Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๓๑] ๕. หริตจชาตกวณฺณนา
[431] 5. Haritacajātakavaṇṇanā
สุตํ เมตํ มหาพฺรเหฺมติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ ภิกฺขุํ เอกํ อลงฺกตมาตุคามํ ทิสฺวา อุกฺกณฺฐิตํ ทีฆเกสนขโลมํ วิพฺภมิตุกามํ อาจริยุปชฺฌาเยหิ อรุจิยา อานีตํฯ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํการณา’’ติ วตฺวา ‘‘อลงฺกตมาตุคามํ ทิสฺวา กิเลสวเสน, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ กิเลโส นาม คุณวิทฺธํสโก อปฺปสฺสาโท นิรเย นิพฺพตฺตาเปติ, เอส ปน กิเลโส กิํการณา ตํ น กิลเมสฺสติ? น หิ สิเนรุํ ปหริตฺวา ปหรณวาโต ปุราณปณฺณสฺส ลชฺชติ, อิมญฺหิ กิเลสํ นิสฺสาย โพธิญาณสฺส อนุปทํ จรมานา ปญฺจอภิญฺญอฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน วิสุทฺธมหาปุริสาปิ สติํ อุปฎฺฐเปตุํ อสโกฺกนฺตา ฌานํ อนฺตรธาเปสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Sutaṃ metaṃ mahābrahmeti idaṃ satthā jetavane viharanto ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tañhi bhikkhuṃ ekaṃ alaṅkatamātugāmaṃ disvā ukkaṇṭhitaṃ dīghakesanakhalomaṃ vibbhamitukāmaṃ ācariyupajjhāyehi aruciyā ānītaṃ. Satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘kiṃkāraṇā’’ti vatvā ‘‘alaṅkatamātugāmaṃ disvā kilesavasena, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu kileso nāma guṇaviddhaṃsako appassādo niraye nibbattāpeti, esa pana kileso kiṃkāraṇā taṃ na kilamessati? Na hi sineruṃ paharitvā paharaṇavāto purāṇapaṇṇassa lajjati, imañhi kilesaṃ nissāya bodhiñāṇassa anupadaṃ caramānā pañcaabhiññaaṭṭhasamāpattilābhino visuddhamahāpurisāpi satiṃ upaṭṭhapetuṃ asakkontā jhānaṃ antaradhāpesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ นิคเม อสีติโกฎิวิภเว พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติ, กญฺจนฉวิตาย ปนสฺส ‘‘หริตจกุมาโร’’ติ นามํ กริํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา อุคฺคหิตสิโปฺป กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา มาตาปิตูนํ อจฺจเยน ธนวิโลกนํ กตฺวา ‘‘ธนเมว ปญฺญายติ, ธนสฺส อุปฺปาทกา น ปญฺญายนฺติ, มยาปิ มรณมุเข จุณฺณวิจุเณฺณน ภวิตพฺพ’’นฺติ มรณภยภีโต มหาทานํ ทตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา สตฺตเม ทิวเส อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา ตตฺถ จิรํ วนมูลผลาหาโร ยาเปตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ปพฺพตา โอตริตฺวา อนุปุเพฺพน พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส พาราณสิยํ ภิกฺขาย จรโนฺต ราชทฺวารํ สมฺปาปุณิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต ปโกฺกสาเปตฺวา สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต ราชปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา นานคฺครสโภชนํ โภเชตฺวา อนุโมทนาวสาเน อติเรกตรํ ปสีทิตฺวา ‘‘กหํ, ภเนฺต, คจฺฉถา’’ติ วตฺวา ‘‘วสฺสาวาสฎฺฐานํ อุปธาเรม, มหาราชา’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ภุตฺตปาตราโส ตํ อาทาย อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตตฺถ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานาทีนิ การาเปตฺวา อุยฺยานปาลํ ปริจารกํ กตฺวา ทตฺวา วนฺทิตฺวา นิกฺขมิฯ มหาสโตฺต ตโต ปฎฺฐาย นิพทฺธํ รโญฺญ เคเห ภุญฺชโนฺต ทฺวาทส วสฺสานิ ตตฺถ วสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto ekasmiṃ nigame asītikoṭivibhave brāhmaṇakule nibbatti, kañcanachavitāya panassa ‘‘haritacakumāro’’ti nāmaṃ kariṃsu. So vayappatto takkasilaṃ gantvā uggahitasippo kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā mātāpitūnaṃ accayena dhanavilokanaṃ katvā ‘‘dhanameva paññāyati, dhanassa uppādakā na paññāyanti, mayāpi maraṇamukhe cuṇṇavicuṇṇena bhavitabba’’nti maraṇabhayabhīto mahādānaṃ datvā himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā sattame divase abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā tattha ciraṃ vanamūlaphalāhāro yāpetvā loṇambilasevanatthāya pabbatā otaritvā anupubbena bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasitvā punadivase bārāṇasiyaṃ bhikkhāya caranto rājadvāraṃ sampāpuṇi. Rājā taṃ disvā pasannacitto pakkosāpetvā samussitasetacchatte rājapallaṅke nisīdāpetvā nānaggarasabhojanaṃ bhojetvā anumodanāvasāne atirekataraṃ pasīditvā ‘‘kahaṃ, bhante, gacchathā’’ti vatvā ‘‘vassāvāsaṭṭhānaṃ upadhārema, mahārājā’’ti vutte ‘‘sādhu, bhante’’ti bhuttapātarāso taṃ ādāya uyyānaṃ gantvā tattha rattiṭṭhānadivāṭṭhānādīni kārāpetvā uyyānapālaṃ paricārakaṃ katvā datvā vanditvā nikkhami. Mahāsatto tato paṭṭhāya nibaddhaṃ rañño gehe bhuñjanto dvādasa vassāni tattha vasi.
อเถกทิวสํ ราชา ปจฺจนฺตํ กุปิตํ วูปสเมตุํ คจฺฉโนฺต ‘‘อมฺหากํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ มา ปมชฺชี’’ติ มหาสตฺตํ เทวิยา นิยฺยาเทตฺวา อคมาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย สา มหาสตฺตํ สหตฺถา ปริวิสติฯ อเถกทิวสํ สา โภชนํ สมฺปาเทตฺวา ตสฺมิํ จิรายมาเน คโนฺธทเกน นฺหตฺวา สณฺหํ มฎฺฐสาฎกํ นิวาเสตฺวา สีหปญฺชรํ วิวราเปตฺวา สรีเร วาตํ ปหราเปนฺตี ขุทฺทกมญฺจเก นิปชฺชิฯ มหาสโตฺตปิ ทิวาตรํ สุนิวโตฺถ สุปารุโต ภิกฺขาภาชนํ อาทาย อากาเสนาคนฺตฺวา สีหปญฺชรํ ปาปุณิฯ เทวิยา ตสฺส วากจิรสทฺทํ สุตฺวา เวเคน อุฎฺฐหนฺติยา มฎฺฐสาฎโก ภสฺสิ, มหาสตฺตสฺส วิสภาคารมฺมณํ จกฺขุํ ปฎิหญฺญิฯ อถสฺส อเนกวสฺสโกฎิสตสหสฺสกาเล อพฺภนฺตเร นิวุตฺถกิเลโส กรณฺฑเก สยิตอาสีวิโส วิย อุฎฺฐหิตฺวา ฌานํ อนฺตรธาเปสิฯ โส สติํ อุปฎฺฐาเปตุํ อสโกฺกโนฺต คนฺตฺวา เทวิํ หเตฺถ คณฺหิ, ตาวเทว สาณิํ ปริกฺขิปิํสุฯ โส ตาย สทฺธิํ โลกธมฺมํ เสวิตฺวา ภุญฺชิตฺวา อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตโต ปฎฺฐาย เทวสิกํ ตเถว อกาสิฯ ตสฺส ตาย สทฺธิํ โลกธมฺมปฎิเสวนํ สกลนคเร ปากฎํ ชาตํฯ อมจฺจา ‘‘หริตจตาปโส เอวมกาสี’’ติ รโญฺญ ปณฺณํ ปหิณิํสุฯ ราชา ‘‘มํ ภินฺทิตุกามา เอวํ วทนฺตี’’ติ อสทฺทหิตฺวา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา พาราณสิํ ปจฺจาคนฺตฺวา นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เทวิยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘สจฺจํ, กิร มม อโยฺย หริตจตาปโส ตยา สทฺธิํ โลกธมฺมํ ปฎิเสวตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สจฺจํ, เทวา’’ติฯ โส ตสฺสาปิ อสทฺทหิตฺวา ‘‘ตเมว ปฎิปุจฺฉิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา ตํ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Athekadivasaṃ rājā paccantaṃ kupitaṃ vūpasametuṃ gacchanto ‘‘amhākaṃ puññakkhettaṃ mā pamajjī’’ti mahāsattaṃ deviyā niyyādetvā agamāsi. Tato paṭṭhāya sā mahāsattaṃ sahatthā parivisati. Athekadivasaṃ sā bhojanaṃ sampādetvā tasmiṃ cirāyamāne gandhodakena nhatvā saṇhaṃ maṭṭhasāṭakaṃ nivāsetvā sīhapañjaraṃ vivarāpetvā sarīre vātaṃ paharāpentī khuddakamañcake nipajji. Mahāsattopi divātaraṃ sunivattho supāruto bhikkhābhājanaṃ ādāya ākāsenāgantvā sīhapañjaraṃ pāpuṇi. Deviyā tassa vākacirasaddaṃ sutvā vegena uṭṭhahantiyā maṭṭhasāṭako bhassi, mahāsattassa visabhāgārammaṇaṃ cakkhuṃ paṭihaññi. Athassa anekavassakoṭisatasahassakāle abbhantare nivutthakileso karaṇḍake sayitaāsīviso viya uṭṭhahitvā jhānaṃ antaradhāpesi. So satiṃ upaṭṭhāpetuṃ asakkonto gantvā deviṃ hatthe gaṇhi, tāvadeva sāṇiṃ parikkhipiṃsu. So tāya saddhiṃ lokadhammaṃ sevitvā bhuñjitvā uyyānaṃ gantvā tato paṭṭhāya devasikaṃ tatheva akāsi. Tassa tāya saddhiṃ lokadhammapaṭisevanaṃ sakalanagare pākaṭaṃ jātaṃ. Amaccā ‘‘haritacatāpaso evamakāsī’’ti rañño paṇṇaṃ pahiṇiṃsu. Rājā ‘‘maṃ bhinditukāmā evaṃ vadantī’’ti asaddahitvā paccantaṃ vūpasametvā bārāṇasiṃ paccāgantvā nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā deviyā santikaṃ gantvā ‘‘saccaṃ, kira mama ayyo haritacatāpaso tayā saddhiṃ lokadhammaṃ paṭisevatī’’ti pucchi. ‘‘Saccaṃ, devā’’ti. So tassāpi asaddahitvā ‘‘tameva paṭipucchissāmī’’ti uyyānaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ nisīditvā taṃ pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๔๐.
40.
‘‘สุตํ เมตํ มหาพฺรเหฺม, กาเม ภุญฺชติ หาริโต;
‘‘Sutaṃ metaṃ mahābrahme, kāme bhuñjati hārito;
กเจฺจตํ วจนํ ตุจฺฉํ, กจฺจิ สุโทฺธ อิริยฺยสี’’ติฯ
Kaccetaṃ vacanaṃ tucchaṃ, kacci suddho iriyyasī’’ti.
ตตฺถ กเจฺจตนฺติ กจฺจิ เอตํ ‘‘หาริโต กาเม ปริภุญฺชตี’’ติ อเมฺหหิ สุตํ วจนํ ตุจฺฉํ อภูตํ, กจฺจิ ตฺวํ สุโทฺธ อิริยฺยสิ วิหรสีติฯ
Tattha kaccetanti kacci etaṃ ‘‘hārito kāme paribhuñjatī’’ti amhehi sutaṃ vacanaṃ tucchaṃ abhūtaṃ, kacci tvaṃ suddho iriyyasi viharasīti.
