Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๐๙] ๑๓. หตฺถิปาลชาตกวณฺณนา

    [509] 13. Hatthipālajātakavaṇṇanā

    จิรสฺสํ วต ปสฺสามาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มหาภินิกฺขมนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา หิ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Cirassaṃ vata passāmāti idaṃ satthā jetavane viharanto mahābhinikkhamanaṃ ārabbha kathesi. Tadā hi satthā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato mahābhinikkhamanaṃ nikkhantoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ เอสุการี นาม ราชา อโหสิฯ ตสฺส ปุโรหิโต ทหรกาลโต ปฎฺฐาย ปิยสหาโยฯ เต อุโภปิ อปุตฺตกา อเหสุํฯ เต เอกทิวสํ สุขสยเน นิสินฺนา มนฺตยิํสุ ‘‘อมฺหากํ อิสฺสริยํ มหนฺตํ, ปุโตฺต วา ธีตา วา นตฺถิ, กิํ นุ โข กตฺตพฺพ’’นฺติฯ ตโต ราชา ปุโรหิตํ อาห – ‘‘สมฺม, สเจ ตว เคเห ปุโตฺต ชายิสฺสติ, มม รชฺชสฺส สามิโก ภวิสฺสติ, สเจ มม ปุโตฺต ชายิสฺสติ, ตว เคเห โภคานํ สามิโก ภวิสฺสตี’’ติฯ เอวํ อุโภปิ อญฺญมญฺญํ สงฺกริํสุฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ esukārī nāma rājā ahosi. Tassa purohito daharakālato paṭṭhāya piyasahāyo. Te ubhopi aputtakā ahesuṃ. Te ekadivasaṃ sukhasayane nisinnā mantayiṃsu ‘‘amhākaṃ issariyaṃ mahantaṃ, putto vā dhītā vā natthi, kiṃ nu kho kattabba’’nti. Tato rājā purohitaṃ āha – ‘‘samma, sace tava gehe putto jāyissati, mama rajjassa sāmiko bhavissati, sace mama putto jāyissati, tava gehe bhogānaṃ sāmiko bhavissatī’’ti. Evaṃ ubhopi aññamaññaṃ saṅkariṃsu.

    อเถกทิวสํ ปุโรหิโต โภคคามํ คนฺตฺวา อาคมนกาเล ทกฺขิณทฺวาเรน นครํ ปวิสโนฺต พหินคเร เอกํ พหุปุตฺติกํ นาม ทุคฺคติตฺถิํ ปสฺสิฯ ตสฺสา สตฺต ปุตฺตา สเพฺพว อโรคา, เอโก ปจนภาชนกปลฺลํ คณฺหิ, เอโก สยนกฎสารกํ, เอโก ปุรโต คจฺฉติ, เอโก ปจฺฉโต, เอโก องฺคุลิํ คณฺหิ, เอโก อเงฺก นิสิโนฺน, เอโก ขเนฺธฯ อถ นํ ปุโรหิโต ปุจฺฉิ ‘‘ภเทฺท, อิเมสํ ทารกานํ ปิตา กุหิ’’นฺติ? ‘‘สามิ, อิเมสํ ปิตา นาม นิพโทฺธ นตฺถี’’ติฯ ‘‘เอวรูเป สตฺต ปุเตฺต กินฺติ กตฺวา อลตฺถา’’ติ? สา อญฺญํ คหณํ อปสฺสนฺตี นครทฺวาเร ฐิตํ นิโคฺรธรุกฺขํ ทเสฺสตฺวา ‘‘สามิ เอตสฺมิํ นิโคฺรเธ อธิวตฺถาย เทวตาย สนฺติเก ปเตฺถตฺวา ลภิํ, เอตาย เม ปุตฺตา ทินฺนา’’ติ อาหฯ ปุโรหิโต ‘‘เตน หิ คจฺฉ ตฺว’’นฺติ รถา โอรุยฺห นิโคฺรธมูลํ คนฺตฺวา สาขาย คเหตฺวา จาเลตฺวา ‘‘อโมฺภ เทวเต, ตฺวํ รโญฺญ สนฺติกา กิํ นาม น ลภสิ, ราชา เต อนุสํวจฺฉรํ สหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา พลิกมฺมํ กโรติ, ตสฺส ปุตฺตํ น เทสิ, เอตาย ทุคฺคติตฺถิยา ตว โก อุปกาโร กโต, เยนสฺสา สตฺต ปุเตฺต อทาสิฯ สเจ อมฺหากํ รโญฺญ ปุตฺตํ น เทสิ, อิโต ตํ สตฺตเม ทิวเส สมูลํ ฉินฺทาเปตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ กาเรสฺสามี’’ติ รุกฺขเทวตํ ตเชฺชตฺวา ปกฺกามิฯ โส เอเตน นิยาเมเนว ปุนทิวเสปีติ ปฎิปาฎิยา ฉ ทิวเส กเถสิฯ ฉเฎฺฐ ปน ทิวเส สาขาย คเหตฺวา ‘‘รุกฺขเทวเต อเชฺชกรตฺติมตฺตกเมว เสสํ, สเจ เม รโญฺญ ปุตฺตํ น เทสิ, เสฺว ตํ นิฎฺฐาเปสฺสามี’’ติ อาหฯ

    Athekadivasaṃ purohito bhogagāmaṃ gantvā āgamanakāle dakkhiṇadvārena nagaraṃ pavisanto bahinagare ekaṃ bahuputtikaṃ nāma duggatitthiṃ passi. Tassā satta puttā sabbeva arogā, eko pacanabhājanakapallaṃ gaṇhi, eko sayanakaṭasārakaṃ, eko purato gacchati, eko pacchato, eko aṅguliṃ gaṇhi, eko aṅke nisinno, eko khandhe. Atha naṃ purohito pucchi ‘‘bhadde, imesaṃ dārakānaṃ pitā kuhi’’nti? ‘‘Sāmi, imesaṃ pitā nāma nibaddho natthī’’ti. ‘‘Evarūpe satta putte kinti katvā alatthā’’ti? Sā aññaṃ gahaṇaṃ apassantī nagaradvāre ṭhitaṃ nigrodharukkhaṃ dassetvā ‘‘sāmi etasmiṃ nigrodhe adhivatthāya devatāya santike patthetvā labhiṃ, etāya me puttā dinnā’’ti āha. Purohito ‘‘tena hi gaccha tva’’nti rathā oruyha nigrodhamūlaṃ gantvā sākhāya gahetvā cāletvā ‘‘ambho devate, tvaṃ rañño santikā kiṃ nāma na labhasi, rājā te anusaṃvaccharaṃ sahassaṃ vissajjetvā balikammaṃ karoti, tassa puttaṃ na desi, etāya duggatitthiyā tava ko upakāro kato, yenassā satta putte adāsi. Sace amhākaṃ rañño puttaṃ na desi, ito taṃ sattame divase samūlaṃ chindāpetvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ kāressāmī’’ti rukkhadevataṃ tajjetvā pakkāmi. So etena niyāmeneva punadivasepīti paṭipāṭiyā cha divase kathesi. Chaṭṭhe pana divase sākhāya gahetvā ‘‘rukkhadevate ajjekarattimattakameva sesaṃ, sace me rañño puttaṃ na desi, sve taṃ niṭṭhāpessāmī’’ti āha.

    รุกฺขเทวตา อาวเชฺชตฺวา ตํ การณํ ตถโต ญตฺวา ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ ปุตฺตํ อลภโนฺต มม วิมานํ นาเสสฺสติ, เกน นุ โข อุปาเยน ตสฺส ปุตฺตํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จตุนฺนํ มหาราชานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ เต ‘‘มยํ ตสฺส ปุตฺตํ ทาตุํ น สกฺขิสฺสามา’’ติ วทิํสุฯ อฎฺฐวีสติยกฺขเสนาปตีนํ สนฺติกํ อคมาสิ, เตปิ ตเถวาหํสุฯ สกฺกสฺส เทวรโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา กเถสิฯ โสปิ ‘‘ลภิสฺสติ นุ โข ราชา อนุจฺฉวิเก ปุเตฺต, อุทาหุ โน’’ติ อุปธาเรโนฺต ปุญฺญวเนฺต จตฺตาโร เทวปุเตฺต ปสฺสิฯ เต กิร ปุริมภเว พาราณสิยํ เปสการา หุตฺวา เตน กเมฺมน ลทฺธกํ ปญฺจโกฎฺฐาสํ กตฺวา จตฺตาโร โกฎฺฐาเส ปริภุญฺชิํสุ. ปญฺจมํ คเหตฺวา เอกโตว ทานํ อทํสุฯ เต ตโต จุตา ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติํสุ, ตโต ยามภวเนติ เอวํ อนุโลมปฎิโลมํ ฉสุ เทวโลเกสุ สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตา วิจรนฺติฯ ตทา ปน เนสํ ตาวติํสภวนโต จวิตฺวา ยามภวนํ คมนวาโร โหติฯ สโกฺก เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปโกฺกสิตฺวา ‘‘มาริสา, ตุเมฺหหิ มนุสฺสโลกํ คนฺตุํ วฎฺฎติ, เอสุการีรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตถา’’ติ อาหฯ เต ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘สาธุ เทว, คมิสฺสาม, น ปนมฺหากํ ราชกุเลนโตฺถ, ปุโรหิตสฺส เคเห นิพฺพตฺติตฺวา ทหรกาเลเยว กาเม ปหาย ปพฺพชิสฺสามา’’ติ วทิํสุฯ สโกฺก ‘‘สาธู’’ติ เตสํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อาคนฺตฺวา รุกฺขเทวตาย ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สา ตุฎฺฐมานสา สกฺกํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน วิมานเมว คตาฯ

    Rukkhadevatā āvajjetvā taṃ kāraṇaṃ tathato ñatvā ‘‘ayaṃ brāhmaṇo puttaṃ alabhanto mama vimānaṃ nāsessati, kena nu kho upāyena tassa puttaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti catunnaṃ mahārājānaṃ santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesi. Te ‘‘mayaṃ tassa puttaṃ dātuṃ na sakkhissāmā’’ti vadiṃsu. Aṭṭhavīsatiyakkhasenāpatīnaṃ santikaṃ agamāsi, tepi tathevāhaṃsu. Sakkassa devarañño santikaṃ gantvā kathesi. Sopi ‘‘labhissati nu kho rājā anucchavike putte, udāhu no’’ti upadhārento puññavante cattāro devaputte passi. Te kira purimabhave bārāṇasiyaṃ pesakārā hutvā tena kammena laddhakaṃ pañcakoṭṭhāsaṃ katvā cattāro koṭṭhāse paribhuñjiṃsu. pañcamaṃ gahetvā ekatova dānaṃ adaṃsu. Te tato cutā tāvatiṃsabhavane nibbattiṃsu, tato yāmabhavaneti evaṃ anulomapaṭilomaṃ chasu devalokesu sampattiṃ anubhavantā vicaranti. Tadā pana nesaṃ tāvatiṃsabhavanato cavitvā yāmabhavanaṃ gamanavāro hoti. Sakko tesaṃ santikaṃ gantvā pakkositvā ‘‘mārisā, tumhehi manussalokaṃ gantuṃ vaṭṭati, esukārīrañño aggamahesiyā kucchimhi nibbattathā’’ti āha. Te tassa vacanaṃ sutvā ‘‘sādhu deva, gamissāma, na panamhākaṃ rājakulenattho, purohitassa gehe nibbattitvā daharakāleyeva kāme pahāya pabbajissāmā’’ti vadiṃsu. Sakko ‘‘sādhū’’ti tesaṃ paṭiññaṃ gahetvā āgantvā rukkhadevatāya tamatthaṃ ārocesi. Sā tuṭṭhamānasā sakkaṃ vanditvā attano vimānameva gatā.

