Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๒. ทุติยปณฺณาสกํ
2. Dutiyapaṇṇāsakaṃ
(๖) ๑. โคตมีวโคฺค
(6) 1. Gotamīvaggo
๑. โคตมีสุตฺตวณฺณนา
1. Gotamīsuttavaṇṇanā
๕๑. ฉฎฺฐสฺส ปฐเม สเกฺกสุ วิหรตีติ ปฐมคมเนน คนฺตฺวา วิหรติฯ มหาปชาปตีติ ปุตฺตปชาย เจว ธีตุปชาย จ มหนฺตตฺตา เอวํลทฺธนามาฯ เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ ภควา กปิลปุรํ คนฺตฺวา ปฐมเมว นนฺทํ ปพฺพาเชสิ, สตฺตเม ทิวเส ราหุลกุมารํฯ จุมฺพฎกกลเห (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๓๑; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๓๗) ปน อุภยนครวาสิเกสุ ยุทฺธตฺถาย นิกฺขเนฺตสุ สตฺถา คนฺตฺวา เต ราชาโน สญฺญาเปตฺวา อตฺตทณฺฑสุตฺตํ (สุ. นิ. ๙๔๑ อาทโย; มหานิ. ๑๗๐ อาทโย) กเถสิฯ ราชาโน ปสีทิตฺวา อฑฺฒติยสเต อฑฺฒติยสเต กุมาเร อทํสุ, ตานิ ปญฺจ กุมารสตานิ สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิํสุ, อถ เนสํ ปชาปติโย สาสนํ เปเสตฺวา อนภิรติํ อุปฺปาทยิํสุฯ สตฺถา เตสํ อนภิรติยา อุปฺปนฺนภาวํ ญตฺวา เต ปญฺจสเต ทหรภิกฺขู กุณาลทหํ เนตฺวา อตฺตโน กุณาลกาเล นิสินฺนปุเพฺพ ปาสาณตเล นิสีทิตฺวา กุณาลชาตกกถาย (ชา. ๒.๒๑.กุณาลชาตก) เตสํ อนภิรติํ วิโนเทตฺวา สเพฺพปิ เต โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสิ, ปุน มหาวนํ อาเนตฺวา อรหตฺตผเลติฯ เตสํ จิตฺตชานนตฺถํ ปุนปิ ปชาปติโย สาสนํ ปหิณิํสุฯ เต ‘‘อภพฺพา มยํ ฆราวาสสฺสา’’ติ ปฎิสาสนํ ปหิณิํสุฯ ตา ‘‘น ทานิ อมฺหากํ ฆรํ คนฺตุํ ยุตฺตํ, มหาปชาปติยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา ปพฺพชิสฺสามา’’ติ ปญฺจสตาปิ มหาปชาปติํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อเยฺย, อมฺหากํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปถา’’ติ อาหํสุฯ มหาปชาปตี ตา อิตฺถิโย คเหตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา รโญฺญ ปรินิพฺพุตกาเล อุปสงฺกมีติปิ วทนฺติเยวฯ
51. Chaṭṭhassa paṭhame sakkesu viharatīti paṭhamagamanena gantvā viharati. Mahāpajāpatīti puttapajāya ceva dhītupajāya ca mahantattā evaṃladdhanāmā. Yena bhagavā tenupasaṅkamīti bhagavā kapilapuraṃ gantvā paṭhamameva nandaṃ pabbājesi, sattame divase rāhulakumāraṃ. Cumbaṭakakalahe (dī. ni. aṭṭha. 2.331; saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.37) pana ubhayanagaravāsikesu yuddhatthāya nikkhantesu satthā gantvā te rājāno saññāpetvā attadaṇḍasuttaṃ (su. ni. 941 ādayo; mahāni. 170 ādayo) kathesi. Rājāno pasīditvā aḍḍhatiyasate aḍḍhatiyasate kumāre adaṃsu, tāni pañca kumārasatāni satthu santike pabbajiṃsu, atha nesaṃ pajāpatiyo sāsanaṃ pesetvā anabhiratiṃ uppādayiṃsu. Satthā tesaṃ anabhiratiyā uppannabhāvaṃ ñatvā te pañcasate daharabhikkhū kuṇāladahaṃ netvā attano kuṇālakāle nisinnapubbe pāsāṇatale nisīditvā kuṇālajātakakathāya (jā. 2.21.kuṇālajātaka) tesaṃ anabhiratiṃ vinodetvā sabbepi te sotāpattiphale patiṭṭhāpesi, puna mahāvanaṃ ānetvā arahattaphaleti. Tesaṃ cittajānanatthaṃ punapi pajāpatiyo sāsanaṃ pahiṇiṃsu. Te ‘‘abhabbā mayaṃ gharāvāsassā’’ti paṭisāsanaṃ pahiṇiṃsu. Tā ‘‘na dāni amhākaṃ gharaṃ gantuṃ yuttaṃ, mahāpajāpatiyā santikaṃ gantvā pabbajjaṃ anujānāpetvā pabbajissāmā’’ti pañcasatāpi mahāpajāpatiṃ upasaṅkamitvā ‘‘ayye, amhākaṃ pabbajjaṃ anujānāpethā’’ti āhaṃsu. Mahāpajāpatī tā itthiyo gahetvā yena bhagavā tenupasaṅkami. Setacchattassa heṭṭhā rañño parinibbutakāle upasaṅkamītipi vadantiyeva.
อลํ โคตมิ, มา เต รุจฺจีติ กสฺมา ปฎิกฺขิปิ, นนุ สเพฺพสมฺปิ พุทฺธานํ จตโสฺส ปริสา โหนฺตีติ? กามํ โหนฺติ, กิลเมตฺวา ปน อเนกวารํ ยาจิเต อนุญฺญาตํ ปพฺพชฺชํ ‘‘ทุเกฺขน ลทฺธา’’ติ สมฺมา ปริปาเลสฺสนฺตีติ ครุํ กตฺวา อนุญฺญาตุกาโม ปฎิกฺขิปิฯ ปกฺกามีติ ปุน กปิลปุรเมว ปาวิสิฯ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวาติ โพธเนยฺยสตฺตานํ อุปนิสฺสยํ โอโลเกโนฺต ยถาชฺฌาสยเน วิหริตฺวาฯ จาริกํ ปกฺกามีติ มหาชนสงฺคหํ กโรโนฺต อุตฺตมาย พุทฺธสิริยา อโนปเมน พุทฺธวิลาเสน อตุริตจาริกํ ปกฺกามิฯ
Alaṃ gotami, mā te ruccīti kasmā paṭikkhipi, nanu sabbesampi buddhānaṃ catasso parisā hontīti? Kāmaṃ honti, kilametvā pana anekavāraṃ yācite anuññātaṃ pabbajjaṃ ‘‘dukkhena laddhā’’ti sammā paripālessantīti garuṃ katvā anuññātukāmo paṭikkhipi. Pakkāmīti puna kapilapurameva pāvisi. Yathābhirantaṃviharitvāti bodhaneyyasattānaṃ upanissayaṃ olokento yathājjhāsayane viharitvā. Cārikaṃ pakkāmīti mahājanasaṅgahaṃ karonto uttamāya buddhasiriyā anopamena buddhavilāsena aturitacārikaṃ pakkāmi.
สมฺพหุลาหิ สากิยานีหิ สทฺธินฺติ อโนฺตนิเวสนมฺหิเยว ทสพลํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชฺชาเวสํ คเหตฺวา ปญฺจสตา สากิยานิโย ปพฺพชฺชาเวสํเยว คาหาเปตฺวา สพฺพาหิปิ ตาหิ สมฺพหุลาหิ สากิยานีหิ สทฺธิํฯ จาริกํ ปกฺกามีติ คมนํ อภินีหริฯ คมนาภินีหรณกาเล ปน ตา สุขุมาลา ราชิตฺถิโย ปทสา คนฺตุํ น สกฺขิสฺสนฺตีติ สากิยโกลิยราชาโน โสวณฺณสิวิกาโย อุปฎฺฐาปยิํสุฯ ตา ปน ‘‘ยาเน อารุยฺห คจฺฉนฺตีติ สตฺถริ อคารโว กโต โหตี’’ติ เอกปณฺณาสโยชนิกํ ปทสาว ปฎิปชฺชิํสุฯ ราชาโนปิ ปุรโต จ ปจฺฉโต จ อารกฺขํ สํวิทหาเปตฺวา ตณฺฑุลสปฺปิเตลาทีนํ สกฎานิ ปูราเปตฺวา ‘‘คตฎฺฐาเน คตฎฺฐาเน อาหารํ ปฎิยาเทถา’’ติ ปุริเส เปสยิํสุฯ สูเนหิ ปาเทหีติ ตาสญฺหิ สุขุมาลตฺตา ปาเทสุ เอโก โผโฎ อุเฎฺฐติ, เอโก ภิชฺชติฯ อุโภ ปาทา กตกฎฺฐิสมฺปริกิณฺณา วิย หุตฺวา อุทฺธุมาตา ชาตาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สูเนหิ ปาเทหี’’ติฯ พหิทฺวารโกฎฺฐเกติ ทฺวารโกฎฺฐกโต พหิฯ กสฺมา ปเนวํ ฐิตาติ? เอวํ กิรสฺสา อโหสิ – ‘‘อหํ ตถาคเตน อนนุญฺญาตา สยเมว ปพฺพชฺชาเวสํ อคฺคเหสิํ, เอวํ คหิตภาโว จ ปน เม สกลชมฺพุทีเป ปากโฎ ชาโตฯ สเจ สตฺถา ปพฺพชฺชํ อนุชานาติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ สเจ ปน นานุชานิสฺสติ, มหตี ครหา ภวิสฺสตี’’ติ วิหารํ ปวิสิตุํ อสโกฺกนฺตี โรทมานาว อฎฺฐาสิฯ
Sambahulāhi sākiyānīhi saddhinti antonivesanamhiyeva dasabalaṃ uddissa pabbajjāvesaṃ gahetvā pañcasatā sākiyāniyo pabbajjāvesaṃyeva gāhāpetvā sabbāhipi tāhi sambahulāhi sākiyānīhi saddhiṃ. Cārikaṃ pakkāmīti gamanaṃ abhinīhari. Gamanābhinīharaṇakāle pana tā sukhumālā rājitthiyo padasā gantuṃ na sakkhissantīti sākiyakoliyarājāno sovaṇṇasivikāyo upaṭṭhāpayiṃsu. Tā pana ‘‘yāne āruyha gacchantīti satthari agāravo kato hotī’’ti ekapaṇṇāsayojanikaṃ padasāva paṭipajjiṃsu. Rājānopi purato ca pacchato ca ārakkhaṃ saṃvidahāpetvā taṇḍulasappitelādīnaṃ sakaṭāni pūrāpetvā ‘‘gataṭṭhāne gataṭṭhāne āhāraṃ paṭiyādethā’’ti purise pesayiṃsu. Sūnehi pādehīti tāsañhi sukhumālattā pādesu eko phoṭo uṭṭheti, eko bhijjati. Ubho pādā katakaṭṭhisamparikiṇṇā viya hutvā uddhumātā jātā. Tena vuttaṃ – ‘‘sūnehi pādehī’’ti. Bahidvārakoṭṭhaketi dvārakoṭṭhakato bahi. Kasmā panevaṃ ṭhitāti? Evaṃ kirassā ahosi – ‘‘ahaṃ tathāgatena ananuññātā sayameva pabbajjāvesaṃ aggahesiṃ, evaṃ gahitabhāvo ca pana me sakalajambudīpe pākaṭo jāto. Sace satthā pabbajjaṃ anujānāti, iccetaṃ kusalaṃ. Sace pana nānujānissati, mahatī garahā bhavissatī’’ti vihāraṃ pavisituṃ asakkontī rodamānāva aṭṭhāsi.
กิํ นุ ตฺวํ โคตมีติ กิํ นุ ราชกุลานํ วิปตฺติ อุปฺปนฺนา, เกน ตฺวํ การเณน เอวํ วิวณฺณภาวํ ปตฺตา, สูเนหิ ปาเทหิ…เป.… ฐิตาติฯ อเญฺญนปิ ปริยาเยนาติ อเญฺญนปิ การเณนฯ พหุการา, ภเนฺตติอาทินา ตสฺสา คุณํ กเถตฺวา ปุน ปพฺพชฺชํ ยาจโนฺต เอวมาหฯ สตฺถาปิ ‘‘อิตฺถิโย นาม ปริตฺตปญฺญา, เอกยาจิตมเตฺตน ปพฺพชฺชาย อนุญฺญาตาย น มม สาสนํ ครุํ กตฺวา คณฺหิสฺสนฺตี’’ติ ติกฺขตฺตุํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อิทานิ ครุํ กตฺวา คาหาเปตุกามตาย สเจ, อานนฺท, มหาปชาปตี โคตมี อฎฺฐ ครุธเมฺม ปฎิคฺคณฺหาติ, สาว’สฺสา โหตุ อุปสมฺปทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สาวสฺสาติ สา เอว อสฺสา ปพฺพชฺชาปิ อุปสมฺปทาปิ โหตุฯ
Kiṃ nu tvaṃ gotamīti kiṃ nu rājakulānaṃ vipatti uppannā, kena tvaṃ kāraṇena evaṃ vivaṇṇabhāvaṃ pattā, sūnehi pādehi…pe… ṭhitāti. Aññenapi pariyāyenāti aññenapi kāraṇena. Bahukārā, bhantetiādinā tassā guṇaṃ kathetvā puna pabbajjaṃ yācanto evamāha. Satthāpi ‘‘itthiyo nāma parittapaññā, ekayācitamattena pabbajjāya anuññātāya na mama sāsanaṃ garuṃ katvā gaṇhissantī’’ti tikkhattuṃ paṭikkhipitvā idāni garuṃ katvā gāhāpetukāmatāya sace, ānanda, mahāpajāpatī gotamīaṭṭha garudhamme paṭiggaṇhāti, sāva’ssā hotuupasampadātiādimāha. Tattha sāvassāti sā eva assā pabbajjāpi upasampadāpi hotu.
ตทหูปสมฺปนฺนสฺสาติ ตํทิวสํ อุปสมฺปนฺนสฺสฯ อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ กตฺตพฺพนฺติ โอมานาติมาเน อกตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน อภิวาทนํ, อาสนา ปจฺจุฎฺฐาย ปจฺจุคฺคมนวเสน ปจฺจุฎฺฐานํ, ทสนเข สโมธาเนตฺวา อญฺชลิกมฺมํ, อาสนปญฺญาปนพีชนาทิกํ อนุจฺฉวิกกมฺมสงฺขาตํ สามีจิกมฺมญฺจ กตพฺพํฯ อภิกฺขุเก อาวาเสติ ยตฺถ วสนฺติยา อนนฺตราเยน โอวาทตฺถาย อุปสงฺกมนฎฺฐาเน โอวาททายโก อาจริโย นตฺถิ, อยํ อภิกฺขุโก อาวาโส นามฯ เอวรูเป อาวาเส วสฺสํ น อุปคนฺตพฺพํฯ อนฺวฑฺฒมาสนฺติ อนุโปสถิกํฯ โอวาทูปสงฺกมนนฺติ โอวาทตฺถาย อุปสงฺกมนํฯ ทิเฎฺฐนาติ จกฺขุนา ทิเฎฺฐนฯ สุเตนาติ โสเตน สุเตนฯ ปริสงฺกายาติ ทิฎฺฐสุตวเสน ปริสงฺกิเตนฯ ครุธมฺมนฺติ ครุกํ สงฺฆาทิเสสาปตฺติํฯ ปกฺขมานตฺตนฺติ อนูนานิ ปนฺนรส ทิวสานิ มานตฺตํฯ ฉสุ ธเมฺมสูติ วิกาลโภชนจฺฉเฎฺฐสุ สิกฺขาปเทสุฯ สิกฺขิตสิกฺขายาติ เอกสิกฺขมฺปิ อขณฺฑํ กตฺวา ปูริตสิกฺขายฯ อโกฺกสิตโพฺพ ปริภาสิตโพฺพติ ทสนฺนํ อโกฺกสวตฺถูนํ อญฺญตเรน อโกฺกสวตฺถุนา น อโกฺกสิตโพฺพ, ภยูปทํสนาย ยาย กายจิ ปริภาสาย น ปริภาสิตโพฺพฯ
Tadahūpasampannassāti taṃdivasaṃ upasampannassa. Abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ kattabbanti omānātimāne akatvā pañcapatiṭṭhitena abhivādanaṃ, āsanā paccuṭṭhāya paccuggamanavasena paccuṭṭhānaṃ, dasanakhe samodhānetvā añjalikammaṃ, āsanapaññāpanabījanādikaṃ anucchavikakammasaṅkhātaṃ sāmīcikammañca katabbaṃ. Abhikkhuke āvāseti yattha vasantiyā anantarāyena ovādatthāya upasaṅkamanaṭṭhāne ovādadāyako ācariyo natthi, ayaṃ abhikkhuko āvāso nāma. Evarūpe āvāse vassaṃ na upagantabbaṃ. Anvaḍḍhamāsanti anuposathikaṃ. Ovādūpasaṅkamananti ovādatthāya upasaṅkamanaṃ. Diṭṭhenāti cakkhunā diṭṭhena. Sutenāti sotena sutena. Parisaṅkāyāti diṭṭhasutavasena parisaṅkitena. Garudhammanti garukaṃ saṅghādisesāpattiṃ. Pakkhamānattanti anūnāni pannarasa divasāni mānattaṃ. Chasu dhammesūti vikālabhojanacchaṭṭhesu sikkhāpadesu. Sikkhitasikkhāyāti ekasikkhampi akhaṇḍaṃ katvā pūritasikkhāya. Akkositabbo paribhāsitabboti dasannaṃ akkosavatthūnaṃ aññatarena akkosavatthunā na akkositabbo, bhayūpadaṃsanāya yāya kāyaci paribhāsāya na paribhāsitabbo.
โอวโฎ ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูสุ วจนปโถติ โอวาทานุสาสนธมฺมกถาสงฺขาโต วจนปโถ ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูสุ โอวริโต ปิหิโต, น ภิกฺขุนิยา โกจิ ภิกฺขุ โอวทิตโพฺพ อนุสาสิตโพฺพ วา ‘‘ภเนฺต, โปราณกเตฺถรา อิทํ จีวรวตฺตํ ปูรยิํสู’’ติ เอวํ ปน ปเวณิวเสน กเถตุํ วฎฺฎติฯ อโนวโฎ ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีสุ วจนปโถติ ภิกฺขูนํ ปน ภิกฺขุนีสุ วจนปโถ อนิวาริโต, ยถารุจิ โอวทิตุํ อนุสาสิตุํ ธมฺมกถํ กเถตุนฺติ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปเนสา ครุธมฺมกถา สมนฺตปาสาทิกาย วินยสํวณฺณนาย (ปาจิ. อฎฺฐ. ๑๔๘) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Ovaṭo bhikkhunīnaṃ bhikkhūsu vacanapathoti ovādānusāsanadhammakathāsaṅkhāto vacanapatho bhikkhunīnaṃ bhikkhūsu ovarito pihito, na bhikkhuniyā koci bhikkhu ovaditabbo anusāsitabbo vā ‘‘bhante, porāṇakattherā idaṃ cīvaravattaṃ pūrayiṃsū’’ti evaṃ pana paveṇivasena kathetuṃ vaṭṭati. Anovaṭobhikkhūnaṃ bhikkhunīsu vacanapathoti bhikkhūnaṃ pana bhikkhunīsu vacanapatho anivārito, yathāruci ovadituṃ anusāsituṃ dhammakathaṃ kathetunti ayamettha saṅkhepo, vitthārato panesā garudhammakathā samantapāsādikāya vinayasaṃvaṇṇanāya (pāci. aṭṭha. 148) vuttanayeneva veditabbā.
อิเม ปน อฎฺฐ ครุธเมฺม สตฺถุ สนฺติเก อุคฺคเหตฺวา เถเรน อตฺตโน อาโรจิยมาเน สุตฺวาว มหาปชาปติยา ตาว มหนฺตํ โทมนสฺสํ ขเณน ปฎิปฺปสฺสมฺภิ, อโนตตฺตทหโต อาภเตน สีตุทกสฺส ฆฎสเตน มตฺถเก ปริสิตฺตา วิย วิคตปริฬาหา อตฺตมนา หุตฺวา ครุธมฺมปฎิคฺคหเณน อุปฺปนฺนปีติปาโมชฺชํ อาวิกโรนฺตี เสยฺยถาปิ, ภเนฺตติอาทิกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Ime pana aṭṭha garudhamme satthu santike uggahetvā therena attano ārociyamāne sutvāva mahāpajāpatiyā tāva mahantaṃ domanassaṃ khaṇena paṭippassambhi, anotattadahato ābhatena sītudakassa ghaṭasatena matthake parisittā viya vigatapariḷāhā attamanā hutvā garudhammapaṭiggahaṇena uppannapītipāmojjaṃ āvikarontī seyyathāpi, bhantetiādikaṃ udānaṃ udānesi.
กุมฺภเตฺถนเกหีติ กุเมฺภ ทีปํ ชาเลตฺวา เตน อาโลเกน ปรฆเร ภณฺฑํ วิจินิตฺวา เถนกโจเรหิฯ เสตฎฺฐิกา นาม โรคชาตีติ เอโก ปาณโก นาฬมชฺฌคตํ กณฺฑํ วิชฺฌติ, เยน วิทฺธา กณฺฑา นิกฺขนฺตมฺปิ สาลิสีสํ ขีรํ คเหตุํ น สโกฺกติฯ มญฺชิฎฺฐิกา นาม โรคชาตีติ อุจฺฉูนํ อโนฺตรตฺตภาโวฯ
Kumbhatthenakehīti kumbhe dīpaṃ jāletvā tena ālokena paraghare bhaṇḍaṃ vicinitvā thenakacorehi. Setaṭṭhikā nāma rogajātīti eko pāṇako nāḷamajjhagataṃ kaṇḍaṃ vijjhati, yena viddhā kaṇḍā nikkhantampi sālisīsaṃ khīraṃ gahetuṃ na sakkoti. Mañjiṭṭhikā nāma rogajātīti ucchūnaṃ antorattabhāvo.
มหโต ตฬากสฺส ปฎิกเจฺจว อาฬินฺติ อิมินา ปน เอตมตฺถํ ทเสฺสติ – ยถา มหโต ตฬากสฺส ปาฬิยา อพทฺธายปิ กิญฺจิ อุทกํ ติฎฺฐเตว, ปฐมเมว พทฺธาย ปน ยํ อพทฺธปจฺจยา น ติเฎฺฐยฺย, ตมฺปิ ติเฎฺฐยฺย, เอวเมว เย อิเม อนุปฺปเนฺน วตฺถุสฺมิํ ปฎิกเจฺจว อนติกฺกมนตฺถาย ครุธมฺมา ปญฺญตฺตา, เตสุ อปญฺญเตฺตสุ มาตุคามสฺส ปพฺพชิตตฺตา ปญฺจ วสฺสสตานิ สทฺธโมฺม ติเฎฺฐยฺยฯ ปฎิกเจฺจว ปญฺญตฺตตฺตา ปน อปรานิปิ ปญฺจ วสฺสสตานิ ฐสฺสตีติ เอวํ ปฐมํ วุตฺตวสฺสสหสฺสเมว ฐสฺสติฯ วสฺสสหสฺสนฺติ เจตํ ปฎิสมฺภิทาปเภทปฺปตฺตขีณาสวานํ วเสเนว วุตฺตํ, ตโต ปน อุตฺตริปิ สุกฺขวิปสฺสกขีณาสววเสน วสฺสสหสฺสํ, อนาคามิวเสน วสฺสสหสฺสํ, สกทาคามิวเสน วสฺสสหสฺสํ, โสตาปนฺนวเสน วสฺสสหสฺสนฺติ เอวํ ปญฺจวสฺสสหสฺสานิ ปฎิเวธสทฺธโมฺม ฐสฺสติฯ ปริยตฺติธโมฺมปิ ตานิเยวฯ น หิ ปริยตฺติยา อสติ ปฎิเวโธ อตฺถิ, นาปิ ปริยตฺติยา สติ ปฎิเวโธ น โหติฯ ลิงฺคํ ปน ปริยตฺติยา อนฺตรหิตายปิ จิรํ ปวตฺติสฺสตีติฯ
Mahato taḷākassa paṭikacceva āḷinti iminā pana etamatthaṃ dasseti – yathā mahato taḷākassa pāḷiyā abaddhāyapi kiñci udakaṃ tiṭṭhateva, paṭhamameva baddhāya pana yaṃ abaddhapaccayā na tiṭṭheyya, tampi tiṭṭheyya, evameva ye ime anuppanne vatthusmiṃ paṭikacceva anatikkamanatthāya garudhammā paññattā, tesu apaññattesu mātugāmassa pabbajitattā pañca vassasatāni saddhammo tiṭṭheyya. Paṭikacceva paññattattā pana aparānipi pañca vassasatāni ṭhassatīti evaṃ paṭhamaṃ vuttavassasahassameva ṭhassati. Vassasahassanti cetaṃ paṭisambhidāpabhedappattakhīṇāsavānaṃ vaseneva vuttaṃ, tato pana uttaripi sukkhavipassakakhīṇāsavavasena vassasahassaṃ, anāgāmivasena vassasahassaṃ, sakadāgāmivasena vassasahassaṃ, sotāpannavasena vassasahassanti evaṃ pañcavassasahassāni paṭivedhasaddhammo ṭhassati. Pariyattidhammopi tāniyeva. Na hi pariyattiyā asati paṭivedho atthi, nāpi pariyattiyā sati paṭivedho na hoti. Liṅgaṃ pana pariyattiyā antarahitāyapi ciraṃ pavattissatīti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑. โคตมีสุตฺตํ • 1. Gotamīsuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑-๓. โคตมีสุตฺตาทิวณฺณนา • 1-3. Gotamīsuttādivaṇṇanā