โส จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ราชา ‘นาหํ ปริภุญฺชามี’ติ วุเตฺตปิ มม สทฺทหิสฺสเตว, อิมสฺมิํ โลเก สจฺจสทิสี ปติฎฺฐา นาม นตฺถิฯ อุชฺฌิตสจฺจา หิ โพธิมูเล นิสีทิตฺวา โพธิํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกนฺติ, มยา สจฺจเมว กเถตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โพธิสตฺตสฺส หิ เอกเจฺจสุ ฐาเนสุ ปาณาติปาโตปิ อทินฺนาทานมฺปิ กาเมสุมิจฺฉาจาโรปิ สุราเมรยมชฺชปานมฺปิ โหติเยว, อตฺถเภทกวิสํวาทนํ ปุรกฺขตฺวา มุสาวาโท นาม น โหติ, ตสฺมา โส สจฺจเมว กเถโนฺต ทุติยํ คาถมาห –
So cintesi – ‘‘ayaṃ rājā ‘nāhaṃ paribhuñjāmī’ti vuttepi mama saddahissateva, imasmiṃ loke saccasadisī patiṭṭhā nāma natthi. Ujjhitasaccā hi bodhimūle nisīditvā bodhiṃ pāpuṇituṃ na sakkonti, mayā saccameva kathetuṃ vaṭṭatī’’ti. Bodhisattassa hi ekaccesu ṭhānesu pāṇātipātopi adinnādānampi kāmesumicchācāropi surāmerayamajjapānampi hotiyeva, atthabhedakavisaṃvādanaṃ purakkhatvā musāvādo nāma na hoti, tasmā so saccameva kathento dutiyaṃ gāthamāha –
๔๑.
41.
‘‘เอวเมตํ มหาราช, ยถา เต วจนํ สุตํ;
‘‘Evametaṃ mahārāja, yathā te vacanaṃ sutaṃ;
กุมฺมคฺคํ ปฎิปโนฺนสฺมิ, โมหเนเยฺยสุ มุจฺฉิโต’’ติฯ
Kummaggaṃ paṭipannosmi, mohaneyyesu mucchito’’ti.
ตตฺถ โมหเนเยฺยสูติ กามคุเณสุฯ กามคุเณสุ หิ โลโก มุยฺหติ, เต จ โลกํ โมหยนฺติ, ตสฺมา เต ‘‘โมหเนยฺยา’’ติ วุจฺจนฺตีติฯ
Tattha mohaneyyesūti kāmaguṇesu. Kāmaguṇesu hi loko muyhati, te ca lokaṃ mohayanti, tasmā te ‘‘mohaneyyā’’ti vuccantīti.
ตํ สุตฺวา ราชา ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā tatiyaṃ gāthamāha –
๔๒.
42.
‘‘อทุ ปญฺญา กิมตฺถิยา, นิปุณา สาธุจินฺตินี;
‘‘Adu paññā kimatthiyā, nipuṇā sādhucintinī;
ยาย อุปฺปติตํ ราคํ, กิํ มโน น วิโนทเย’’ติฯ
Yāya uppatitaṃ rāgaṃ, kiṃ mano na vinodaye’’ti.
ตตฺถ อทูติ นิปาโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ภเนฺต, คิลานสฺส นาม เภสชฺชํ, ปิปาสิตสฺส ปานียํ ปฎิสรณํ, ตุมฺหากํ ปเนสา นิปุณา สาธูนํ อตฺถานํ จินฺตินี ปญฺญา กิมตฺถิยา, ยาย ปุน อุปฺปติตํ ราคํ กิํ มโน น วิโนทเย, กิํ จิตฺตํ วิโนเทตุํ นาสกฺขีติฯ
Tattha adūti nipāto. Idaṃ vuttaṃ hoti – bhante, gilānassa nāma bhesajjaṃ, pipāsitassa pānīyaṃ paṭisaraṇaṃ, tumhākaṃ panesā nipuṇā sādhūnaṃ atthānaṃ cintinī paññā kimatthiyā, yāya puna uppatitaṃ rāgaṃ kiṃ mano na vinodaye, kiṃ cittaṃ vinodetuṃ nāsakkhīti.
อถสฺส กิเลสพลํ ทเสฺสโนฺต หาริโต จตุตฺถํ คาถมาห –
Athassa kilesabalaṃ dassento hārito catutthaṃ gāthamāha –
๔๓.
43.
‘‘จตฺตาโรเม มหาราช, โลเก อติพลา ภุสา;
‘‘Cattārome mahārāja, loke atibalā bhusā;
ราโค โทโส มโท โมโห, ยตฺถ ปญฺญา น คาธตี’’ติฯ
Rāgo doso mado moho, yattha paññā na gādhatī’’ti.
ตตฺถ ยตฺถาติ เยสุ ปริยุฎฺฐานํ ปเตฺตสุ มโหเฆ ปติตา วิย ปญฺญา คาธํ ปติฎฺฐํ น ลภติฯ
Tattha yatthāti yesu pariyuṭṭhānaṃ pattesu mahoghe patitā viya paññā gādhaṃ patiṭṭhaṃ na labhati.
ตํ สุตฺวา ราชา ปญฺจมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā pañcamaṃ gāthamāha –
๔๔.
44.
‘‘อรหา สีลสมฺปโนฺน, สุโทฺธ จรติ หาริโต;
‘‘Arahā sīlasampanno, suddho carati hārito;
เมธาวี ปณฺฑิโต เจว, อิติ โน สมฺมโต ภว’’นฺติฯ
Medhāvī paṇḍito ceva, iti no sammato bhava’’nti.
ตตฺถ อิติ โน สมฺมโตติ เอวํ อมฺหากํ สมฺมโต สมฺภาวิโต ภวํฯ
Tattha iti no sammatoti evaṃ amhākaṃ sammato sambhāvito bhavaṃ.
ตโต หาริโต ฉฎฺฐมํ คาถมาห –
Tato hārito chaṭṭhamaṃ gāthamāha –
๔๕.
45.
‘‘เมธาวีนมฺปิ หิํสนฺติ, อิสิํ ธมฺมคุเณ รตํ;
‘‘Medhāvīnampi hiṃsanti, isiṃ dhammaguṇe rataṃ;
วิตกฺกา ปาปกา ราช, สุภา ราคูปสํหิตา’’ติฯ
Vitakkā pāpakā rāja, subhā rāgūpasaṃhitā’’ti.
ตตฺถ สุภาติ สุภนิมิตฺตคฺคหเณน ปวตฺตาติฯ
Tattha subhāti subhanimittaggahaṇena pavattāti.
อถ นํ กิเลสปฺปหาเน อุสฺสาหํ กาเรโนฺต ราชา สตฺตมํ คาถมาห –
Atha naṃ kilesappahāne ussāhaṃ kārento rājā sattamaṃ gāthamāha –
๔๖.
46.
‘‘อุปฺปนฺนายํ สรีรโช, ราโค วณฺณวิทูสโน ตว;
‘‘Uppannāyaṃ sarīrajo, rāgo vaṇṇavidūsano tava;
ตํ ปชห ภทฺทมตฺถุ เต, พหุนฺนาสิ เมธาวิสมฺมโต’’ติฯ
Taṃ pajaha bhaddamatthu te, bahunnāsi medhāvisammato’’ti.
ตตฺถ วณฺณวิทูสโน ตวาติ ตว สรีรวณฺณสฺส จ คุณวณฺณสฺส จ วิทูสโนฯ พหุนฺนาสีติ พหูนํ อาสิ เมธาวีติ สมฺมโตฯ
Tattha vaṇṇavidūsano tavāti tava sarīravaṇṇassa ca guṇavaṇṇassa ca vidūsano. Bahunnāsīti bahūnaṃ āsi medhāvīti sammato.
ตโต มหาสโตฺต สติํ ลภิตฺวา กาเมสุ อาทีนวํ สลฺลเกฺขตฺวา อฎฺฐมํ คาถมาห –
Tato mahāsatto satiṃ labhitvā kāmesu ādīnavaṃ sallakkhetvā aṭṭhamaṃ gāthamāha –
๔๗.
47.
‘‘เต อนฺธการเก กาเม, พหุทุเกฺข มหาวิเส;
‘‘Te andhakārake kāme, bahudukkhe mahāvise;
เตสํ มูลํ คเวสิสฺสํ, เฉจฺฉํ ราคํ สพนฺธน’’นฺติฯ
Tesaṃ mūlaṃ gavesissaṃ, checchaṃ rāgaṃ sabandhana’’nti.
ตตฺถ อนฺธการเกติ ปญฺญาจกฺขุวินาสนโต อนฺธภาวกเรฯ พหุทุเกฺขติ เอตฺถ ‘‘อปฺปสฺสาทา กามา’’ติอาทีนิ (ม. นิ. ๑.๒๓๔; ปาจิ. ๔๑๗; จูฬว. ๖๕) สุตฺตานิ หริตฺวา เตสํ พหุทุกฺขตา ทเสฺสตพฺพาฯ มหาวิเสติ สมฺปยุตฺตกิเลสวิสสฺส เจว วิปากวิสสฺส จ มหนฺตตาย มหาวิเสฯ เตสํ มูลนฺติ เต วุตฺตปฺปกาเร กาเม ปหาตุํ เตสํ มูลํ คเวสิสฺสํ ปริเยสิสฺสามิฯ กิํ ปน เตสํ มูลนฺติ? อโยนิโสมนสิกาโรฯ เฉจฺฉํ ราคํ สพนฺธนนฺติ มหาราช, อิทาเนว ปญฺญาขเคฺคน ปหริตฺวา สุภนิมิตฺตพนฺธเนน สพนฺธนํ ราคํ ฉินฺทิสฺสามีติฯ
Tattha andhakāraketi paññācakkhuvināsanato andhabhāvakare. Bahudukkheti ettha ‘‘appassādā kāmā’’tiādīni (ma. ni. 1.234; pāci. 417; cūḷava. 65) suttāni haritvā tesaṃ bahudukkhatā dassetabbā. Mahāviseti sampayuttakilesavisassa ceva vipākavisassa ca mahantatāya mahāvise. Tesaṃ mūlanti te vuttappakāre kāme pahātuṃ tesaṃ mūlaṃ gavesissaṃ pariyesissāmi. Kiṃ pana tesaṃ mūlanti? Ayonisomanasikāro. Checchaṃ rāgaṃ sabandhananti mahārāja, idāneva paññākhaggena paharitvā subhanimittabandhanena sabandhanaṃ rāgaṃ chindissāmīti.
อิทญฺจ ปน วตฺวา ‘‘มหาราช, โอกาสํ ตาว เม กโรหี’’ติ โอกาสํ กาเรตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา กสิณมณฺฑลํ โอโลเกตฺวา ปุน นฎฺฐชฺฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘มหาราช, อหํ อฎฺฐาเน วุตฺถการณา มหาชนมเชฺฌ ครหปฺปโตฺต, อปฺปมโตฺต โหหิ, ปุน ทานิ อหํ อนิตฺถิคนฺธวนสณฺฑเมว คมิสฺสามี’’ติ รโญฺญ โรทนฺตสฺส ปริเทวนฺตสฺส หิมวนฺตเมว คนฺตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
Idañca pana vatvā ‘‘mahārāja, okāsaṃ tāva me karohī’’ti okāsaṃ kāretvā paṇṇasālaṃ pavisitvā kasiṇamaṇḍalaṃ oloketvā puna naṭṭhajjhānaṃ uppādetvā paṇṇasālato nikkhamitvā ākāse pallaṅkena nisīditvā rañño dhammaṃ desetvā ‘‘mahārāja, ahaṃ aṭṭhāne vutthakāraṇā mahājanamajjhe garahappatto, appamatto hohi, puna dāni ahaṃ anitthigandhavanasaṇḍameva gamissāmī’’ti rañño rodantassa paridevantassa himavantameva gantvā aparihīnajjhāno brahmalokūpago ahosi.
สตฺถา ตํ การณํ ญตฺวา –
Satthā taṃ kāraṇaṃ ñatvā –
๔๘.
48.
‘‘อิทํ วตฺวาน หาริโต, อิสิ สจฺจปรกฺกโม;
‘‘Idaṃ vatvāna hārito, isi saccaparakkamo;
กามราคํ วิราเชตฺวา, พฺรหฺมโลกูปโค อหู’’ติฯ –
Kāmarāgaṃ virājetvā, brahmalokūpago ahū’’ti. –
อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมํ คาถํ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐหิฯ
Abhisambuddho hutvā imaṃ gāthaṃ vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu arahatte patiṭṭhahi.
ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, หริตจตาปโส ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā rājā ānando ahosi, haritacatāpaso pana ahameva ahosinti.
หริตจชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Haritacajātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๓๑. หริตจชาตกํ • 431. Haritacajātakaṃ