Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
หตฺถจฺฉินฺนาทิวตฺถุกถาวณฺณนา
Hatthacchinnādivatthukathāvaṇṇanā
๑๑๙. อิทํ ตาว สพฺพถา โหตุ, ‘‘มูคํ ปพฺพาเชนฺติ, พธิรํ ปพฺพาเชนฺตี’’ติ อิทํ กถํ สมฺภวิตุมรหติ อาทิโต ปฎฺฐาย ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อิเมหิ ตีหิ สรณคมเนหิ ปพฺพชฺช’’นฺติอาทินา (มหาว. ๓๔) อนุญฺญาตตฺตาติ? วุจฺจเต – ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, ปพฺพาเชตโพฺพติฯ เอวํ วเทหีติ วตฺตโพฺพ…เป.… ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ เอตฺถ ‘‘เอวํ วเทหีติ วตฺตโพฺพ’’ติ อิมสฺส วจนสฺส มิจฺฉา อตฺถํ คเหตฺวา มูคํ ปพฺพาเชสุํฯ ‘‘เอวํ วเทหี’’ติ ตํ ปพฺพชฺชาเปกฺขํ อาณาเปตฺวา สยํ อุปชฺฌาเยน วตฺตโพฺพ ‘‘ตติยํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ, โส ปพฺพชฺชาเปโกฺข ตถา อาณโตฺต อุปชฺฌายวจนสฺส อนุ อนุ วทตุ วา, มา วา, ตตฺถ ตตฺถ ภควา ‘‘กาเยน วิญฺญาเปติ, วาจาย วิญฺญาเปติ, กาเยน วาจาย วิญฺญาเปติ, คหิโต โหติ อุปชฺฌาโยฯ ทิโนฺน โหติ ฉโนฺทฯ ทินฺนา โหติ ปาริสุทฺธิฯ ทินฺนา โหติ ปวารณา’’ติ วทติฯ ตทนุมาเนน วา กาเยน เตน ปพฺพชฺชาเปเกฺขน วิญฺญตฺตํ โหติ สรณคมนนฺติ วา โลเกปิ กาเยน วิญฺญาเปโนฺต ‘‘เอวํ วทตี’’ติ วุจฺจติ, ตํ ปริยายํ คเหตฺวา มูคํ ปพฺพาเชนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ โปราณคณฺฐิปเท ‘‘มูคํ กถํ ปพฺพาเชนฺตี’ติ ปุจฺฉํ กตฺวา ตสฺส กายปฺปสาทสมฺภวโต กาเยน ปหารํ ทตฺวา หตฺถมุทฺทาย วิญฺญาเปตฺวา ปพฺพาเชสุ’’นฺติ วุตฺตํฯ กิํ พหุนา, อยํ ปเนตฺถ สาโร – ยถา ปุเพฺพ ปพฺพชฺชาธิกาเร วตฺตมาเน ปพฺพชฺชาภิลาปํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘ปณฺฑโก, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ’’ติอาทินา นเยน อุปสมฺปทวเสเนว อภิลาโป กโตฯ เถยฺยสํวาสกปเท อสมฺภวโต กิญฺจาปิ โส น กโต ปพฺพชฺชาว ตตฺถ กตา, สพฺพตฺถ ปน อุปสมฺปทาภิลาเปน อธิเปฺปตา ตทนุภาวโตฯ อุปสมฺปทาย ปพฺพชฺชาย วาริตาย อุปสมฺปทา วาริตา โหตีติ กตฺวาฯ ตถา อิธ อุปสมฺปทาธิกาเร วตฺตมาเน อุปสมฺปทาภิลาปํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา อุปสมฺปทเมว สนฺธาย ปพฺพชฺชาภิลาโป กโตติ เวทิตโพฺพฯ กามํ โส น กตฺตโพฺพ, มูคปเท อสมฺภวโต ตสฺส วเสน อาทิโต ปฎฺฐาย อุปสมฺปทาภิลาโปว กตฺตโพฺพ วิย ทิสฺสติ, ตถาปิ ตเสฺสว มูคปทสฺส วเสน อาทิโต ปฎฺฐาย ปพฺพชฺชาภิลาโปว กโต มิจฺฉาคหณนิวารณตฺถํฯ กถํ? ‘‘มูโค, ภิกฺขเว, อปฺปโตฺต โอสารณํ, ตเญฺจ สโงฺฆ โอสาเรติ, โสสาริโต’’ติ (มหาว. ๓๙๖) วจนโต มูโค อุปสมฺปโนฺน โหตีติ สิทฺธํฯ โส ‘‘เกวลํ อุปสมฺปโนฺนว โหติ, น ปน ปพฺพชิโต ตสฺส ปพฺพชฺชาย อสมฺภวโต’’ติ มิจฺฉาคาโห โหติฯ ตํ ปริจฺจชาเปตฺวา โย อุปสมฺปโนฺน, โส ปพฺพชิโตว โหติฯ ปพฺพชิโต ปน อตฺถิ โกจิ อุปสมฺปโนฺน, อตฺถิ โกจิ อนุปสมฺปโนฺนฯ อิมํ สมฺมาคาหํ อุปฺปาเทติ ภควาติ เวทิตพฺพํฯ
119. Idaṃ tāva sabbathā hotu, ‘‘mūgaṃ pabbājenti, badhiraṃ pabbājentī’’ti idaṃ kathaṃ sambhavitumarahati ādito paṭṭhāya ‘‘anujānāmi, bhikkhave, imehi tīhi saraṇagamanehi pabbajja’’ntiādinā (mahāva. 34) anuññātattāti? Vuccate – ‘‘evañca pana, bhikkhave, pabbājetabboti. Evaṃ vadehīti vattabbo…pe… tatiyampi saṅghaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti ettha ‘‘evaṃ vadehīti vattabbo’’ti imassa vacanassa micchā atthaṃ gahetvā mūgaṃ pabbājesuṃ. ‘‘Evaṃ vadehī’’ti taṃ pabbajjāpekkhaṃ āṇāpetvā sayaṃ upajjhāyena vattabbo ‘‘tatiyaṃ saṅghaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti, so pabbajjāpekkho tathā āṇatto upajjhāyavacanassa anu anu vadatu vā, mā vā, tattha tattha bhagavā ‘‘kāyena viññāpeti, vācāya viññāpeti, kāyena vācāya viññāpeti, gahito hoti upajjhāyo. Dinno hoti chando. Dinnā hoti pārisuddhi. Dinnā hoti pavāraṇā’’ti vadati. Tadanumānena vā kāyena tena pabbajjāpekkhena viññattaṃ hoti saraṇagamananti vā lokepi kāyena viññāpento ‘‘evaṃ vadatī’’ti vuccati, taṃ pariyāyaṃ gahetvā mūgaṃ pabbājentīti veditabbaṃ. Porāṇagaṇṭhipade ‘‘mūgaṃ kathaṃ pabbājentī’ti pucchaṃ katvā tassa kāyappasādasambhavato kāyena pahāraṃ datvā hatthamuddāya viññāpetvā pabbājesu’’nti vuttaṃ. Kiṃ bahunā, ayaṃ panettha sāro – yathā pubbe pabbajjādhikāre vattamāne pabbajjābhilāpaṃ upacchinditvā ‘‘paṇḍako, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo’’tiādinā nayena upasampadavaseneva abhilāpo kato. Theyyasaṃvāsakapade asambhavato kiñcāpi so na kato pabbajjāva tattha katā, sabbattha pana upasampadābhilāpena adhippetā tadanubhāvato. Upasampadāya pabbajjāya vāritāya upasampadā vāritā hotīti katvā. Tathā idha upasampadādhikāre vattamāne upasampadābhilāpaṃ upacchinditvā upasampadameva sandhāya pabbajjābhilāpo katoti veditabbo. Kāmaṃ so na kattabbo, mūgapade asambhavato tassa vasena ādito paṭṭhāya upasampadābhilāpova kattabbo viya dissati, tathāpi tasseva mūgapadassa vasena ādito paṭṭhāya pabbajjābhilāpova kato micchāgahaṇanivāraṇatthaṃ. Kathaṃ? ‘‘Mūgo, bhikkhave, appatto osāraṇaṃ, tañce saṅgho osāreti, sosārito’’ti (mahāva. 396) vacanato mūgo upasampanno hotīti siddhaṃ. So ‘‘kevalaṃ upasampannova hoti, na pana pabbajito tassa pabbajjāya asambhavato’’ti micchāgāho hoti. Taṃ pariccajāpetvā yo upasampanno, so pabbajitova hoti. Pabbajito pana atthi koci upasampanno, atthi koci anupasampanno. Imaṃ sammāgāhaṃ uppādeti bhagavāti veditabbaṃ.
อปิจ เตสํ หตฺถจฺฉินฺนาทีนํ ปพฺพชิตานํ สุปพฺพชิตภาวทีปนตฺถํ, ปพฺพชฺชาภาวาสงฺกานิวารณตฺถเญฺจตฺถ ปพฺพชฺชาภิลาโป กโตฯ กถํ? ‘‘น, ภิกฺขเว, หตฺถจฺฉิโนฺน ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติอาทินา ปฎิเกฺขเปน, ‘‘ปพฺพชิตา สุปพฺพชิตา’’ติ วุตฺตฎฺฐานาภาเวน จ เตสํ ปพฺพชฺชาภาวปฺปสงฺกา ภเวยฺยฯ ยถา ปสงฺกาภเว, ตถา ปสงฺกํ ฐเปยฺยฯ ขนฺธเก อุปสมฺปทํ สนฺธาย ‘‘หตฺถจฺฉิโนฺน, ภิกฺขเว, อปฺปโตฺต โอสารณํ, ตเญฺจ สโงฺฆ โอสาเรติ, โสสาริโต’’ติอาทินา นเยน ภควา นิวาเรติฯ เตเนว ปน นเยน ปพฺพชิตา เต สเพฺพปิ สุปพฺพชิตา เอวาติ ทีเปติ, อญฺญถา สเพฺพเปเต อุปสมฺปนฺนาว โหนฺติ, น ปพฺพชิตาติ อยมนิฎฺฐปฺปสโงฺค อาปชฺชติฯ กถํ? ‘‘หตฺถจฺฉิโนฺน, ภิกฺขเว, น ปพฺพาเชตโพฺพ, ปพฺพชิโต นาเสตโพฺพ’’ติ วา ‘‘น, ภิกฺขเว, หตฺถจฺฉิโนฺน ปพฺพาเชตโพฺพ, โย ปพฺพาเชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส, โส จ อปพฺพชิโต’’ติ วา ตนฺติยา ฐปิตาย จเมฺปยฺยกฺขนฺธเก ‘‘โสสาริโต’’ติ วุตฺตตฺตา เกวลํ ‘‘อิเม หตฺถจฺฉินฺนาทโย อุปสมฺปนฺนาว โหนฺติ, น ปพฺพชิตา’’ติ วา ‘‘อุปสมฺปนฺนาปิ เจ ปพฺพชิตา, นาเสตพฺพา’’ติ วา อนิฎฺฐโกฎฺฐาโส อาปชฺชตีติ อธิปฺปาโยฯ
Apica tesaṃ hatthacchinnādīnaṃ pabbajitānaṃ supabbajitabhāvadīpanatthaṃ, pabbajjābhāvāsaṅkānivāraṇatthañcettha pabbajjābhilāpo kato. Kathaṃ? ‘‘Na, bhikkhave, hatthacchinno pabbājetabbo’’tiādinā paṭikkhepena, ‘‘pabbajitā supabbajitā’’ti vuttaṭṭhānābhāvena ca tesaṃ pabbajjābhāvappasaṅkā bhaveyya. Yathā pasaṅkābhave, tathā pasaṅkaṃ ṭhapeyya. Khandhake upasampadaṃ sandhāya ‘‘hatthacchinno, bhikkhave, appatto osāraṇaṃ, tañce saṅgho osāreti, sosārito’’tiādinā nayena bhagavā nivāreti. Teneva pana nayena pabbajitā te sabbepi supabbajitā evāti dīpeti, aññathā sabbepete upasampannāva honti, na pabbajitāti ayamaniṭṭhappasaṅgo āpajjati. Kathaṃ? ‘‘Hatthacchinno, bhikkhave, na pabbājetabbo, pabbajito nāsetabbo’’ti vā ‘‘na, bhikkhave, hatthacchinno pabbājetabbo, yo pabbājeyya, āpatti dukkaṭassa, so ca apabbajito’’ti vā tantiyā ṭhapitāya campeyyakkhandhake ‘‘sosārito’’ti vuttattā kevalaṃ ‘‘ime hatthacchinnādayo upasampannāva honti, na pabbajitā’’ti vā ‘‘upasampannāpi ce pabbajitā, nāsetabbā’’ti vā aniṭṭhakoṭṭhāso āpajjatīti adhippāyo.
อิทํ ปเนตฺถ วิจาเรตพฺพํ – ‘‘โส จ อปพฺพชิโต’’ติ วจนาภาวโต มูคสฺส ปพฺพชฺชสิทฺธิปฺปสงฺคโต ปพฺพชฺชาปิ เอกโตสุทฺธิยา โหตีติ อยมนิฎฺฐโกฎฺฐาโส กถํ นาปชฺชตีติ? ปพฺพชฺชาภิลาเปน อุปสมฺปทา อิธาธิเปฺปตาติ สมฺมาคาเหน นาปชฺชติ, อญฺญถา ยถาพฺยญฺชนํ อเตฺถ คหิเต ยถาปญฺญตฺตทุกฺกฎาภาวสงฺขาโต อปโรปิ อนิฎฺฐโกฎฺฐาโส อาปชฺชติฯ กถํ? ‘‘น, ภิกฺขเว, มูโค ปพฺพาเชตโพฺพ, โย ปพฺพาเชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ วุตฺตทุกฺกฎํ ปพฺพชฺชปริโยสาเน โหติ, น ตสฺสาวิปฺปกตายฯ ปุพฺพปโยคทุกฺกฎเมว หิ ปฐมํ อาปชฺชติ , ตสฺมา มูคสฺส ปพฺพชฺชปริโยสานเสฺสว อภาวโต อิมสฺส ทุกฺกฎสฺส โอกาโส จ สพฺพกาลํ น สมฺภเวยฺยฯ อุปสมฺปทาวเสน ปน อเตฺถ คหิเต สมฺภวติ กมฺมนิปฺผตฺติโตฯ เตเนว ปาฬิยํ ‘‘น, ภิกฺขเว, ปณฺฑโก อุปสมฺปาเทตโพฺพ, โย อุปสมฺปาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ ทุกฺกฎํ น ปญฺญตฺตํฯ อปญฺญตฺตตฺตา ปุพฺพปโยคทุกฺกฎเมว เจตฺถ สมฺภวติ, เนตรํ, เอตฺตาวตา สิทฺธเมตํ ‘‘ปพฺพชฺชาภิลาเปน อุปสมฺปทา จ ตตฺถ อธิเปฺปตา, น ปพฺพชฺชา’’ติฯ
Idaṃ panettha vicāretabbaṃ – ‘‘so ca apabbajito’’ti vacanābhāvato mūgassa pabbajjasiddhippasaṅgato pabbajjāpi ekatosuddhiyā hotīti ayamaniṭṭhakoṭṭhāso kathaṃ nāpajjatīti? Pabbajjābhilāpena upasampadā idhādhippetāti sammāgāhena nāpajjati, aññathā yathābyañjanaṃ atthe gahite yathāpaññattadukkaṭābhāvasaṅkhāto aparopi aniṭṭhakoṭṭhāso āpajjati. Kathaṃ? ‘‘Na, bhikkhave, mūgo pabbājetabbo, yo pabbājeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti vuttadukkaṭaṃ pabbajjapariyosāne hoti, na tassāvippakatāya. Pubbapayogadukkaṭameva hi paṭhamaṃ āpajjati , tasmā mūgassa pabbajjapariyosānasseva abhāvato imassa dukkaṭassa okāso ca sabbakālaṃ na sambhaveyya. Upasampadāvasena pana atthe gahite sambhavati kammanipphattito. Teneva pāḷiyaṃ ‘‘na, bhikkhave, paṇḍako upasampādetabbo, yo upasampādeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti dukkaṭaṃ na paññattaṃ. Apaññattattā pubbapayogadukkaṭameva cettha sambhavati, netaraṃ, ettāvatā siddhametaṃ ‘‘pabbajjābhilāpena upasampadā ca tattha adhippetā, na pabbajjā’’ti.
เอตฺถาห – สามเณรปพฺพชฺชา น กายปโยคโต โหตีติ กถํ ปญฺญายตีติ? วุจฺจเต – กาเยน วิญฺญาเปตีติอาทิตฺติกาทสฺสนโตฯ โหติ เจตฺถ –
Etthāha – sāmaṇerapabbajjā na kāyapayogato hotīti kathaṃ paññāyatīti? Vuccate – kāyena viññāpetītiādittikādassanato. Hoti cettha –
‘‘อเปฺปว สสโก โกจิ, ปติเฎฺฐยฺย มหณฺณเว;
‘‘Appeva sasako koci, patiṭṭheyya mahaṇṇave;
น เตฺวว จตุคมฺภีเร, ทุคฺคาโห วินยณฺณเว’’ติฯ
Na tveva catugambhīre, duggāho vinayaṇṇave’’ti.
พฺรหฺมุชุคโตฺตติ เอตฺถ ‘‘นิโทฺทสเตฺถ, เสฎฺฐเตฺถ จ พฺรหฺม-สทฺทํ คเหตฺวา นิโทฺทสํ หุตฺวา อุชุ คตฺตํ ยสฺส โส พฺรหฺมุชุคโตฺต’’ติ ลิขิตํฯ อถ วา กามโภคิตฺตา เทวินฺทาทโย อุปมาวเสน อคฺคเหตฺวา พฺรหฺมา วิย อุชุคโตฺต พฺรหฺมุชุคโตฺตฯ มหากุจฺฉิโต ฆโฎ มหากุจฺฉิฆโฎฯ เตน สมาโน วุจฺจติ ‘‘มหากุจฺฉิฆฎสทิโส’’ติฯ คลคณฺฑีติ เทสนามตฺตเมเวตนฺติ กถํ ปญฺญายตีติ? ‘‘น, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุโฎฺฐ ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติ วจนโตฯ กิลาโสปิ อิธาธิเปฺปโตติ น เกวลํ โส เอเวโก, กินฺตุ ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุโฎฺฐ, ปาฬิยํ อาคตา ราชภฎาทโย ทาสปริโยสานา, ราหุลวตฺถุมฺหิ อาคตา อนนุญฺญาตมาตาปิตโร จาติ ทสปิ ชนา อิธาธิเปฺปตาฯ ตทตฺถทีปนตฺถเมว ลิขิตกกสาหตลกฺขณาหเต ปุเพฺพ วุเตฺตปิ อาเนตฺวา อุปาลิเตฺถโร อิธ หตฺถจฺฉินฺนปาฬิยํ อาหฯ เตเนว จเมฺปยฺยกฺขนฺธเก ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล อปฺปโตฺต โอสารณํ, ตเญฺจ สโงฺฆ โอสาเรติ, เอกโจฺจ โสสาริโต, เอกโจฺจ โทสาริโต’’ติ (มหาว. ๓๙๖) อิมสฺส วิภเงฺค ‘‘ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุฎฺฐา, ราชภฎา, โจรการเภทกอิณายิกทาสา, อนนุญฺญาตมาตาปิตโร จา’’ติ สตฺต ชนา น คหิตา, น จ ลพฺภนฺติ, อญฺญถา อิเมปิ ตสฺส วิภเงฺค วตฺตพฺพา สิยุํฯ น วตฺตพฺพา ตตฺถ อภพฺพตฺตาติ เจ? เอวํ สเนฺต ‘‘สโงฺฆ โอสาเรติ, เอกโจฺจ โทสาริโต’’ติ อิมสฺส วิภเงฺค วตฺตพฺพา ปณฺฑกาทโย วิย, น จ วุตฺตาฯ อุภยตฺถ อวุตฺตตฺตา น จิเม อนุภยา ภวิตุมรหนฺติ, ตสฺมา อวุตฺตานเมว ทสนฺนํ ยถาวุตฺตานํ สงฺคณฺหนตฺถํ ปุน ลิขิตกาทโย วุตฺตาติฯ อถ กิมตฺถํ เต อิธ อุปฺปฎิปาฎิยา วุตฺตาติ? อิณายิกทาสานํ โสสาริตภาเวปิ อิณายิกทาสา สามิกานํ ทาตพฺพาติ ตทธีนภาวทสฺสนตฺถํฯ เตเนว ตตฺถ วุตฺตํ ‘‘ปลาโตปิ อาเนตฺวา ทาตโพฺพ’’ติอาทิฯ โย ปเนตฺถ โจโร กตกโมฺม ปพฺพชติ, ราชภโฎ วา สเจ กตโทโส, อิณายิกคฺคหเณเนว คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ อถ วา ยถาวุตฺตลกฺขโณ สโพฺพปิ อิณายิกทาสานํ ‘‘โสสาริโต’’ติ วตฺตพฺพารโห น โหตีติ กตฺวา เตสํ ปริวชฺชนตฺถํ อุปฺปฎิปาฎิยา เทสนา อุปริ อาโรหติ, น เหฎฺฐาติ ทีปนโตฯ ลิขิตโก ‘‘โสสาริโต’’ติ วุตฺตตฺตา เทสนฺตรํ เนตโพฺพฯ ตถาการเภทกาทโยปีติ เวทิตพฺพํฯ
Brahmujugattoti ettha ‘‘niddosatthe, seṭṭhatthe ca brahma-saddaṃ gahetvā niddosaṃ hutvā uju gattaṃ yassa so brahmujugatto’’ti likhitaṃ. Atha vā kāmabhogittā devindādayo upamāvasena aggahetvā brahmā viya ujugatto brahmujugatto. Mahākucchito ghaṭo mahākucchighaṭo. Tena samāno vuccati ‘‘mahākucchighaṭasadiso’’ti. Galagaṇḍīti desanāmattamevetanti kathaṃ paññāyatīti? ‘‘Na, bhikkhave, pañcahi ābādhehi phuṭṭho pabbājetabbo’’ti vacanato. Kilāsopi idhādhippetoti na kevalaṃ so eveko, kintu pañcahi ābādhehi phuṭṭho, pāḷiyaṃ āgatā rājabhaṭādayo dāsapariyosānā, rāhulavatthumhi āgatā ananuññātamātāpitaro cāti dasapi janā idhādhippetā. Tadatthadīpanatthameva likhitakakasāhatalakkhaṇāhate pubbe vuttepi ānetvā upālitthero idha hatthacchinnapāḷiyaṃ āha. Teneva campeyyakkhandhake ‘‘atthi, bhikkhave, puggalo appatto osāraṇaṃ, tañce saṅgho osāreti, ekacco sosārito, ekacco dosārito’’ti (mahāva. 396) imassa vibhaṅge ‘‘pañcahi ābādhehi phuṭṭhā, rājabhaṭā, corakārabhedakaiṇāyikadāsā, ananuññātamātāpitaro cā’’ti satta janā na gahitā, na ca labbhanti, aññathā imepi tassa vibhaṅge vattabbā siyuṃ. Na vattabbā tattha abhabbattāti ce? Evaṃ sante ‘‘saṅgho osāreti, ekacco dosārito’’ti imassa vibhaṅge vattabbā paṇḍakādayo viya, na ca vuttā. Ubhayattha avuttattā na cime anubhayā bhavitumarahanti, tasmā avuttānameva dasannaṃ yathāvuttānaṃ saṅgaṇhanatthaṃ puna likhitakādayo vuttāti. Atha kimatthaṃ te idha uppaṭipāṭiyā vuttāti? Iṇāyikadāsānaṃ sosāritabhāvepi iṇāyikadāsā sāmikānaṃ dātabbāti tadadhīnabhāvadassanatthaṃ. Teneva tattha vuttaṃ ‘‘palātopi ānetvā dātabbo’’tiādi. Yo panettha coro katakammo pabbajati, rājabhaṭo vā sace katadoso, iṇāyikaggahaṇeneva gahitoti veditabbo. Atha vā yathāvuttalakkhaṇo sabbopi iṇāyikadāsānaṃ ‘‘sosārito’’ti vattabbāraho na hotīti katvā tesaṃ parivajjanatthaṃ uppaṭipāṭiyā desanā upari ārohati, na heṭṭhāti dīpanato. Likhitako ‘‘sosārito’’ti vuttattā desantaraṃ netabbo. Tathākārabhedakādayopīti veditabbaṃ.
เอตฺตาวตา ภควตา อตฺตโน เทสนากุสลตาย ปุเพฺพ คหิตคฺคหเณน ยถาวุตฺตานํ ทสนฺนมฺปิ ปพฺพชฺชุปสมฺปทากมฺมนิปฺผตฺติ, อุปฺปฎิปาฎิวจเนน ปุคฺคลเวมตฺตตญฺจ เทสนาย โกวิทานํ ทีปิตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ โหติ เจตฺถ –
Ettāvatā bhagavatā attano desanākusalatāya pubbe gahitaggahaṇena yathāvuttānaṃ dasannampi pabbajjupasampadākammanipphatti, uppaṭipāṭivacanena puggalavemattatañca desanāya kovidānaṃ dīpitaṃ hotīti veditabbaṃ. Hoti cettha –
‘‘วตฺตพฺพยุตฺตํ วจเนน วตฺวา, อยุตฺตมิฎฺฐํ นยเทสนาย;
‘‘Vattabbayuttaṃ vacanena vatvā, ayuttamiṭṭhaṃ nayadesanāya;
สนฺทีปยนฺตํ สุคตสฺส วากฺยํ, จิตฺตํ วิจิตฺตํว กโรติปี’’ติฯ
Sandīpayantaṃ sugatassa vākyaṃ, cittaṃ vicittaṃva karotipī’’ti.
เอตฺถาห – จเมฺปยฺยกฺขนฺธเก อูนวีสติวโสฺส อุภยตฺถ อวุตฺตตฺตา อนุภโย สิยาติ? น สิยา อวุตฺตตฺตา เอวฯ ยทิ หิ ตติยาย โกฎิยา ภวิตพฺพํ, สา อวสฺสํ ภควตา วตฺตพฺพาว โหติ, น จ วุตฺตา, ตสฺมา น โส อนุภโย โหติฯ อถ กตรํ ปกฺขํ ภชตีติ? โทสาริตปกฺขํ ภชติฯ อถ กสฺมา น วุโตฺตติ? สิกฺขาปเทน ปฎิสิทฺธตฺตาฯ อุปนาหํ พนฺธิตฺวาติ ปุน พนฺธนํ กตฺวาฯ ‘‘นานาวิเธหิ โอสเธหิ ปาทํ พนฺธิตฺวา อาวาฎเก ปเวเสตฺวา กตฺตพฺพวิธานเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ ลิขิตํฯ กปฺปสีโส วา หตฺถี วิยฯ โคภตฺตนาฬิกา นาม คุนฺนํ ภตฺตปานตฺถํ กตนาฬิกาฯ อุปกฺกมุโข นาม กุธิตมุโข วุจฺจติ, วาตณฺฑิโก นาม อณฺฑเกสุ วุฑฺฒิโรเคน สมนฺนาคโตฯ วิกโฎ นาม ติริยํ คมนกปาเทหิ สมนฺนาคโตฯ ‘‘คุณิ กุณี’’ติ ทุวิโธ กิร ปาโฐฯ เยสญฺจ ปพฺพชฺชา ปฎิกฺขิตฺตา, อุปสมฺปทาปิ เตสํ ปฎิกฺขิตฺตาวาติอาทิ ยสฺมา หตฺถจฺฉินฺนาทโย อุปสมฺปทาวเสเนว วุตฺตา, ตสฺมา เต เอว หตฺถจฺฉินฺนาทโย สนฺธายาหฯ
Etthāha – campeyyakkhandhake ūnavīsativasso ubhayattha avuttattā anubhayo siyāti? Na siyā avuttattā eva. Yadi hi tatiyāya koṭiyā bhavitabbaṃ, sā avassaṃ bhagavatā vattabbāva hoti, na ca vuttā, tasmā na so anubhayo hoti. Atha kataraṃ pakkhaṃ bhajatīti? Dosāritapakkhaṃ bhajati. Atha kasmā na vuttoti? Sikkhāpadena paṭisiddhattā. Upanāhaṃ bandhitvāti puna bandhanaṃ katvā. ‘‘Nānāvidhehi osadhehi pādaṃ bandhitvā āvāṭake pavesetvā kattabbavidhānassetaṃ adhivacana’’nti likhitaṃ. Kappasīso vā hatthī viya. Gobhattanāḷikā nāma gunnaṃ bhattapānatthaṃ katanāḷikā. Upakkamukho nāma kudhitamukho vuccati, vātaṇḍiko nāma aṇḍakesu vuḍḍhirogena samannāgato. Vikaṭo nāma tiriyaṃ gamanakapādehi samannāgato. ‘‘Guṇi kuṇī’’ti duvidho kira pāṭho. Yesañca pabbajjā paṭikkhittā, upasampadāpi tesaṃ paṭikkhittāvātiādi yasmā hatthacchinnādayo upasampadāvaseneva vuttā, tasmā te eva hatthacchinnādayo sandhāyāha.
หตฺถจฺฉินฺนาทิวตฺถุกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Hatthacchinnādivatthukathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๕๗. นปพฺพาเชตพฺพทฺวตฺติํสวาโร • 57. Napabbājetabbadvattiṃsavāro
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / หตฺถจฺฉินฺนาทิวตฺถุกถา • Hatthacchinnādivatthukathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / หตฺถจฺฉินฺนาทิวตฺถุกถาวณฺณนา • Hatthacchinnādivatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / หตฺถจฺฉินฺนาทิวตฺถุกถาวณฺณนา • Hatthacchinnādivatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๕๗. หตฺถจฺฉินฺนาทิวตฺถุกถา • 57. Hatthacchinnādivatthukathā