    ปุโรหิโตปิ ปุนทิวเส พลวปุริเส สนฺนิปาตาเปตฺวา วาสิผรสุอาทีนิ คาหาเปตฺวา รุกฺขมูลํ คนฺตฺวา รุกฺขสาขาย คเหตฺวา ‘‘อโมฺภ เทวเต, อชฺช มยฺหํ ตํ ยาจนฺตสฺส สตฺตโม ทิวโส, อิทานิ เต นิฎฺฐานกาโล’’ติ อาหฯ ตโต รุกฺขเทวตา มหเนฺตนานุภาเวน ขนฺธวิวรโต นิกฺขมิตฺวา มธุรสเรน ตํ อามเนฺตตฺวา ‘พฺราหฺมณ, ติฎฺฐตุ เอโก ปุโตฺต, จตฺตาโร เต ปุเตฺต ทสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘มม ปุเตฺตนโตฺถ นตฺถิ, อมฺหากํ รโญฺญ ปุตฺตํ เทหี’’ติฯ ‘‘ตุยฺหํเยว เทมี’’ติฯ ‘‘เตน หิ มม เทฺว, รโญฺญ เทฺว เทหี’’ติฯ ‘‘รโญฺญ น เทมิ, จตฺตาโรปิ ตุยฺหเมว ทมฺมิ, ตยา จ ลทฺธมตฺตาว ภวิสฺสนฺติ, อคาเร ปน อฎฺฐตฺวา ทหรกาเลเยว ปพฺพชิสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘ตฺวํ เม เกวลํ ปุเตฺต เทหิ, อปพฺพชนการณํ ปน อมฺหากํ ภาโร’’ติฯ สา ตสฺส ปุตฺตวรํ ทตฺวา อตฺตโน ภวนํ ปาวิสิฯ ตโต ปฎฺฐาย เทวตาย สกฺกาโร มหา อโหสิฯ

    Purohitopi punadivase balavapurise sannipātāpetvā vāsipharasuādīni gāhāpetvā rukkhamūlaṃ gantvā rukkhasākhāya gahetvā ‘‘ambho devate, ajja mayhaṃ taṃ yācantassa sattamo divaso, idāni te niṭṭhānakālo’’ti āha. Tato rukkhadevatā mahantenānubhāvena khandhavivarato nikkhamitvā madhurasarena taṃ āmantetvā ‘brāhmaṇa, tiṭṭhatu eko putto, cattāro te putte dassāmī’’ti āha. ‘‘Mama puttenattho natthi, amhākaṃ rañño puttaṃ dehī’’ti. ‘‘Tuyhaṃyeva demī’’ti. ‘‘Tena hi mama dve, rañño dve dehī’’ti. ‘‘Rañño na demi, cattāropi tuyhameva dammi, tayā ca laddhamattāva bhavissanti, agāre pana aṭṭhatvā daharakāleyeva pabbajissantī’’ti. ‘‘Tvaṃ me kevalaṃ putte dehi, apabbajanakāraṇaṃ pana amhākaṃ bhāro’’ti. Sā tassa puttavaraṃ datvā attano bhavanaṃ pāvisi. Tato paṭṭhāya devatāya sakkāro mahā ahosi.

    เชฎฺฐกเทวปุโตฺต จวิตฺวา ปุโรหิตสฺส พฺราหฺมณิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘หตฺถิปาโล’’ติ นามํ กตฺวา อปพฺพชนตฺถาย หตฺถิโคปเก ปฎิจฺฉาเปสุํฯ โส เตสํ สนฺติเก วฑฺฒติฯ ตสฺส ปทสา คมนกาเล ทุติโย จวิตฺวา อสฺสา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, ตสฺสปิ ชาตกาเล ‘‘อสฺสปาโล’’ติ นามํ กริํสุฯ โส อสฺสโคปกานํ สนฺติเก วฑฺฒติฯ ตติยสฺส ชาตกาเล ‘‘โคปาโล’’ติ นามํ กริํสุฯ โส โคปาเลหิ สทฺธิํ วฑฺฒติฯ จตุตฺถสฺส ชาตกาเล ‘‘อชปาโล’’ติ นามํ กริํสุฯ โส อชปาเลหิ สทฺธิํ วฑฺฒติฯ เต วุฑฺฒิมนฺวาย โสภคฺคปฺปตฺตา อเหสุํฯ

    Jeṭṭhakadevaputto cavitvā purohitassa brāhmaṇiyā kucchimhi nibbatti. Tassa nāmaggahaṇadivase ‘‘hatthipālo’’ti nāmaṃ katvā apabbajanatthāya hatthigopake paṭicchāpesuṃ. So tesaṃ santike vaḍḍhati. Tassa padasā gamanakāle dutiyo cavitvā assā kucchimhi nibbatti, tassapi jātakāle ‘‘assapālo’’ti nāmaṃ kariṃsu. So assagopakānaṃ santike vaḍḍhati. Tatiyassa jātakāle ‘‘gopālo’’ti nāmaṃ kariṃsu. So gopālehi saddhiṃ vaḍḍhati. Catutthassa jātakāle ‘‘ajapālo’’ti nāmaṃ kariṃsu. So ajapālehi saddhiṃ vaḍḍhati. Te vuḍḍhimanvāya sobhaggappattā ahesuṃ.

    อถ เนสํ ปพฺพชิตภเยน รโญฺญ วิชิตา ปพฺพชิเต นีหริํสุฯ สกลกาสิรเฎฺฐ เอกปพฺพชิโตปิ นาโหสิฯ เต กุมารา อติผรุสา อเหสุํ, ยาย ทิสาย คจฺฉนฺติ, ตาย อาหริยมานํ ปณฺณาการํ วิลุมฺปนฺติฯ หตฺถิปาลสฺส โสฬสวสฺสกาเล กายสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ราชา จ ปุโรหิโต จ ‘‘กุมารา มหลฺลกา ชาตา, ฉตฺตุสฺสาปนสมโย, เตสํ กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติ มเนฺตตฺวา ‘‘เอเต อภิสิตฺตกาลโต ปฎฺฐาย อติสฺสรา ภวิสฺสนฺติ, ตโต ตโต ปพฺพชิตา อาคมิสฺสนฺติ, เต ทิสฺวา ปพฺพชิสฺสนฺติ, เอเตสํ ปพฺพชิตกาเล ชนปโท อุโลฺลโฬ ภวิสฺสติ, วีมํสิสฺสาม ตาว เน, ปจฺฉา อภิสิญฺจิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา อุโภปิ อิสิเวสํ คเหตฺวา ภิกฺขํ จรนฺตา หตฺถิปาลสฺส กุมารสฺส นิเวสนทฺวารํ อคมํสุฯ กุมาโร เต ทิสฺวาว ตุโฎฺฐ ปสโนฺน อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Atha nesaṃ pabbajitabhayena rañño vijitā pabbajite nīhariṃsu. Sakalakāsiraṭṭhe ekapabbajitopi nāhosi. Te kumārā atipharusā ahesuṃ, yāya disāya gacchanti, tāya āhariyamānaṃ paṇṇākāraṃ vilumpanti. Hatthipālassa soḷasavassakāle kāyasampattiṃ disvā rājā ca purohito ca ‘‘kumārā mahallakā jātā, chattussāpanasamayo, tesaṃ kiṃ nu kho kātabba’’nti mantetvā ‘‘ete abhisittakālato paṭṭhāya atissarā bhavissanti, tato tato pabbajitā āgamissanti, te disvā pabbajissanti, etesaṃ pabbajitakāle janapado ulloḷo bhavissati, vīmaṃsissāma tāva ne, pacchā abhisiñcissāmā’’ti cintetvā ubhopi isivesaṃ gahetvā bhikkhaṃ carantā hatthipālassa kumārassa nivesanadvāraṃ agamaṃsu. Kumāro te disvāva tuṭṭho pasanno upasaṅkamitvā vanditvā tisso gāthā abhāsi –

    ๓๓๗.

    337.

    ‘‘จิรสฺสํ วต ปสฺสาม, พฺราหฺมณํ เทววณฺณินํ;

    ‘‘Cirassaṃ vata passāma, brāhmaṇaṃ devavaṇṇinaṃ;

    มหาชฎํ ขาริธรํ, ปงฺกทนฺตํ รชสฺสิรํฯ

    Mahājaṭaṃ khāridharaṃ, paṅkadantaṃ rajassiraṃ.

    ๓๓๘.

    338.

    ‘‘จิรสฺสํ วต ปสฺสาม, อิสิํ ธมฺมคุเณ รตํ;

    ‘‘Cirassaṃ vata passāma, isiṃ dhammaguṇe rataṃ;

    กาสายวตฺถวสนํ, วากจีรํ ปฎิจฺฉทํฯ

    Kāsāyavatthavasanaṃ, vākacīraṃ paṭicchadaṃ.

    ๓๓๙.

    339.

    ‘‘อาสนํ อุทกํ ปชฺชํ, ปฎิคณฺหาตุ โน ภวํ;

    ‘‘Āsanaṃ udakaṃ pajjaṃ, paṭigaṇhātu no bhavaṃ;

    อเคฺฆ ภวนฺตํ ปุจฺฉาม, อคฺฆํ กุรุตุ โน ภว’’นฺติฯ

    Agghe bhavantaṃ pucchāma, agghaṃ kurutu no bhava’’nti.

    ตตฺถ พฺราหฺมณนฺติ พาหิตปาปพฺราหฺมณํฯ เทววณฺณินนฺติ เสฎฺฐวณฺณินํ โฆรตปํ ปรมติกฺขินฺทฺริยํ ปพฺพชิตภาวํ อุปคตนฺติ อโตฺถฯ ขาริธรนฺติ ขาริภารธรํฯ อิสินฺติ สีลกฺขนฺธาทโย ปริเยสิตฺวา ฐิตํฯ ธมฺมคุเณ รตนฺติ สุจริตโกฎฺฐาเส อภิรตํฯ ‘‘อาสน’’นฺติ อิทํ เตสํ นิสีทนตฺถาย อาสนํ ปญฺญเปตฺวา คโนฺธทกญฺจ ปาทพฺภญฺชนญฺจ อุปเนตฺวา อาหฯ อเคฺฆติ อิเม สเพฺพปิ อาสนาทโย อเคฺฆ ภวนฺตํ ปุจฺฉามฯ กุรุตุ โนติ อิเม โน อเคฺฆ ภวํ ปฎิคฺคณฺหตูติฯ

    Tattha brāhmaṇanti bāhitapāpabrāhmaṇaṃ. Devavaṇṇinanti seṭṭhavaṇṇinaṃ ghoratapaṃ paramatikkhindriyaṃ pabbajitabhāvaṃ upagatanti attho. Khāridharanti khāribhāradharaṃ. Isinti sīlakkhandhādayo pariyesitvā ṭhitaṃ. Dhammaguṇe ratanti sucaritakoṭṭhāse abhirataṃ. ‘‘Āsana’’nti idaṃ tesaṃ nisīdanatthāya āsanaṃ paññapetvā gandhodakañca pādabbhañjanañca upanetvā āha. Aggheti ime sabbepi āsanādayo agghe bhavantaṃ pucchāma. Kurutu noti ime no agghe bhavaṃ paṭiggaṇhatūti.

    เอวํ โส เตสุ เอเกกํ วาเรนาหฯ อถ นํ ปุโรหิโต อาห – ‘‘ตาต หตฺถิปาล ตฺวํ อเมฺห ‘เก อิเม’ติ มญฺญมาโน เอวํ กเถสี’’ติฯ ‘‘เหมวนฺตกา อิสโย’’ติฯ ‘‘น มยํ, ตาต, อิสโย, เอส ราชา เอสุการี, อหํ เต ปิตา ปโรหิโต’’ติฯ ‘‘อถ กสฺมา อิสิเวสํ คณฺหิตฺถา’’ติ? ‘‘ตว วีมํสนตฺถายา’’ติฯ ‘‘มม กิํ วีมํสถา’’ติ? ‘‘สเจ อเมฺห ทิสฺวา น ปพฺพชิสฺสสิ, อถ ตํ รเชฺช อภิสิญฺจิตุํ อาคตามฺหา’’ติฯ ‘‘ตาต น เม รเชฺชนโตฺถ, ปพฺพชิสฺสามหนฺติฯ อถ นํ ปิตา ‘‘ตาต หตฺถิปาล, นายํ กาโล ปพฺพชฺชายา’’ติ วตฺวา ยถาชฺฌาสยํ อนุสาสโนฺต จตุตฺถคาถมาห –

    Evaṃ so tesu ekekaṃ vārenāha. Atha naṃ purohito āha – ‘‘tāta hatthipāla tvaṃ amhe ‘ke ime’ti maññamāno evaṃ kathesī’’ti. ‘‘Hemavantakā isayo’’ti. ‘‘Na mayaṃ, tāta, isayo, esa rājā esukārī, ahaṃ te pitā parohito’’ti. ‘‘Atha kasmā isivesaṃ gaṇhitthā’’ti? ‘‘Tava vīmaṃsanatthāyā’’ti. ‘‘Mama kiṃ vīmaṃsathā’’ti? ‘‘Sace amhe disvā na pabbajissasi, atha taṃ rajje abhisiñcituṃ āgatāmhā’’ti. ‘‘Tāta na me rajjenattho, pabbajissāmahanti. Atha naṃ pitā ‘‘tāta hatthipāla, nāyaṃ kālo pabbajjāyā’’ti vatvā yathājjhāsayaṃ anusāsanto catutthagāthamāha –

    ๓๔๐.

    340.

    ‘‘อธิจฺจ เวเท ปริเยส วิตฺตํ, ปุเตฺต เคเห ตาต ปติฎฺฐเปตฺวา;

    ‘‘Adhicca vede pariyesa vittaṃ, putte gehe tāta patiṭṭhapetvā;

    คเนฺธ รเส ปจฺจนุภุยฺย สพฺพํ, อรญฺญํ สาธุ มุนิ โส ปสโตฺถ’’ติฯ

    Gandhe rase paccanubhuyya sabbaṃ, araññaṃ sādhu muni so pasattho’’ti.

    ตตฺถ อธิจฺจาติ สชฺฌายิตฺวาฯ ปุเตฺตติ ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา นาฎเก วาเรน อุปฎฺฐาเปตฺวา ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒิตฺวา เต ปุเตฺต เคเห ปติฎฺฐาเปตฺวาติ อโตฺถฯ สพฺพนฺติ เอเต จ คนฺธรเส เสสญฺจ สพฺพํ วตฺถุกามํ อนุภวิตฺวาฯ อรญฺญํ สาธุ มุนิ โส ปสโตฺถติ ปจฺฉา มหลฺลกกาเล ปพฺพชิตสฺส อรญฺญํ สาธุ ลทฺธกํ โหติฯ โย เอวรูเป กาเล ปพฺพชติ, โส มุนิ พุทฺธาทีหิ อริเยหิ ปสโตฺถติ วทติฯ

    Tattha adhiccāti sajjhāyitvā. Putteti chattaṃ ussāpetvā nāṭake vārena upaṭṭhāpetvā puttadhītāhi vaḍḍhitvā te putte gehe patiṭṭhāpetvāti attho. Sabbanti ete ca gandharase sesañca sabbaṃ vatthukāmaṃ anubhavitvā. Araññaṃ sādhu muni so pasatthoti pacchā mahallakakāle pabbajitassa araññaṃ sādhu laddhakaṃ hoti. Yo evarūpe kāle pabbajati, so muni buddhādīhi ariyehi pasatthoti vadati.

    ตโต หตฺถิปาโล คาถมาห –

    Tato hatthipālo gāthamāha –

    ๓๔๑.

    341.

    ‘‘เวทา น สจฺจา น จ วิตฺตลาโภ, น ปุตฺตลาเภน ชรํ วิหนฺติ;

    ‘‘Vedā na saccā na ca vittalābho, na puttalābhena jaraṃ vihanti;

    คเนฺธ รเส มุจฺจนมาหุ สโนฺต, สกมฺมุนา โหติ ผลูปปตฺตี’’ติฯ

    Gandhe rase muccanamāhu santo, sakammunā hoti phalūpapattī’’ti.

    ตตฺถ น สจฺจาติ ยํ สคฺคญฺจ มคฺคญฺจ วทนฺติ, น ตํ สาเธนฺติ, ตุจฺฉา นิสฺสารา นิปฺผลาฯ น จ วิตฺตลาโภติ ธนลาโภปิ ปญฺจสาธารณตฺตา สโพฺพ เอกสภาโว น โหติฯ ชรนฺติ ตาต, ชรํ วา พฺยาธิมรณํ วา น โกจิ ปุตฺตลาเภน ปฎิพาหิตุํ สมโตฺถ นาม อตฺถิฯ ทุกฺขมูลา เหเต อุปธโยฯ คเนฺธ รเสติ คเนฺธ จ รเส จ เสเสสุ อารมฺมเณสุ จ มุจฺจนํ มุตฺติเมว พุทฺธาทโย ปณฺฑิตา กเถนฺติฯ สกมฺมุนาติ อตฺตนา กตกเมฺมเนว สตฺตานํ ผลูปปตฺติ ผลนิปฺผตฺติ โหติฯ กมฺมสฺสกา หิ, ตาต, สตฺตาติฯ

    Tattha na saccāti yaṃ saggañca maggañca vadanti, na taṃ sādhenti, tucchā nissārā nipphalā. Na ca vittalābhoti dhanalābhopi pañcasādhāraṇattā sabbo ekasabhāvo na hoti. Jaranti tāta, jaraṃ vā byādhimaraṇaṃ vā na koci puttalābhena paṭibāhituṃ samattho nāma atthi. Dukkhamūlā hete upadhayo. Gandhe raseti gandhe ca rase ca sesesu ārammaṇesu ca muccanaṃ muttimeva buddhādayo paṇḍitā kathenti. Sakammunāti attanā katakammeneva sattānaṃ phalūpapatti phalanipphatti hoti. Kammassakā hi, tāta, sattāti.

    กุมารสฺส วจนํ สุตฺวา ราชา คาถมาห –

    Kumārassa vacanaṃ sutvā rājā gāthamāha –

    ๓๔๒.

    342.

    ‘‘อทฺธา หิ สจฺจํ วจนํ ตเวตํ, สกมฺมุนา โหติ ผลูปปตฺติ;

    ‘‘Addhā hi saccaṃ vacanaṃ tavetaṃ, sakammunā hoti phalūpapatti;

    ชิณฺณา จ มาตาปิตโร ตวีเม, ปเสฺสยฺยุํ ตํ วสฺสสตํ อโรค’’นฺติฯ

    Jiṇṇā ca mātāpitaro tavīme, passeyyuṃ taṃ vassasataṃ aroga’’nti.

    ตตฺถ วสฺสสตํ อโรคนฺติ เอเต วสฺสสตํ อโรคํ ตํ ปเสฺสยฺยุํ, ตฺวมฺปิ วสฺสสตํ ชีวโนฺต มาตาปิตโร โปสสฺสูติ วทติฯ

    Tattha vassasataṃ aroganti ete vassasataṃ arogaṃ taṃ passeyyuṃ, tvampi vassasataṃ jīvanto mātāpitaro posassūti vadati.

    ตํ สุตฺวา กุมาโร ‘‘เทว, ตฺวํ กิํ นาเมตํ วทสี’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā kumāro ‘‘deva, tvaṃ kiṃ nāmetaṃ vadasī’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –

    ๓๔๓.

    343.

    ‘‘ยสฺสสฺส สกฺขี มรเณน ราช, ชราย เมตฺตี นรวีรเสฎฺฐ;

    ‘‘Yassassa sakkhī maraṇena rāja, jarāya mettī naravīraseṭṭha;

    โย จาปิ ชญฺญา น มริสฺสํ กทาจิ, ปเสฺสยฺยุํ ตํ วสฺสสตํ อโรคํฯ

    Yo cāpi jaññā na marissaṃ kadāci, passeyyuṃ taṃ vassasataṃ arogaṃ.

    ๓๔๔.

    344.

    ‘‘ยถาปิ นาวํ ปุริโส ทกมฺหิ, เอเรติ เจ นํ อุปเนติ ตีรํ;

    ‘‘Yathāpi nāvaṃ puriso dakamhi, ereti ce naṃ upaneti tīraṃ;

    เอวมฺปิ พฺยาธี สตตํ ชรา จ, อุปเนติ มจฺจํ วสมนฺตกสฺสา’’ติฯ

    Evampi byādhī satataṃ jarā ca, upaneti maccaṃ vasamantakassā’’ti.

    ตตฺถ สกฺขีติ มิตฺตธโมฺมฯ มรเณนาติ ทโตฺต มโต มิโตฺต มโตติ สมฺมุติมรเณนฯ ชรายาติ ปากฎชราย วา สทฺธิํ ยสฺส เมตฺตี ภเวยฺย, ยเสฺสตํ มรณญฺจ ชรา จ มิตฺตภาเวน นาคเจฺฉยฺยาติ อโตฺถฯ เอเรติ เจ นนฺติ มหาราช, ยถา นาม ปุริโส นทีติเตฺถ อุทกมฺหิ นาวํ ฐเปตฺวา ปรตีรคามิํ ชนํ อาโรเปตฺวา สเจ อริเตฺตน อุปฺปีเฬโนฺต ผิเยน กฑฺฒโนฺต จาเลติ ฆเฎฺฎติ, อถ นํ ปรตีรํ เนติฯ เอวํ พฺยาธิ ชรา จ นิจฺจํ อนฺตกสฺส มจฺจุโน วสํ อุปเนติเยวาติฯ

    Tattha sakkhīti mittadhammo. Maraṇenāti datto mato mitto matoti sammutimaraṇena. Jarāyāti pākaṭajarāya vā saddhiṃ yassa mettī bhaveyya, yassetaṃ maraṇañca jarā ca mittabhāvena nāgaccheyyāti attho. Ereti ce nanti mahārāja, yathā nāma puriso nadītitthe udakamhi nāvaṃ ṭhapetvā paratīragāmiṃ janaṃ āropetvā sace arittena uppīḷento phiyena kaḍḍhanto cāleti ghaṭṭeti, atha naṃ paratīraṃ neti. Evaṃ byādhi jarā ca niccaṃ antakassa maccuno vasaṃ upanetiyevāti.

    เอวํ อิเมสํ สตฺตานํ ชีวิตสงฺขารสฺส ปริตฺตภาวํ ทเสฺสตฺวา ‘‘มหาราช, ตุเมฺห ติฎฺฐถ, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กถยนฺตเมว มํ พฺยาธิชรามรณานิ อุปคจฺฉนฺติ, อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ โอวาทํ ทตฺวา ราชานญฺจ ปิตรญฺจ วนฺทิตฺวา อตฺตโน ปริจารเก คเหตฺวา พาราณสิยํ รชฺชํ ปหาย ‘‘ปพฺพชิสฺสามี’’ติ นครโต นิกฺขมิฯ ‘‘ปพฺพชฺชา นาเมสา โสภนา ภวิสฺสตี’’ติ หตฺถิปาลกุมาเรน สทฺธิํ มหาชโน นิกฺขมิฯ โยชนิกา ปริสา อโหสิฯ โส ตาย ปริสาย สทฺธิํ คงฺคาย ตีรํ ปตฺวา คงฺคาย อุทกํ โอโลเกตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ฌานานิ นิพฺพเตฺตตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ สมาคโม มหา ภวิสฺสติ, มม ตโย กนิฎฺฐภาตโร มาตาปิตโร ราชา เทวีติ สเพฺพ สปริสา ปพฺพชิสฺสนฺติ, พาราณสี สุญฺญา ภวิสฺสติ, ยาว เอเตสํ อาคมนา อิเธว ภวิสฺสามี’’ติฯ โส ตเตฺถว มหาชนสฺส โอวาทํ เทโนฺต นิสีทิฯ

    Evaṃ imesaṃ sattānaṃ jīvitasaṅkhārassa parittabhāvaṃ dassetvā ‘‘mahārāja, tumhe tiṭṭhatha, tumhehi saddhiṃ kathayantameva maṃ byādhijarāmaraṇāni upagacchanti, appamattā hothā’’ti ovādaṃ datvā rājānañca pitarañca vanditvā attano paricārake gahetvā bārāṇasiyaṃ rajjaṃ pahāya ‘‘pabbajissāmī’’ti nagarato nikkhami. ‘‘Pabbajjā nāmesā sobhanā bhavissatī’’ti hatthipālakumārena saddhiṃ mahājano nikkhami. Yojanikā parisā ahosi. So tāya parisāya saddhiṃ gaṅgāya tīraṃ patvā gaṅgāya udakaṃ oloketvā kasiṇaparikammaṃ katvā jhānāni nibbattetvā cintesi ‘‘ayaṃ samāgamo mahā bhavissati, mama tayo kaniṭṭhabhātaro mātāpitaro rājā devīti sabbe saparisā pabbajissanti, bārāṇasī suññā bhavissati, yāva etesaṃ āgamanā idheva bhavissāmī’’ti. So tattheva mahājanassa ovādaṃ dento nisīdi.

    ปุนทิวเส ราชา จ ปุโรหิโต จ จินฺตยิํสุ ‘‘หตฺถิปาลกุมาโร ตาว ‘รชฺชํ ปหาย มหาชนํ อาทาย ปพฺพชิสฺสามี’ติ คนฺตฺวา คงฺคาตีเร นิสิโนฺน, อสฺสปาลํ วีมํสิตฺวา อภิสิญฺจิสฺสามา’’ติฯ เต อิสิเวเสเนว ตสฺสปิ เคหทฺวารํ อคมํสุฯ โสปิ เต ทิสฺวา ปสนฺนมานโส อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘จิรสฺสํ วต ปสฺสามา’’ติอาทีนิ วทโนฺต ตเถว ปฎิปชฺชิฯ เตปิ ตํ ตเถว วตฺวา อตฺตโน อาคตการณํ กถยิํสุฯ โส ‘‘มม ภาติเก หตฺถิปาลกุมาเร สเนฺต กถํ ปฐมตรํ มยฺหเมว เสตจฺฉตฺตํ ปาปุณาตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ตาต, ภาตา, เต ‘น มยฺหํ รเชฺชนโตฺถ, ปพฺพชิสฺสามี’ติ วตฺวา นิกฺขโนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กหํ ปเนโส อิทานี’’ติ วตฺวา ‘‘คงฺคาตีเร นิสิโนฺน’’ติ วุเตฺต ‘‘ตาต, มม ภาตรา ฉฑฺฑิตเขเฬน กมฺมํ นตฺถิ, พาลา หิ ปริตฺตกปญฺญา สตฺตา เอตํ กิเลสํ ชหิตุํ น สโกฺกนฺติ, อหํ ปน ชหิสฺสามี’’ติ รโญฺญ จ ปิตุ จ ธมฺมํ เทเสโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Punadivase rājā ca purohito ca cintayiṃsu ‘‘hatthipālakumāro tāva ‘rajjaṃ pahāya mahājanaṃ ādāya pabbajissāmī’ti gantvā gaṅgātīre nisinno, assapālaṃ vīmaṃsitvā abhisiñcissāmā’’ti. Te isiveseneva tassapi gehadvāraṃ agamaṃsu. Sopi te disvā pasannamānaso upasaṅkamitvā ‘‘cirassaṃ vata passāmā’’tiādīni vadanto tatheva paṭipajji. Tepi taṃ tatheva vatvā attano āgatakāraṇaṃ kathayiṃsu. So ‘‘mama bhātike hatthipālakumāre sante kathaṃ paṭhamataraṃ mayhameva setacchattaṃ pāpuṇātī’’ti pucchitvā ‘‘tāta, bhātā, te ‘na mayhaṃ rajjenattho, pabbajissāmī’ti vatvā nikkhanto’’ti vutte ‘‘kahaṃ paneso idānī’’ti vatvā ‘‘gaṅgātīre nisinno’’ti vutte ‘‘tāta, mama bhātarā chaḍḍitakheḷena kammaṃ natthi, bālā hi parittakapaññā sattā etaṃ kilesaṃ jahituṃ na sakkonti, ahaṃ pana jahissāmī’’ti rañño ca pitu ca dhammaṃ desento dve gāthā abhāsi –

    ๓๔๕.

    345.

    ‘‘ปโงฺก จ กามา ปลิโป จ กามา, มโนหรา ทุตฺตรา มจฺจุเธยฺยา;

    ‘‘Paṅko ca kāmā palipo ca kāmā, manoharā duttarā maccudheyyā;

    เอตสฺมิํ ปเงฺก ปลิเป พฺยสนฺนา, หีนตฺตรูปา น ตรนฺติ ปารํฯ

    Etasmiṃ paṅke palipe byasannā, hīnattarūpā na taranti pāraṃ.

    ๓๔๖.

    346.

    ‘‘อยํ ปุเร ลุทฺทมกาสิ กมฺมํ, สฺวายํ คหีโต น หิ โมกฺขิโต เม;

    ‘‘Ayaṃ pure luddamakāsi kammaṃ, svāyaṃ gahīto na hi mokkhito me;

    โอรุนฺธิยา นํ ปริรกฺขิสฺสามิ, มายํ ปุน ลุทฺทมกาสิ กมฺม’’นฺติฯ

    Orundhiyā naṃ parirakkhissāmi, māyaṃ puna luddamakāsi kamma’’nti.

    ตตฺถ ปโงฺกติ โย โกจิ กทฺทโมฯ ปลิโปติ สุขุมวาลุกมิโสฺส สณฺหกทฺทโมฯ ตตฺถ กามา ลคฺคาปนวเสน ปโงฺก นาม, โอสีทาปนวเสน ปลิโป นามาติ วุตฺตาฯ ทุตฺตราติ ทุรติกฺกมาฯ มจฺจุเธยฺยาติ มจฺจุโน อธิฎฺฐานาฯ เอเตสุ หิ ลคฺคา เจว อนุปวิฎฺฐา จ สตฺตา อุตฺตริตุํ อสโกฺกนฺตา ทุกฺขกฺขนฺธปริยาเย วุตฺตปฺปการํ ทุกฺขเญฺจว มรณญฺจ ปาปุณนฺติฯ เตนาห – ‘‘เอตสฺมิํ ปเงฺก ปลิเป พฺยสนฺนา หีนตฺตรูปา น ตรนฺติ ปาร’’นฺติฯ ตตฺถ พฺยสนฺนาติ สนฺนาฯ ‘‘วิสนฺนา’’ติปิ ปาโฐ, อยเมวโตฺถฯ หีนตฺตรูปาติ หีนจิตฺตสภาวาฯ น ตรนฺติ ปารนฺติ นิพฺพานปารํ คนฺตุํ น สโกฺกนฺติฯ

    Tattha paṅkoti yo koci kaddamo. Palipoti sukhumavālukamisso saṇhakaddamo. Tattha kāmā laggāpanavasena paṅko nāma, osīdāpanavasena palipo nāmāti vuttā. Duttarāti duratikkamā. Maccudheyyāti maccuno adhiṭṭhānā. Etesu hi laggā ceva anupaviṭṭhā ca sattā uttarituṃ asakkontā dukkhakkhandhapariyāye vuttappakāraṃ dukkhañceva maraṇañca pāpuṇanti. Tenāha – ‘‘etasmiṃ paṅke palipe byasannā hīnattarūpā na taranti pāra’’nti. Tattha byasannāti sannā. ‘‘Visannā’’tipi pāṭho, ayamevattho. Hīnattarūpāti hīnacittasabhāvā. Na taranti pāranti nibbānapāraṃ gantuṃ na sakkonti.

    อยนฺติ มหาราช, อยํ มมตฺตภาโว ปุเพฺพ อสฺสโคปเกหิ สทฺธิํ วฑฺฒโนฺต มหาชนสฺส วิลุมฺปนวิเหฐนาทิวเสน พหุํ ลุทฺทํ สาหสิกกมฺมํ อกาสิฯ สฺวายํ คหีโตติ โส อยํ ตสฺส กมฺมสฺส วิปาโก มยา คหิโตฯ น หิ โมกฺขิโต เมติ สํสารวเฎฺฎ สติ น หิ โมโกฺข อิโต อกุสลผลโต มม อตฺถิฯ โอรุนฺธิยา นํ ปริรกฺขิสฺสามีติ อิทานิ นํ กายวจีมโนทฺวารานิ ปิทหโนฺต โอรุนฺธิตฺวา ปริรกฺขิสฺสามิฯ กิํการณา? มายํ ปุน ลุทฺทมกาสิ กมฺมํฯ อหญฺหิ อิโต ปฎฺฐาย ปาปํ อกตฺวา กลฺยาณเมว กริสฺสามิฯ

    Ayanti mahārāja, ayaṃ mamattabhāvo pubbe assagopakehi saddhiṃ vaḍḍhanto mahājanassa vilumpanaviheṭhanādivasena bahuṃ luddaṃ sāhasikakammaṃ akāsi. Svāyaṃ gahītoti so ayaṃ tassa kammassa vipāko mayā gahito. Na hi mokkhito meti saṃsāravaṭṭe sati na hi mokkho ito akusalaphalato mama atthi. Orundhiyā naṃ parirakkhissāmīti idāni naṃ kāyavacīmanodvārāni pidahanto orundhitvā parirakkhissāmi. Kiṃkāraṇā? Māyaṃ puna luddamakāsi kammaṃ. Ahañhi ito paṭṭhāya pāpaṃ akatvā kalyāṇameva karissāmi.

    เอวํ อสฺสปาลกุมาโร ทฺวีหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘ติฎฺฐถ ตุเมฺห, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กเถนฺตเมว มํ พฺยาธิชรามรณานิ อุปคจฺฉนฺตี’’ติ โอวาทํ ทตฺวา โยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา นิกฺขมิตฺวา หตฺถิปาลกุมารเสฺสว สนฺติกํ คโตฯ โส ตสฺส อากาเส นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘ภาติก, อยํ สมาคโม มหา ภวิสฺสติ, อิเธว ตาว โหมา’’ติ อาหฯ อิตโรปิ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ปุนทิวเส ราชา จ ปุโรหิโต จ เตเนวุปาเยน โคปาลกุมารสฺส นิเวสนํ คนฺตฺวา เตนปิ ตเถว ปฎินนฺทิตฺวา อตฺตโน อาคมนการณํ อาจิกฺขิํสุฯ โสปิ อสฺสปาลกุมาโร วิย ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อหํ จิรโต ปฎฺฐาย ปพฺพชิตุกาโม วเน นฎฺฐโคณํ วิย ปพฺพชฺชํ อุปธาเรโนฺต วิจรามิ, เตน เม นฎฺฐโคณสฺส ปทํ วิย ภาติกานํ คตมโคฺค ทิโฎฺฐ, สฺวาหํ เตเนว มเคฺคน คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Evaṃ assapālakumāro dvīhi gāthāhi dhammaṃ desetvā ‘‘tiṭṭhatha tumhe, tumhehi saddhiṃ kathentameva maṃ byādhijarāmaraṇāni upagacchantī’’ti ovādaṃ datvā yojanikaṃ parisaṃ gahetvā nikkhamitvā hatthipālakumārasseva santikaṃ gato. So tassa ākāse nisīditvā dhammaṃ desetvā ‘‘bhātika, ayaṃ samāgamo mahā bhavissati, idheva tāva homā’’ti āha. Itaropi ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Punadivase rājā ca purohito ca tenevupāyena gopālakumārassa nivesanaṃ gantvā tenapi tatheva paṭinanditvā attano āgamanakāraṇaṃ ācikkhiṃsu. Sopi assapālakumāro viya paṭikkhipitvā ‘‘ahaṃ cirato paṭṭhāya pabbajitukāmo vane naṭṭhagoṇaṃ viya pabbajjaṃ upadhārento vicarāmi, tena me naṭṭhagoṇassa padaṃ viya bhātikānaṃ gatamaggo diṭṭho, svāhaṃ teneva maggena gamissāmī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๓๔๗.

    347.

    ‘‘ควํว นฎฺฐํ ปุริโส ยถา วเน, อเนฺวสตี ราช อปสฺสมาโน;

    ‘‘Gavaṃva naṭṭhaṃ puriso yathā vane, anvesatī rāja apassamāno;

    เอวํ นโฎฺฐ เอสุการี มมโตฺถ, โสหํ กถํ น คเวเสยฺยํ ราชา’’ติฯ

    Evaṃ naṭṭho esukārī mamattho, sohaṃ kathaṃ na gaveseyyaṃ rājā’’ti.

    ตตฺถ เอสุการีติ ราชานํ อาลปติฯ มมโตฺถติ วเน โคโณ วิย มม ปพฺพชฺชาสงฺขาโต อโตฺถ นโฎฺฐฯ โสหนฺติ โส อหํ อชฺช ปพฺพชิตานํ มคฺคํ ทิสฺวา กถํ ปพฺพชฺชํ น คเวเสยฺยํ, มม ภาติกานํ คตมคฺคเมว คมิสฺสามิ นรินฺทาติฯ

    Tattha esukārīti rājānaṃ ālapati. Mamatthoti vane goṇo viya mama pabbajjāsaṅkhāto attho naṭṭho. Sohanti so ahaṃ ajja pabbajitānaṃ maggaṃ disvā kathaṃ pabbajjaṃ na gaveseyyaṃ, mama bhātikānaṃ gatamaggameva gamissāmi narindāti.

    อถ นํ ‘‘ตาต โคปาล, เอกาหํ ทฺวีหํ อาคเมหิ, อเมฺห สมสฺสาเสตฺวา ปจฺฉา ปพฺพชิสฺสสี’’ติ วทิํสุฯ โส ‘‘มหาราช, อชฺช กตฺตพฺพกมฺมํ ‘เสฺว กริสฺสามี’ติ น วตฺตพฺพํ, กลฺยาณกมฺมํ นาม อเชฺชว กตฺตพฺพ’’นฺติ วตฺวา อิตรํ คาถมาห –

    Atha naṃ ‘‘tāta gopāla, ekāhaṃ dvīhaṃ āgamehi, amhe samassāsetvā pacchā pabbajissasī’’ti vadiṃsu. So ‘‘mahārāja, ajja kattabbakammaṃ ‘sve karissāmī’ti na vattabbaṃ, kalyāṇakammaṃ nāma ajjeva kattabba’’nti vatvā itaraṃ gāthamāha –

    ๓๔๘.

    348.

    ‘‘หิโยฺยติ หิยฺยติ โปโส, ปเรติ ปริหายติ;

    ‘‘Hiyyoti hiyyati poso, pareti parihāyati;

    อนาคตํ เนตมตฺถีติ ญตฺวา, อุปฺปนฺนฉนฺทํ โก ปนุเทยฺย ธีโร’’ติฯ

    Anāgataṃ netamatthīti ñatvā, uppannachandaṃ ko panudeyya dhīro’’ti.

    ตตฺถ หิโยฺยติ เสฺวติ อโตฺถฯ ปเรติ ปุนทิวเสฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘โย มหาราช, อชฺช กตฺตพฺพํ กมฺมํ ‘เสฺว’ติ, เสฺว กตฺตพฺพํ กมฺมํ ‘ปเร’ติ วตฺวา น กโรติ, โส ตโต ปริหายติ, น ตํ กมฺมํ กาตุํ สโกฺกตี’’ติฯ เอวํ โคปาโล ภเทฺทกรตฺตสุตฺตํ (ม. นิ. ๓.๒๗๒ อาทโย) นาม กเถสิฯ สฺวายมโตฺถ ภเทฺทกรตฺตสุเตฺตน กเถตโพฺพฯ อนาคตํ เนตมตฺถีติ ยํ อนาคตํ, ตํ ‘‘เนตํ อตฺถี’’ติ ญตฺวา อุปฺปนฺนํ กุสลจฺฉนฺทํ โก ปณฺฑิโต ปนุเทยฺย หเรยฺยฯ

    Tattha hiyyoti sveti attho. Pareti punadivase. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yo mahārāja, ajja kattabbaṃ kammaṃ ‘sve’ti, sve kattabbaṃ kammaṃ ‘pare’ti vatvā na karoti, so tato parihāyati, na taṃ kammaṃ kātuṃ sakkotī’’ti. Evaṃ gopālo bhaddekarattasuttaṃ (ma. ni. 3.272 ādayo) nāma kathesi. Svāyamattho bhaddekarattasuttena kathetabbo. Anāgataṃ netamatthīti yaṃ anāgataṃ, taṃ ‘‘netaṃ atthī’’ti ñatvā uppannaṃ kusalacchandaṃ ko paṇḍito panudeyya hareyya.

    เอวํ โคปาลกุมาโร ทฺวีหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘ติฎฺฐถ ตุเมฺห, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กเถนฺตเมว มํ พฺยาธิชรามรณานิ อุปคจฺฉนฺตี’’ติ โยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา นิกฺขมิตฺวา ทฺวินฺนํ ภาติกานํ สนฺติกํ คโตฯ หตฺถิปาโล ตสฺสปิ ธมฺมํ เทเสสิฯ ปุนทิวเส ราชา จ ปุโรหิโต จ เตเนวุปาเยน อชปาลกุมารสฺส นิเวสนํ คนฺตฺวา เตนปิ ตเถว ปฎินนฺทิตฺวา อตฺตโน อาคมนการณํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘ฉตฺตํ เต อุสฺสาเปสฺสามา’’ติ วทิํสุฯ กุมาโร อาห – ‘‘มยฺหํ ภาติกา กุหิ’’นฺติ? เต ‘‘อมฺหากํ รเชฺชนโตฺถ นตฺถี’’ติ เสตจฺฉตฺตํ ปหาย ติโยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา นิกฺขมิตฺวา คงฺคาตีเร นิสินฺนาติฯ นาหํ มม ภาติเกหิ ฉฑฺฑิตเขฬํ สีเสนาทาย วิจริสฺสามิ, อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามีติฯ ตาต, ตฺวํ ตาว ทหโร , อมฺหากํ หตฺถภาโร, วยปฺปตฺตกาเล ปพฺพชิสฺสสีติฯ อถ เน กุมาโร ‘‘กิํ ตุเมฺห กเถถ, นนุ อิเม สตฺตา ทหรกาเลปิ มหลฺลกกาเลปิ มรนฺติเยว, ‘อยํ ทหรกาเล มริสฺสติ, อยํ มหลฺลกกาเล’ติ กสฺสจิ หเตฺถ วา ปาเท วา นิมิตฺตํ นตฺถิ, อหํ มม มรณกาลํ น ชานามิ, ตสฺมา อิทาเนว ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Evaṃ gopālakumāro dvīhi gāthāhi dhammaṃ desetvā ‘‘tiṭṭhatha tumhe, tumhehi saddhiṃ kathentameva maṃ byādhijarāmaraṇāni upagacchantī’’ti yojanikaṃ parisaṃ gahetvā nikkhamitvā dvinnaṃ bhātikānaṃ santikaṃ gato. Hatthipālo tassapi dhammaṃ desesi. Punadivase rājā ca purohito ca tenevupāyena ajapālakumārassa nivesanaṃ gantvā tenapi tatheva paṭinanditvā attano āgamanakāraṇaṃ ācikkhitvā ‘‘chattaṃ te ussāpessāmā’’ti vadiṃsu. Kumāro āha – ‘‘mayhaṃ bhātikā kuhi’’nti? Te ‘‘amhākaṃ rajjenattho natthī’’ti setacchattaṃ pahāya tiyojanikaṃ parisaṃ gahetvā nikkhamitvā gaṅgātīre nisinnāti. Nāhaṃ mama bhātikehi chaḍḍitakheḷaṃ sīsenādāya vicarissāmi, ahampi pabbajissāmīti. Tāta, tvaṃ tāva daharo , amhākaṃ hatthabhāro, vayappattakāle pabbajissasīti. Atha ne kumāro ‘‘kiṃ tumhe kathetha, nanu ime sattā daharakālepi mahallakakālepi marantiyeva, ‘ayaṃ daharakāle marissati, ayaṃ mahallakakāle’ti kassaci hatthe vā pāde vā nimittaṃ natthi, ahaṃ mama maraṇakālaṃ na jānāmi, tasmā idāneva pabbajissāmī’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –

    ๓๔๙.

    349.

    ‘‘ปสฺสามิ โวหํ ทหรํ กุมาริํ, มตฺตูปมํ เกตกปุปฺผเนตฺตํ;

    ‘‘Passāmi vohaṃ daharaṃ kumāriṃ, mattūpamaṃ ketakapupphanettaṃ;

    อภุตฺตโภเค ปฐเม วยสฺมิํ, อาทาย มจฺจุ วชเต กุมาริํฯ

    Abhuttabhoge paṭhame vayasmiṃ, ādāya maccu vajate kumāriṃ.

    ๓๕๐.

    350.

    ‘‘ยุวา สุชาโต สุมุโข สุทสฺสโน, สาโม กุสุมฺภปริกิณฺณมสฺสุ;

    ‘‘Yuvā sujāto sumukho sudassano, sāmo kusumbhaparikiṇṇamassu;

    หิตฺวาน กาเม ปฎิกจฺจ เคหํ, อนุชาน มํ ปพฺพชิสฺสามิ เทวา’’ติฯ

    Hitvāna kāme paṭikacca gehaṃ, anujāna maṃ pabbajissāmi devā’’ti.

    ตตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํ, ปสฺสามิเจฺจวาติ อโตฺถฯ มตฺตูปมนฺติ หาสภาสวิลาเสหิ มตฺตํ วิย จรนฺติํฯ เกตกปุปฺผเนตฺตนฺติ เกตกปุปฺผปตฺตํ วิย ปุถุลายตเนตฺตํฯ อภุตฺตโภเคติ เอวํ อุตฺตมรูปธรํ กุมาริํ ปฐมวเย วตฺตมานํ อภุตฺตโภคเมว มาตาปิตูนํ อุปริ มหนฺตํ โสกํ ปาเตตฺวา มจฺจุ คเหตฺวาว คจฺฉติฯ สุชาโตติ สุสณฺฐิโตฯ สุมุโขติ กญฺจนาทาสปุณฺณจนฺทสทิสมุโขฯ สุทสฺสโนติ อุตฺตมรูปธาริตาย สมฺปนฺนทสฺสโนฯ สาโมติ สุวณฺณสาโมฯ กุสุมฺภปริกิณฺณมสฺสูติ สนฺนิสินฺนเฎฺฐน สุขุมเฎฺฐน จ ตรุณกุสุมฺภเกสรสทิสปริกิณฺณมสฺสุฯ อิมินา เอวรูโปปิ กุมาโร มจฺจุวสํ คจฺฉติฯ ตถาวิธมฺปิ หิ สิเนรุํ อุปฺปาเตโนฺต วิย นิกฺกรุโณ มจฺจุ อาทาย คจฺฉตีติ ทเสฺสติฯ หิตฺวาน กาเม ปฎิกจฺจ เคหํ, อนุชาน มํ ปพฺพชิสฺสามิ เทวาติ เทว, ปุตฺตทารพนฺธนสฺมิญฺหิ อุปฺปเนฺน ตํ พนฺธนํ ทุเจฺฉทนียํ โหติ, เตนาหํ ปุเรตรเญฺญว กาเม จ เคหญฺจ หิตฺวา อิทาเนว ปพฺพชิสฺสามิ, อนุชาน, มนฺติฯ

    Tattha voti nipātamattaṃ, passāmiccevāti attho. Mattūpamanti hāsabhāsavilāsehi mattaṃ viya carantiṃ. Ketakapupphanettanti ketakapupphapattaṃ viya puthulāyatanettaṃ. Abhuttabhogeti evaṃ uttamarūpadharaṃ kumāriṃ paṭhamavaye vattamānaṃ abhuttabhogameva mātāpitūnaṃ upari mahantaṃ sokaṃ pātetvā maccu gahetvāva gacchati. Sujātoti susaṇṭhito. Sumukhoti kañcanādāsapuṇṇacandasadisamukho. Sudassanoti uttamarūpadhāritāya sampannadassano. Sāmoti suvaṇṇasāmo. Kusumbhaparikiṇṇamassūti sannisinnaṭṭhena sukhumaṭṭhena ca taruṇakusumbhakesarasadisaparikiṇṇamassu. Iminā evarūpopi kumāro maccuvasaṃ gacchati. Tathāvidhampi hi sineruṃ uppātento viya nikkaruṇo maccu ādāya gacchatīti dasseti. Hitvāna kāme paṭikacca gehaṃ, anujāna maṃ pabbajissāmi devāti deva, puttadārabandhanasmiñhi uppanne taṃ bandhanaṃ ducchedanīyaṃ hoti, tenāhaṃ puretaraññeva kāme ca gehañca hitvā idāneva pabbajissāmi, anujāna, manti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘ติฎฺฐถ ตุเมฺห, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กเถนฺตเมว มํ พฺยาธิชรามรณานิ อุปคจฺฉนฺตี’’ติ เต อุโภปิ วนฺทิตฺวา โยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา นิกฺขมิตฺวา คงฺคาตีรเมว อคมาสิฯ หตฺถิปาโล ตสฺสปิ อากาเส นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘สมาคโม มหา ภวิสฺสตี’’ติ ตเตฺถว นิสีทิฯ ปุนทิวเส ปุโรหิโต ปลฺลงฺกวรมชฺฌคโต นิสีทิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มม ปุตฺตา ปพฺพชิตา, อิทานาหํ เอกโกว มนุสฺสขาณุโก ชาโตมฺหิ, อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ โส พฺราหฺมณิยา สทฺธิํ มเนฺตโนฺต คาถมาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘tiṭṭhatha tumhe, tumhehi saddhiṃ kathentameva maṃ byādhijarāmaraṇāni upagacchantī’’ti te ubhopi vanditvā yojanikaṃ parisaṃ gahetvā nikkhamitvā gaṅgātīrameva agamāsi. Hatthipālo tassapi ākāse nisīditvā dhammaṃ desetvā ‘‘samāgamo mahā bhavissatī’’ti tattheva nisīdi. Punadivase purohito pallaṅkavaramajjhagato nisīditvā cintesi ‘‘mama puttā pabbajitā, idānāhaṃ ekakova manussakhāṇuko jātomhi, ahampi pabbajissāmī’’ti. So brāhmaṇiyā saddhiṃ mantento gāthamāha –

    ๓๕๑.

    351.

    ‘‘สาขาหิ รุโกฺข ลภเต สมญฺญํ, ปหีนสาขํ ปน ขาณุมาหุ;

    ‘‘Sākhāhi rukkho labhate samaññaṃ, pahīnasākhaṃ pana khāṇumāhu;

    ปหีนปุตฺตสฺส มมชฺช โภติ, วาเสฎฺฐิ ภิกฺขาจริยาย กาโล’’ติฯ

    Pahīnaputtassa mamajja bhoti, vāseṭṭhi bhikkhācariyāya kālo’’ti.

    ตตฺถ ลภเต สมญฺญนฺติ รุโกฺขติ โวหารํ ลภติฯ วาเสฎฺฐีติ พฺราหฺมณิํ อาลปติฯ ภิกฺขาจริยายาติ มยฺหมฺปิ ปพฺพชฺชาย กาโล, ปุตฺตานํ สนฺติกเมว คมิสฺสามีติฯ

    Tattha labhate samaññanti rukkhoti vohāraṃ labhati. Vāseṭṭhīti brāhmaṇiṃ ālapati. Bhikkhācariyāyāti mayhampi pabbajjāya kālo, puttānaṃ santikameva gamissāmīti.

    โส เอวํ วตฺวา พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปสิ, สฎฺฐิ พฺราหฺมณสหสฺสานิ สนฺนิปติํสุฯ อถ เน อาห – ‘‘ตุเมฺห กิํ กริสฺสถา’’ติ ตุเมฺห ปน อาจริยาติฯ ‘‘อหํ มม ปุตฺตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘น ตุมฺหากเมว นิรโย อุโณฺห, มยมฺปิ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ โส อสีติโกฎิธนํ พฺราหฺมณิยา นิยฺยาเทตฺวา โยชนิกํ พฺราหฺมณปริสํ อาทาย นิกฺขมิตฺวา ปุตฺตานํ สนฺติกเญฺญว คโตฯ หตฺถิปาโล ตายปิ ปริสาย อากาเส ฐตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ ปุนทิวเส พฺราหฺมณี จิเนฺตสิ ‘‘มม จตฺตาโร ปุตฺตา เสตจฺฉตฺตํ ปหาย ‘ปพฺพชิสฺสามา’ติ คตา, พฺราหฺมโณปิ ปุโรหิตฎฺฐาเนน สทฺธิํ อสีติโกฎิธนํ ฉเฑฺฑตฺวา ปุตฺตานเญฺญว สนฺติกํ คโต, อหเมว เอกา กิํ กริสฺสามิ, ปุตฺตานํ คตมเคฺคเนว คมิสฺสามี’’ติฯ สา อตีตํ อุทาหรณํ อาหรนฺตี อุทานคาถมาห –

    So evaṃ vatvā brāhmaṇe pakkosāpesi, saṭṭhi brāhmaṇasahassāni sannipatiṃsu. Atha ne āha – ‘‘tumhe kiṃ karissathā’’ti tumhe pana ācariyāti. ‘‘Ahaṃ mama puttassa santike pabbajissāmī’’ti. ‘‘Na tumhākameva nirayo uṇho, mayampi pabbajissāmā’’ti. So asītikoṭidhanaṃ brāhmaṇiyā niyyādetvā yojanikaṃ brāhmaṇaparisaṃ ādāya nikkhamitvā puttānaṃ santikaññeva gato. Hatthipālo tāyapi parisāya ākāse ṭhatvā dhammaṃ desesi. Punadivase brāhmaṇī cintesi ‘‘mama cattāro puttā setacchattaṃ pahāya ‘pabbajissāmā’ti gatā, brāhmaṇopi purohitaṭṭhānena saddhiṃ asītikoṭidhanaṃ chaḍḍetvā puttānaññeva santikaṃ gato, ahameva ekā kiṃ karissāmi, puttānaṃ gatamaggeneva gamissāmī’’ti. Sā atītaṃ udāharaṇaṃ āharantī udānagāthamāha –

    ๓๕๒.

    352.

    ‘‘อฆสฺมิ โกญฺจาว ยถา หิมจฺจเย, กตานิ ชาลานิ ปทาลิย หํสา;

    ‘‘Aghasmi koñcāva yathā himaccaye, katāni jālāni padāliya haṃsā;

    คจฺฉนฺติ ปุตฺตา จ ปตี จ มยฺหํ, สาหํ กถํ นานุวเช ปชาน’’นฺติฯ

    Gacchanti puttā ca patī ca mayhaṃ, sāhaṃ kathaṃ nānuvaje pajāna’’nti.

    ตตฺถ อฆสฺมิ โกญฺจาว ยถาติ ยเถว อากาเส โกญฺจสกุณา อสชฺชมานา คจฺฉนฺติฯ หิมจฺจเยติ วสฺสานจฺจเยฯ กตานิ ชาลานิ ปทาลิย หํสาติ อตีเต กิร ฉนฺนวุติสหสฺสา สุวณฺณหํสาวสฺสารตฺตปโหนกํ สาลิํ กญฺจนคุหายํ นิกฺขิปิตฺวา วสฺสภเยน พหิ อนิกฺขมิตฺวา จตุมาสํ ตตฺถ วสนฺติฯ อถ เนสํ อุณฺณนาภิ นาม มกฺกฎโก คุหาทฺวาเร ชาลํ พนฺธติฯ หํสา ทฺวินฺนํ ตรุณหํสานํ ทฺวิคุณํ วฎฺฎํ เทนฺติฯ เต ถามสมฺปนฺนตาย ตํ ชาลํ ฉินฺทิตฺวา ปุรโต คจฺฉนฺติ, เสสา เตสํ คตมเคฺคน คจฺฉนฺติฯ สา ตมตฺถํ ปกาเสนฺตี เอวมาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยเถว อากาเส โกญฺจสกุณา อสชฺชมานา คจฺฉนฺติ, ตถา หิมจฺจเย วสฺสานาติกฺกเม เทฺว ตรุณหํสา กตานิ ชาลานิ ปทาเลตฺวา คจฺฉนฺติ, อถ เนสํ คตมเคฺคน อิตเร หํสาฯ อิทานิ ปน มม ปุตฺตา ตรุณหํสา ชาลํ วิย กามชาลํ ฉินฺทิตฺวา คตา, มยาปิ เตสํ คตมเคฺคน คนฺตพฺพนฺติ อิมินาธิปฺปาเยน ‘‘คจฺฉนฺติ ปุตฺตา จ ปตี จ มยฺหํ, สาหํ กถํ นานุวเช ปชาน’’นฺติ อาหฯ

    Tattha aghasmi koñcāva yathāti yatheva ākāse koñcasakuṇā asajjamānā gacchanti. Himaccayeti vassānaccaye. Katāni jālāni padāliya haṃsāti atīte kira channavutisahassā suvaṇṇahaṃsāvassārattapahonakaṃ sāliṃ kañcanaguhāyaṃ nikkhipitvā vassabhayena bahi anikkhamitvā catumāsaṃ tattha vasanti. Atha nesaṃ uṇṇanābhi nāma makkaṭako guhādvāre jālaṃ bandhati. Haṃsā dvinnaṃ taruṇahaṃsānaṃ dviguṇaṃ vaṭṭaṃ denti. Te thāmasampannatāya taṃ jālaṃ chinditvā purato gacchanti, sesā tesaṃ gatamaggena gacchanti. Sā tamatthaṃ pakāsentī evamāha. Idaṃ vuttaṃ hoti – yatheva ākāse koñcasakuṇā asajjamānā gacchanti, tathā himaccaye vassānātikkame dve taruṇahaṃsā katāni jālāni padāletvā gacchanti, atha nesaṃ gatamaggena itare haṃsā. Idāni pana mama puttā taruṇahaṃsā jālaṃ viya kāmajālaṃ chinditvā gatā, mayāpi tesaṃ gatamaggena gantabbanti iminādhippāyena ‘‘gacchanti puttā ca patī ca mayhaṃ, sāhaṃ kathaṃ nānuvaje pajāna’’nti āha.

    อิติ สา ‘‘กถํ อหํ เอวํ ปชานนฺตี น ปพฺพชิสฺสามิ, ปพฺพชิสฺสามิ เยวา’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา พฺราหฺมณิโย ปโกฺกสาเปตฺวา เอวมาห ‘‘ตุเมฺห กิํ กริสฺสถา’’ติ? ‘‘ตุเมฺห ปน อเยฺย’’ติฯ ‘‘อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘มยมฺปิ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ สา ตํ วิภวํ ฉเฑฺฑตฺวา โยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา ปุตฺตานํ สนฺติกเมว คตาฯ หตฺถิปาโล ตายปิ ปริสาย อากาเส นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ ปุนทิวเส ราชา ‘‘กุหิํ ปุโรหิโต’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, ปุโรหิโต จ พฺราหฺมณี จ สพฺพํ ธนํ ฉเฑฺฑตฺวา ทฺวิโยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา ปุตฺตานํ สนฺติกํ คตา’’ติฯ ราชา ‘‘อสามิกํ ธนํ อมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ ตสฺส เคหโต ธนํ อาหราเปสิฯ อถสฺส อคฺคมเหสี ‘‘ราชา กิํ กโรตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ปุโรหิตสฺส เคหโต ธนํ อาหราเปตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ปุโรหิโต กุหิ’’นฺติ วตฺวา ‘‘สปชาปติโก ปพฺพชฺชตฺถาย นิกฺขโนฺต’’ติ สุตฺวา ‘‘อยํ ราชา พฺราหฺมเณน จ พฺราหฺมณิยา จ จตูหิ ปุเตฺตหิ จ ชหิตํ อุกฺการํ โมเหน มูโฬฺห อตฺตโน ฆรํ อาหราเปติ, อุปมาย นํ โพเธสฺสามี’’ติ สูนโต มํสํ อาหราเปตฺวา ราชงฺคเณ ราสิํ กาเรตฺวา อุชุมคฺคํ วิสฺสเชฺชตฺวา ชาลํ ปริกฺขิปาเปสิฯ คิชฺฌา ทูรโตว ทิสฺวา ตสฺสตฺถาย โอตริํสุฯ ตตฺถ สปฺปญฺญา ชาลํ ปสาริตํ ญตฺวา อติภาริกา หุตฺวา ‘‘อุชุกํ อุปฺปติตุํ น สกฺขิสฺสามา’’ติ อตฺตนา ขาทิตมํสํ ฉเฑฺฑตฺวา วมิตฺวา ชาลํ อนลฺลียิตฺวา อุชุกเมว อุปฺปติตฺวา คมิํสุฯ อนฺธพาลา ปน เตหิ ฉฑฺฑิตํ วมิตํ ขาทิตฺวา ภาริยา หุตฺวา อุชุกํ อุปฺปติตุํ อสโกฺกนฺตา อาคนฺตฺวา ชาเล พชฺฌิํสุฯ อเถกํ คิชฺฌํ อาเนตฺวา เทวิยา ทสฺสยิํสุฯ สา ตํ อาทาย รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เอถ ตาว, มหาราช, ราชงฺคเณ เอกํ กิริยํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา ‘‘อิเม คิเชฺฌ โอโลเกหิ มหาราชา’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Iti sā ‘‘kathaṃ ahaṃ evaṃ pajānantī na pabbajissāmi, pabbajissāmi yevā’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā brāhmaṇiyo pakkosāpetvā evamāha ‘‘tumhe kiṃ karissathā’’ti? ‘‘Tumhe pana ayye’’ti. ‘‘Ahaṃ pabbajissāmī’’ti. ‘‘Mayampi pabbajissāmā’’ti. Sā taṃ vibhavaṃ chaḍḍetvā yojanikaṃ parisaṃ gahetvā puttānaṃ santikameva gatā. Hatthipālo tāyapi parisāya ākāse nisīditvā dhammaṃ desesi. Punadivase rājā ‘‘kuhiṃ purohito’’ti pucchi. ‘‘Deva, purohito ca brāhmaṇī ca sabbaṃ dhanaṃ chaḍḍetvā dviyojanikaṃ parisaṃ gahetvā puttānaṃ santikaṃ gatā’’ti. Rājā ‘‘asāmikaṃ dhanaṃ amhākaṃ pāpuṇātī’’ti tassa gehato dhanaṃ āharāpesi. Athassa aggamahesī ‘‘rājā kiṃ karotī’’ti pucchitvā ‘‘purohitassa gehato dhanaṃ āharāpetī’’ti vutte ‘‘purohito kuhi’’nti vatvā ‘‘sapajāpatiko pabbajjatthāya nikkhanto’’ti sutvā ‘‘ayaṃ rājā brāhmaṇena ca brāhmaṇiyā ca catūhi puttehi ca jahitaṃ ukkāraṃ mohena mūḷho attano gharaṃ āharāpeti, upamāya naṃ bodhessāmī’’ti sūnato maṃsaṃ āharāpetvā rājaṅgaṇe rāsiṃ kāretvā ujumaggaṃ vissajjetvā jālaṃ parikkhipāpesi. Gijjhā dūratova disvā tassatthāya otariṃsu. Tattha sappaññā jālaṃ pasāritaṃ ñatvā atibhārikā hutvā ‘‘ujukaṃ uppatituṃ na sakkhissāmā’’ti attanā khāditamaṃsaṃ chaḍḍetvā vamitvā jālaṃ anallīyitvā ujukameva uppatitvā gamiṃsu. Andhabālā pana tehi chaḍḍitaṃ vamitaṃ khāditvā bhāriyā hutvā ujukaṃ uppatituṃ asakkontā āgantvā jāle bajjhiṃsu. Athekaṃ gijjhaṃ ānetvā deviyā dassayiṃsu. Sā taṃ ādāya rañño santikaṃ gantvā ‘‘etha tāva, mahārāja, rājaṅgaṇe ekaṃ kiriyaṃ passissāmā’’ti sīhapañjaraṃ vivaritvā ‘‘ime gijjhe olokehi mahārājā’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –

    ๓๕๓.

    353.

    ‘‘เอเต ภุตฺวา วมิตฺวา จ, ปกฺกมนฺติ วิหงฺคมา;

    ‘‘Ete bhutvā vamitvā ca, pakkamanti vihaṅgamā;

    เย จ ภุตฺวา น วมิํสุ, เต เม หตฺถตฺตมาคตาฯ

    Ye ca bhutvā na vamiṃsu, te me hatthattamāgatā.

    ๓๕๔.

    354.

    ‘‘อวมี พฺราหฺมโณ กาเม, โส ตฺวํ ปจฺจาวมิสฺสสิ;

    ‘‘Avamī brāhmaṇo kāme, so tvaṃ paccāvamissasi;

    วนฺตาโท ปุริโส ราช, น โส โหติ ปสํสิโย’’ติฯ

    Vantādo puriso rāja, na so hoti pasaṃsiyo’’ti.

    ตตฺถ ภุตฺวา วมิตฺวา จาติ มํสํ ขาทิตฺวา วมิตฺวา จฯ ปจฺจาวมิสฺสสีติ ปฎิภุญฺชิสฺสสิฯ วนฺตาโทติ ปรสฺส วมิตขาทโกฯ น ปสํสิโยติ โส ตณฺหาวสิโก พาโล พุทฺธาทีหิ ปณฺฑิเตหิ ปสํสิตโพฺพ น โหติฯ

    Tattha bhutvā vamitvā cāti maṃsaṃ khāditvā vamitvā ca. Paccāvamissasīti paṭibhuñjissasi. Vantādoti parassa vamitakhādako. Na pasaṃsiyoti so taṇhāvasiko bālo buddhādīhi paṇḍitehi pasaṃsitabbo na hoti.

    ตํ สุตฺวา ราชา วิปฺปฎิสารี อโหสิ, ตโย ภวา อาทิตฺตา วิย อุปฎฺฐหิํสุฯ โส ‘‘อเชฺชว รชฺชํ ปหาย มม ปพฺพชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อุปฺปนฺนสํเวโค เทวิยา ถุติํ กโรโนฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā vippaṭisārī ahosi, tayo bhavā ādittā viya upaṭṭhahiṃsu. So ‘‘ajjeva rajjaṃ pahāya mama pabbajituṃ vaṭṭatī’’ti uppannasaṃvego deviyā thutiṃ karonto gāthamāha –

    ๓๕๕.

    355.

    ‘‘ปเงฺก จ โปสํ ปลิเป พฺยสนฺนํ, พลี ยถา ทุพฺพลมุทฺธเรยฺย;

    ‘‘Paṅke ca posaṃ palipe byasannaṃ, balī yathā dubbalamuddhareyya;

    เอวมฺปิ มํ ตฺวํ อุทตาริ โภติ, ปญฺจาลิ คาถาหิ สุภาสิตาหี’’ติฯ

    Evampi maṃ tvaṃ udatāri bhoti, pañcāli gāthāhi subhāsitāhī’’ti.

    ตตฺถ พฺยสนฺนนฺติ นิมุคฺคํ, ‘‘วิสนฺน’’นฺติปิ ปาโฐฯ อุทฺธเรยฺยาติ เกเสสุ วา หเตฺถสุ วา คเหตฺวา อุกฺขิปิตฺวา ถเล ฐเปยฺยฯ อุทตารีติ กามปงฺกโต อุตฺตารยิฯ ‘‘อุทตาสี’’ติปิ ปาโฐ, อยเมวโตฺถฯ ‘‘อุทฺธฎาสี’’ติปิ ปาโฐ, อุทฺธรีติ อโตฺถฯ ปญฺจาลีติ ปญฺจาลราชธีเตฯ

    Tattha byasannanti nimuggaṃ, ‘‘visanna’’ntipi pāṭho. Uddhareyyāti kesesu vā hatthesu vā gahetvā ukkhipitvā thale ṭhapeyya. Udatārīti kāmapaṅkato uttārayi. ‘‘Udatāsī’’tipi pāṭho, ayamevattho. ‘‘Uddhaṭāsī’’tipi pāṭho, uddharīti attho. Pañcālīti pañcālarājadhīte.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ตงฺขณเญฺญว ปพฺพชิตุกาโม หุตฺวา อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘ตุเมฺห กิํ กริสฺสถา’’ติ ตุเมฺห ปน, เทวาติ? ‘‘อหํ หตฺถิปาลสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘มยมฺปิ ปพฺพชิสฺสาม, เทวา’’ติฯ ราชา ทฺวาทสโยชนิเก พาราณสินคเร รชฺชํ ฉเฑฺฑตฺวา ‘‘อตฺถิกา เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปนฺตู’’ติ อมจฺจปริวุโต ติโยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา กุมารเสฺสว สนฺติกํ คโตฯ หตฺถิปาโล ตสฺสาปิ ปริสาย อากาเส นิสิโนฺน ธมฺมํ เทเสสิฯ สตฺถา รโญฺญ ปพฺพชิตภาวํ ปกาเสโนฺต คาถมาห –

    Evañca pana vatvā taṅkhaṇaññeva pabbajitukāmo hutvā amacce pakkosāpetvā āha – ‘‘tumhe kiṃ karissathā’’ti tumhe pana, devāti? ‘‘Ahaṃ hatthipālassa santike pabbajissāmī’’ti. ‘‘Mayampi pabbajissāma, devā’’ti. Rājā dvādasayojanike bārāṇasinagare rajjaṃ chaḍḍetvā ‘‘atthikā setacchattaṃ ussāpentū’’ti amaccaparivuto tiyojanikaṃ parisaṃ gahetvā kumārasseva santikaṃ gato. Hatthipālo tassāpi parisāya ākāse nisinno dhammaṃ desesi. Satthā rañño pabbajitabhāvaṃ pakāsento gāthamāha –

    ๓๕๖.

    356.

    ‘‘อิทํ วตฺวา มหาราชา, เอสุการี ทิสมฺปติ;

    ‘‘Idaṃ vatvā mahārājā, esukārī disampati;

    รฎฺฐํ หิตฺวาน ปพฺพชิ, นาโค เฉตฺวาว พนฺธน’’นฺติฯ

    Raṭṭhaṃ hitvāna pabbaji, nāgo chetvāva bandhana’’nti.

    ปุนทิวเส นคเร โอหีนชโน สนฺนิปติตฺวา ราชทฺวารํ คนฺตฺวา เทวิยา อาโรเจตฺวา นิเวสนํ ปวิสิตฺวา เทวิํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต คาถมาหฯ

    Punadivase nagare ohīnajano sannipatitvā rājadvāraṃ gantvā deviyā ārocetvā nivesanaṃ pavisitvā deviṃ vanditvā ekamantaṃ ṭhito gāthamāha.

    ๓๕๗.

    357.

    ‘‘ราชา จ ปพฺพชฺชมโรจยิตฺถ, รฎฺฐํ ปหาย นรวีรเสโฎฺฐ;

    ‘‘Rājā ca pabbajjamarocayittha, raṭṭhaṃ pahāya naravīraseṭṭho;

    ตุวมฺปิ โน โหหิ ยเถว ราชา, อเมฺหหิ คุตฺตา อนุสาส รชฺช’’นฺติฯ

    Tuvampi no hohi yatheva rājā, amhehi guttā anusāsa rajja’’nti.

    ตตฺถ อนุสาสาติ อเมฺหหิ คุตฺตา หุตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรหิฯ

    Tattha anusāsāti amhehi guttā hutvā dhammena rajjaṃ kārehi.

    สา มหาชนสฺส กถํ สุตฺวา เสสคาถา อภาสิ –

    Sā mahājanassa kathaṃ sutvā sesagāthā abhāsi –

    ๓๕๘.

    358.

    ‘‘ราชา จ ปพฺพชฺชมโรจยิตฺถ, รฎฺฐํ ปหาย นรวีรเสโฎฺฐ;

    ‘‘Rājā ca pabbajjamarocayittha, raṭṭhaṃ pahāya naravīraseṭṭho;

    อหมฺปิ เอกา จริสฺสามิ โลเก, หิตฺวาน กามานิ มโนรมานิฯ

    Ahampi ekā carissāmi loke, hitvāna kāmāni manoramāni.

    ๓๕๙.

    359.

    ‘‘ราชา จ ปพฺพชฺชมโรจยิตฺถ, รฎฺฐํ ปหาย นรวีรเสโฎฺฐ;

    ‘‘Rājā ca pabbajjamarocayittha, raṭṭhaṃ pahāya naravīraseṭṭho;

    อหมฺปิ เอกา จริสฺสามิ โลเก, หิตฺวาน กามานิ ยโถธิกานิฯ

    Ahampi ekā carissāmi loke, hitvāna kāmāni yathodhikāni.

    ๓๖๐.

    360.

    ‘‘อเจฺจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย, วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ;

    ‘‘Accenti kālā tarayanti rattiyo, vayoguṇā anupubbaṃ jahanti;

    อหมฺปิ เอกา จริสฺสามิ โลเก, หิตฺวาน กามานิ มโนรมานิฯ

    Ahampi ekā carissāmi loke, hitvāna kāmāni manoramāni.

    ๓๖๑.

    361.

    ‘‘อเจฺจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย, วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ;

    ‘‘Accenti kālā tarayanti rattiyo, vayoguṇā anupubbaṃ jahanti;

    อหมฺปิ เอกา จริสฺสามิ โลเก, หิตฺวาน กามานิ ยโถธิกานิฯ

    Ahampi ekā carissāmi loke, hitvāna kāmāni yathodhikāni.

    ๓๖๒.

    362.

    ‘‘อเจฺจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย, วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ;

    ‘‘Accenti kālā tarayanti rattiyo, vayoguṇā anupubbaṃ jahanti;

    อหมฺปิ เอกา จริสฺสามิ โลเก, สีติภูตา สพฺพมติจฺจ สงฺค’’นฺติฯ

    Ahampi ekā carissāmi loke, sītibhūtā sabbamaticca saṅga’’nti.

    ตตฺถ เอกาติ ปุตฺตธีตุกิเลสสมฺพาเธหิ มุจฺจิตฺวา อิมสฺมิํ โลเก เอกิกาว จริสฺสามิฯ กามานีติ รูปาทโย กามคุเณฯ ยโตธิกานีติ เยน เยน โอธินา ฐิตานิ, เตน เตน ฐิตาเนว ชหิสฺสามิ, น กิญฺจิ อามสิสฺสามีติ อโตฺถฯ อเจฺจนฺติ กาลาติ ปุพฺพณฺหาทโย กาลา อติกฺกมนฺติฯ ตรยนฺตีติ อตุจฺฉา หุตฺวา อายุสงฺขารํ เขปยมานา ขาทยมานา คจฺฉนฺติฯ วโยคุณาติ ปฐมวยาทโย ตโย, มนฺททสกาทโย วา ทส โกฎฺฐาสาฯ อนุปุพฺพํ ชหนฺตีติ อุปรูปริโกฎฺฐาสํ อปฺปตฺวา ตตฺถ ตเตฺถว นิรุชฺฌนฺติฯ สีติภูตาติ อุณฺหการเก อุณฺหสภาเว กิเลเส ปหาย สีตลา หุตฺวาฯ สพฺพมติจฺจ สงฺคนฺติ ราคสงฺคาทิกํ สพฺพสงฺคํ อติกฺกมิตฺวา เอกา จริสฺสามิ, หตฺถิปาลกุมารสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปพฺพชิสฺสามีติฯ

    Tattha ekāti puttadhītukilesasambādhehi muccitvā imasmiṃ loke ekikāva carissāmi. Kāmānīti rūpādayo kāmaguṇe. Yatodhikānīti yena yena odhinā ṭhitāni, tena tena ṭhitāneva jahissāmi, na kiñci āmasissāmīti attho. Accenti kālāti pubbaṇhādayo kālā atikkamanti. Tarayantīti atucchā hutvā āyusaṅkhāraṃ khepayamānā khādayamānā gacchanti. Vayoguṇāti paṭhamavayādayo tayo, mandadasakādayo vā dasa koṭṭhāsā. Anupubbaṃ jahantīti uparūparikoṭṭhāsaṃ appatvā tattha tattheva nirujjhanti. Sītibhūtāti uṇhakārake uṇhasabhāve kilese pahāya sītalā hutvā. Sabbamaticca saṅganti rāgasaṅgādikaṃ sabbasaṅgaṃ atikkamitvā ekā carissāmi, hatthipālakumārassa santikaṃ gantvā pabbajissāmīti.

    อิติ สา อิมาหิ คาถาหิ มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา อมจฺจภริยาโย ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘ตุเมฺห กิํ กริสฺสถา’’ติ ตุเมฺห ปน อเยฺยติ? ‘‘อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘มยมฺปิ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ ราชนิเวสเน สุวณฺณโกฎฺฐาคาราทีนิ วิวราเปตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐาเน จ อสุกฎฺฐาเน จ มหานิธิ นิทหิต’’นฺติ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขาเปตฺวา ‘‘ทินฺนเญฺญว, อตฺถิกา หรนฺตู’’ติ วตฺวา สุวณฺณปฎฺฎํ มหาตเล ถเมฺภ พนฺธาเปตฺวา นคเร เภริํ จราเปตฺวา มหาสมฺปตฺติํ ฉเฑฺฑตฺวา นครา นิกฺขมิฯ ตสฺมิํ ขเณ สกลนครํ สงฺขุภิฯ ‘‘ราชา จ กิร เทวี จ รชฺชํ ปหาย ‘ปพฺพชิสฺสามา’ติ นิกฺขมนฺติ, มยํ อิธ กิํ กริสฺสามา’’ติ ตโต ตโต มนุสฺสา ยถาปูริตาเนว เคหานิ ฉเฑฺฑตฺวา ปุเตฺต หเตฺถสุ คเหตฺวา นิกฺขมิํสุฯ สพฺพาปณา ปสาริตนิยาเมเนว ฐิตา, นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต นาม นาโหสิฯ สกลนครํ ตุจฺฉํ อโหสิ, เทวีปิ ติโยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา ตเตฺถว คตาฯ หตฺถิปาโล ตสฺสาปิ ปริสาย อากาเส นิสิโนฺน ธมฺมํ เทเสตฺวา ทฺวาทสโยชนิกํ ปริสํ คเหตฺวา หิมวนฺตาภิมุโข ปายาสิฯ ‘‘หตฺถิปาลกุมาโร กิร ทฺวาทสโยชนิกํ พาราณสิํ ตุจฺฉํ กตฺวา ‘ปพฺพชิสฺสามี’ติ มหาชนํ อาทาย หิมวนฺตํ คจฺฉติ, กิมงฺคํ ปน มย’’นฺติ สกลกาสิรฎฺฐํ สงฺขุภิฯ อปรภาเค ปริสา ติํสโยชนิกา อเหสุํ, โส ตาย ปริสาย สทฺธิํ หิมวนฺตํ ปาวิสิฯ

    Iti sā imāhi gāthāhi mahājanassa dhammaṃ desetvā amaccabhariyāyo pakkosāpetvā āha – ‘‘tumhe kiṃ karissathā’’ti tumhe pana ayyeti? ‘‘Ahaṃ pabbajissāmī’’ti. ‘‘Mayampi pabbajissāmā’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti rājanivesane suvaṇṇakoṭṭhāgārādīni vivarāpetvā ‘‘asukaṭṭhāne ca asukaṭṭhāne ca mahānidhi nidahita’’nti suvaṇṇapaṭṭe likhāpetvā ‘‘dinnaññeva, atthikā harantū’’ti vatvā suvaṇṇapaṭṭaṃ mahātale thambhe bandhāpetvā nagare bheriṃ carāpetvā mahāsampattiṃ chaḍḍetvā nagarā nikkhami. Tasmiṃ khaṇe sakalanagaraṃ saṅkhubhi. ‘‘Rājā ca kira devī ca rajjaṃ pahāya ‘pabbajissāmā’ti nikkhamanti, mayaṃ idha kiṃ karissāmā’’ti tato tato manussā yathāpūritāneva gehāni chaḍḍetvā putte hatthesu gahetvā nikkhamiṃsu. Sabbāpaṇā pasāritaniyāmeneva ṭhitā, nivattitvā olokento nāma nāhosi. Sakalanagaraṃ tucchaṃ ahosi, devīpi tiyojanikaṃ parisaṃ gahetvā tattheva gatā. Hatthipālo tassāpi parisāya ākāse nisinno dhammaṃ desetvā dvādasayojanikaṃ parisaṃ gahetvā himavantābhimukho pāyāsi. ‘‘Hatthipālakumāro kira dvādasayojanikaṃ bārāṇasiṃ tucchaṃ katvā ‘pabbajissāmī’ti mahājanaṃ ādāya himavantaṃ gacchati, kimaṅgaṃ pana maya’’nti sakalakāsiraṭṭhaṃ saṅkhubhi. Aparabhāge parisā tiṃsayojanikā ahesuṃ, so tāya parisāya saddhiṃ himavantaṃ pāvisi.

    สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘หตฺถิปาลกุมาโร มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต, สมาคโม มหา ภวิสฺสติ, วสนฎฺฐานํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ วิสฺสกมฺมํ อาณาเปสิ ‘‘คจฺฉ, อายามโต ฉตฺติํสโยชนํ, วิตฺถารโต ปนฺนรสโยชนํ อสฺสมํ มาเปตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร สมฺปาเทหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา คงฺคาตีเร รมณีเย ภูมิภาเค วุตฺตปฺปมาณํ อสฺสมปทํ มาเปตฺวา ปณฺณสาลาสุ กฎฺฐตฺถรณปณฺณตฺถรณอาสนาทีนิ ปญฺญเปตฺวา สเพฺพ ปพฺพชิตปริกฺขาเร มาเปสิฯ เอเกกิสฺสา ปณฺณสาลาย ทฺวาเร เอเกโก จงฺกโม รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานปริจฺฉิโนฺน กตสุธาปริกโมฺม อาลมฺพนผลโก, เตสุ เตสุ ฐาเนสุ นานาวณฺณสุรภิกุสุมสญฺฉนฺนา ปุปฺผคจฺฉา, เอเกกสฺส จงฺกมสฺส โกฎิยํ เอเกโก อุทกภริโต กูโป, ตสฺส สนฺติเก เอเกโก ผลรุโกฺข, โส เอโกว สพฺพผลานิ ผลติฯ อิทํ สพฺพํ เทวตานุภาเวน อโหสิฯ วิสฺสกโมฺม อสฺสมปทํ มาเปตฺวา ปณฺณสาลาสุ ปพฺพชิตปริกฺขาเร ฐเปตฺวา ‘‘เย เกจิ ปพฺพชิตุกามา อิเม ปริกฺขาเร คณฺหนฺตู’’ติ ชาติหิงฺคุลเกน ภิตฺติยา อกฺขรานิ ลิขิตฺวา อตฺตโน อานุภาเวน เภรวสเทฺท มิคปกฺขี ทุทฺทสิเก อมนุเสฺส จ ปฎิกฺกมาเปตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ

    Sakko āvajjento taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘hatthipālakumāro mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto, samāgamo mahā bhavissati, vasanaṭṭhānaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti vissakammaṃ āṇāpesi ‘‘gaccha, āyāmato chattiṃsayojanaṃ, vitthārato pannarasayojanaṃ assamaṃ māpetvā pabbajitaparikkhāre sampādehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā gaṅgātīre ramaṇīye bhūmibhāge vuttappamāṇaṃ assamapadaṃ māpetvā paṇṇasālāsu kaṭṭhattharaṇapaṇṇattharaṇaāsanādīni paññapetvā sabbe pabbajitaparikkhāre māpesi. Ekekissā paṇṇasālāya dvāre ekeko caṅkamo rattiṭṭhānadivāṭṭhānaparicchinno katasudhāparikammo ālambanaphalako, tesu tesu ṭhānesu nānāvaṇṇasurabhikusumasañchannā pupphagacchā, ekekassa caṅkamassa koṭiyaṃ ekeko udakabharito kūpo, tassa santike ekeko phalarukkho, so ekova sabbaphalāni phalati. Idaṃ sabbaṃ devatānubhāvena ahosi. Vissakammo assamapadaṃ māpetvā paṇṇasālāsu pabbajitaparikkhāre ṭhapetvā ‘‘ye keci pabbajitukāmā ime parikkhāre gaṇhantū’’ti jātihiṅgulakena bhittiyā akkharāni likhitvā attano ānubhāvena bheravasadde migapakkhī duddasike amanusse ca paṭikkamāpetvā sakaṭṭhānameva gato.

    หตฺถิปาลกุมาโร เอกปทิกมเคฺคน สกฺกทตฺติยํ อสฺสมํ ปวิสิตฺวา อกฺขรานิ ทิสฺวา ‘‘สเกฺกน มม มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขนฺตภาโว ญาโต ภวิสฺสตี’’ติ ทฺวารํ วิวริตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชลิงฺคํ คเหตฺวา นิกฺขมิตฺวา จงฺกมํ โอตริตฺวา กติปเย วาเร อปราปรํ จงฺกมิตฺวา เสสชนกายํ ปพฺพาเชตฺวา อสฺสมปทํ วิจาเรโนฺต ตรุณปุตฺตานํ อิตฺถีนํ มชฺฌฎฺฐาเน ปณฺณสาลํ อทาสิฯ ตโต อนนฺตรํ มหลฺลกิตฺถีนํ, ตโต อนนฺตรํ มชฺฌิมิตฺถีนํ, สมนฺตา ปริกฺขิปิตฺวา ปน ปุริสานํ อทาสิ ฯ อเถโก ราชา ‘‘พาราณสิยํ กิร ราชา นตฺถี’’ติ อาคนฺตฺวา อลงฺกตปฎิยตฺตํ นครํ โอโลเกตฺวา ราชนิเวสนํ อารุยฺห ตตฺถ ตตฺถ รตนราสิํ ทิสฺวา ‘‘เอวรูปํ นครํ ปหาย ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย ปพฺพชฺชา นาเมสา อุฬารา ภวิสฺสตี’’ติ สุราโสเณฺฑ มคฺคํ ปุจฺฉิตฺวา หตฺถิปาลสฺส สนฺติกํ ปายาสิฯ หตฺถิปาโล ตสฺส วนนฺตรํ อาคตภาวํ ญตฺวา ปฎิมคฺคํ คนฺตฺวา อากาเส นิสิโนฺน ปริสาย ธมฺมํ เทเสตฺวา อสฺสมปทํ เนตฺวา สพฺพปริสํ ปพฺพาเชสิฯ เอเตนุปาเยน อเญฺญปิ ฉ ราชาโน ปพฺพชิํสุฯ สตฺต ราชาโน โภเค ฉฑฺฑยิํสุ, ฉตฺติํสโยชนิโก อสฺสโม นิรนฺตโร ปริปูริฯ โย กามวิตกฺกาทีสุ อญฺญตรํ วิตเกฺกติ, มหาปุริโส ตสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา พฺรหฺมวิหารภาวนเญฺจว กสิณภาวนญฺจ อาจิกฺขติฯ เต เยภุเยฺยน ฌานาภิญฺญา นิพฺพเตฺตตฺวา ตีสุ โกฎฺฐาเสสุ เทฺว โกฎฺฐาสา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ ตติยโกฎฺฐาสํ ติธา กตฺวา เอโก โกฎฺฐาโส พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติ, เอโก ฉสุ กามสเคฺคสุ, เอโก อิสีนํ ปาริจริยํ กตฺวา มนุสฺสโลเก ตีสุ กุลสมฺปตฺตีสุ นิพฺพตฺติฯ เอวํ หตฺถิปาลสฺส สาสนํ อปคตนิรยติรจฺฉานโยนิเปตฺติวิสยาสุรกายํ อโหสิฯ

    Hatthipālakumāro ekapadikamaggena sakkadattiyaṃ assamaṃ pavisitvā akkharāni disvā ‘‘sakkena mama mahābhinikkhamanaṃ nikkhantabhāvo ñāto bhavissatī’’ti dvāraṃ vivaritvā paṇṇasālaṃ pavisitvā isipabbajjaliṅgaṃ gahetvā nikkhamitvā caṅkamaṃ otaritvā katipaye vāre aparāparaṃ caṅkamitvā sesajanakāyaṃ pabbājetvā assamapadaṃ vicārento taruṇaputtānaṃ itthīnaṃ majjhaṭṭhāne paṇṇasālaṃ adāsi. Tato anantaraṃ mahallakitthīnaṃ, tato anantaraṃ majjhimitthīnaṃ, samantā parikkhipitvā pana purisānaṃ adāsi . Atheko rājā ‘‘bārāṇasiyaṃ kira rājā natthī’’ti āgantvā alaṅkatapaṭiyattaṃ nagaraṃ oloketvā rājanivesanaṃ āruyha tattha tattha ratanarāsiṃ disvā ‘‘evarūpaṃ nagaraṃ pahāya pabbajitakālato paṭṭhāya pabbajjā nāmesā uḷārā bhavissatī’’ti surāsoṇḍe maggaṃ pucchitvā hatthipālassa santikaṃ pāyāsi. Hatthipālo tassa vanantaraṃ āgatabhāvaṃ ñatvā paṭimaggaṃ gantvā ākāse nisinno parisāya dhammaṃ desetvā assamapadaṃ netvā sabbaparisaṃ pabbājesi. Etenupāyena aññepi cha rājāno pabbajiṃsu. Satta rājāno bhoge chaḍḍayiṃsu, chattiṃsayojaniko assamo nirantaro paripūri. Yo kāmavitakkādīsu aññataraṃ vitakketi, mahāpuriso tassa dhammaṃ desetvā brahmavihārabhāvanañceva kasiṇabhāvanañca ācikkhati. Te yebhuyyena jhānābhiññā nibbattetvā tīsu koṭṭhāsesu dve koṭṭhāsā brahmaloke nibbattiṃsu. Tatiyakoṭṭhāsaṃ tidhā katvā eko koṭṭhāso brahmaloke nibbatti, eko chasu kāmasaggesu, eko isīnaṃ pāricariyaṃ katvā manussaloke tīsu kulasampattīsu nibbatti. Evaṃ hatthipālassa sāsanaṃ apagatanirayatiracchānayonipettivisayāsurakāyaṃ ahosi.

    อิมสฺมิํ ตมฺพปณฺณิทีเป ปถวิจาลกธมฺมคุตฺตเตฺถโร, กฎกนฺธการวาสี ผุสฺสเทวเตฺถโร, อุปริมณฺฑลวาสี มหาสงฺฆรกฺขิตเตฺถโร, มลยมหาเทวเตฺถโร, อภยคิริวาสี มหาเทวเตฺถโร, คามนฺตปพฺภารวาสี มหาสิวเตฺถโร, กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร กุทฺทาลสมาคเม มูคปกฺขสมาคเม จูฬสุตโสมสมาคเม อโยฆรปณฺฑิตสมาคเม หตฺถิปาลสมาคเม จ สพฺพปจฺฉา นิกฺขนฺตปุริสา อเหสุํฯ เตเนวาห ภควา –

    Imasmiṃ tambapaṇṇidīpe pathavicālakadhammaguttatthero, kaṭakandhakāravāsī phussadevatthero, uparimaṇḍalavāsī mahāsaṅgharakkhitatthero, malayamahādevatthero, abhayagirivāsī mahādevatthero, gāmantapabbhāravāsī mahāsivatthero, kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero kuddālasamāgame mūgapakkhasamāgame cūḷasutasomasamāgame ayogharapaṇḍitasamāgame hatthipālasamāgame ca sabbapacchā nikkhantapurisā ahesuṃ. Tenevāha bhagavā –

    ‘‘อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ, ปาปา จิตฺตํ นิวารเย;

    ‘‘Abhittharetha kalyāṇe, pāpā cittaṃ nivāraye;

    ทนฺธญฺหิ กโรโต ปุญฺญํ, ปาปสฺมิํ รมเต มโน’’ติฯ (ธ. ป. ๑๑๖);

    Dandhañhi karoto puññaṃ, pāpasmiṃ ramate mano’’ti. (dha. pa. 116);

    ตสฺมา กลฺยาณํ ตุริตตุริเตเนว กาตพฺพนฺติฯ

    Tasmā kalyāṇaṃ turitaturiteneva kātabbanti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา เอสุการี ราชา สุโทฺธทนมหาราชา อโหสิ, เทวี มหามายา, ปุโรหิโต กสฺสโป, พฺราหฺมณี ภทฺทกาปิลานี, อชปาโล อนุรุโทฺธ, โคปาโล โมคฺคลฺลาโน, อสฺสปาโล สาริปุโตฺต, เสสปริสา พุทฺธปริสา, หตฺถิปาโล ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, pubbepi tathāgato mahābhinikkhamanaṃ nikkhantoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā esukārī rājā suddhodanamahārājā ahosi, devī mahāmāyā, purohito kassapo, brāhmaṇī bhaddakāpilānī, ajapālo anuruddho, gopālo moggallāno, assapālo sāriputto, sesaparisā buddhaparisā, hatthipālo pana ahameva ahosi’’nti.

    หตฺถิปาลชาตกวณฺณนา เตรสมาฯ

    Hatthipālajātakavaṇṇanā terasamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๐๙. หตฺถิปาลชาตกํ • 509. Hatthipālajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact