Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๔๓] ๓. คุตฺติลชาตกวณฺณนา

    [243] 3. Guttilajātakavaṇṇanā

    สตฺตตนฺติํ สุมธุรนฺติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺมิญฺหิ กาเล ภิกฺขู เทวทตฺตํ อาหํสุ – ‘‘อาวุโส เทวทตฺต, สมฺมาสมฺพุโทฺธ ตุยฺหํ อาจริโย, ตฺวํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ นิสฺสาย ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคณฺหิ, จตฺตาริ ฌานานิ อุปฺปาเทสิ, อาจริยสฺส นาม ปฎิสตฺตุนา ภวิตุํ น ยุตฺต’’นฺติฯ เทวทโตฺต ‘‘กิํ ปน เม, อาวุโส, สมโณ โคตโม อาจริโย, นนุ มยา อตฺตโน พเลเนว ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคหิตานิ, จตฺตาริ ฌานานิ อุปฺปาทิตานี’’ติ อาจริยํ ปจฺจกฺขาสิฯ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต อาจริยํ ปจฺจกฺขาย สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปฎิสตฺตุ หุตฺวา มหาวินาสํ ปโตฺต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, เทวทโตฺต อิทาเนว อาจริยํ ปจฺจกฺขาย มม ปฎิสตฺตุ หุตฺวา วินาสํ ปาปุณาติ, ปุเพฺพปิ ปโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Sattatantiṃ sumadhuranti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. Tasmiñhi kāle bhikkhū devadattaṃ āhaṃsu – ‘‘āvuso devadatta, sammāsambuddho tuyhaṃ ācariyo, tvaṃ sammāsambuddhaṃ nissāya tīṇi piṭakāni uggaṇhi, cattāri jhānāni uppādesi, ācariyassa nāma paṭisattunā bhavituṃ na yutta’’nti. Devadatto ‘‘kiṃ pana me, āvuso, samaṇo gotamo ācariyo, nanu mayā attano baleneva tīṇi piṭakāni uggahitāni, cattāri jhānāni uppāditānī’’ti ācariyaṃ paccakkhāsi. Bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, devadatto ācariyaṃ paccakkhāya sammāsambuddhassa paṭisattu hutvā mahāvināsaṃ patto’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, devadatto idāneva ācariyaṃ paccakkhāya mama paṭisattu hutvā vināsaṃ pāpuṇāti, pubbepi pattoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต คนฺธพฺพกุเล นิพฺพตฺติ, ‘‘คุตฺติลกุมาโร’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต คนฺธพฺพสิเปฺป นิปฺผตฺติํ ปตฺวา คุตฺติลคนฺธโพฺพ นาม สกลชมฺพุทีเป อคฺคคนฺธโพฺพ อโหสิฯ โส ทาราภรณํ อกตฺวา อเนฺธ มาตาปิตโร โปเสสิฯ ตทา พาราณสิวาสิโน วาณิชา วณิชฺชาย อุเชฺชนินครํ คนฺตฺวา อุสฺสเว ฆุเฎฺฐ ฉนฺทกํ สํหริตฺวา พหุํ มาลาคนฺธวิเลปนญฺจ ขชฺชโภชฺชาทีนิ จ อาทาย กีฬนฎฺฐาเน สนฺนิปติตฺวา ‘‘เวตนํ ทตฺวา เอกํ คนฺธพฺพํ อาเนถา’’ติ อาหํสุฯ เตน จ สมเยน อุเชฺชนิยํ มูสิโล นาม เชฎฺฐคนฺธโพฺพ โหติ, เต ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา อตฺตโน คนฺธพฺพํ กาเรสุํฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto gandhabbakule nibbatti, ‘‘guttilakumāro’’tissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto gandhabbasippe nipphattiṃ patvā guttilagandhabbo nāma sakalajambudīpe aggagandhabbo ahosi. So dārābharaṇaṃ akatvā andhe mātāpitaro posesi. Tadā bārāṇasivāsino vāṇijā vaṇijjāya ujjeninagaraṃ gantvā ussave ghuṭṭhe chandakaṃ saṃharitvā bahuṃ mālāgandhavilepanañca khajjabhojjādīni ca ādāya kīḷanaṭṭhāne sannipatitvā ‘‘vetanaṃ datvā ekaṃ gandhabbaṃ ānethā’’ti āhaṃsu. Tena ca samayena ujjeniyaṃ mūsilo nāma jeṭṭhagandhabbo hoti, te taṃ pakkosāpetvā attano gandhabbaṃ kāresuṃ.

    มูสิโล วีณํ วาทโนฺต วีณํ อุตฺตมมุจฺฉนาย มุจฺฉิตฺวา วาเทสิฯ เตสํ คุตฺติลคนฺธพฺพสฺส คนฺธเพฺพ ชาตปริจยานํ ตสฺส คนฺธพฺพํ กิลญฺชกณฺฑูวนํ วิย หุตฺวา อุปฎฺฐาสิ, เอโกปิ ปหฎฺฐาการํ น ทเสฺสสิฯ มูสิโล เตสุ ตุฎฺฐาการํ อทเสฺสเนฺตสุ ‘‘อติขรํ กตฺวา วาเทมิ มเญฺญ’’ติ มชฺฌิมมุจฺฉนาย มุจฺฉิตฺวา มชฺฌิมสเรน วาเทสิ, เต ตตฺถปิ มชฺฌตฺตาว อเหสุํฯ อถ โส ‘‘อิเม น กิญฺจิ ชานนฺติ มเญฺญ’’ติ สยมฺปิ อชานนโก วิย หุตฺวา ตนฺติโย สิถิเล วาเทสิ, เต ตตฺถปิ น กิญฺจิ อาหํสุฯ อถ เน มูสิโล ‘‘อโมฺภ วาณิชา, กิํ นุ โข มยิ วีณํ วาเทเนฺต ตุเมฺห น ตุสฺสถา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ วีณํ วาเทสิ, มยญฺหิ ‘อยํ วีณํ มุเจฺฉตี’ติ สญฺญํ อกริมฺหา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตุเมฺห มยา อุตฺตริตรํ อาจริยํ ชานาถ, อุทาหุ อตฺตโน อชานนภาเวน น ตุสฺสถา’’ติฯ วาณิชา ‘‘พาราณสิยํ คุตฺติลคนฺธพฺพสฺส วีณาสทฺทํ สุตปุพฺพานํ ตว วีณาสโทฺท อิตฺถีนํ ทารเก โตสาปนสโทฺท วิย โหตี’’ติ อาหํสุฯ ‘‘เตน หิ, หนฺท, ตุเมฺหหิ ทินฺนปริพฺพยํ ปฎิคฺคณฺหถ, น มยฺหํ เอเตนโตฺถ, อปิจ โข ปน พาราณสิํ คจฺฉนฺตา มํ คณฺหิตฺวา คเจฺฉยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา คมนกาเล ตํ อาทาย พาราณสิํ คนฺตฺวา ตสฺส ‘‘เอตํ คุตฺติลสฺส วสนฎฺฐาน’’นฺติ อาจิกฺขิตฺวา สกสกนิเวสนํ อคมิํสุฯ

    Mūsilo vīṇaṃ vādanto vīṇaṃ uttamamucchanāya mucchitvā vādesi. Tesaṃ guttilagandhabbassa gandhabbe jātaparicayānaṃ tassa gandhabbaṃ kilañjakaṇḍūvanaṃ viya hutvā upaṭṭhāsi, ekopi pahaṭṭhākāraṃ na dassesi. Mūsilo tesu tuṭṭhākāraṃ adassentesu ‘‘atikharaṃ katvā vādemi maññe’’ti majjhimamucchanāya mucchitvā majjhimasarena vādesi, te tatthapi majjhattāva ahesuṃ. Atha so ‘‘ime na kiñci jānanti maññe’’ti sayampi ajānanako viya hutvā tantiyo sithile vādesi, te tatthapi na kiñci āhaṃsu. Atha ne mūsilo ‘‘ambho vāṇijā, kiṃ nu kho mayi vīṇaṃ vādente tumhe na tussathā’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ vīṇaṃ vādesi, mayañhi ‘ayaṃ vīṇaṃ mucchetī’ti saññaṃ akarimhā’’ti. ‘‘Kiṃ pana tumhe mayā uttaritaraṃ ācariyaṃ jānātha, udāhu attano ajānanabhāvena na tussathā’’ti. Vāṇijā ‘‘bārāṇasiyaṃ guttilagandhabbassa vīṇāsaddaṃ sutapubbānaṃ tava vīṇāsaddo itthīnaṃ dārake tosāpanasaddo viya hotī’’ti āhaṃsu. ‘‘Tena hi, handa, tumhehi dinnaparibbayaṃ paṭiggaṇhatha, na mayhaṃ etenattho, apica kho pana bārāṇasiṃ gacchantā maṃ gaṇhitvā gaccheyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā gamanakāle taṃ ādāya bārāṇasiṃ gantvā tassa ‘‘etaṃ guttilassa vasanaṭṭhāna’’nti ācikkhitvā sakasakanivesanaṃ agamiṃsu.

    มูสิโล โพธิสตฺตสฺส เคหํ ปวิสิตฺวา ลเคฺคตฺวา ฐปิตํ โพธิสตฺตสฺส ชาติวีณํ ทิสฺวา คเหตฺวา วาเทสิ, อถ โพธิสตฺตสฺส มาตาปิตโร อนฺธภาเวน ตํ อปสฺสนฺตา ‘‘มูสิกา มเญฺญ วีณํ ขาทนฺตี’’ติ สญฺญาย ‘‘สุสู’’ติ อาหํสุฯ ตสฺมิํ กาเล มูสิโล วีณํ ฐเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา ‘‘กุโต อาคโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘อาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหิตุํ อุเชฺชนิโต อาคโตมฺหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ วุเตฺต ‘‘กหํ อาจริโย’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘วิปฺปวุโตฺถ, ตาต, อชฺช อาคมิสฺสตี’’ติ สุตฺวา ตเตฺถว นิสีทิตฺวา โพธิสตฺตํ อาคตํ ทิสฺวา เตน กตปฎิสนฺถาโร อตฺตโน อาคตการณํ อาโรเจสิฯ โพธิสโตฺต องฺควิชฺชาปาฐโก, โส ตสฺส อสปฺปุริสภาวํ ญตฺวา ‘‘คจฺฉ ตาต, นตฺถิ ตว สิปฺป’’นฺติ ปฎิกฺขิปิฯ โส โพธิสตฺตสฺส มาตาปิตูนํ ปาเท คเหตฺวา อุปการํ กโรโนฺต เต อาราเธตฺวา ‘‘สิปฺปํ เม ทาเปถา’’ติ ยาจิฯ โพธิสโตฺต มาตาปิตูหิ ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโน เต อติกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺต สิปฺปํ อทาสิฯ โส โพธิสเตฺตเนว สทฺธิํ ราชนิเวสนํ คจฺฉติฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘โก เอส, อาจริยา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยฺหํ อเนฺตวาสิโก, มหาราชา’’ติฯ โส อนุกฺกเมน รโญฺญ วิสฺสาสิโก อโหสิฯ โพธิสโตฺต อาจริยมุฎฺฐิํ อกตฺวา อตฺตโน ชานนนิยาเมน สพฺพํ สิปฺปํ สิกฺขาเปตฺวา ‘‘นิฎฺฐิตํ เต, ตาต, สิปฺป’’นฺติ อาหฯ

    Mūsilo bodhisattassa gehaṃ pavisitvā laggetvā ṭhapitaṃ bodhisattassa jātivīṇaṃ disvā gahetvā vādesi, atha bodhisattassa mātāpitaro andhabhāvena taṃ apassantā ‘‘mūsikā maññe vīṇaṃ khādantī’’ti saññāya ‘‘susū’’ti āhaṃsu. Tasmiṃ kāle mūsilo vīṇaṃ ṭhapetvā bodhisattassa mātāpitaro vanditvā ‘‘kuto āgatosī’’ti vutte ‘‘ācariyassa santike sippaṃ uggaṇhituṃ ujjenito āgatomhī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti vutte ‘‘kahaṃ ācariyo’’ti pucchitvā ‘‘vippavuttho, tāta, ajja āgamissatī’’ti sutvā tattheva nisīditvā bodhisattaṃ āgataṃ disvā tena katapaṭisanthāro attano āgatakāraṇaṃ ārocesi. Bodhisatto aṅgavijjāpāṭhako, so tassa asappurisabhāvaṃ ñatvā ‘‘gaccha tāta, natthi tava sippa’’nti paṭikkhipi. So bodhisattassa mātāpitūnaṃ pāde gahetvā upakāraṃ karonto te ārādhetvā ‘‘sippaṃ me dāpethā’’ti yāci. Bodhisatto mātāpitūhi punappunaṃ vuccamāno te atikkamituṃ asakkonto sippaṃ adāsi. So bodhisatteneva saddhiṃ rājanivesanaṃ gacchati. Rājā taṃ disvā ‘‘ko esa, ācariyā’’ti pucchi. ‘‘Mayhaṃ antevāsiko, mahārājā’’ti. So anukkamena rañño vissāsiko ahosi. Bodhisatto ācariyamuṭṭhiṃ akatvā attano jānananiyāmena sabbaṃ sippaṃ sikkhāpetvā ‘‘niṭṭhitaṃ te, tāta, sippa’’nti āha.

    โส จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ สิปฺปํ ปคุณํ, อิทญฺจ พาราณสินครํ สกลชมฺพุทีเป อคฺคนครํ, อาจริโยปิ มหลฺลโก, อิเธว มยา วสิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส อาจริยํ อาห – ‘‘อาจริย อหํ ราชานํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติฯ อาจริโย ‘‘สาธุ, ตาต, รโญฺญ อาโรเจสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ‘‘อมฺหากํ อเนฺตวาสิโก เทวํ อุปฎฺฐาตุํ อิจฺฉติ, เทยฺยธมฺมมสฺส ชานาถา’’ติ รโญฺญ อาโรเจตฺวา รญฺญา ‘‘ตุมฺหากํ เทยฺยธมฺมโต อุปฑฺฒํ ลภิสฺสตี’’ติ วุเตฺต ตํ ปวตฺติํ มูสิลสฺส อาโรเจสิฯ มูสิโล ‘‘อหํ ตุเมฺหหิ สมกเญฺญว ลภโนฺต อุปฎฺฐหิสฺสามิ, น อลภโนฺต’’ติ อาห ฯ ‘‘กิํการณา’’ติ? ‘‘นนุ อหํ ตุมฺหากํ ชานนสิปฺปํ สพฺพํ ชานามี’’ติ? ‘‘อาม, ชานาสี’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต กสฺมา มยฺหํ อุปฑฺฒํ เทตี’’ติ? โพธิสโตฺต รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘ยทิ เอวํ ตุเมฺหหิ สมกํ สิปฺปํ ทเสฺสตุํ สโกฺกโนฺต สมกํ ลภิสฺสตี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต รโญฺญ วจนํ ตสฺส อาโรเจตฺวา เตน ‘‘สาธุ ทเสฺสสฺสามี’’ติ วุเตฺต รโญฺญ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘สาธุ ทเสฺสตุ, กตรทิวสํ สากจฺฉา โหตู’’ติ วุเตฺต ‘‘อิโต สตฺตเม ทิวเส โหตุ, มหาราชา’’ติ อาหฯ

    So cintesi – ‘‘mayhaṃ sippaṃ paguṇaṃ, idañca bārāṇasinagaraṃ sakalajambudīpe agganagaraṃ, ācariyopi mahallako, idheva mayā vasituṃ vaṭṭatī’’ti. So ācariyaṃ āha – ‘‘ācariya ahaṃ rājānaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti. Ācariyo ‘‘sādhu, tāta, rañño ārocessāmī’’ti gantvā ‘‘amhākaṃ antevāsiko devaṃ upaṭṭhātuṃ icchati, deyyadhammamassa jānāthā’’ti rañño ārocetvā raññā ‘‘tumhākaṃ deyyadhammato upaḍḍhaṃ labhissatī’’ti vutte taṃ pavattiṃ mūsilassa ārocesi. Mūsilo ‘‘ahaṃ tumhehi samakaññeva labhanto upaṭṭhahissāmi, na alabhanto’’ti āha . ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti? ‘‘Nanu ahaṃ tumhākaṃ jānanasippaṃ sabbaṃ jānāmī’’ti? ‘‘Āma, jānāsī’’ti. ‘‘Evaṃ sante kasmā mayhaṃ upaḍḍhaṃ detī’’ti? Bodhisatto rañño ārocesi. Rājā ‘‘yadi evaṃ tumhehi samakaṃ sippaṃ dassetuṃ sakkonto samakaṃ labhissatī’’ti āha. Bodhisatto rañño vacanaṃ tassa ārocetvā tena ‘‘sādhu dassessāmī’’ti vutte rañño taṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘sādhu dassetu, kataradivasaṃ sākacchā hotū’’ti vutte ‘‘ito sattame divase hotu, mahārājā’’ti āha.

    ราชา มูสิลํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ อาจริเยน สทฺธิํ สากจฺฉํ กริสฺสสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘อาจริเยน สทฺธิํ วิคฺคโห นาม น วฎฺฎติ, มา กรี’’ติ วาริยมาโนปิ ‘‘อลํ, มหาราช, โหตุเยว เม อาจริเยน สทฺธิํ สตฺตเม ทิวเส สากจฺฉา, กตรสฺส ชานิภาวํ ชานิสฺสามา’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘อิโต กิร สตฺตเม ทิวเส อาจริยคุตฺติโล จ อเนฺตวาสิกมูสิโล จ ราชทฺวาเร อญฺญมญฺญํ สากจฺฉํ กตฺวา สิปฺปํ ทเสฺสสฺสนฺติ, นาครา สนฺนิปติตฺวา สิปฺปํ ปสฺสนฺตู’’ติ เภริํ จราเปสิฯ

    Rājā mūsilaṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ ācariyena saddhiṃ sākacchaṃ karissasī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, devā’’ti vutte ‘‘ācariyena saddhiṃ viggaho nāma na vaṭṭati, mā karī’’ti vāriyamānopi ‘‘alaṃ, mahārāja, hotuyeva me ācariyena saddhiṃ sattame divase sākacchā, katarassa jānibhāvaṃ jānissāmā’’ti āha. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘ito kira sattame divase ācariyaguttilo ca antevāsikamūsilo ca rājadvāre aññamaññaṃ sākacchaṃ katvā sippaṃ dassessanti, nāgarā sannipatitvā sippaṃ passantū’’ti bheriṃ carāpesi.

    โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ มูสิโล ทหโร ตรุโณ, อหํ มหลฺลโก ปริหีนถาโม, มหลฺลกสฺส กิริยา นาม น สมฺปชฺชติฯ อเนฺตวาสิเก นาม ปราชิเตปิ วิเสโส นตฺถิ, อเนฺตวาสิกสฺส ปน ชเย สติ ปตฺตพฺพลชฺชโต อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มรณํ วรตร’’นฺติฯ โส อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มรณภเยน นิวตฺตติ, ลชฺชาภเยน คจฺฉติฯ เอวมสฺส คมนาคมนํ กโรนฺตเสฺสว ฉ ทิวสา อติกฺกนฺตา, ติณานิ มตานิ, ชงฺฆมโคฺค นิพฺพตฺติฯ ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก อาวชฺชมาโน ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘คุตฺติลคนฺธโพฺพ อเนฺตวาสิกสฺส ภเยน อรเญฺญ มหาทุกฺขํ อนุโภติ , เอตสฺส มยา อวสฺสเยน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เวเคน คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปุรโต ฐตฺวา ‘‘อาจริย, กสฺมา อรญฺญํ ปวิโฎฺฐสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ วุเตฺต ‘‘สโกฺกหมสฺมี’’ติ อาหฯ อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘อหํ โข, เทวราช, อเนฺตวาสิกโต ปราชยภเยน อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Bodhisatto cintesi – ‘‘ayaṃ mūsilo daharo taruṇo, ahaṃ mahallako parihīnathāmo, mahallakassa kiriyā nāma na sampajjati. Antevāsike nāma parājitepi viseso natthi, antevāsikassa pana jaye sati pattabbalajjato araññaṃ pavisitvā maraṇaṃ varatara’’nti. So araññaṃ pavisitvā maraṇabhayena nivattati, lajjābhayena gacchati. Evamassa gamanāgamanaṃ karontasseva cha divasā atikkantā, tiṇāni matāni, jaṅghamaggo nibbatti. Tasmiṃ khaṇe sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko āvajjamāno taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘guttilagandhabbo antevāsikassa bhayena araññe mahādukkhaṃ anubhoti , etassa mayā avassayena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti vegena gantvā bodhisattassa purato ṭhatvā ‘‘ācariya, kasmā araññaṃ paviṭṭhosī’’ti pucchitvā ‘‘kosi tva’’nti vutte ‘‘sakkohamasmī’’ti āha. Atha naṃ bodhisatto ‘‘ahaṃ kho, devarāja, antevāsikato parājayabhayena araññaṃ paviṭṭho’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๘๖.

    186.

    ‘‘สตฺตตนฺติํ สุมธุรํ, รามเณยฺยํ อวาจยิํ;

    ‘‘Sattatantiṃ sumadhuraṃ, rāmaṇeyyaṃ avācayiṃ;

    โส มํ รงฺคมฺหิ อเวฺหติ, สรณํ เม โหติ โกสิยา’’ติฯ

    So maṃ raṅgamhi avheti, saraṇaṃ me hoti kosiyā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อหํ, เทวราช, มูสิลํ นาม อเนฺตวาสิกํ สตฺตตนฺติํ สุมธุรํ รามเณยฺยํ วีณํ อตฺตโน ชานนนิยาเมน สิกฺขาเปสิํ, โส มํ อิทานิ รงฺคมณฺฑเล ปโกฺกสติ, ตสฺส เม ตฺวํ, โกสิยโคตฺต, สรณํ โหหีติฯ

    Tassattho – ahaṃ, devarāja, mūsilaṃ nāma antevāsikaṃ sattatantiṃ sumadhuraṃ rāmaṇeyyaṃ vīṇaṃ attano jānananiyāmena sikkhāpesiṃ, so maṃ idāni raṅgamaṇḍale pakkosati, tassa me tvaṃ, kosiyagotta, saraṇaṃ hohīti.

    สโกฺก ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘มา ภายิ, อหํ เต ตาณญฺจ เลณญฺจา’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Sakko tassa vacanaṃ sutvā ‘‘mā bhāyi, ahaṃ te tāṇañca leṇañcā’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๘๗.

    187.

    ‘‘อหํ ตํ สรณํ สมฺม, อหมาจริยปูชโก;

    ‘‘Ahaṃ taṃ saraṇaṃ samma, ahamācariyapūjako;

    น ตํ ชยิสฺสติ สิโสฺส, สิสฺสมาจริย เชสฺสสี’’ติฯ

    Na taṃ jayissati sisso, sissamācariya jessasī’’ti.

    ตตฺถ อหํ ตํ สรณนฺติ อหํ สรณํ อวสฺสโย ปติฎฺฐา หุตฺวา ตํ ตายิสฺสามิฯ สมฺมาติ ปิยวจนเมตํฯ สิสฺสมาจริย, เชสฺสสีติ, อาจริย, ตฺวํ วีณํ วาทยมาโน สิสฺสํ ชินิสฺสสิฯ อปิจ ตฺวํ วีณํ วาเทโนฺต เอกํ ตนฺติํ ฉินฺทิตฺวา ฉ วาเทยฺยาสิ, วีณาย เต ปกติสโทฺท ภวิสฺสติฯ มูสิโลปิ ตนฺติํ ฉินฺทิสฺสติ, อถสฺส วีณาย สโทฺท น ภวิสฺสติฯ ตสฺมิํ ขเณ โส ปราชยํ ปาปุณิสฺสติฯ อถสฺส ปราชยภาวํ ญตฺวา ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ จตุตฺถมฺปิ ปญฺจมมฺปิ สตฺตมมฺปิ ตนฺติํ ฉินฺทิตฺวา สุทฺธทณฺฑกเมว วาเทยฺยาสิ, ฉินฺนตนฺติโกฎีหิ สโร นิกฺขมิตฺวา สกลํ ทฺวาทสโยชนิกํ พาราณสินครํ ฉาเทตฺวา ฐสฺสตีติฯ

    Tattha ahaṃ taṃ saraṇanti ahaṃ saraṇaṃ avassayo patiṭṭhā hutvā taṃ tāyissāmi. Sammāti piyavacanametaṃ. Sissamācariya, jessasīti, ācariya, tvaṃ vīṇaṃ vādayamāno sissaṃ jinissasi. Apica tvaṃ vīṇaṃ vādento ekaṃ tantiṃ chinditvā cha vādeyyāsi, vīṇāya te pakatisaddo bhavissati. Mūsilopi tantiṃ chindissati, athassa vīṇāya saddo na bhavissati. Tasmiṃ khaṇe so parājayaṃ pāpuṇissati. Athassa parājayabhāvaṃ ñatvā dutiyampi tatiyampi catutthampi pañcamampi sattamampi tantiṃ chinditvā suddhadaṇḍakameva vādeyyāsi, chinnatantikoṭīhi saro nikkhamitvā sakalaṃ dvādasayojanikaṃ bārāṇasinagaraṃ chādetvā ṭhassatīti.

    เอวํ วตฺวา สโกฺก โพธิสตฺตสฺส ติโสฺส ปาสกฆฎิกา ทตฺวา เอวมาห – ‘‘วีณาสเทฺทเนว ปน สกลนคเร ฉาทิเต อิโต เอกํ ปาสกฆฎิกํ อากาเส ขิเปยฺยาสิ, อถ เต ปุรโต โอตริตฺวา ตีณิ อจฺฉราสตานิ นจฺจิสฺสนฺติฯ ตาสํ นจฺจนกาเล จ ทุติยํ ขิเปยฺยาสิ, อถาปรานิปิ ตีณิ สตานิ โอตริตฺวา ตว วีณาธุเร นจฺจิสฺสนฺติฯ ตโต ตติยํ ขิเปยฺยาสิ, อถาปรานิ ตีณิ สตานิ โอตริตฺวา รงฺคมณฺฑเล นจฺจิสฺสนฺติฯ อหมฺปิ เต สนฺติกํ อาคมิสฺสามิ, คจฺฉ มา ภายี’’ติ โพธิสตฺตํ อสฺสาเสสิฯ โพธิสโตฺต ปุพฺพณฺหสมเย เคหํ อคมาสิฯ นาครา ราชทฺวารสมีเป มณฺฑปํ กตฺวา รโญฺญ อาสนํ ปญฺญเปสุํฯ ราชา ปาสาทา โอตริตฺวา อลงฺกตมณฺฑเป ปลฺลงฺกมเชฺฌ นิสีทิ, ทฺวาทสสหสฺสา อลงฺกติตฺถิโย อมจฺจพฺราหฺมณคหปติกาทโย จ ราชานํ ปริวารยิํสุ, สเพฺพ นาครา สนฺนิปติํสุ, ราชงฺคเณ จกฺกาติจเกฺก มญฺจาติมเญฺจ พนฺธิํสุฯ

    Evaṃ vatvā sakko bodhisattassa tisso pāsakaghaṭikā datvā evamāha – ‘‘vīṇāsaddeneva pana sakalanagare chādite ito ekaṃ pāsakaghaṭikaṃ ākāse khipeyyāsi, atha te purato otaritvā tīṇi accharāsatāni naccissanti. Tāsaṃ naccanakāle ca dutiyaṃ khipeyyāsi, athāparānipi tīṇi satāni otaritvā tava vīṇādhure naccissanti. Tato tatiyaṃ khipeyyāsi, athāparāni tīṇi satāni otaritvā raṅgamaṇḍale naccissanti. Ahampi te santikaṃ āgamissāmi, gaccha mā bhāyī’’ti bodhisattaṃ assāsesi. Bodhisatto pubbaṇhasamaye gehaṃ agamāsi. Nāgarā rājadvārasamīpe maṇḍapaṃ katvā rañño āsanaṃ paññapesuṃ. Rājā pāsādā otaritvā alaṅkatamaṇḍape pallaṅkamajjhe nisīdi, dvādasasahassā alaṅkatitthiyo amaccabrāhmaṇagahapatikādayo ca rājānaṃ parivārayiṃsu, sabbe nāgarā sannipatiṃsu, rājaṅgaṇe cakkāticakke mañcātimañce bandhiṃsu.

    โพธิสโตฺตปิ นฺหาตานุลิโตฺต นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา วีณํ คาหาเปตฺวา อตฺตโน ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ สโกฺก อทิสฺสมานกาเยน อาคนฺตฺวา อากาเส อฎฺฐาสิ, โพธิสโตฺตเยว นํ ปสฺสติฯ มูสิโลปิ อาคนฺตฺวา อตฺตโน อาสเน นิสีทิฯ มหาชโน ปริวาเรสิ, อาทิโตว เทฺวปิ สมสมํ วาทยิํสุฯ มหาชโน ทฺวินฺนมฺปิ วาทิเตน ตุโฎฺฐ อุกฺกุฎฺฐิสหสฺสานิ ปวเตฺตสิฯ สโกฺก อากาเส ฐตฺวา โพธิสตฺตเญฺญว สาเวโนฺต ‘‘เอกํ ตนฺติํ ฉินฺทา’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ตนฺติํ ฉินฺทิ, สา ฉินฺนาปิ ฉินฺนโกฎิยา สรํ มุญฺจเตว, เทวคนฺธพฺพํ วิย วตฺตติฯ มูสิโลปิ ตนฺติํ ฉินฺทิ, ตโต สโทฺท น นิกฺขมิฯ อาจริโย ทุติยมฺปิ ฉินฺทิ …เป.… สตฺตมมฺปิ ฉินฺทิฯ สุทฺธทณฺฑกํ วาเทนฺตสฺส สโทฺท นครํ ฉาเทตฺวา อฎฺฐาสิฯ เจลุเกฺขปสหสฺสานิ เจว อุกฺกุฎฺฐิสหสฺสานิ จ ปวตฺตยิํสุฯ โพธิสโตฺต เอกํ ปาสกํ อากาเส ขิปิ, ตีณิ อจฺฉราสตานิ โอตริตฺวา นจฺจิํสุฯ เอวํ ทุติเย จ ตติเย จ ขิเตฺต ตีณิ ตีณิ อจฺฉราสตานิ โอตริตฺวา วุตฺตนเยเนว นจฺจิํสุฯ

    Bodhisattopi nhātānulitto nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā vīṇaṃ gāhāpetvā attano paññattāsane nisīdi. Sakko adissamānakāyena āgantvā ākāse aṭṭhāsi, bodhisattoyeva naṃ passati. Mūsilopi āgantvā attano āsane nisīdi. Mahājano parivāresi, āditova dvepi samasamaṃ vādayiṃsu. Mahājano dvinnampi vāditena tuṭṭho ukkuṭṭhisahassāni pavattesi. Sakko ākāse ṭhatvā bodhisattaññeva sāvento ‘‘ekaṃ tantiṃ chindā’’ti āha. Bodhisatto tantiṃ chindi, sā chinnāpi chinnakoṭiyā saraṃ muñcateva, devagandhabbaṃ viya vattati. Mūsilopi tantiṃ chindi, tato saddo na nikkhami. Ācariyo dutiyampi chindi …pe… sattamampi chindi. Suddhadaṇḍakaṃ vādentassa saddo nagaraṃ chādetvā aṭṭhāsi. Celukkhepasahassāni ceva ukkuṭṭhisahassāni ca pavattayiṃsu. Bodhisatto ekaṃ pāsakaṃ ākāse khipi, tīṇi accharāsatāni otaritvā nacciṃsu. Evaṃ dutiye ca tatiye ca khitte tīṇi tīṇi accharāsatāni otaritvā vuttanayeneva nacciṃsu.

    ตสฺมิํ ขเณ ราชา มหาชนสฺส อิงฺคิตสญฺญํ อทาสิ, มหาชโน อุฎฺฐาย ‘‘ตฺวํ อาจริเยน สทฺธิํ วิรุชฺฌิตฺวา ‘สมการํ กโรมี’ติ วายมสิ, อตฺตโน ปมาณํ น ชานาสี’’ติ มูสิลํ ตเชฺชตฺวา คหิตคหิเตเหว ปาสาณทณฺฑาทีหิ สํจุเณฺณตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ปาเท คเหตฺวา สงฺการฎฺฐาเน ฉเฑฺฑสิฯ ราชา ตุฎฺฐจิโตฺต ฆนวสฺสํ วสฺสาเปโนฺต วิย โพธิสตฺตสฺส พหุํ ธนํ อทาสิ, ตถา นาคราฯ สโกฺก โพธิสเตฺตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘อหํ เต, ปณฺฑิต, สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ คาหาเปตฺวา ปจฺฉา มาตลิํ เปเสสฺสามิ, ตฺวํ สหสฺสยุตฺตํ เวชยนฺตรถวรํ อภิรุยฺห เทวโลกํ อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tasmiṃ khaṇe rājā mahājanassa iṅgitasaññaṃ adāsi, mahājano uṭṭhāya ‘‘tvaṃ ācariyena saddhiṃ virujjhitvā ‘samakāraṃ karomī’ti vāyamasi, attano pamāṇaṃ na jānāsī’’ti mūsilaṃ tajjetvā gahitagahiteheva pāsāṇadaṇḍādīhi saṃcuṇṇetvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā pāde gahetvā saṅkāraṭṭhāne chaḍḍesi. Rājā tuṭṭhacitto ghanavassaṃ vassāpento viya bodhisattassa bahuṃ dhanaṃ adāsi, tathā nāgarā. Sakko bodhisattena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘‘ahaṃ te, paṇḍita, sahassayuttaṃ ājaññarathaṃ gāhāpetvā pacchā mātaliṃ pesessāmi, tvaṃ sahassayuttaṃ vejayantarathavaraṃ abhiruyha devalokaṃ āgaccheyyāsī’’ti vatvā pakkāmi.

    อถ นํ คนฺตฺวา ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ นิสินฺนํ ‘‘กหํ คตาตฺถ, มหาราชา’’ติ เทวธีตโร ปุจฺฉิํสุฯ สโกฺก ตาสํ ตํ การณํ วิตฺถาเรน กเถตฺวา โพธิสตฺตสฺส สีลญฺจ คุณญฺจ วเณฺณสิฯ เทวธีตโร ‘‘มหาราช, มยมฺปิ อาจริยํ ทฎฺฐุกามา, อิธ นํ อาเนหี’’ติ อาหํสุฯ สโกฺก มาตลิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต, เทวจฺฉรา คุตฺติลคนฺธพฺพํ ทฎฺฐุกามา, คจฺฉ นํ เวชยนฺตรเถ นิสีทาเปตฺวา อาเนหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ อาเนสิฯ สโกฺก โพธิสเตฺตน สทฺธิํ สโมฺมทิตฺวา ‘‘เทวกญฺญา กิร เต, อาจริย, คนฺธพฺพํ โสตุกามา’’ติ อาหฯ ‘‘มยํ มหาราช, คนฺธพฺพา นาม สิปฺปํ นิสฺสาย ชีวาม, มูลํ ลภนฺตา วาเทยฺยามา’’ติฯ ‘‘วาเทหิ, อหํ เต มูลํ ทสฺสามี’’ติฯ ‘‘น มยฺหํ อเญฺญน มูเลนโตฺถ, อิมา ปน เทวธีตโร อตฺตโน อตฺตโน กลฺยาณกมฺมํ กเถนฺตุ, เอวาหํ วาเทสฺสามี’’ติ ฯ อถ นํ เทวธีตโร อาหํสุ – ‘‘อเมฺหหิ กตํ กลฺยาณกมฺมํ ปจฺฉา ตุมฺหากํ กเถสฺสาม, คนฺธพฺพํ กโรหิ อาจริยา’’ติฯ โพธิสโตฺต สตฺตาหํ เทวตานํ คนฺธพฺพํ อกาสิ, ตํ ทิพฺพคนฺธพฺพํ อภิภวิตฺวา ปวตฺติฯ สตฺตเม ทิวเส อาทิโต ปฎฺฐาย เทวธีตานํ กลฺยาณกมฺมํ ปุจฺฉิฯ เอกํ กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล เอกสฺส ภิกฺขุโน อุตฺตมวตฺถํ ทตฺวา สกฺกสฺส ปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺตํ อจฺฉราสหสฺสปริวารํ อุตฺตมวตฺถเทวกญฺญํ ‘‘ตฺวํ ปุริมภเว กิํ กมฺมํ กตฺวา นิพฺพตฺตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ตสฺส ปุจฺฉนากาโร จ วิสฺสชฺชนา จ วิมานวตฺถุมฺหิ อาคตเมวฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ –

    Atha naṃ gantvā paṇḍukambalasilāyaṃ nisinnaṃ ‘‘kahaṃ gatāttha, mahārājā’’ti devadhītaro pucchiṃsu. Sakko tāsaṃ taṃ kāraṇaṃ vitthārena kathetvā bodhisattassa sīlañca guṇañca vaṇṇesi. Devadhītaro ‘‘mahārāja, mayampi ācariyaṃ daṭṭhukāmā, idha naṃ ānehī’’ti āhaṃsu. Sakko mātaliṃ āmantetvā ‘‘tāta, devaccharā guttilagandhabbaṃ daṭṭhukāmā, gaccha naṃ vejayantarathe nisīdāpetvā ānehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti gantvā bodhisattaṃ ānesi. Sakko bodhisattena saddhiṃ sammoditvā ‘‘devakaññā kira te, ācariya, gandhabbaṃ sotukāmā’’ti āha. ‘‘Mayaṃ mahārāja, gandhabbā nāma sippaṃ nissāya jīvāma, mūlaṃ labhantā vādeyyāmā’’ti. ‘‘Vādehi, ahaṃ te mūlaṃ dassāmī’’ti. ‘‘Na mayhaṃ aññena mūlenattho, imā pana devadhītaro attano attano kalyāṇakammaṃ kathentu, evāhaṃ vādessāmī’’ti . Atha naṃ devadhītaro āhaṃsu – ‘‘amhehi kataṃ kalyāṇakammaṃ pacchā tumhākaṃ kathessāma, gandhabbaṃ karohi ācariyā’’ti. Bodhisatto sattāhaṃ devatānaṃ gandhabbaṃ akāsi, taṃ dibbagandhabbaṃ abhibhavitvā pavatti. Sattame divase ādito paṭṭhāya devadhītānaṃ kalyāṇakammaṃ pucchi. Ekaṃ kassapasammāsambuddhakāle ekassa bhikkhuno uttamavatthaṃ datvā sakkassa paricārikā hutvā nibbattaṃ accharāsahassaparivāraṃ uttamavatthadevakaññaṃ ‘‘tvaṃ purimabhave kiṃ kammaṃ katvā nibbattā’’ti pucchi. Tassa pucchanākāro ca vissajjanā ca vimānavatthumhi āgatameva. Vuttañhi tattha –

    ‘‘อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, ยา ตฺวํ ติฎฺฐสิ เทวเต;

    ‘‘Abhikkantena vaṇṇena, yā tvaṃ tiṭṭhasi devate;

    โอภาเสนฺตี ทิสา สพฺพา, โอสธี วิย ตารกาฯ

    Obhāsentī disā sabbā, osadhī viya tārakā.

    ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ, เกน เต อิธ มิชฺฌติ;

    ‘‘Kena tetādiso vaṇṇo, kena te idha mijjhati;

    อุปฺปชฺชนฺติ จ เต โภคา, เย เกจิ มนโส ปิยาฯ

    Uppajjanti ca te bhogā, ye keci manaso piyā.

    ‘‘ปุจฺฉามิ ตํ เทวิ มหานุภาเว, มนุสฺสภูตา กิมกาสิ ปุญฺญํ;

    ‘‘Pucchāmi taṃ devi mahānubhāve, manussabhūtā kimakāsi puññaṃ;

    เกนาสิ เอวํ ชลิตานุภาวา, วโณฺณ จ เต สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ

    Kenāsi evaṃ jalitānubhāvā, vaṇṇo ca te sabbadisā pabhāsatī’’ti.

    ‘‘วตฺถุตฺตมทายิกา นารี, ปวรา โหติ นเรสุ นารีสุ;

    ‘‘Vatthuttamadāyikā nārī, pavarā hoti naresu nārīsu;

    เอวํ ปิยรูปทายิกา มนาปํ, ทิพฺพํ สา ลภเต อุเปจฺจ ฐานํฯ

    Evaṃ piyarūpadāyikā manāpaṃ, dibbaṃ sā labhate upecca ṭhānaṃ.

    ‘‘ตสฺสา เม ปสฺส วิมานํ, อจฺฉรา กามวณฺณินีหมสฺมิ;

    ‘‘Tassā me passa vimānaṃ, accharā kāmavaṇṇinīhamasmi;

    อจฺฉราสหสฺสสฺสาหํ, ปวรา ปสฺส ปุญฺญานํ วิปากํฯ

    Accharāsahassassāhaṃ, pavarā passa puññānaṃ vipākaṃ.

    ‘‘เตน เมตาทิโส วโณฺณ, เตน เม อิธ มิชฺฌติ;

    ‘‘Tena metādiso vaṇṇo, tena me idha mijjhati;

    อุปฺปชฺชนฺติ จ เม โภคา, เย เกจิ มนโส ปิยาฯ

    Uppajjanti ca me bhogā, ye keci manaso piyā.

    ‘‘เตนมฺหิ เอวํ ชลิตานุภาวา;

    ‘‘Tenamhi evaṃ jalitānubhāvā;

    วโณฺณ จ เม สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ (วิ. ว. ๓๒๙-๓๓๑, ๓๓๓-๓๓๖);

    Vaṇṇo ca me sabbadisā pabhāsatī’’ti. (vi. va. 329-331, 333-336);

    อปรา ปิณฺฑาย จรมานสฺส ภิกฺขุโน ปูชนตฺถาย ปุปฺผานิ อทาสิ, อปรา ‘‘เจติเย คนฺธปญฺจงฺคุลิกํ เทถา’’ติ คเนฺธ อทาสิ, อปรา มธุรานิ ผลาผลานิ อทาสิ, อปรา อุจฺฉุรสํ อทาสิ, อปรา กสฺสปทสพลสฺส เจติเย คนฺธปญฺจงฺคุลิกํ อทาสิ, อปรา มคฺคปฎิปนฺนานํ ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนญฺจ กุลเคเห วาสํ อุปคตานํ สนฺติเก ธมฺมํ อโสฺสสิ, อปรา นาวาย อุปกฎฺฐาย เวลาย ภุตฺตสฺส ภิกฺขุโน อุทเก ฐตฺวา อุทกํ อทาสิ, อปรา อคารมเชฺฌ วสมานา อโกฺกธนา หุตฺวา สสฺสุสสุรวตฺตํ อกาสิ, อปรา อตฺตโน ลทฺธโกฎฺฐาสโตปิ สํวิภาคํ กตฺวาว ปริภุญฺชิ, สีลวตี จ อโหสิ, อปรา ปรเคเห ทาสี หุตฺวา นิโกฺกธนา นิมฺมานา อตฺตโน ลทฺธโกฎฺฐาสโต สํวิภาคํ กตฺวา เทวรโญฺญ ปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺตา (วิ. ว. อฎฺฐ. ๓๒๘-๓๓๖)ฯ เอวํ สพฺพาปิ คุตฺติลวิมานวตฺถุสฺมิํ อาคตา ฉตฺติํส เทวธีตา ยํ ยํ กมฺมํ กตฺวา ตตฺถ นิพฺพตฺตา, สพฺพํ โพธิสโตฺต ปุจฺฉิฯ ตาปิสฺส อตฺตโน กตกมฺมํ คาถาหิเยว กเถสุํฯ ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ‘‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม, สฺวาหํ อิธาคนฺตฺวา อปฺปมตฺตเกนปิ กเมฺมน ปฎิลทฺธทิพฺพสมฺปตฺติโย อโสฺสสิํฯ อิโต ทานิ ปฎฺฐาย มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา ทานาทีนิ กุสลกมฺมาเนว กริสฺสามี’’ติ วตฺวา อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –

    Aparā piṇḍāya caramānassa bhikkhuno pūjanatthāya pupphāni adāsi, aparā ‘‘cetiye gandhapañcaṅgulikaṃ dethā’’ti gandhe adāsi, aparā madhurāni phalāphalāni adāsi, aparā ucchurasaṃ adāsi, aparā kassapadasabalassa cetiye gandhapañcaṅgulikaṃ adāsi, aparā maggapaṭipannānaṃ bhikkhūnaṃ bhikkhunīnañca kulagehe vāsaṃ upagatānaṃ santike dhammaṃ assosi, aparā nāvāya upakaṭṭhāya velāya bhuttassa bhikkhuno udake ṭhatvā udakaṃ adāsi, aparā agāramajjhe vasamānā akkodhanā hutvā sassusasuravattaṃ akāsi, aparā attano laddhakoṭṭhāsatopi saṃvibhāgaṃ katvāva paribhuñji, sīlavatī ca ahosi, aparā paragehe dāsī hutvā nikkodhanā nimmānā attano laddhakoṭṭhāsato saṃvibhāgaṃ katvā devarañño paricārikā hutvā nibbattā (vi. va. aṭṭha. 328-336). Evaṃ sabbāpi guttilavimānavatthusmiṃ āgatā chattiṃsa devadhītā yaṃ yaṃ kammaṃ katvā tattha nibbattā, sabbaṃ bodhisatto pucchi. Tāpissa attano katakammaṃ gāthāhiyeva kathesuṃ. Taṃ sutvā bodhisatto ‘‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me, svāhaṃ idhāgantvā appamattakenapi kammena paṭiladdhadibbasampattiyo assosiṃ. Ito dāni paṭṭhāya manussalokaṃ gantvā dānādīni kusalakammāneva karissāmī’’ti vatvā imaṃ udānaṃ udānesi –

    ‘‘สฺวาคตํ วต เม อชฺช, สุปฺปภาตํ สุหุฎฺฐิตํ;

    ‘‘Svāgataṃ vata me ajja, suppabhātaṃ suhuṭṭhitaṃ;

    ยํ อทฺทสามิ เทวตาโย, อจฺฉรากามวณฺณิโยฯ

    Yaṃ addasāmi devatāyo, accharākāmavaṇṇiyo.

    ‘‘อิมาสาหํ ธมฺมํ สุตฺวา, กาหามิ กุสลํ พหุํ;

    ‘‘Imāsāhaṃ dhammaṃ sutvā, kāhāmi kusalaṃ bahuṃ;

    ทาเนน สมจริยาย, สํยเมน ทเมน จ;

    Dānena samacariyāya, saṃyamena damena ca;

    สฺวาหํ ตตฺถ คมิสฺสามิ, ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจเร’’ติฯ (วิ. ว. ๖๑๗-๖๑๘);

    Svāhaṃ tattha gamissāmi, yattha gantvā na socare’’ti. (vi. va. 617-618);

    อถ นํ สตฺตาหจฺจเยน เทวราชา มาตลิสงฺคาหกํ อาณาเปตฺวา รเถ นิสีทาเปตฺวา พาราณสิเมว เปเสสิฯ โส พาราณสิํ คนฺตฺวา เทวโลเก อตฺตนา ทิฎฺฐการณํ มนุสฺสานํ อาจิกฺขิฯ ตโต ปฎฺฐาย มนุสฺสา สอุสฺสาหา ปุญฺญานิ กาตุํ มญฺญิํสุฯ

    Atha naṃ sattāhaccayena devarājā mātalisaṅgāhakaṃ āṇāpetvā rathe nisīdāpetvā bārāṇasimeva pesesi. So bārāṇasiṃ gantvā devaloke attanā diṭṭhakāraṇaṃ manussānaṃ ācikkhi. Tato paṭṭhāya manussā saussāhā puññāni kātuṃ maññiṃsu.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มูสิโล เทวทโตฺต อโหสิ, สโกฺก อนุรุโทฺธ, ราชา อานโนฺท, คุตฺติลคนฺธโพฺพ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mūsilo devadatto ahosi, sakko anuruddho, rājā ānando, guttilagandhabbo pana ahameva ahosi’’nti.

    คุตฺติลชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Guttilajātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๔๓. คุตฺติลชาตกํ • 243. Guttilajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact