Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๑๔. โคตมเตฺถรคาถาวณฺณนา
14. Gotamattheragāthāvaṇṇanā
สํสรนฺติ อายสฺมโต โคตมเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยํ กิร ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปุญฺญานิ กโรโนฺต สิขิมฺหิ ภควติ ปรินิพฺพุเต ตสฺส จิตกํ เทวมนุเสฺสสุ ปูเชเนฺตสุ อฎฺฐหิ จมฺปกปุเปฺผหิ จิตกํ ปูเชสิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สกฺยราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา โคตโมติ โคตฺตวเสเนว อภิลกฺขิตนาโม วยปฺปโตฺต สตฺถุ ญาติสมาคเม ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต ฉฬภิโญฺญ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๒.๔๗.๖-๑๐) –
Saṃsaranti āyasmato gotamattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayaṃ kira purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave puññāni karonto sikhimhi bhagavati parinibbute tassa citakaṃ devamanussesu pūjentesu aṭṭhahi campakapupphehi citakaṃ pūjesi. So tena puññakammena devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sakyarājakule nibbattitvā gotamoti gottavaseneva abhilakkhitanāmo vayappatto satthu ñātisamāgame paṭiladdhasaddho pabbajitvā vipassanāya kammaṃ karonto chaḷabhiñño ahosi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 2.47.6-10) –
‘‘ฌายมานสฺส ภควโต, สิขิโน โลกพนฺธุโน;
‘‘Jhāyamānassa bhagavato, sikhino lokabandhuno;
อฎฺฐ จมฺปกปุปฺผานิ, จิตกํ อภิโรปยิํฯ
Aṭṭha campakapupphāni, citakaṃ abhiropayiṃ.
‘‘เอกติํเส อิโต กเปฺป, ยํ ปุปฺผมภิโรปยิํ;
‘‘Ekatiṃse ito kappe, yaṃ pupphamabhiropayiṃ;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, จิตปูชายิทํ ผลํฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, citapūjāyidaṃ phalaṃ.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
ฉฬภิโญฺญ ปน หุตฺวา วิมุตฺติสุเขน วิหรโนฺต เอกทิวสํ ญาตเกหิ ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, อเมฺห ปหาย ปพฺพชิโต’’ติ ปุโฎฺฐ สํสาเร อตฺตนา อนุภูตทุกฺขเญฺจว อิทานิ อธิคตํ นิพฺพานสุขญฺจ ปกาเสโนฺต –
Chaḷabhiñño pana hutvā vimuttisukhena viharanto ekadivasaṃ ñātakehi ‘‘kasmā, bhante, amhe pahāya pabbajito’’ti puṭṭho saṃsāre attanā anubhūtadukkhañceva idāni adhigataṃ nibbānasukhañca pakāsento –
๒๕๘.
258.
‘‘สํสรญฺหิ นิรยํ อคจฺฉิสฺสํ, เปตโลกมคมํ ปุนปฺปุนํ;
‘‘Saṃsarañhi nirayaṃ agacchissaṃ, petalokamagamaṃ punappunaṃ;
ทุกฺขมมฺหิปิ ติรจฺฉานโยนิยํ, เนกธา หิ วุสิตํ จิรํ มยาฯ
Dukkhamamhipi tiracchānayoniyaṃ, nekadhā hi vusitaṃ ciraṃ mayā.
๒๕๙.
259.
‘‘มานุโสปิ จ ภโวภิราธิโต, สคฺคกายมคมํ สกิํ สกิํ;
‘‘Mānusopi ca bhavobhirādhito, saggakāyamagamaṃ sakiṃ sakiṃ;
รูปธาตุสุ อรูปธาตุสุ, เนวสญฺญิสุ อสญฺญิสุฎฺฐิตํฯ
Rūpadhātusu arūpadhātusu, nevasaññisu asaññisuṭṭhitaṃ.
๒๖๐.
260.
‘‘สมฺภวา สุวิทิตา อสารกา, สงฺขตา ปจลิตา สเทริตา;
‘‘Sambhavā suviditā asārakā, saṅkhatā pacalitā saderitā;
ตํ วิทิตฺวา มหมหตฺตสมฺภวํ, สนฺติเมว สติมา สมชฺฌค’’นฺติฯ –
Taṃ viditvā mahamahattasambhavaṃ, santimeva satimā samajjhaga’’nti. –
ตีหิ คาถาหิ เตสํ ธมฺมํ เทเสสิฯ
Tīhi gāthāhi tesaṃ dhammaṃ desesi.
ตตฺถ สํสรนฺติ อนาทิมติ สํสาเร สํสรโนฺต กมฺมกิเลเสหิ ปญฺจสุ คตีสุ จวนุปปาตวเสน อปราปรํ สํสรโนฺตติ อโตฺถฯ หีติ นิปาตมตฺตํฯ นิรยํ อคจฺฉิสฺสนฺติ สญฺชีวาทิกํ อฎฺฐวิธํ มหานิรยํ, กุกฺกุฬาทิกํ โสฬสวิธํ อุสฺสทนิรยญฺจ ปฎิสนฺธิวเสน อุปคจฺฉิํ ฯ ‘‘ปุนปฺปุน’’นฺติ อิทํ อิธาปิ อาเนตพฺพํ ฯ เปตโลกนฺติ เปตฺติวิสยํ, ขุปฺปิปาสาทิเภทํ เปตตฺตภาวนฺติ อโตฺถฯ อคมนฺติ ปฎิสนฺธิวเสน อุปคจฺฉิํ อุปปชฺชิํฯ ปุนปฺปุนนฺติ อปราปรํฯ ทุกฺขมมฺหิปีติ อญฺญมญฺญํ ติขิณกสาปโตทาภิฆาตาทิทุเกฺขหิ ทุสฺสหายปิฯ ลิงฺควิปลฺลาเสน เหตํ วุตฺตํ ‘‘ทุกฺขมมฺหิปี’’ติฯ ติรจฺฉานโยนิยนฺติ มิคปกฺขิอาทิเภทาย ติรจฺฉานโยนิยํฯ เนกธา หีติ โอฎฺฐโคณคทฺรภาทิวเสน เจว กากพลากกุลลาทิวเสน จ อเนกปฺปการํ อเนกวารญฺจ จิรํ ทีฆมทฺธานํ มยา วุสิตํ นิจฺจํ อุตฺรสฺตมานสตาทิวเสน ทุกฺขํ อนุภูตํฯ ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺตสโตฺต มหามูฬฺหตาย จิรตรํ ตเตฺถว อปราปรํ ปริวตฺตตีติ ทสฺสนตฺถํ อิธ ‘‘จิร’’นฺติ วุตฺตํฯ
Tattha saṃsaranti anādimati saṃsāre saṃsaranto kammakilesehi pañcasu gatīsu cavanupapātavasena aparāparaṃ saṃsarantoti attho. Hīti nipātamattaṃ. Nirayaṃ agacchissanti sañjīvādikaṃ aṭṭhavidhaṃ mahānirayaṃ, kukkuḷādikaṃ soḷasavidhaṃ ussadanirayañca paṭisandhivasena upagacchiṃ . ‘‘Punappuna’’nti idaṃ idhāpi ānetabbaṃ . Petalokanti pettivisayaṃ, khuppipāsādibhedaṃ petattabhāvanti attho. Agamanti paṭisandhivasena upagacchiṃ upapajjiṃ. Punappunanti aparāparaṃ. Dukkhamamhipīti aññamaññaṃ tikhiṇakasāpatodābhighātādidukkhehi dussahāyapi. Liṅgavipallāsena hetaṃ vuttaṃ ‘‘dukkhamamhipī’’ti. Tiracchānayoniyanti migapakkhiādibhedāya tiracchānayoniyaṃ. Nekadhā hīti oṭṭhagoṇagadrabhādivasena ceva kākabalākakulalādivasena ca anekappakāraṃ anekavārañca ciraṃ dīghamaddhānaṃ mayā vusitaṃ niccaṃ utrastamānasatādivasena dukkhaṃ anubhūtaṃ. Tiracchānayoniyaṃ nibbattasatto mahāmūḷhatāya cirataraṃ tattheva aparāparaṃ parivattatīti dassanatthaṃ idha ‘‘cira’’nti vuttaṃ.
มานุโสปิ จ ภโวภิราธิโตติ มนุสฺสตฺตภาโวปิ มยา ตาทิเสน กุสลกมฺมุนา สมวาเยน อภิราธิโต สาธิโต อธิคโตฯ กาณกจฺฉโปปมสุตฺตเมตฺถ (ม. นิ. ๓.๒๕๒; สํ. นิ. ๕.๑๑๑๗) อุทาหริตพฺพํฯ สคฺคกายมคมํ สกิํ สกินฺติ สคฺคคติสงฺขาตํ กามาวจรเทวกายํ สกิํ สกิํ กทาจิ กทาจิ อุปปชฺชนวเสน อคจฺฉิํฯ รูปธาตุสูติ ปุถุชฺชนภวคฺคปริโยสาเนสุ รูปภเวสุ อรูปธาตุสูติ อรูปภเวสุฯ เนวสญฺญิสุ อสญฺญิสุฎฺฐิตนฺติ รูปารูปธาตูสุ จ น เกวลํ สญฺญีสุ เอว, อถ โข เนวสญฺญีนาสญฺญีสุ อสญฺญีสุ จ อุปปชฺช ฐิตํ มยาติ อาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ เนวสญฺญิคฺคหเณน เหตฺถ เนวสญฺญีนาสญฺญีภโว คหิโตฯ ยทิปิเม เทฺว ภวา รูปารูปธาตุคฺคหเณเนว คยฺหนฺติ, เย ปน อิโต พาหิรกา ตตฺถ นิจฺจสญฺญิโน ภววิโมกฺขสญฺญิโน จ, เตสํ ตสฺสา สญฺญาย มิจฺฉาภาวทสฺสนตฺถํ วิสุํ คหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Mānusopi ca bhavobhirādhitoti manussattabhāvopi mayā tādisena kusalakammunā samavāyena abhirādhito sādhito adhigato. Kāṇakacchapopamasuttamettha (ma. ni. 3.252; saṃ. ni. 5.1117) udāharitabbaṃ. Saggakāyamagamaṃ sakiṃ sakinti saggagatisaṅkhātaṃ kāmāvacaradevakāyaṃ sakiṃ sakiṃ kadāci kadāci upapajjanavasena agacchiṃ. Rūpadhātusūti puthujjanabhavaggapariyosānesu rūpabhavesu arūpadhātusūti arūpabhavesu. Nevasaññisu asaññisuṭṭhitanti rūpārūpadhātūsu ca na kevalaṃ saññīsu eva, atha kho nevasaññīnāsaññīsu asaññīsu ca upapajja ṭhitaṃ mayāti ānetvā yojetabbaṃ. Nevasaññiggahaṇena hettha nevasaññīnāsaññībhavo gahito. Yadipime dve bhavā rūpārūpadhātuggahaṇeneva gayhanti, ye pana ito bāhirakā tattha niccasaññino bhavavimokkhasaññino ca, tesaṃ tassā saññāya micchābhāvadassanatthaṃ visuṃ gahitāti daṭṭhabbaṃ.
เอวํ ทฺวีหิ คาถาหิ ภวมูลสฺส อนุปจฺฉินฺนตฺตา อนาทิมติ สํสาเร อตฺตโน วฎฺฎทุกฺขานุภวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตทุปเจฺฉเทน วิวฎฺฎสุขานุภวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สมฺภวา’’ติอาทินา ตติยํ คาถมาหฯ ตตฺถ สมฺภวาติ ภวาฯ กามภวาทโย เอว หิ เหตุปจฺจยสมวาเยน ภวนฺตีติ อิธ สมฺภวาติ วุตฺตาฯ สุวิทิตาติ วิปสฺสนาปญฺญาสหิตาย มคฺคปญฺญาย สุฎฺฐุ วิทิตาฯ อสารกาติอาทิ เตสํ วิทิตาการทสฺสนํฯ ตตฺถ อสารกาติ นิจฺจสาราทิสารรหิตาฯ สงฺขตาติ สเมจฺจ สมฺภุยฺย ปจฺจเยหิ กตาฯ ปจลิตาติ สงฺขตตฺตา เอว อุปฺปาทชราทีหิ ปการโต จลิตา อนวฎฺฐิตาฯ สเทริตาติ สทา สพฺพกาลํ ภเงฺคน เอริตา, อิตฺตรา ภงฺคคามิโน ปภงฺคุโนติ อโตฺถฯ ตํ วิทิตฺวา มหมตฺตสมฺภวนฺติ ตํ ยถาวุตฺตํ สงฺขตสภาวํ อตฺตสมฺภวํ อตฺตนิ สมฺภูตํ อตฺตายตฺตํ อิสฺสราทิวเสน อปรายตฺตํ ปริญฺญาภิสมยวเสน อหํ วิทิตฺวา ตปฺปฎิปกฺขภูตํ สนฺติเมว นิพฺพานเมว มคฺคปญฺญาสติยา สติมา หุตฺวา สมชฺฌคํ อธิคจฺฉิํ อริยมคฺคภาวนาย อนุปฺปโตฺตติฯ เอวํ เถโร ญาตกานํ ธมฺมเทสนามุเขน อญฺญํ พฺยากาสิฯ
Evaṃ dvīhi gāthāhi bhavamūlassa anupacchinnattā anādimati saṃsāre attano vaṭṭadukkhānubhavaṃ dassetvā idāni tadupacchedena vivaṭṭasukhānubhavaṃ dassento ‘‘sambhavā’’tiādinā tatiyaṃ gāthamāha. Tattha sambhavāti bhavā. Kāmabhavādayo eva hi hetupaccayasamavāyena bhavantīti idha sambhavāti vuttā. Suviditāti vipassanāpaññāsahitāya maggapaññāya suṭṭhu viditā. Asārakātiādi tesaṃ viditākāradassanaṃ. Tattha asārakāti niccasārādisārarahitā. Saṅkhatāti samecca sambhuyya paccayehi katā. Pacalitāti saṅkhatattā eva uppādajarādīhi pakārato calitā anavaṭṭhitā. Saderitāti sadā sabbakālaṃ bhaṅgena eritā, ittarā bhaṅgagāmino pabhaṅgunoti attho. Taṃ viditvāmahamattasambhavanti taṃ yathāvuttaṃ saṅkhatasabhāvaṃ attasambhavaṃ attani sambhūtaṃ attāyattaṃ issarādivasena aparāyattaṃ pariññābhisamayavasena ahaṃ viditvā tappaṭipakkhabhūtaṃ santimeva nibbānameva maggapaññāsatiyā satimā hutvā samajjhagaṃ adhigacchiṃ ariyamaggabhāvanāya anuppattoti. Evaṃ thero ñātakānaṃ dhammadesanāmukhena aññaṃ byākāsi.
โคตมเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Gotamattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑๔. โคตมเตฺถรคาถา • 14. Gotamattheragāthā