apucchimhā taṃ no bhavaṃ ānando na byākāsī’’ti. ‘‘Nanu te, brāhmaṇa, avocumhā – ‘natthi kho, brāhmaṇa, ekabhikkhupi tehi dhammehi sabbenasabbaṃ sabbathāsabbaṃ samannāgato yehi dhammehi samannāgato so bhagavā ahosi arahaṃ sammāsambuddho. So hi, brāhmaṇa, bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā, asañjātassa maggassa sañjanetā, anakkhātassa maggassa akkhātā, maggaññū, maggavidū, maggakovido . Maggānugā ca pana etarahi sāvakā viharanti pacchā samannāgatā’’’ti.

    โคปกโมคฺคลฺลานสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ อฎฺฐมํฯ

    Gopakamoggallānasuttaṃ niṭṭhitaṃ aṭṭhamaṃ.







    Footnotes:
    1. ปฎิธาเวยฺยาถาติ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    2. paṭidhāveyyāthāti (sī. syā. kaṃ. pī.)
    3. ครุกโรถ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    4. ครุกตฺวา (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    5. garukarotha (sī. syā. kaṃ. pī.)
    6. garukatvā (sī. syā. kaṃ. pī.)
    7. สาตฺถา สพฺยญฺชนา (สี. สฺยา. กํ.)
    8. ธตา (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    9. sātthā sabyañjanā (sī. syā. kaṃ.)
    10. dhatā (sī. syā. kaṃ. pī.)
    11. (อิตรีตเรหิ) ที. นิ. ๓.๓๔๕
    12. (itarītarehi) dī. ni. 3.345
    13. ติโรกุฑฺฑํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    14. ปรามสติ (ก.)
    15. tirokuḍḍaṃ (sī. syā. kaṃ. pī.)
    16. parāmasati (ka.)
    17. มญฺญสิ เอวํ เสนาปติ (สฺยา. กํ. ปี.), มญฺญสิ เสนาปติ (สี.), มญฺญสิ ภวํ เสนาปติ (ก.)
    18. ตคฺฆ เม (ก.)
    19. มนุสฺสราหเสยฺยกํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    20. maññasi evaṃ senāpati (syā. kaṃ. pī.), maññasi senāpati (sī.), maññasi bhavaṃ senāpati (ka.)
    21. taggha me (ka.)
    22. manussarāhaseyyakaṃ (sī. syā. kaṃ. pī.)
    23. ตตฺร จ โส (สี. ปี.)
    24. tatra ca so (sī. pī.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. โคปกโมคฺคลฺลานสุตฺตวณฺณนา • 8. Gopakamoggallānasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. โคปกโมคฺคลฺลานสุตฺตวณฺณนา • 8. Gopakamoggallānasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact