Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๕๗] ๗. คุณชาตกวณฺณนา

    [157] 7. Guṇajātakavaṇṇanā

    เยน กามํ ปณาเมตีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อานนฺทเตฺถรสฺส สาฎกสหสฺสลาภํ อารพฺภ กเถสิฯ เถรสฺส โกสลรโญฺญ อเนฺตปุเร ธมฺมวาจนวตฺถุ เหฎฺฐา มหาสารชาตเก (ชา. ๑.๑.๙๒) อาคตเมวฯ อิติ เถเร รโญฺญ อเนฺตปุเร ธมฺมํ วาเจเนฺต รโญฺญ สหสฺสคฺฆนิกานํ สาฎกานํ สหสฺสํ อาหริยิตฺถฯ ราชา ตโต ปญฺจ สาฎกสตานิ ปญฺจนฺนํ เทวีสตานํ อทาสิฯ ตา สพฺพาปิ เต สาฎเก ฐเปตฺวา ปุนทิวเส อานนฺทเตฺถรสฺส ทตฺวา สยํ ปุราณสาฎเกเยว ปารุปิตฺวา รโญฺญ ปาตราสฎฺฐานํ อคมํสุฯ

    Yena kāmaṃ paṇāmetīti idaṃ satthā jetavane viharanto ānandattherassa sāṭakasahassalābhaṃ ārabbha kathesi. Therassa kosalarañño antepure dhammavācanavatthu heṭṭhā mahāsārajātake (jā. 1.1.92) āgatameva. Iti there rañño antepure dhammaṃ vācente rañño sahassagghanikānaṃ sāṭakānaṃ sahassaṃ āhariyittha. Rājā tato pañca sāṭakasatāni pañcannaṃ devīsatānaṃ adāsi. Tā sabbāpi te sāṭake ṭhapetvā punadivase ānandattherassa datvā sayaṃ purāṇasāṭakeyeva pārupitvā rañño pātarāsaṭṭhānaṃ agamaṃsu.

    ราชา ‘‘มยา ตุมฺหากํ สหสฺสคฺฆนิกา สาฎกา ทาปิตา, กสฺมา ตุเมฺห เต อปารุปิตฺวาว อาคตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, อเมฺหหิ เต อานนฺทเตฺถรสฺส ทินฺนา’’ติฯ ‘‘อานนฺทเตฺถเรน สเพฺพ คหิตา’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘สมฺมาสมฺพุเทฺธน ติจีวรํ อนุญฺญาตํ, อานนฺทเตฺถโร ทุสฺสวณิชฺชํ มเญฺญ กริสฺสติ, อติพหู เตน สาฎกา คหิตา’’ติ เถรสฺส กุชฺฌิตฺวา ภุตฺตปาตราโส วิหารํ คนฺตฺวา เถรสฺส ปริเวณํ ปวิสิตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา นิสิโนฺน ปุจฺฉิ – ‘‘อปิ, ภเนฺต, อมฺหากํ ฆเร อิตฺถิโย ตุมฺหากํ สนฺติเก ธมฺมํ อุคฺคณฺหนฺติ วา สุณนฺติ วา’’ติ? ‘‘อาม, มหาราช, คเหตพฺพยุตฺตกํ คณฺหนฺติ, โสตพฺพยุตฺตกํ สุณนฺตี’’ติฯ ‘‘กิํ ตา สุณนฺติเยว, อุทาหุ ตุมฺหากํ นิวาสนํ วา ปารุปนํ วา ททนฺตี’’ติ? ‘‘ตา อชฺช, มหาราช, สหสฺสคฺฆนิกานิ ปญฺจ สาฎกสตานิ อทํสู’’ติฯ ‘‘ตุเมฺหหิ คหิตานิ ตานิ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘นนุ, ภเนฺต, สตฺถารา ติจีวรเมว อนุญฺญาต’’นฺติ? ‘‘อาม, มหาราช, ภควตา เอกสฺส ภิกฺขุโน ติจีวรเมว ปริโภคสีเสน อนุญฺญาตํ, ปฎิคฺคหณํ ปน อวาริตํ, ตสฺมา มยาปิ อเญฺญสํ ชิณฺณจีวริกานํ ทาตุํ เต สาฎกา ปฎิคฺคหิตา’’ติฯ ‘‘เต ปน ภิกฺขู ตุมฺหากํ สนฺติกา สาฎเก ลภิตฺวา โปราณจีวรานิ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘โปราณสงฺฆาฎิํ อุตฺตราสงฺคํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘โปราณอุตฺตราสงฺคํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘อนฺตรวาสกํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘โปราณอนฺตรวาสกํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘ปจฺจตฺถรณํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘โปราณปจฺจตฺถรณํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘ภุมฺมตฺถรณํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘โปราณภุมฺมตฺถรณํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘ปาทปุญฺฉนํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘โปราณปาทปุญฺฉนํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘มหาราช, สทฺธาเทยฺยํ นาม วินิปาเตตุํ น ลพฺภติ, ตสฺมา โปราณปาทปุญฺฉนํ วาสิยา โกเฎฺฎตฺวา มตฺติกาย มเกฺขตฺวา เสนาสเนสุ มตฺติกาเลปนํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ทินฺนํ ยาว ปาทปุญฺฉนาปิ นสฺสิตุํ น ลพฺภตี’’ติ? ‘‘อาม, มหาราช, อมฺหากํ ทินฺนํ นสฺสิตุํ น ลพฺภติ, ปริโภคเมว โหตี’’ติฯ

    Rājā ‘‘mayā tumhākaṃ sahassagghanikā sāṭakā dāpitā, kasmā tumhe te apārupitvāva āgatā’’ti pucchi. ‘‘Deva, amhehi te ānandattherassa dinnā’’ti. ‘‘Ānandattherena sabbe gahitā’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Sammāsambuddhena ticīvaraṃ anuññātaṃ, ānandatthero dussavaṇijjaṃ maññe karissati, atibahū tena sāṭakā gahitā’’ti therassa kujjhitvā bhuttapātarāso vihāraṃ gantvā therassa pariveṇaṃ pavisitvā theraṃ vanditvā nisinno pucchi – ‘‘api, bhante, amhākaṃ ghare itthiyo tumhākaṃ santike dhammaṃ uggaṇhanti vā suṇanti vā’’ti? ‘‘Āma, mahārāja, gahetabbayuttakaṃ gaṇhanti, sotabbayuttakaṃ suṇantī’’ti. ‘‘Kiṃ tā suṇantiyeva, udāhu tumhākaṃ nivāsanaṃ vā pārupanaṃ vā dadantī’’ti? ‘‘Tā ajja, mahārāja, sahassagghanikāni pañca sāṭakasatāni adaṃsū’’ti. ‘‘Tumhehi gahitāni tāni, bhante’’ti? ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Nanu, bhante, satthārā ticīvarameva anuññāta’’nti? ‘‘Āma, mahārāja, bhagavatā ekassa bhikkhuno ticīvarameva paribhogasīsena anuññātaṃ, paṭiggahaṇaṃ pana avāritaṃ, tasmā mayāpi aññesaṃ jiṇṇacīvarikānaṃ dātuṃ te sāṭakā paṭiggahitā’’ti. ‘‘Te pana bhikkhū tumhākaṃ santikā sāṭake labhitvā porāṇacīvarāni kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Porāṇasaṅghāṭiṃ uttarāsaṅgaṃ karissantī’’ti? ‘‘Porāṇauttarāsaṅgaṃ kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Antaravāsakaṃ karissantī’’ti. ‘‘Porāṇaantaravāsakaṃ kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Paccattharaṇaṃ karissantī’’ti. ‘‘Porāṇapaccattharaṇaṃ kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Bhummattharaṇaṃ karissantī’’ti. ‘‘Porāṇabhummattharaṇaṃ kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Pādapuñchanaṃ karissantī’’ti. ‘‘Porāṇapādapuñchanaṃ kiṃ karissantī’’ti? ‘‘Mahārāja, saddhādeyyaṃ nāma vinipātetuṃ na labbhati, tasmā porāṇapādapuñchanaṃ vāsiyā koṭṭetvā mattikāya makkhetvā senāsanesu mattikālepanaṃ karissantī’’ti. ‘‘Bhante, tumhākaṃ dinnaṃ yāva pādapuñchanāpi nassituṃ na labbhatī’’ti? ‘‘Āma, mahārāja, amhākaṃ dinnaṃ nassituṃ na labbhati, paribhogameva hotī’’ti.

    ราชา ตุโฎฺฐ โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา อิตรานิปิ เคเห ฐปิตานิ ปญฺจ สาฎกสตานิ อาหราเปตฺวา เถรสฺส ทตฺวา อนุโมทนํ สุตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ เถโร ปฐมลทฺธานิ ปญฺจ สาฎกสตานิ ชิณฺณจีวริกานํ ภิกฺขูนํ อทาสิฯ เถรสฺส ปน ปญฺจมตฺตานิ สทฺธิวิหาริกสตานิ , เตสุ เอโก ทหรภิกฺขุ เถรสฺส พหูปกาโร ปริเวณํ สมฺมชฺชติ, ปานียปริโภชนียํ อุปฎฺฐเปติ, ทนฺตกฎฺฐํ มุโขทกํ นฺหาโนทกํ เทติ, วจฺจกุฎิชนฺตาฆรเสนาสนานิ ปฎิชคฺคติ, หตฺถปริกมฺมปาทปริกมฺมปิฎฺฐิปริกมฺมาทีนิ กโรติฯ เถโร ปจฺฉา ลทฺธานิ ปญฺจ สาฎกสตานิ ‘‘อยํ เม พหูปกาโร’’ติ ยุตฺตวเสน สพฺพานิ ตเสฺสว อทาสิฯ โสปิ สเพฺพ เต สาฎเก ภาเชตฺวา อตฺตโน สมานุปชฺฌายานํ อทาสิฯ

    Rājā tuṭṭho somanassappatto hutvā itarānipi gehe ṭhapitāni pañca sāṭakasatāni āharāpetvā therassa datvā anumodanaṃ sutvā theraṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi. Thero paṭhamaladdhāni pañca sāṭakasatāni jiṇṇacīvarikānaṃ bhikkhūnaṃ adāsi. Therassa pana pañcamattāni saddhivihārikasatāni , tesu eko daharabhikkhu therassa bahūpakāro pariveṇaṃ sammajjati, pānīyaparibhojanīyaṃ upaṭṭhapeti, dantakaṭṭhaṃ mukhodakaṃ nhānodakaṃ deti, vaccakuṭijantāgharasenāsanāni paṭijaggati, hatthaparikammapādaparikammapiṭṭhiparikammādīni karoti. Thero pacchā laddhāni pañca sāṭakasatāni ‘‘ayaṃ me bahūpakāro’’ti yuttavasena sabbāni tasseva adāsi. Sopi sabbe te sāṭake bhājetvā attano samānupajjhāyānaṃ adāsi.

    เอวํ สเพฺพปิ เต ลทฺธสาฎกา ภิกฺขู สาฎเก ฉินฺทิตฺวา รชิตฺวา กณิการปุปฺผวณฺณานิ กาสายานิ นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา เอวมาหํสุ – ‘‘ภเนฺต, โสตาปนฺนสฺส อริยสาวกสฺส มุโขโลกนทานํ นาม อตฺถี’’ติฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, อริยสาวกานํ มุโขโลกนทานํ นาม อตฺถี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ อุปชฺฌาเยน ธมฺมภณฺฑาคาริกเตฺถเรน สหสฺสคฺฆนิกานํ สาฎกานํ ปญฺจ สตานิ เอกเสฺสว ทหรภิกฺขุโน ทินฺนานิ, โส ปน อตฺตนา ลเทฺธ ภาเชตฺวา อมฺหากํ อทาสี’’ติฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, อานโนฺท มุโขโลกนภิกฺขํ เทติ , โส ปนสฺส ภิกฺขุ พหูปกาโร, ตสฺมา อตฺตโน อุปการสฺส อุปการวเสน คุณวเสน ยุตฺตวเสน ‘อุปการสฺส นาม ปจฺจุปกาโร กาตุํ วฎฺฎตี’ติ กตญฺญุกตเวทิภาเวน อทาสิฯ โปราณกปณฺฑิตาปิ หิ อตฺตโน อุปการานเญฺญว ปจฺจุปการํ กริํสู’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Evaṃ sabbepi te laddhasāṭakā bhikkhū sāṭake chinditvā rajitvā kaṇikārapupphavaṇṇāni kāsāyāni nivāsetvā ca pārupitvā ca satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisīditvā evamāhaṃsu – ‘‘bhante, sotāpannassa ariyasāvakassa mukholokanadānaṃ nāma atthī’’ti. ‘‘Na, bhikkhave, ariyasāvakānaṃ mukholokanadānaṃ nāma atthī’’ti. ‘‘Bhante, amhākaṃ upajjhāyena dhammabhaṇḍāgārikattherena sahassagghanikānaṃ sāṭakānaṃ pañca satāni ekasseva daharabhikkhuno dinnāni, so pana attanā laddhe bhājetvā amhākaṃ adāsī’’ti. ‘‘Na, bhikkhave, ānando mukholokanabhikkhaṃ deti , so panassa bhikkhu bahūpakāro, tasmā attano upakārassa upakāravasena guṇavasena yuttavasena ‘upakārassa nāma paccupakāro kātuṃ vaṭṭatī’ti kataññukatavedibhāvena adāsi. Porāṇakapaṇḍitāpi hi attano upakārānaññeva paccupakāraṃ kariṃsū’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สีโห หุตฺวา ปพฺพตคุหายํ วสติฯ โส เอกทิวสํ คุหาย นิกฺขมิตฺวา ปพฺพตปาทํ โอโลเกสิ, ตํ ปน ปพฺพตปาทํ ปริกฺขิปิตฺวา มหาสโร อโหสิฯ ตสฺส เอกสฺมิํ อุนฺนตฎฺฐาเน อุปริถทฺธกทฺทมปิเฎฺฐ มุทูนิ หริตติณานิ ชายิํสุฯ สสกา เจว หริณาทโย จ สลฺลหุกมิคา กทฺทมมตฺถเก วิจรนฺตา ตานิ ขาทนฺติฯ ตํ ทิวสมฺปิ เอโก มิโค ตานิ ขาทโนฺต วิจรติฯ สีโห ‘‘ตํ มิคํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ปพฺพตมตฺถกา อุปฺปติตฺวา สีหเวเคน ปกฺขนฺทิ, มิโค มรณภยตชฺชิโต วิรวโนฺต ปลายิฯ สีโห เวคํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต กลลปิเฎฺฐ นิปติตฺวา โอสีทิตฺวา อุคฺคนฺตุํ อสโกฺกโนฺต จตฺตาโร ปาทา ถมฺภา วิย โอสีทิตฺวา สตฺตาหํ นิราหาโร อฎฺฐาสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto sīho hutvā pabbataguhāyaṃ vasati. So ekadivasaṃ guhāya nikkhamitvā pabbatapādaṃ olokesi, taṃ pana pabbatapādaṃ parikkhipitvā mahāsaro ahosi. Tassa ekasmiṃ unnataṭṭhāne uparithaddhakaddamapiṭṭhe mudūni haritatiṇāni jāyiṃsu. Sasakā ceva hariṇādayo ca sallahukamigā kaddamamatthake vicarantā tāni khādanti. Taṃ divasampi eko migo tāni khādanto vicarati. Sīho ‘‘taṃ migaṃ gaṇhissāmī’’ti pabbatamatthakā uppatitvā sīhavegena pakkhandi, migo maraṇabhayatajjito viravanto palāyi. Sīho vegaṃ sandhāretuṃ asakkonto kalalapiṭṭhe nipatitvā osīditvā uggantuṃ asakkonto cattāro pādā thambhā viya osīditvā sattāhaṃ nirāhāro aṭṭhāsi.

    อถ นํ เอโก สิงฺคาโล โคจรปฺปสุโต ตํ ทิสฺวา ภเยน ปลายิฯ สีโห ตํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘โภ สิงฺคาล, มา ปลายิ, อหํ กลเล ลโคฺค, ชีวิตํ เม เทหี’’ติ อาหฯ สิงฺคาโล ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อหํ ตํ อุทฺธเรยฺยํ, อุทฺธโฎ ปน มํ ขาเทยฺยาสีติ ภายามี’’ติ อาหฯ ‘‘มา ภายิ, นาหํ ตํ ขาทิสฺสามิ, มหนฺตํ ปน เต คุณํ กริสฺสามิ, เอเกนุปาเยน มํ อุทฺธราหี’’ติฯ สิงฺคาโล ตสฺส ปฎิญฺญํ คเหตฺวา จตุนฺนํ ปาทานํ สมนฺตา กลเล อปเนตฺวา จตุนฺนมฺปิ ปาทานํ จตโสฺส มาติกา ขณิตฺวา อุทกาภิมุขํ อกาสิ, อุทกํ ปวิสิตฺวา กลลํ มุทุํ อกาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ สิงฺคาโล สีหสฺส อุทรนฺตรํ อตฺตโน สีสํ ปเวเสตฺวา ‘‘วายามํ กโรหิ, สามี’’ติ อุจฺจาสทฺทํ กโรโนฺต สีเสน อุทรํ ปหริฯ สีโห เวคํ ชเนตฺวา กลลา อุคฺคนฺตฺวา ปกฺขนฺทิตฺวา ถเล อฎฺฐาสิฯ โส มุหุตฺตํ วิสฺสมิตฺวา สรํ โอรุยฺห กทฺทมํ โธวิตฺวา นฺหายิตฺวา ทรถํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา เอกํ มหิํสํ วธิตฺวา ทาฐาหิ โอวิชฺฌิตฺวา มํสํ อุพฺพเตฺตตฺวา ‘‘ขาท, สมฺมา’’ติ สิงฺคาลสฺส ปุรโต ฐเปตฺวา เตน ขาทิเต ปจฺฉา อตฺตนา ขาทิฯ ปุน สิงฺคาโล เอกํ มํสเปสิํ ฑํสิตฺวา คณฺหิฯ ‘‘อิทํ กิมตฺถาย, สมฺมา’’ติ จ วุเตฺต ‘‘ตุมฺหากํ ทาสี อตฺถิ, ตสฺสา ภาโค ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ สีโห ‘‘คณฺหาหี’’ติ วตฺวา สยมฺปิ สีหิยา อตฺถาย มํสํ คณฺหิตฺวา ‘‘เอหิ, สมฺม, อมฺหากํ ปพฺพตมุทฺธนิ ฐตฺวา สขิยา วสนฎฺฐานํ คมิสฺสามา’’ติ วตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา มํสํ ขาทาเปตฺวา สิงฺคาลญฺจ สิงฺคาลิญฺจ อสฺสาเสตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อิทานิ อหํ ตุเมฺห ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ อตฺตโน วสนฎฺฐานํ เนตฺวา คุหาย ทฺวาเร อญฺญิสฺสา คุหาย วสาเปสิฯ เต ตโต ปฎฺฐาย โคจราย คจฺฉนฺตา สีหิญฺจ สิงฺคาลิญฺจ ฐเปตฺวา สิงฺคาเลน สทฺธิํ คนฺตฺวา นานามิเค วธิตฺวา อุโภปิ ตเตฺถว มํสํ ขาทิตฺวา อิตราสมฺปิ ทฺวินฺนํ อาหริตฺวา เทนฺติฯ

    Atha naṃ eko siṅgālo gocarappasuto taṃ disvā bhayena palāyi. Sīho taṃ pakkositvā ‘‘bho siṅgāla, mā palāyi, ahaṃ kalale laggo, jīvitaṃ me dehī’’ti āha. Siṅgālo tassa santikaṃ gantvā ‘‘ahaṃ taṃ uddhareyyaṃ, uddhaṭo pana maṃ khādeyyāsīti bhāyāmī’’ti āha. ‘‘Mā bhāyi, nāhaṃ taṃ khādissāmi, mahantaṃ pana te guṇaṃ karissāmi, ekenupāyena maṃ uddharāhī’’ti. Siṅgālo tassa paṭiññaṃ gahetvā catunnaṃ pādānaṃ samantā kalale apanetvā catunnampi pādānaṃ catasso mātikā khaṇitvā udakābhimukhaṃ akāsi, udakaṃ pavisitvā kalalaṃ muduṃ akāsi. Tasmiṃ khaṇe siṅgālo sīhassa udarantaraṃ attano sīsaṃ pavesetvā ‘‘vāyāmaṃ karohi, sāmī’’ti uccāsaddaṃ karonto sīsena udaraṃ pahari. Sīho vegaṃ janetvā kalalā uggantvā pakkhanditvā thale aṭṭhāsi. So muhuttaṃ vissamitvā saraṃ oruyha kaddamaṃ dhovitvā nhāyitvā darathaṃ paṭippassambhetvā ekaṃ mahiṃsaṃ vadhitvā dāṭhāhi ovijjhitvā maṃsaṃ ubbattetvā ‘‘khāda, sammā’’ti siṅgālassa purato ṭhapetvā tena khādite pacchā attanā khādi. Puna siṅgālo ekaṃ maṃsapesiṃ ḍaṃsitvā gaṇhi. ‘‘Idaṃ kimatthāya, sammā’’ti ca vutte ‘‘tumhākaṃ dāsī atthi, tassā bhāgo bhavissatī’’ti āha. Sīho ‘‘gaṇhāhī’’ti vatvā sayampi sīhiyā atthāya maṃsaṃ gaṇhitvā ‘‘ehi, samma, amhākaṃ pabbatamuddhani ṭhatvā sakhiyā vasanaṭṭhānaṃ gamissāmā’’ti vatvā tattha gantvā maṃsaṃ khādāpetvā siṅgālañca siṅgāliñca assāsetvā ‘‘ito paṭṭhāya idāni ahaṃ tumhe paṭijaggissāmī’’ti attano vasanaṭṭhānaṃ netvā guhāya dvāre aññissā guhāya vasāpesi. Te tato paṭṭhāya gocarāya gacchantā sīhiñca siṅgāliñca ṭhapetvā siṅgālena saddhiṃ gantvā nānāmige vadhitvā ubhopi tattheva maṃsaṃ khāditvā itarāsampi dvinnaṃ āharitvā denti.

    เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต สีหี เทฺว ปุเตฺต วิชายิ, สิงฺคาลีปิ เทฺว ปุเตฺต วิชายิฯ เต สเพฺพปิ สมคฺควาสํ วสิํสุฯ อเถกทิวสํ สีหิยา เอตทโหสิ – ‘‘อยํ สีโห สิงฺคาลญฺจ สิงฺคาลิญฺจ สิงฺคาลโปตเก จ อติวิย ปิยายติ, นูนมสฺส สิงฺคาลิยา สทฺธิํ สนฺถโว อตฺถิ, ตสฺมา เอวํ สิเนหํ กโรติ, ยํนูนาหํ อิมํ ปีเฬตฺวา ตเชฺชตฺวา อิโต ปลาเปยฺย’’นฺติ ฯ สา สีหสฺส สิงฺคาลํ คเหตฺวา โคจราย คตกาเล สิงฺคาลิํ ปีเฬสิ ตเชฺชสิ ‘‘กิํการณา อิมสฺมิํ ฐาเน วสติ , น ปลายสี’’ติ? ปุตฺตาปิสฺสา สิงฺคาลิปุเตฺต ตเถว ตชฺชยิํสุฯ สิงฺคาลี ตมตฺถํ สิงฺคาลสฺส กเถตฺวา ‘‘สีหสฺส วจเนน เอตาย เอวํ กตภาวมฺปิ น ชานาม, จิรํ วสิมฺหา, นาสาเปยฺยาปิ โน, อมฺหากํ วสนฎฺฐานเมว คจฺฉามา’’ติ อาหฯ สิงฺคาโล ตสฺสา วจนํ สุตฺวา สีหํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘สามิ, จิรํ อเมฺหหิ ตุมฺหากํ สนฺติเก นิวุตฺถํ, อติจิรํ วสนฺตา นาม อปฺปิยา โหนฺติ, อมฺหากํ โคจราย ปกฺกนฺตกาเล สีหี สิงฺคาลิํ วิเหเฐติ ‘อิมสฺมิํ ฐาเน กสฺมา วสถ, ปลายถา’ติ ตเชฺชติ, สีหโปตกาปิ สิงฺคาลโปตเก ตเชฺชนฺติฯ โย นาม ยสฺส อตฺตโน สนฺติเก วาสํ น โรเจติ, เตน โส ‘ยาหี’ติ นีหริตโพฺพว, วิเหฐนํ นาม กิมตฺถิย’’นฺติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Evaṃ kāle gacchante sīhī dve putte vijāyi, siṅgālīpi dve putte vijāyi. Te sabbepi samaggavāsaṃ vasiṃsu. Athekadivasaṃ sīhiyā etadahosi – ‘‘ayaṃ sīho siṅgālañca siṅgāliñca siṅgālapotake ca ativiya piyāyati, nūnamassa siṅgāliyā saddhiṃ santhavo atthi, tasmā evaṃ sinehaṃ karoti, yaṃnūnāhaṃ imaṃ pīḷetvā tajjetvā ito palāpeyya’’nti . Sā sīhassa siṅgālaṃ gahetvā gocarāya gatakāle siṅgāliṃ pīḷesi tajjesi ‘‘kiṃkāraṇā imasmiṃ ṭhāne vasati , na palāyasī’’ti? Puttāpissā siṅgāliputte tatheva tajjayiṃsu. Siṅgālī tamatthaṃ siṅgālassa kathetvā ‘‘sīhassa vacanena etāya evaṃ katabhāvampi na jānāma, ciraṃ vasimhā, nāsāpeyyāpi no, amhākaṃ vasanaṭṭhānameva gacchāmā’’ti āha. Siṅgālo tassā vacanaṃ sutvā sīhaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘sāmi, ciraṃ amhehi tumhākaṃ santike nivutthaṃ, aticiraṃ vasantā nāma appiyā honti, amhākaṃ gocarāya pakkantakāle sīhī siṅgāliṃ viheṭheti ‘imasmiṃ ṭhāne kasmā vasatha, palāyathā’ti tajjeti, sīhapotakāpi siṅgālapotake tajjenti. Yo nāma yassa attano santike vāsaṃ na roceti, tena so ‘yāhī’ti nīharitabbova, viheṭhanaṃ nāma kimatthiya’’nti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๓.

    13.

    ‘‘เยน กามํ ปณาเมติ, ธโมฺม พลวตํ มิคี;

    ‘‘Yena kāmaṃ paṇāmeti, dhammo balavataṃ migī;

    อุนฺนทนฺตี วิชานาหิ, ชาตํ สรณโต ภย’’นฺติฯ

    Unnadantī vijānāhi, jātaṃ saraṇato bhaya’’nti.

    ตตฺถ เยน กามํ ปณาเมติ, ธโมฺม พลวตนฺติ พลวา นาม อิสฺสโร อตฺตโน เสวกํ เยน ทิสาภาเคน อิจฺฉติ, เตน ทิสาภาเคน โส ปณาเมติ นีหรติฯ เอส ธโมฺม พลวตํ อยํ อิสฺสรานํ สภาโว ปเวณิธโมฺมว, ตสฺมา สเจ อมฺหากํ วาสํ น โรเจถ, อุชุกเมว โน นีหรถ , วิเหฐเนน โก อโตฺถติ ทีเปโนฺต เอวมาหฯ มิคีติ สีหํ อาลปติฯ โส หิ มิคราชตาย มิคา อสฺส อตฺถีติ มิคีฯ อุนฺนทนฺตีติปิ ตเมว อาลปติฯ โส หิ อุนฺนตานํ ทนฺตานํ อตฺถิตาย อุนฺนตา ทนฺตา อสฺส อตฺถีติ อุนฺนทนฺตีฯ ‘‘อุนฺนตทนฺตี’’ติปิ ปาโฐเยวฯ วิชานาหีติ ‘‘เอส อิสฺสรานํ ธโมฺม’’ติ เอวํ ชานาหิฯ ชาตํ สรณโต ภยนฺติ อมฺหากํ ตุเมฺห ปติฎฺฐานเฎฺฐน สรณํ, ตุมฺหากเญฺญว สนฺติกา ภยํ ชาตํ, ตสฺมา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คมิสฺสามาติ ทีเปติฯ

    Tattha yena kāmaṃ paṇāmeti, dhammo balavatanti balavā nāma issaro attano sevakaṃ yena disābhāgena icchati, tena disābhāgena so paṇāmeti nīharati. Esa dhammo balavataṃ ayaṃ issarānaṃ sabhāvo paveṇidhammova, tasmā sace amhākaṃ vāsaṃ na rocetha, ujukameva no nīharatha , viheṭhanena ko atthoti dīpento evamāha. Migīti sīhaṃ ālapati. So hi migarājatāya migā assa atthīti migī. Unnadantītipi tameva ālapati. So hi unnatānaṃ dantānaṃ atthitāya unnatā dantā assa atthīti unnadantī. ‘‘Unnatadantī’’tipi pāṭhoyeva. Vijānāhīti ‘‘esa issarānaṃ dhammo’’ti evaṃ jānāhi. Jātaṃ saraṇato bhayanti amhākaṃ tumhe patiṭṭhānaṭṭhena saraṇaṃ, tumhākaññeva santikā bhayaṃ jātaṃ, tasmā attano vasanaṭṭhānameva gamissāmāti dīpeti.

    อปโร นโย – ตว มิคี สีหี อุนฺนทนฺตีมม ปุตฺตทารํ ตเชฺชนฺตี เยน กามํ ปณาเมติ, เยน เยนากาเรน อิจฺฉติ, เตน ปณาเมติ ปวตฺตติ, วิเหเฐติปิ ปลาเปติปิ, เอวํ ตฺวํ วิชานาหิ, ตตฺถ กิํ สกฺกา อเมฺหหิ กาตุํฯ ธโมฺม พลวตํ เอส พลวนฺตานํ สภาโว, อิทานิ มยํ คมิสฺสามฯ กสฺมา? ชาตํ สรณโต ภยนฺติฯ

    Aparo nayo – tava migī sīhī unnadantīmama puttadāraṃ tajjentī yena kāmaṃ paṇāmeti, yena yenākārena icchati, tena paṇāmeti pavattati, viheṭhetipi palāpetipi, evaṃ tvaṃ vijānāhi, tattha kiṃ sakkā amhehi kātuṃ. Dhammo balavataṃ esa balavantānaṃ sabhāvo, idāni mayaṃ gamissāma. Kasmā? Jātaṃ saraṇato bhayanti.

    ตสฺส วจนํ สุตฺวา สีโห สีหิํ อาห – ‘‘ภเทฺท, อสุกสฺมิํ นาม กาเล มม โคจรตฺถาย คนฺตฺวา สตฺตเม ทิวเส อิมินา สิงฺคาเลน อิมาย จ สิงฺคาลิยา สทฺธิํ อาคตภาวํ สรสี’’ติฯ ‘‘อาม, สรามี’’ติฯ ‘‘ชานาสิ ปน มยฺหํ สตฺตาหํ อนาคมนสฺส การณ’’นฺติ? ‘‘น ชานามิ, สามี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, อหํ ‘เอกํ มิคํ คณฺหิสฺสามี’ติ วิรชฺฌิตฺวา กลเล ลโคฺค, ตโต นิกฺขมิตุํ อสโกฺกโนฺต สตฺตาหํ นิราหาโร อฎฺฐาสิํ, สฺวาหํ อิมํ สิงฺคาลํ นิสฺสาย ชีวิตํ ลภิํ, อยํ เม ชีวิตทายโก สหาโยฯ มิตฺตธเมฺม ฐาตุํ สมโตฺถ หิ มิโตฺต ทุพฺพโล นาม นตฺถิ, อิโต ปฎฺฐาย มยฺหํ สหายสฺส จ สหายิกาย จ ปุตฺตกานญฺจ เอวรูปํ อวมานํ มา อกาสี’’ติ วตฺวา สีโห ทุติยํ คาถมาห –

    Tassa vacanaṃ sutvā sīho sīhiṃ āha – ‘‘bhadde, asukasmiṃ nāma kāle mama gocaratthāya gantvā sattame divase iminā siṅgālena imāya ca siṅgāliyā saddhiṃ āgatabhāvaṃ sarasī’’ti. ‘‘Āma, sarāmī’’ti. ‘‘Jānāsi pana mayhaṃ sattāhaṃ anāgamanassa kāraṇa’’nti? ‘‘Na jānāmi, sāmī’’ti. ‘‘Bhadde, ahaṃ ‘ekaṃ migaṃ gaṇhissāmī’ti virajjhitvā kalale laggo, tato nikkhamituṃ asakkonto sattāhaṃ nirāhāro aṭṭhāsiṃ, svāhaṃ imaṃ siṅgālaṃ nissāya jīvitaṃ labhiṃ, ayaṃ me jīvitadāyako sahāyo. Mittadhamme ṭhātuṃ samattho hi mitto dubbalo nāma natthi, ito paṭṭhāya mayhaṃ sahāyassa ca sahāyikāya ca puttakānañca evarūpaṃ avamānaṃ mā akāsī’’ti vatvā sīho dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๔.

    14.

    ‘‘อปิ เจปิ ทุพฺพโล มิโตฺต, มิตฺตธเมฺมสุ ติฎฺฐติ;

    ‘‘Api cepi dubbalo mitto, mittadhammesu tiṭṭhati;

    โส ญาตโก จ พนฺธุ จ, โส มิโตฺต โส จ เม สขา;

    So ñātako ca bandhu ca, so mitto so ca me sakhā;

    ทาฐินิ มาติมญฺญิโตฺถ, สิงฺคาโล มม ปาณโท’’ติฯ

    Dāṭhini mātimaññittho, siṅgālo mama pāṇado’’ti.

    ตตฺถ อปิ เจปีติ เอโก อปิสโทฺท อนุคฺคหโตฺถ, เอโก สมฺภาวนโตฺถฯ ตตฺรายํ โยชนา – ทุพฺพโลปิ เจ มิโตฺต มิตฺตธเมฺมสุ อปิ ติฎฺฐติ, สเจ ฐาตุํ สโกฺกติ, โส ญาตโก จ พนฺธุ จ, โส เมตฺตจิตฺตตาย มิโตฺต, โส จ เม สหายเฎฺฐน สขาฯ ทาฐินิ มาติมญฺญิโตฺถติ, ภเทฺท, ทาฐาสมฺปเนฺน สีหิ มา มยฺหํ สหายํ วา สหายิํ วา อติมญฺญิ, อยญฺหิ สิงฺคาโล มม ปาณโทติฯ

    Tattha api cepīti eko apisaddo anuggahattho, eko sambhāvanattho. Tatrāyaṃ yojanā – dubbalopi ce mitto mittadhammesu api tiṭṭhati, sace ṭhātuṃ sakkoti, so ñātako ca bandhu ca, so mettacittatāya mitto, so ca me sahāyaṭṭhena sakhā. Dāṭhini mātimaññitthoti, bhadde, dāṭhāsampanne sīhi mā mayhaṃ sahāyaṃ vā sahāyiṃ vā atimaññi, ayañhi siṅgālo mama pāṇadoti.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา สิงฺคาลิํ ขมาเปตฺวา ตโต ปฎฺฐาย สปุตฺตาย ตาย สทฺธิํ สมคฺควาสํ วสิฯ สีหโปตกาปิ สิงฺคาลโปตเกหิ สทฺธิํ กีฬมานา สโมฺมทมานา มาตาปิตูนํ อติกฺกนฺตกาเลปิ มิตฺตภาวํ อภินฺทิตฺวา สโมฺมทมานา วสิํสุฯ เตสํ กิร สตฺตกุลปริวเฎฺฎ อภิชฺชมานา เมตฺติ อคมาสิฯ

    Sā tassa vacanaṃ sutvā siṅgāliṃ khamāpetvā tato paṭṭhāya saputtāya tāya saddhiṃ samaggavāsaṃ vasi. Sīhapotakāpi siṅgālapotakehi saddhiṃ kīḷamānā sammodamānā mātāpitūnaṃ atikkantakālepi mittabhāvaṃ abhinditvā sammodamānā vasiṃsu. Tesaṃ kira sattakulaparivaṭṭe abhijjamānā metti agamāsi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – สจฺจปริโยสาเน เกจิ โสตาปนฺนา, เกจิ สกทาคามิโน, เกจิ อนาคามิโน, เกจิ อรหโนฺต อเหสุํฯ ‘‘ตทา สิงฺคาโล อานโนฺท อโหสิ, สีโห ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – saccapariyosāne keci sotāpannā, keci sakadāgāmino, keci anāgāmino, keci arahanto ahesuṃ. ‘‘Tadā siṅgālo ānando ahosi, sīho pana ahameva ahosi’’nti.

    คุณชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ

    Guṇajātakavaṇṇanā sattamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๕๗. คุณชาตกํ • 157. Guṇajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact