Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๙. เหมวตสุตฺตวณฺณนา

    9. Hemavatasuttavaṇṇanā

    อชฺช ปนฺนรโสติ เหมวตสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ปุจฺฉาวสิกา อุปฺปตฺติฯ เหมวเตน หิ ปุโฎฺฐ ภควา ‘‘ฉสุ โลโก สมุปฺปโนฺน’’ติอาทีนิ อภาสิฯ ตตฺถ ‘‘อชฺช ปนฺนรโส’’ติอาทิ สาตาคิเรน วุตฺตํ, ‘‘อิติ สาตาคิโร’’ติอาทิ สงฺคีติกาเรหิ, ‘‘กจฺจิมโน’’ติอาทิ เหมวเตน, ‘‘ฉสุ โลโก’’ติอาทิ ภควตา, ตํ สพฺพมฺปิ สโมธาเนตฺวา ‘‘เหมวตสุตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ ‘‘สาตาคิริสุตฺต’’นฺติ เอกเจฺจหิฯ

    Ajjapannarasoti hemavatasuttaṃ. Kā uppatti? Pucchāvasikā uppatti. Hemavatena hi puṭṭho bhagavā ‘‘chasu loko samuppanno’’tiādīni abhāsi. Tattha ‘‘ajja pannaraso’’tiādi sātāgirena vuttaṃ, ‘‘iti sātāgiro’’tiādi saṅgītikārehi, ‘‘kaccimano’’tiādi hemavatena, ‘‘chasu loko’’tiādi bhagavatā, taṃ sabbampi samodhānetvā ‘‘hemavatasutta’’nti vuccati. ‘‘Sātāgirisutta’’nti ekaccehi.

    ตตฺถ ยายํ ‘‘อชฺช ปนฺนรโส’’ติอาทิ คาถาฯ ตสฺสา อุปฺปตฺติ – อิมสฺมิํเยว ภทฺทกเปฺป วีสติวสฺสสหสฺสายุเกสุ ปุริเสสุ อุปฺปชฺชิตฺวา โสฬสวสฺสสหสฺสายุกานิ ฐตฺวา ปรินิพฺพุตสฺส ภควโต กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส มหติยา ปูชาย สรีรกิจฺจํ อกํสุฯ ตสฺส ธาตุโย อวิกิริตฺวา สุวณฺณกฺขโนฺธ วิย เอกคฺฆนา หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ ทีฆายุกพุทฺธานญฺหิ เอสา ธมฺมตาฯ อปฺปายุกพุทฺธา ปน ยสฺมา พหุตเรน ชเนน อทิฎฺฐา เอว ปรินิพฺพายนฺติ, ตสฺมา ธาตุปูชมฺปิ กตฺวา ‘‘ตตฺถ ตตฺถ ชนา ปุญฺญํ ปสวิสฺสนฺตี’’ติ อนุกมฺปาย ‘‘ธาตุโย วิกิรนฺตู’’ติ อธิฎฺฐหนฺติฯ เตน เตสํ สุวณฺณจุณฺณานิ วิย ธาตุโย วิกิรนฺติ, เสยฺยถาปิ อมฺหากํ ภควโตฯ

    Tattha yāyaṃ ‘‘ajja pannaraso’’tiādi gāthā. Tassā uppatti – imasmiṃyeva bhaddakappe vīsativassasahassāyukesu purisesu uppajjitvā soḷasavassasahassāyukāni ṭhatvā parinibbutassa bhagavato kassapasammāsambuddhassa mahatiyā pūjāya sarīrakiccaṃ akaṃsu. Tassa dhātuyo avikiritvā suvaṇṇakkhandho viya ekagghanā hutvā aṭṭhaṃsu. Dīghāyukabuddhānañhi esā dhammatā. Appāyukabuddhā pana yasmā bahutarena janena adiṭṭhā eva parinibbāyanti, tasmā dhātupūjampi katvā ‘‘tattha tattha janā puññaṃ pasavissantī’’ti anukampāya ‘‘dhātuyo vikirantū’’ti adhiṭṭhahanti. Tena tesaṃ suvaṇṇacuṇṇāni viya dhātuyo vikiranti, seyyathāpi amhākaṃ bhagavato.

    มนุสฺสา ตสฺส ภควโต เอกํเยว ธาตุฆรํ กตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปสุํ โยชนํ อุเพฺพเธน ปริเกฺขเปน จฯ ตสฺส เอเกกคาวุตนฺตรานิ จตฺตาริ ทฺวารานิ อเหสุํฯ เอกํ ทฺวารํ กิกี ราชา อคฺคเหสิ; เอกํ ตเสฺสว ปุโตฺต ปถวินฺธโร นาม; เอกํ เสนาปติปมุขา อมจฺจา; เอกํ เสฎฺฐิปมุขา ชานปทา รตฺตสุวณฺณมยา เอกคฺฆนา สุวณฺณรสปฎิภาคา จ นานารตนมยา อิฎฺฐกา อเหสุํ เอเกกา สตสหสฺสคฺฆนิกาฯ เต หริตาลมโนสิลาหิ มตฺติกากิจฺจํ สุรภิเตเลน อุทกกิจฺจญฺจ กตฺวา ตํ เจติยํ ปติฎฺฐาเปสุํฯ

    Manussā tassa bhagavato ekaṃyeva dhātugharaṃ katvā cetiyaṃ patiṭṭhāpesuṃ yojanaṃ ubbedhena parikkhepena ca. Tassa ekekagāvutantarāni cattāri dvārāni ahesuṃ. Ekaṃ dvāraṃ kikī rājā aggahesi; ekaṃ tasseva putto pathavindharo nāma; ekaṃ senāpatipamukhā amaccā; ekaṃ seṭṭhipamukhā jānapadā rattasuvaṇṇamayā ekagghanā suvaṇṇarasapaṭibhāgā ca nānāratanamayā iṭṭhakā ahesuṃ ekekā satasahassagghanikā. Te haritālamanosilāhi mattikākiccaṃ surabhitelena udakakiccañca katvā taṃ cetiyaṃ patiṭṭhāpesuṃ.

    เอวํ ปติฎฺฐิเต เจติเย เทฺว กุลปุตฺตา สหายกา นิกฺขมิตฺวา สมฺมุขสาวกานํ เถรานํ สนฺติเก ปพฺพชิํสุฯ ทีฆายุกพุทฺธานญฺหิ สมฺมุขสาวกาเยว ปพฺพาเชนฺติ, อุปสมฺปาเทนฺติ, นิสฺสยํ เทนฺติ, อิตเร น ลภนฺติฯ ตโต เต กุลปุตฺตา ‘‘สาสเน, ภเนฺต, กติ ธุรานี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ เถรา ‘‘เทฺว ธุรานี’’ติ กเถสุํ – ‘‘วาสธุรํ, ปริยตฺติธุรญฺจา’’ติฯ ตตฺถ ปพฺพชิเตน กุลปุเตฺตน อาจริยุปชฺฌายานํ สนฺติเก ปญฺจ วสฺสานิ วสิตฺวา, วตฺตปฎิวตฺตํ ปูเรตฺวา, ปาติโมกฺขํ เทฺว ตีณิ ภาณวารสุตฺตนฺตานิ จ ปคุณํ กตฺวา, กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตฺวา, กุเล วา คเณ วา นิราลเยน อรญฺญํ ปวิสิตฺวา, อรหตฺตสจฺฉิกิริยาย ฆฎิตพฺพํ วายมิตพฺพํ, เอตํ วาสธุรํฯ อตฺตโน ถาเมน ปน เอกํ วา นิกายํ ปริยาปุณิตฺวา เทฺว วา ปญฺจ วา นิกาเย ปริยตฺติโต จ อตฺถโต จ สุวิสทํ สาสนํ อนุยุญฺชิตพฺพํ, เอตํ ปริยตฺติธุรนฺติฯ อถ เต กุลปุตฺตา ‘‘ทฺวินฺนํ ธุรานํ วาสธุรเมว เสฎฺฐ’’นฺติ วตฺวา ‘‘มยํ ปนมฺหา ทหรา, วุฑฺฒกาเล วาสธุรํ ปริปูเรสฺสาม, ปริยตฺติธุรํ ตาว ปูเรมา’’ติ ปริยตฺติํ อารภิํสุฯ เต ปกติยาว ปญฺญวโนฺต นจิรเสฺสว สกเล พุทฺธวจเน ปกตญฺญโน วินเย จ อติวิย วินิจฺฉยกุสลา อเหสุํฯ เตสํ ปริยตฺติํ นิสฺสาย ปริวาโร อุปฺปชฺชิ, ปริวารํ นิสฺสาย ลาโภ, เอกเมกสฺส ปญฺจสตปญฺจสตา ภิกฺขู ปริวารา อเหสุํฯ เต สตฺถุสาสนํ ทีเปนฺตา วิหริํสุ, ปุน พุทฺธกาโล วิย อโหสิฯ

    Evaṃ patiṭṭhite cetiye dve kulaputtā sahāyakā nikkhamitvā sammukhasāvakānaṃ therānaṃ santike pabbajiṃsu. Dīghāyukabuddhānañhi sammukhasāvakāyeva pabbājenti, upasampādenti, nissayaṃ denti, itare na labhanti. Tato te kulaputtā ‘‘sāsane, bhante, kati dhurānī’’ti pucchiṃsu. Therā ‘‘dve dhurānī’’ti kathesuṃ – ‘‘vāsadhuraṃ, pariyattidhurañcā’’ti. Tattha pabbajitena kulaputtena ācariyupajjhāyānaṃ santike pañca vassāni vasitvā, vattapaṭivattaṃ pūretvā, pātimokkhaṃ dve tīṇi bhāṇavārasuttantāni ca paguṇaṃ katvā, kammaṭṭhānaṃ uggahetvā, kule vā gaṇe vā nirālayena araññaṃ pavisitvā, arahattasacchikiriyāya ghaṭitabbaṃ vāyamitabbaṃ, etaṃ vāsadhuraṃ. Attano thāmena pana ekaṃ vā nikāyaṃ pariyāpuṇitvā dve vā pañca vā nikāye pariyattito ca atthato ca suvisadaṃ sāsanaṃ anuyuñjitabbaṃ, etaṃ pariyattidhuranti. Atha te kulaputtā ‘‘dvinnaṃ dhurānaṃ vāsadhurameva seṭṭha’’nti vatvā ‘‘mayaṃ panamhā daharā, vuḍḍhakāle vāsadhuraṃ paripūressāma, pariyattidhuraṃ tāva pūremā’’ti pariyattiṃ ārabhiṃsu. Te pakatiyāva paññavanto nacirasseva sakale buddhavacane pakataññano vinaye ca ativiya vinicchayakusalā ahesuṃ. Tesaṃ pariyattiṃ nissāya parivāro uppajji, parivāraṃ nissāya lābho, ekamekassa pañcasatapañcasatā bhikkhū parivārā ahesuṃ. Te satthusāsanaṃ dīpentā vihariṃsu, puna buddhakālo viya ahosi.

    ตทา เทฺว ภิกฺขู คามกาวาเส วิหรนฺติ ธมฺมวาที จ อธมฺมวาที จฯ อธมฺมวาที จโณฺฑ โหติ ผรุโส, มุขโร, ตสฺส อชฺฌาจาโร อิตรสฺส ปากโฎ โหติฯ ตโต นํ ‘‘อิทํ เต, อาวุโส, กมฺมํ สาสนสฺส อปฺปติรูป’’นฺติ โจเทสิฯ โส ‘‘กิํ เต ทิฎฺฐํ, กิํ สุต’’นฺติ วิกฺขิปติฯ อิตโร ‘‘วินยธรา ชานิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ ตโต อธมฺมวาที ‘‘สเจ อิมํ วตฺถุํ วินยธรา วินิจฺฉินิสฺสนฺติ, อทฺธา เม สาสเน ปติฎฺฐา น ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา อตฺตโน ปกฺขํ กาตุกาโม ตาวเทว ปริกฺขาเร อาทาย เต เทฺว เถเร อุปสงฺกมิตฺวา สมณปริกฺขาเร ทตฺวา เตสํ นิสฺสเยน วิหริตุมารโทฺธฯ สพฺพญฺจ เนสํ อุปฎฺฐานํ กโรโนฺต สกฺกจฺจํ วตฺตปฎิวตฺตํ ปูเรตุกาโม วิย อกาสิฯ ตโต เอกทิวสํ อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เตหิ วิสฺสชฺชิยมาโนปิ อฎฺฐาสิเยวฯ เถรา ‘‘กิญฺจิ วตฺตพฺพมตฺถี’’ติ ตํ ปุจฺฉิํสุฯ โส ‘‘อาม, ภเนฺต, เอเกน เม ภิกฺขุนา สห อชฺฌาจารํ ปฎิจฺจ วิวาโท อตฺถิฯ โส ยทิ ตํ วตฺถุํ อิธาคนฺตฺวา อาโรเจติ, ยถาวินิจฺฉยํ น วินิจฺฉินิตพฺพ’’นฺติฯ เถรา ‘‘โอสฎํ วตฺถุํ ยถาวินิจฺฉยํ น วินิจฺฉินิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อาหํสุฯ โส ‘‘เอวํ กริยมาเน, ภเนฺต, มม สาสเน ปติฎฺฐา นตฺถิ, มเยฺหตํ ปาปํ โหตุ, มา ตุเมฺห วินิจฺฉินถา’’ติฯ เต เตน นิปฺปีฬิยมานา สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ โส เตสํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ปุน ตํ อาวาสํ คนฺตฺวา ‘‘สพฺพํ วินยธรานํ สนฺติเก นิฎฺฐิต’’นฺติ ตํ ธมฺมวาทิํ สุฎฺฐุตรํ อวมญฺญโนฺต ผรุเสน สมุทาจรติฯ ธมฺมวาที ‘‘นิสฺสโงฺก อยํ ชาโต’’ติ ตาวเทว นิกฺขมิตฺวา เถรานํ ปริวารํ ภิกฺขุสหสฺสํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘นนุ, อาวุโส, โอสฎํ วตฺถุ ยถาธมฺมํ วินิจฺฉินิตพฺพํ, อโนสราเปตฺวา เอว วา อญฺญมญฺญํ อจฺจยํ เทสาเปตฺวา สามคฺคี กาตพฺพาฯ อิเม ปน เถรา เนว วตฺถุํ วินิจฺฉินิํสุ, น สามคฺคิํ อกํสุฯ กิํ นาเมต’’นฺติ? เตปิ สุตฺวา ตุณฺหี อเหสุํ – ‘‘นูน กิญฺจิ อาจริเยหิ ญาต’’นฺติฯ ตโต อธมฺมวาที โอกาสํ ลภิตฺวา ‘‘ตฺวํ ปุเพฺพ ‘วินยธรา ชานิสฺสนฺตี’ติ ภณสิฯ อิทานิ เตสํ วินยธรานํ อาโรเจหิ ตํ วตฺถุ’’นฺติ ธมฺมวาทิํ ปีเฬตฺวา ‘‘อชฺชตเคฺค ปราชิโต ตฺวํ, มา ตํ อาวาสํ อาคจฺฉี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ ตโต ธมฺมวาที เถเร อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตุเมฺห สาสนํ อนเปกฺขิตฺวา ‘อเมฺห อุปเฎฺฐสิ ปริโตเสสี’ติ ปุคฺคลเมว อเปกฺขิตฺถ, สาสนํ อรกฺขิตฺวา ปุคฺคลํ รกฺขิตฺถ, อชฺชตเคฺค ทานิ ตุมฺหากํ วินิจฺฉยํ วินิจฺฉินิตุํ น วฎฺฎติ, อชฺช ปรินิพฺพุโต กสฺสโป ภควา’’ติ มหาสเทฺทน กนฺทิตฺวา ‘‘นฎฺฐํ สตฺถุ สาสน’’นฺติ ปริเทวมาโน ปกฺกามิฯ

    Tadā dve bhikkhū gāmakāvāse viharanti dhammavādī ca adhammavādī ca. Adhammavādī caṇḍo hoti pharuso, mukharo, tassa ajjhācāro itarassa pākaṭo hoti. Tato naṃ ‘‘idaṃ te, āvuso, kammaṃ sāsanassa appatirūpa’’nti codesi. So ‘‘kiṃ te diṭṭhaṃ, kiṃ suta’’nti vikkhipati. Itaro ‘‘vinayadharā jānissantī’’ti āha. Tato adhammavādī ‘‘sace imaṃ vatthuṃ vinayadharā vinicchinissanti, addhā me sāsane patiṭṭhā na bhavissatī’’ti ñatvā attano pakkhaṃ kātukāmo tāvadeva parikkhāre ādāya te dve there upasaṅkamitvā samaṇaparikkhāre datvā tesaṃ nissayena viharitumāraddho. Sabbañca nesaṃ upaṭṭhānaṃ karonto sakkaccaṃ vattapaṭivattaṃ pūretukāmo viya akāsi. Tato ekadivasaṃ upaṭṭhānaṃ gantvā vanditvā tehi vissajjiyamānopi aṭṭhāsiyeva. Therā ‘‘kiñci vattabbamatthī’’ti taṃ pucchiṃsu. So ‘‘āma, bhante, ekena me bhikkhunā saha ajjhācāraṃ paṭicca vivādo atthi. So yadi taṃ vatthuṃ idhāgantvā āroceti, yathāvinicchayaṃ na vinicchinitabba’’nti. Therā ‘‘osaṭaṃ vatthuṃ yathāvinicchayaṃ na vinicchinituṃ na vaṭṭatī’’ti āhaṃsu. So ‘‘evaṃ kariyamāne, bhante, mama sāsane patiṭṭhā natthi, mayhetaṃ pāpaṃ hotu, mā tumhe vinicchinathā’’ti. Te tena nippīḷiyamānā sampaṭicchiṃsu. So tesaṃ paṭiññaṃ gahetvā puna taṃ āvāsaṃ gantvā ‘‘sabbaṃ vinayadharānaṃ santike niṭṭhita’’nti taṃ dhammavādiṃ suṭṭhutaraṃ avamaññanto pharusena samudācarati. Dhammavādī ‘‘nissaṅko ayaṃ jāto’’ti tāvadeva nikkhamitvā therānaṃ parivāraṃ bhikkhusahassaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘nanu, āvuso, osaṭaṃ vatthu yathādhammaṃ vinicchinitabbaṃ, anosarāpetvā eva vā aññamaññaṃ accayaṃ desāpetvā sāmaggī kātabbā. Ime pana therā neva vatthuṃ vinicchiniṃsu, na sāmaggiṃ akaṃsu. Kiṃ nāmeta’’nti? Tepi sutvā tuṇhī ahesuṃ – ‘‘nūna kiñci ācariyehi ñāta’’nti. Tato adhammavādī okāsaṃ labhitvā ‘‘tvaṃ pubbe ‘vinayadharā jānissantī’ti bhaṇasi. Idāni tesaṃ vinayadharānaṃ ārocehi taṃ vatthu’’nti dhammavādiṃ pīḷetvā ‘‘ajjatagge parājito tvaṃ, mā taṃ āvāsaṃ āgacchī’’ti vatvā pakkāmi. Tato dhammavādī there upasaṅkamitvā ‘‘tumhe sāsanaṃ anapekkhitvā ‘amhe upaṭṭhesi paritosesī’ti puggalameva apekkhittha, sāsanaṃ arakkhitvā puggalaṃ rakkhittha, ajjatagge dāni tumhākaṃ vinicchayaṃ vinicchinituṃ na vaṭṭati, ajja parinibbuto kassapo bhagavā’’ti mahāsaddena kanditvā ‘‘naṭṭhaṃ satthu sāsana’’nti paridevamāno pakkāmi.

    อถ โข เต ภิกฺขู สํวิคฺคมานสา ‘‘มยํ ปุคฺคลมนุรกฺขนฺตา สาสนรตนํ โสเพฺภ ปกฺขิปิมฺหา’’ติ กุกฺกุจฺจํ อุปฺปาเทสุํ ฯ เต เตเนว กุกฺกุเจฺจน อุปหตาสยตฺตา กาลํ กตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตุมสโกฺกนฺตา เอกาจริโย หิมวติ เหมวเต ปพฺพเต นิพฺพตฺติ เหมวโต ยโกฺขติ นาเมนฯ ทุติยาจริโย มชฺฌิมเทเส สาตปพฺพเต สาตาคิโรติ นาเมนฯ เตปิ เนสํ ปริวารา ภิกฺขู เตสํเยว อนุวตฺติตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตุมสโกฺกนฺตา เตสํ ปริวารา ยกฺขาว หุตฺวา นิพฺพตฺติํสุฯ เตสํ ปน ปจฺจยทายกา คหฎฺฐา เทวโลเก นิพฺพติํสุฯ เหมวตสาตาคิรา อฎฺฐวีสติยกฺขเสนาปตีนมพฺภนฺตรา มหานุภาวา ยกฺขราชาโน อเหสุํฯ

    Atha kho te bhikkhū saṃviggamānasā ‘‘mayaṃ puggalamanurakkhantā sāsanaratanaṃ sobbhe pakkhipimhā’’ti kukkuccaṃ uppādesuṃ . Te teneva kukkuccena upahatāsayattā kālaṃ katvā sagge nibbattitumasakkontā ekācariyo himavati hemavate pabbate nibbatti hemavato yakkhoti nāmena. Dutiyācariyo majjhimadese sātapabbate sātāgiroti nāmena. Tepi nesaṃ parivārā bhikkhū tesaṃyeva anuvattitvā sagge nibbattitumasakkontā tesaṃ parivārā yakkhāva hutvā nibbattiṃsu. Tesaṃ pana paccayadāyakā gahaṭṭhā devaloke nibbatiṃsu. Hemavatasātāgirā aṭṭhavīsatiyakkhasenāpatīnamabbhantarā mahānubhāvā yakkharājāno ahesuṃ.

    ยกฺขเสนาปตีนญฺจ อยํ ธมฺมตา – มาเส มาเส อฎฺฐ ทิวสานิ ธมฺมวินิจฺฉยตฺถํ หิมวติ มโนสิลาตเล นาควติมณฺฑเป เทวตานํ สนฺนิปาโต โหติ, ตตฺถ สนฺนิปติตพฺพนฺติฯ อถ สาตาคิรเหมวตา ตสฺมิํ สมาคเม อญฺญมญฺญํ ทิสฺวา สญฺชานิํสุ – ‘‘ตฺวํ, สมฺม, กุหิํ อุปฺปโนฺน, ตฺวํ กุหิ’’นฺติ อตฺตโน อตฺตโน อุปฺปตฺติฎฺฐานญฺจ ปุจฺฉิตฺวา วิปฺปฎิสาริโน อเหสุํฯ ‘‘นฎฺฐา มยํ, สมฺม, ปุเพฺพ วีสติ วสฺสสหสฺสานิ สมณธมฺมํ กตฺวา เอกํ ปาปสหายํ นิสฺสาย ยกฺขโยนิยํ อุปฺปนฺนา, อมฺหากํ ปน ปจฺจยทายกา กามาวจรเทเวสุ นิพฺพตฺตา’’ติฯ อถ สาตาคิโร อาห – ‘‘มาริส, หิมวา นาม อจฺฉริยพฺภุตสมฺมโต, กิญฺจิ อจฺฉริยํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา มมาปิ อาโรเจยฺยาสี’’ติฯ เหมวโตปิ อาห – ‘‘มาริส, มชฺฌิมเทโส นาม อจฺฉริยพฺภุตสมฺมโต, กิญฺจิ อจฺฉริยํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา มมาปิ อาโรเจยฺยาสี’’ติฯ เอวํ เตสุ ทฺวีสุ สหาเยสุ อญฺญมญฺญํ กติกํ กตฺวา, ตเมว อุปฺปตฺติํ อวิวเชฺชตฺวา วสมาเนสุ เอกํ พุทฺธนฺตรํ วีติวตฺตํ, มหาปถวี เอกโยชนติคาวุตมตฺตํ อุสฺสทาฯ

    Yakkhasenāpatīnañca ayaṃ dhammatā – māse māse aṭṭha divasāni dhammavinicchayatthaṃ himavati manosilātale nāgavatimaṇḍape devatānaṃ sannipāto hoti, tattha sannipatitabbanti. Atha sātāgirahemavatā tasmiṃ samāgame aññamaññaṃ disvā sañjāniṃsu – ‘‘tvaṃ, samma, kuhiṃ uppanno, tvaṃ kuhi’’nti attano attano uppattiṭṭhānañca pucchitvā vippaṭisārino ahesuṃ. ‘‘Naṭṭhā mayaṃ, samma, pubbe vīsati vassasahassāni samaṇadhammaṃ katvā ekaṃ pāpasahāyaṃ nissāya yakkhayoniyaṃ uppannā, amhākaṃ pana paccayadāyakā kāmāvacaradevesu nibbattā’’ti. Atha sātāgiro āha – ‘‘mārisa, himavā nāma acchariyabbhutasammato, kiñci acchariyaṃ disvā vā sutvā vā mamāpi āroceyyāsī’’ti. Hemavatopi āha – ‘‘mārisa, majjhimadeso nāma acchariyabbhutasammato, kiñci acchariyaṃ disvā vā sutvā vā mamāpi āroceyyāsī’’ti. Evaṃ tesu dvīsu sahāyesu aññamaññaṃ katikaṃ katvā, tameva uppattiṃ avivajjetvā vasamānesu ekaṃ buddhantaraṃ vītivattaṃ, mahāpathavī ekayojanatigāvutamattaṃ ussadā.

    อถมฺหากํ โพธิสโตฺต ทีปงฺกรปาทมูเล กตปณิธาโน ยาว เวสฺสนฺตรชาตกํ, ตาว ปารมิโย ปูเรตฺวา, ตุสิตภวเน อุปฺปชฺชิตฺวา, ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา, ธมฺมปทนิทาเน วุตฺตนเยน เทวตาหิ อายาจิโต ปญฺจ มหาวิโลกนานิ วิโลเกตฺวา, เทวตานํ อาโรเจตฺวา, ทฺวตฺติํสาย ปุพฺพนิมิเตฺตสุ วตฺตมาเนสุ อิธ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ กเมฺปตฺวาฯ ตานิ ทิสฺวาปิ อิเม ราชยกฺขา ‘‘อิมินา การเณน นิพฺพตฺตานี’’ติ น ชานิํสุฯ ‘‘ขิฑฺฑาปสุตตฺตา เนวาทฺทสํสู’’ติ เอเกฯ เอส นโย ชาติยํ อภินิกฺขมเน โพธิยญฺจฯ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน ปน ปญฺจวคฺคิเย อามเนฺตตฺวา ภควติ ติปริวฎฺฎํ ทฺวาทสาการํ วรธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตเนฺต มหาภูมิจาลํ ปุพฺพนิมิตฺตํ ปาฎิหาริยานิ จ เอเตสํ เอโก สาตาคิโรเยว ปฐมํ อทฺทสฯ นิพฺพตฺติการณญฺจ เตสํ ญตฺวา สปริโส ภควนฺตํ อุปสงฺกมฺม ธมฺมเทสนํ อโสฺสสิ, น จ กิญฺจิ วิเสสํ อธิคจฺฉิฯ กสฺมา? โส หิ ธมฺมํ สุณโนฺต เหมวตํ อนุสฺสริตฺวา ‘‘อาคโต นุ โข เม สหายโก, โน’’ติ ปริสํ โอโลเกตฺวา ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘วญฺจิโต เม สหาโย, โย เอวํ วิจิตฺรปฎิภานํ ภควโต ธมฺมเทสนํ น สุณาตี’’ติ วิกฺขิตฺตจิโตฺต อโหสิฯ ภควา จ อตฺถงฺคเตปิ จ สูริเย เทสนํ น นิฎฺฐาเปสิฯ

    Athamhākaṃ bodhisatto dīpaṅkarapādamūle katapaṇidhāno yāva vessantarajātakaṃ, tāva pāramiyo pūretvā, tusitabhavane uppajjitvā, tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā, dhammapadanidāne vuttanayena devatāhi āyācito pañca mahāvilokanāni viloketvā, devatānaṃ ārocetvā, dvattiṃsāya pubbanimittesu vattamānesu idha paṭisandhiṃ aggahesi dasasahassilokadhātuṃ kampetvā. Tāni disvāpi ime rājayakkhā ‘‘iminā kāraṇena nibbattānī’’ti na jāniṃsu. ‘‘Khiḍḍāpasutattā nevāddasaṃsū’’ti eke. Esa nayo jātiyaṃ abhinikkhamane bodhiyañca. Dhammacakkappavattane pana pañcavaggiye āmantetvā bhagavati tiparivaṭṭaṃ dvādasākāraṃ varadhammacakkaṃ pavattente mahābhūmicālaṃ pubbanimittaṃ pāṭihāriyāni ca etesaṃ eko sātāgiroyeva paṭhamaṃ addasa. Nibbattikāraṇañca tesaṃ ñatvā sapariso bhagavantaṃ upasaṅkamma dhammadesanaṃ assosi, na ca kiñci visesaṃ adhigacchi. Kasmā? So hi dhammaṃ suṇanto hemavataṃ anussaritvā ‘‘āgato nu kho me sahāyako, no’’ti parisaṃ oloketvā taṃ apassanto ‘‘vañcito me sahāyo, yo evaṃ vicitrapaṭibhānaṃ bhagavato dhammadesanaṃ na suṇātī’’ti vikkhittacitto ahosi. Bhagavā ca atthaṅgatepi ca sūriye desanaṃ na niṭṭhāpesi.

    อถ สาตาคิโร ‘‘สหายํ คเหตฺวา เตน สหาคมฺม ธมฺมเทสนํ โสสฺสามี’’ติ หตฺถิยานอสฺสยานครุฬยานาทีนิ มาเปตฺวา ปญฺจหิ ยกฺขสเตหิ ปริวุโต หิมวนฺตาภิมุโข ปายาสิ, ตทา เหมวโตปิฯ ยสฺมา ปฎิสนฺธิชาติ-อภินิกฺขมน-โพธิปรินิพฺพาเนเสฺวว ทฺวตฺติํส ปุพฺพนิมิตฺตานิ หุตฺวาว ปติวิคจฺฉนฺติ, น จิรฎฺฐิติกานิ โหนฺติ, ธมฺมจกฺกปวตฺตเน ปน ตานิ สวิเสสานิ หุตฺวา, จิรตรํ ฐตฺวา นิรุชฺฌนฺติ, ตสฺมา หิมวติ ตํ อจฺฉริยปาตุภาวํ ทิสฺวา ‘‘ยโต อหํ ชาโต, น กทาจิ อยํ ปพฺพโต เอวํ อภิราโม ภูตปุโพฺพ, หนฺท ทานิ มม สหายํ คเหตฺวา อาคมฺม เตน สห อิมํ ปุปฺผสิริํ อนุภวิสฺสามี’’ติ ตเถว มชฺฌิมเทสาภิมุโข อาคจฺฉติฯ เต อุโภปิ ราชคหสฺส อุปริ สมาคนฺตฺวา อญฺญมญฺญสฺส อาคมนการณํ ปุจฺฉิํสุฯ เหมวโต อาห – ‘‘ยโต อหํ, มาริส, ชาโต, นายํ ปพฺพโต เอวํ อกาลกุสุมิเตหิ รุเกฺขหิ อภิราโม ภูตปุโพฺพ, ตสฺมา เอตํ ปุปฺผสิริํ ตยา สทฺธิํ อนุภวิสฺสามีติ อาคโตมฺหี’’ติ ฯ สาตาคิโร อาห – ‘‘ชานาสิ, ปน, ตฺวํ มาริส, เยน การเณน อิมํ อกาลปุปฺผปาฎิหาริยํ ชาต’’นฺติ? ‘‘น ชานามิ, มาริสา’’ติฯ ‘‘อิมํ, มาริส, ปาฎิหาริยํ น เกวล หิมวเนฺตเยว, อปิจ โข ปน ทสสหสฺสิโลกธาตูสุ นิพฺพตฺตํ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน, อชฺช ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสิ, เตน การเณนา’’ติฯ เอวํ สาตาคิโร เหมวตสฺส พุทฺธุปฺปาทํ กเถตฺวา, ตํ ภควโต สนฺติกํ อาเนตุกาโม อิมํ คาถมาหฯ เกจิ ปน โคตมเก เจติเย วิหรเนฺต ภควติ อยเมวมาหาติ ภณนฺติ ‘‘อชฺช ปนฺนรโส’’ติฯ

    Atha sātāgiro ‘‘sahāyaṃ gahetvā tena sahāgamma dhammadesanaṃ sossāmī’’ti hatthiyānaassayānagaruḷayānādīni māpetvā pañcahi yakkhasatehi parivuto himavantābhimukho pāyāsi, tadā hemavatopi. Yasmā paṭisandhijāti-abhinikkhamana-bodhiparinibbānesveva dvattiṃsa pubbanimittāni hutvāva pativigacchanti, na ciraṭṭhitikāni honti, dhammacakkapavattane pana tāni savisesāni hutvā, cirataraṃ ṭhatvā nirujjhanti, tasmā himavati taṃ acchariyapātubhāvaṃ disvā ‘‘yato ahaṃ jāto, na kadāci ayaṃ pabbato evaṃ abhirāmo bhūtapubbo, handa dāni mama sahāyaṃ gahetvā āgamma tena saha imaṃ pupphasiriṃ anubhavissāmī’’ti tatheva majjhimadesābhimukho āgacchati. Te ubhopi rājagahassa upari samāgantvā aññamaññassa āgamanakāraṇaṃ pucchiṃsu. Hemavato āha – ‘‘yato ahaṃ, mārisa, jāto, nāyaṃ pabbato evaṃ akālakusumitehi rukkhehi abhirāmo bhūtapubbo, tasmā etaṃ pupphasiriṃ tayā saddhiṃ anubhavissāmīti āgatomhī’’ti . Sātāgiro āha – ‘‘jānāsi, pana, tvaṃ mārisa, yena kāraṇena imaṃ akālapupphapāṭihāriyaṃ jāta’’nti? ‘‘Na jānāmi, mārisā’’ti. ‘‘Imaṃ, mārisa, pāṭihāriyaṃ na kevala himavanteyeva, apica kho pana dasasahassilokadhātūsu nibbattaṃ, sammāsambuddho loke uppanno, ajja dhammacakkaṃ pavattesi, tena kāraṇenā’’ti. Evaṃ sātāgiro hemavatassa buddhuppādaṃ kathetvā, taṃ bhagavato santikaṃ ānetukāmo imaṃ gāthamāha. Keci pana gotamake cetiye viharante bhagavati ayamevamāhāti bhaṇanti ‘‘ajja pannaraso’’ti.

    ๑๕๓. ตตฺถ อชฺชาติ อยํ รตฺตินฺทิโว ปกฺขคณนโต ปนฺนรโส, อุปวสิตพฺพโต อุโปสโถฯ ตีสุ วา อุโปสเถสุ อชฺช ปนฺนรโส อุโปสโถ, น จาตุทฺทสี อุโปสโถ, น สามคฺคีอุโปสโถฯ ยสฺมา วา ปาติโมกฺขุเทฺทสอฎฺฐงฺคอุปวาสปญฺญตฺติทิวสาทีสุ สมฺพหุเลสุ อเตฺถสุ อุโปสถสโทฺท วตฺตติฯ ‘‘อายามาวุโส, กปฺปิน, อุโปสถํ คมิสฺสามา’’ติอาทีสุ หิ ปาติโมกฺขุเทฺทเส อุโปสถสโทฺทฯ ‘‘เอวํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต โข วิสาเข อุโปสโถ อุปวุโตฺถ’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๔๓) ปาณาติปาตา เวรมณิอาทิเกสุ อฎฺฐเงฺคสุฯ ‘‘สุทฺธสฺส เว สทา ผคฺคุ, สุทฺธสฺสุโปสโถ สทา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๗๙) อุปวาเสฯ ‘‘อุโปสโถ นาม นาคราชา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๔๖; ม. นิ. ๓.๒๕๘) ปญฺญตฺติยํฯ ‘‘ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาตสฺสา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๘๕; ม. นิ. ๓.๒๕๖) ทิวเสฯ ตสฺมา อวเสสตฺถํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อาสาฬฺหีปุณฺณมทิวสํเยว นิยาเมโนฺต อาห – ‘‘อชฺช ปนฺนรโส อุโปสโถ’’ติฯ ปาฎิปโท ทุติโยติ เอวํ คณิยมาเน อชฺช ปนฺนรโส ทิวโสติ อโตฺถฯ

    153. Tattha ajjāti ayaṃ rattindivo pakkhagaṇanato pannaraso, upavasitabbato uposatho. Tīsu vā uposathesu ajja pannaraso uposatho, na cātuddasī uposatho, na sāmaggīuposatho. Yasmā vā pātimokkhuddesaaṭṭhaṅgaupavāsapaññattidivasādīsu sambahulesu atthesu uposathasaddo vattati. ‘‘Āyāmāvuso, kappina, uposathaṃ gamissāmā’’tiādīsu hi pātimokkhuddese uposathasaddo. ‘‘Evaṃ aṭṭhaṅgasamannāgato kho visākhe uposatho upavuttho’’tiādīsu (a. ni. 8.43) pāṇātipātā veramaṇiādikesu aṭṭhaṅgesu. ‘‘Suddhassa ve sadā phaggu, suddhassuposatho sadā’’tiādīsu (ma. ni. 1.79) upavāse. ‘‘Uposatho nāma nāgarājā’’tiādīsu (dī. ni. 2.246; ma. ni. 3.258) paññattiyaṃ. ‘‘Tadahuposathe pannarase sīsaṃnhātassā’’tiādīsu (dī. ni. 3.85; ma. ni. 3.256) divase. Tasmā avasesatthaṃ paṭikkhipitvā āsāḷhīpuṇṇamadivasaṃyeva niyāmento āha – ‘‘ajja pannaraso uposatho’’ti. Pāṭipado dutiyoti evaṃ gaṇiyamāne ajja pannaraso divasoti attho.

    ทิวิ ภวานิ ทิพฺพานิ, ทิพฺพานิ เอตฺถ อตฺถีติ ทิพฺพาฯ กานิ ตานิ? รูปานิฯ ตญฺหิ รตฺติํ เทวานํ ทสสหสฺสิโลกธาตุโต สนฺนิปติตานํ สรีรวตฺถาภรณวิมานปฺปภาหิ อพฺภาทิอุปกฺกิเลสวิรหิตาย จนฺทปฺปภาย จ สกลชมฺพุทีโป อลงฺกโต อโหสิฯ วิเสสาลงฺกโต จ ปรมวิสุทฺธิเทวสฺส ภควโต สรีรปฺปภายฯ เตนาห ‘‘ทิพฺพา รตฺติ อุปฎฺฐิตา’’ติฯ

    Divi bhavāni dibbāni, dibbāni ettha atthīti dibbā. Kāni tāni? Rūpāni. Tañhi rattiṃ devānaṃ dasasahassilokadhātuto sannipatitānaṃ sarīravatthābharaṇavimānappabhāhi abbhādiupakkilesavirahitāya candappabhāya ca sakalajambudīpo alaṅkato ahosi. Visesālaṅkato ca paramavisuddhidevassa bhagavato sarīrappabhāya. Tenāha ‘‘dibbā ratti upaṭṭhitā’’ti.

    เอวํ รตฺติคุณวณฺณนาปเทเสนาปิ สหายสฺส จิตฺตปฺปสาทํ ชเนโนฺต พุทฺธุปฺปาทํ กเถตฺวา อาห ‘‘อโนมนามํ สตฺถารํ, หนฺท ปสฺสาม โคตม’’นฺติฯ ตตฺถ อโนเมหิ อลามเกหิ สพฺพาการปริปูเรหิ คุเณหิ นามํ อสฺสาติ อโนมนาโมฯ ตถา หิสฺส ‘‘พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุโทฺธ, โพเธตา ปชายาติ พุโทฺธ’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทส ๙๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) นเยน พุโทฺธติ อโนเมหิ คุเณหิ นามํ, ‘‘ภคฺคราโคติ ภควา, ภคฺคโทโสติ ภควา’’ติอาทินา (มหานิ. ๘๔) นเยน จ อโนเมหิ คุเณหิ นามํฯ เอส นโย ‘‘อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน’’ติอาทีสุฯ ทิฎฺฐธมฺมิกาทีสุ อเตฺถสุ เทวมนุเสฺส อนุสาสติ ‘‘อิมํ ปชหถ, อิมํ สมาทาย วตฺตถา’’ติ สตฺถาฯ อปิจ ‘‘สตฺถา ภควา สตฺถวาโห, ยถา สตฺถวาโห สเตฺต กนฺตารํ ตาเรตี’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๙๐) นิเทฺทเส วุตฺตนเยนาปิ สตฺถาฯ ตํ อโนมนามํ สตฺถารํฯ หนฺทาติ พฺยวสานเตฺถ นิปาโตฯ ปสฺสามาติ เตน อตฺตานํ สห สงฺคเหตฺวา ปจฺจุปฺปนฺนวจนํฯ โคตมนฺติ โคตมโคตฺตํฯ กิํ วุตฺตํ โหติ ? ‘‘สตฺถา, น สตฺถา’’ติ มา วิมติํ อกาสิ, เอกนฺตพฺยวสิโต หุตฺวาว เอหิ ปสฺสาม โคตมนฺติฯ

    Evaṃ rattiguṇavaṇṇanāpadesenāpi sahāyassa cittappasādaṃ janento buddhuppādaṃ kathetvā āha ‘‘anomanāmaṃ satthāraṃ, handa passāma gotama’’nti. Tattha anomehi alāmakehi sabbākāraparipūrehi guṇehi nāmaṃ assāti anomanāmo. Tathā hissa ‘‘bujjhitā saccānīti buddho, bodhetā pajāyāti buddho’’tiādinā (mahāni. 192; cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddesa 97; paṭi. ma. 1.162) nayena buddhoti anomehi guṇehi nāmaṃ, ‘‘bhaggarāgoti bhagavā, bhaggadosoti bhagavā’’tiādinā (mahāni. 84) nayena ca anomehi guṇehi nāmaṃ. Esa nayo ‘‘arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno’’tiādīsu. Diṭṭhadhammikādīsu atthesu devamanusse anusāsati ‘‘imaṃ pajahatha, imaṃ samādāya vattathā’’ti satthā. Apica ‘‘satthā bhagavā satthavāho, yathā satthavāho satte kantāraṃ tāretī’’tiādinā (mahāni. 190) niddese vuttanayenāpi satthā. Taṃ anomanāmaṃ satthāraṃ. Handāti byavasānatthe nipāto. Passāmāti tena attānaṃ saha saṅgahetvā paccuppannavacanaṃ. Gotamanti gotamagottaṃ. Kiṃ vuttaṃ hoti ? ‘‘Satthā, na satthā’’ti mā vimatiṃ akāsi, ekantabyavasito hutvāva ehi passāma gotamanti.

    ๑๕๔. เอวํ วุเตฺต เหมวโต ‘‘อยํ สาตาคิโร ‘อโนมนามํ สตฺถาร’นฺติ ภณโนฺต ตสฺส สพฺพญฺญุตํ ปกาเสติ, สพฺพญฺญุโน จ ทุลฺลภา โลเก, สพฺพญฺญุปฎิเญฺญหิ ปูรณาทิสทิเสเหว โลโก อุปทฺทุโตฯ โส ปน ยทิ สพฺพญฺญู, อทฺธา ตาทิลกฺขณปฺปโตฺต ภวิสฺสติ, เตน ตํ เอวํ ปริคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตาทิลกฺขณํ ปุจฺฉโนฺต อาห – ‘‘กจฺจิ มโน’’ติฯ

    154. Evaṃ vutte hemavato ‘‘ayaṃ sātāgiro ‘anomanāmaṃ satthāra’nti bhaṇanto tassa sabbaññutaṃ pakāseti, sabbaññuno ca dullabhā loke, sabbaññupaṭiññehi pūraṇādisadiseheva loko upadduto. So pana yadi sabbaññū, addhā tādilakkhaṇappatto bhavissati, tena taṃ evaṃ pariggaṇhissāmī’’ti cintetvā tādilakkhaṇaṃ pucchanto āha – ‘‘kacci mano’’ti.

    ตตฺถ กจฺจีติ ปุจฺฉาฯ มโนติ จิตฺตํฯ สุปณิหิโตติ สุฎฺฐุ ฐปิโต, อจโล อสมฺปเวธีฯ สเพฺพสุ ภูเตสุ สพฺพภูเตสุฯ ตาทิโนติ ตาทิลกฺขณปฺปตฺตเสฺสว สโตฯ ปุจฺฉา เอว วา อยํ ‘‘โส เต สตฺถา สพฺพภูเตสุ ตาที, อุทาหุ โน’’ติฯ อิเฎฺฐ อนิเฎฺฐ จาติ เอวรูเป อารมฺมเณฯ สงฺกปฺปาติ วิตกฺกาฯ วสีกตาติ วสํ คมิตาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยํ ตฺวํ สตฺถารํ วทสิ, ตสฺส เต สตฺถุโน กจฺจิ ตาทิลกฺขณปฺปตฺตสฺส สโต สพฺพภูเตสุ มโน สุปณิหิโต, อุทาหุ ยาว จลนปจฺจยํ น ลภติ, ตาว สุปณิหิโต วิย ขายติฯ โส วา เต สตฺถา กจฺจิ สพฺพภูเตสุ สมจิเตฺตน ตาที, อุทาหุ โน, เย จ โข อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ อารมฺมเณสุ ราคโทสวเสน สงฺกปฺปา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตฺยาสฺส กจฺจิ วสีกตา, อุทาหุ กทาจิ เตสมฺปิ วเสน วตฺตตีติฯ

    Tattha kaccīti pucchā. Manoti cittaṃ. Supaṇihitoti suṭṭhu ṭhapito, acalo asampavedhī. Sabbesu bhūtesu sabbabhūtesu. Tādinoti tādilakkhaṇappattasseva sato. Pucchā eva vā ayaṃ ‘‘so te satthā sabbabhūtesu tādī, udāhu no’’ti. Iṭṭhe aniṭṭhe cāti evarūpe ārammaṇe. Saṅkappāti vitakkā. Vasīkatāti vasaṃ gamitā. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yaṃ tvaṃ satthāraṃ vadasi, tassa te satthuno kacci tādilakkhaṇappattassa sato sabbabhūtesu mano supaṇihito, udāhu yāva calanapaccayaṃ na labhati, tāva supaṇihito viya khāyati. So vā te satthā kacci sabbabhūtesu samacittena tādī, udāhu no, ye ca kho iṭṭhāniṭṭhesu ārammaṇesu rāgadosavasena saṅkappā uppajjeyyuṃ, tyāssa kacci vasīkatā, udāhu kadāci tesampi vasena vattatīti.

    ๑๕๕. ตโต สาตาคิโร ภควโต สพฺพญฺญุภาเว พฺยวสิตตฺตา สเพฺพ สพฺพญฺญุคุเณ อนุชานโนฺต อาห ‘‘มโน จสฺส สุปณิหิโต’’ติอาทิฯ ตตฺถ สุปณิหิโตติ สุฎฺฐุ ฐปิโต, ปถวีสโม อวิรุชฺฌนเฎฺฐน, สิเนรุสโม สุปฺปติฎฺฐิตาจลนเฎฺฐน, อินฺทขีลสโม จตุพฺพิธมารปรวาทิคเณหิ อกมฺปิยเฎฺฐนฯ อนจฺฉริยเญฺจตํ, ภควโต อิทานิ สพฺพาการสมฺปนฺนตฺตา สพฺพญฺญุภาเว ฐิตสฺส มโน สุปณิหิโต อจโล ภเวยฺยฯ ยสฺส ติรจฺฉานภูตสฺสาปิ สราคาทิกาเล ฉทฺทนฺตนาคกุเล อุปฺปนฺนสฺส สวิเสน สเลฺลน วิทฺธสฺส อจโล อโหสิ, วธเกปิ ตสฺมิํ นปฺปทุสฺสิ, อญฺญทตฺถุ ตเสฺสว อตฺตโน ทเนฺต เฉตฺวา อทาสิ; ตถา มหากปิภูตสฺส มหติยา สิลาย สีเส ปหฎสฺสาปิ ตเสฺสว จ มคฺคํ ทเสฺสสิ; ตถา วิธุรปณฺฑิตภูตสฺส ปาเทสุ คเหตฺวา สฎฺฐิโยชเน กาฬปพฺพตปปาเต ปกฺขิตฺตสฺสาปิ อญฺญทตฺถุ ตเสฺสว ยกฺขสฺสตฺถาย ธมฺมํ เทเสสิฯ ตสฺมา สมฺมเทว อาห สาตาคิโร – ‘‘มโน จสฺส สุปณิหิโต’’ติฯ

    155. Tato sātāgiro bhagavato sabbaññubhāve byavasitattā sabbe sabbaññuguṇe anujānanto āha ‘‘mano cassa supaṇihito’’tiādi. Tattha supaṇihitoti suṭṭhu ṭhapito, pathavīsamo avirujjhanaṭṭhena, sinerusamo suppatiṭṭhitācalanaṭṭhena, indakhīlasamo catubbidhamāraparavādigaṇehi akampiyaṭṭhena. Anacchariyañcetaṃ, bhagavato idāni sabbākārasampannattā sabbaññubhāve ṭhitassa mano supaṇihito acalo bhaveyya. Yassa tiracchānabhūtassāpi sarāgādikāle chaddantanāgakule uppannassa savisena sallena viddhassa acalo ahosi, vadhakepi tasmiṃ nappadussi, aññadatthu tasseva attano dante chetvā adāsi; tathā mahākapibhūtassa mahatiyā silāya sīse pahaṭassāpi tasseva ca maggaṃ dassesi; tathā vidhurapaṇḍitabhūtassa pādesu gahetvā saṭṭhiyojane kāḷapabbatapapāte pakkhittassāpi aññadatthu tasseva yakkhassatthāya dhammaṃ desesi. Tasmā sammadeva āha sātāgiro – ‘‘mano cassa supaṇihito’’ti.

    สพฺพภูเตสุ ตาทิโนติ สพฺพสเตฺตสุ ตาทิลกฺขณปฺปตฺตเสฺสว สโต มโน สุปณิหิโต, น ยาว ปจฺจยํ น ลภตีติ อโตฺถ ฯ ตตฺถ ภควโต ตาทิลกฺขณํ ปญฺจธา เวทิตพฺพํฯ ยถาห –

    Sabbabhūtesutādinoti sabbasattesu tādilakkhaṇappattasseva sato mano supaṇihito, na yāva paccayaṃ na labhatīti attho . Tattha bhagavato tādilakkhaṇaṃ pañcadhā veditabbaṃ. Yathāha –

    ‘‘ภควา ปญฺจหากาเรหิ ตาที, อิฎฺฐานิเฎฺฐ ตาที, จตฺตาวีติ ตาที, มุตฺตาวีติ ตาที, ติณฺณาวีติ ตาที, ตนฺนิเทฺทสาติ ตาทีฯ กถํ ภควา อิฎฺฐานิเฎฺฐ ตาที? ภควา ลาเภปิ ตาที’’ติ (มหานิ. ๓๘)ฯ

    ‘‘Bhagavā pañcahākārehi tādī, iṭṭhāniṭṭhe tādī, cattāvīti tādī, muttāvīti tādī, tiṇṇāvīti tādī, tanniddesāti tādī. Kathaṃ bhagavā iṭṭhāniṭṭhe tādī? Bhagavā lābhepi tādī’’ti (mahāni. 38).

    เอวมาทิ สพฺพํ นิเทฺทเส วุตฺตนเยเนว คเหตพฺพํฯ ลาภาทโย จ ตสฺส มหาอฎฺฐกถายํ วิตฺถาริตนเยน เวทิตพฺพาฯ ‘‘ปุจฺฉา เอว วา อยํฯ โส เต สตฺถา สพฺพภูเตสุ ตาที, อุทาหุ โน’’ติ อิมสฺมิมฺปิ วิกเปฺป สพฺพภูเตสุ สมจิตฺตตาย ตาที อมฺหากํ สตฺถาติ อโตฺถฯ อยญฺหิ ภควา สุขูปสํหารกามตาย ทุกฺขาปนยนกามตาย จ สพฺพสเตฺตสุ สมจิโตฺต, ยาทิโส อตฺตนิ, ตาทิโส ปเรสุ, ยาทิโส มาตริ มหามายาย, ตาทิโส จิญฺจมาณวิกาย, ยาทิโส ปิตริ สุโทฺธทเน, ตาทิโส สุปฺปพุเทฺธ, ยาทิโส ปุเตฺต ราหุเล, ตาทิโส วธเกสุ เทวทตฺตธนปาลกองฺคุลิมาลาทีสุฯ สเทวเก โลเกปิ ตาทีฯ ตสฺมา สมฺมเทวาห สาตาคิโร – ‘‘สพฺพภูเตสุ ตาทิโน’’ติฯ

    Evamādi sabbaṃ niddese vuttanayeneva gahetabbaṃ. Lābhādayo ca tassa mahāaṭṭhakathāyaṃ vitthāritanayena veditabbā. ‘‘Pucchā eva vā ayaṃ. So te satthā sabbabhūtesu tādī, udāhu no’’ti imasmimpi vikappe sabbabhūtesu samacittatāya tādī amhākaṃ satthāti attho. Ayañhi bhagavā sukhūpasaṃhārakāmatāya dukkhāpanayanakāmatāya ca sabbasattesu samacitto, yādiso attani, tādiso paresu, yādiso mātari mahāmāyāya, tādiso ciñcamāṇavikāya, yādiso pitari suddhodane, tādiso suppabuddhe, yādiso putte rāhule, tādiso vadhakesu devadattadhanapālakaaṅgulimālādīsu. Sadevake lokepi tādī. Tasmā sammadevāha sātāgiro – ‘‘sabbabhūtesu tādino’’ti.

    อโถ อิเฎฺฐ อนิเฎฺฐ จาติฯ เอตฺถ ปน เอวํ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ – ยํ กิญฺจิ อิฎฺฐํ วา อนิฎฺฐํ วา อารมฺมณํ, สพฺพปฺปกาเรหิ ตตฺถ เย ราคโทสวเสน สงฺกปฺปา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตฺยาสฺส อนุตฺตเรน มเคฺคน ราคาทีนํ ปหีนตฺตา วสีกตา, น กทาจิ เตสํ วเส วตฺตติฯ โส หิ ภควา อนาวิลสงฺกโปฺป สุวิมุตฺตจิโตฺต สุวิมุตฺตปโญฺญติฯ เอตฺถ จ สุปณิหิตมนตาย อโยนิโสมนสิการาภาโว วุโตฺตฯ สพฺพภูเตสุ อิฎฺฐานิเฎฺฐหิ โส ยตฺถ ภเวยฺย, ตํ สตฺตสงฺขารเภทโต ทุวิธมารมฺมณํ วุตฺตํฯ สงฺกปฺปวสีภาเวน ตสฺมิํ อารมฺมเณ ตสฺส มนสิการาภาวโต กิเลสปฺปหานํ วุตฺตํฯ สุปณิหิตมนตาย จ มโนสมาจารสุทฺธิ, สพฺพภูเตสุ ตาทิตาย กายสมาจารสุทฺธิ, สงฺกปฺปวสีภาเวน วิตกฺกมูลกตฺตา วาจาย วจีสมาจารสุทฺธิฯ ตถา สุปณิหิตมนตาย โลภาทิสพฺพโทสาภาโว , สพฺพภูเตสุ ตาทิตาย เมตฺตาทิคุณสพฺภาโว, สงฺกปฺปวสีภาเวน ปฎิกูเล อปฺปฎิกูลสญฺญิตาทิเภทา อริยิทฺธิ, ตาย จสฺส สพฺพญฺญุภาโว วุโตฺต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Atho iṭṭhe aniṭṭhe cāti. Ettha pana evaṃ attho daṭṭhabbo – yaṃ kiñci iṭṭhaṃ vā aniṭṭhaṃ vā ārammaṇaṃ, sabbappakārehi tattha ye rāgadosavasena saṅkappā uppajjeyyuṃ, tyāssa anuttarena maggena rāgādīnaṃ pahīnattā vasīkatā, na kadāci tesaṃ vase vattati. So hi bhagavā anāvilasaṅkappo suvimuttacitto suvimuttapaññoti. Ettha ca supaṇihitamanatāya ayonisomanasikārābhāvo vutto. Sabbabhūtesu iṭṭhāniṭṭhehi so yattha bhaveyya, taṃ sattasaṅkhārabhedato duvidhamārammaṇaṃ vuttaṃ. Saṅkappavasībhāvena tasmiṃ ārammaṇe tassa manasikārābhāvato kilesappahānaṃ vuttaṃ. Supaṇihitamanatāya ca manosamācārasuddhi, sabbabhūtesu tāditāya kāyasamācārasuddhi, saṅkappavasībhāvena vitakkamūlakattā vācāya vacīsamācārasuddhi. Tathā supaṇihitamanatāya lobhādisabbadosābhāvo , sabbabhūtesu tāditāya mettādiguṇasabbhāvo, saṅkappavasībhāvena paṭikūle appaṭikūlasaññitādibhedā ariyiddhi, tāya cassa sabbaññubhāvo vutto hotīti veditabbo.

    ๑๕๖. เอวํ เหมวโต ปุเพฺพ มโนทฺวารวเสเนว ตาทิภาวํ ปุจฺฉิตฺวา ตญฺจ ปฎิชานนฺตมิมํ สุตฺวา ทฬฺหีกมฺมตฺถํ อิทานิ ทฺวารตฺตยวเสนาปิ, ปุเพฺพ วา สเงฺขเปน กายวจีมโนทฺวารสุทฺธิํ ปุจฺฉิตฺวา ตญฺจ ปฎิชานนฺตมิมํ สุตฺวา ทฬฺหีกมฺมตฺถเมว วิตฺถาเรนาปิ ปุจฺฉโนฺต อาห ‘‘กจฺจิ อทินฺน’’นฺติฯ ตตฺถ คาถาพนฺธสุขตฺถาย ปฐมํ อทินฺนาทานวิรติํ ปุจฺฉติฯ อารา ปมาทมฺหาติ ปญฺจสุ กามคุเณสุ จิตฺตโวสฺสคฺคโต ทูรีภาเวน อพฺรหฺมจริยวิรติํ ปุจฺฉติฯ ‘‘อารา ปมทมฺหา’’ติปิ ปฐนฺติ, อารา มาตุคามาติ วุตฺตํ โหติฯ ฌานํ น ริญฺจตีติ อิมินา ปน ตสฺสาเยว ติวิธาย กายทุจฺจริตวิรติยา พลวภาวํ ปุจฺฉติฯ ฌานยุตฺตสฺส หิ วิรติ พลวตี โหตีติฯ

    156. Evaṃ hemavato pubbe manodvāravaseneva tādibhāvaṃ pucchitvā tañca paṭijānantamimaṃ sutvā daḷhīkammatthaṃ idāni dvārattayavasenāpi, pubbe vā saṅkhepena kāyavacīmanodvārasuddhiṃ pucchitvā tañca paṭijānantamimaṃ sutvā daḷhīkammatthameva vitthārenāpi pucchanto āha ‘‘kacci adinna’’nti. Tattha gāthābandhasukhatthāya paṭhamaṃ adinnādānaviratiṃ pucchati. Ārā pamādamhāti pañcasu kāmaguṇesu cittavossaggato dūrībhāvena abrahmacariyaviratiṃ pucchati. ‘‘Ārā pamadamhā’’tipi paṭhanti, ārā mātugāmāti vuttaṃ hoti. Jhānaṃ na riñcatīti iminā pana tassāyeva tividhāya kāyaduccaritaviratiyā balavabhāvaṃ pucchati. Jhānayuttassa hi virati balavatī hotīti.

    ๑๕๗. อถ สาตาคิโร ยสฺมา ภควา น เกวลํ เอตรหิ, อตีเตปิ อทฺธาเน ทีฆรตฺตํ อทินฺนาทานาทีหิ ปฎิวิรโต, ตสฺสา ตสฺสาเยว จ วิรติยา อานุภาเวน ตํ ตํ มหาปุริสลกฺขณํ ปฎิลภิ, สเทวโก จสฺส โลโก ‘‘อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต สมโณ โคตโม’’ติอาทินา นเยน วณฺณํ ภาสติฯ ตสฺมา วิสฺสฎฺฐาย วาจาย สีหนาทํ นทโนฺต อาห ‘‘น โส อทินฺนํ อาทิยตี’’ติฯ ตํ อตฺถโต ปากฎเมวฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย ตติยปาเท ‘‘ปมาทมฺหา ปมทมฺหา’’ติ ทฺวิธา ปาโฐฯ จตุตฺถปาเท จ ฌานํ น ริญฺจตีติ ฌานํ ริตฺตกํ สุญฺญกํ น กโรติ, น ปริจฺจชตีติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    157. Atha sātāgiro yasmā bhagavā na kevalaṃ etarahi, atītepi addhāne dīgharattaṃ adinnādānādīhi paṭivirato, tassā tassāyeva ca viratiyā ānubhāvena taṃ taṃ mahāpurisalakkhaṇaṃ paṭilabhi, sadevako cassa loko ‘‘adinnādānā paṭivirato samaṇo gotamo’’tiādinā nayena vaṇṇaṃ bhāsati. Tasmā vissaṭṭhāya vācāya sīhanādaṃ nadanto āha ‘‘na so adinnaṃ ādiyatī’’ti. Taṃ atthato pākaṭameva. Imissāpi gāthāya tatiyapāde ‘‘pamādamhā pamadamhā’’ti dvidhā pāṭho. Catutthapāde ca jhānaṃ na riñcatīti jhānaṃ rittakaṃ suññakaṃ na karoti, na pariccajatīti attho veditabbo.

    ๑๕๘. เอวํ กายทฺวาเร สุทฺธิํ สุตฺวา อิทานิ วจีทฺวาเร สุทฺธิํ ปุจฺฉโนฺต อาห – ‘‘กจฺจิ มุสา น ภณตี’’ติฯ เอตฺถ ขีณาตีติ ขีโณ, วิหิํสติ พธตีติ อโตฺถฯ วาจาย ปโถ พฺยปฺปโถ, ขีโณ พฺยปฺปโถ อสฺสาติ ขีณพฺยปฺปโถฯ ตํ น-กาเรน ปฎิเสเธตฺวา ปุจฺฉติ ‘‘น ขีณพฺยปฺปโถ’’ติ, น ผรุสวาโจติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘นาขีณพฺยปฺปโถ’’ติปิ ปาโฐ, น อขีณวจโนติ อโตฺถฯ ผรุสวจนญฺหิ ปเรสํ หทเย อขียมานํ ติฎฺฐติฯ ตาทิสวจโน กจฺจิ น โสติ วุตฺตํ โหติฯ วิภูตีติ วินาโส, วิภูติํ กาสติ กโรติ วาติ วิภูติกํ, วิภูติกเมว เวภูติกํ, เวภูติยนฺติปิ วุจฺจติ, เปสุญฺญเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตญฺหิ สตฺตานํ อญฺญมญฺญโต เภทเนน วินาสํ กโรติฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    158. Evaṃ kāyadvāre suddhiṃ sutvā idāni vacīdvāre suddhiṃ pucchanto āha – ‘‘kacci musā na bhaṇatī’’ti. Ettha khīṇātīti khīṇo, vihiṃsati badhatīti attho. Vācāya patho byappatho, khīṇo byappatho assāti khīṇabyappatho. Taṃ na-kārena paṭisedhetvā pucchati ‘‘na khīṇabyappatho’’ti, na pharusavācoti vuttaṃ hoti. ‘‘Nākhīṇabyappatho’’tipi pāṭho, na akhīṇavacanoti attho. Pharusavacanañhi paresaṃ hadaye akhīyamānaṃ tiṭṭhati. Tādisavacano kacci na soti vuttaṃ hoti. Vibhūtīti vināso, vibhūtiṃ kāsati karoti vāti vibhūtikaṃ, vibhūtikameva vebhūtikaṃ, vebhūtiyantipi vuccati, pesuññassetaṃ adhivacanaṃ. Tañhi sattānaṃ aññamaññato bhedanena vināsaṃ karoti. Sesaṃ uttānatthameva.

    ๑๕๙. อถ สาตาคิโร ยสฺมา ภควา น เกวลํ เอตรหิ, อตีเตปิ อทฺธาเน ทีฆรตฺตํ มุสาวาทาทีหิ ปฎิวิรโต, ตสฺสา ตสฺสาเยว จ วิรติยา อานุภาเวน ตํ ตํ มหาปุริสลกฺขณํ ปฎิลภิ, สเทวโก จสฺส โลโก ‘‘มุสาวาทา ปฎิวิรโต สมโณ โคตโม’’ติ วณฺณํ ภาสติฯ ตสฺมา วิสฺสฎฺฐาย วาจาย สีหนาทํ นทโนฺต อาห, ‘‘มุสา จ โส น ภณตี’’ติฯ ตตฺถ มุสาติ วินิธาย ทิฎฺฐาทีนิ ปรวิสํวาทนวจนํฯ ตํ โส น ภณติฯ ทุติยปาเท ปน ปฐมตฺถวเสน น ขีณพฺยปฺปโถติ, ทุติยตฺถวเสน นาขีณพฺยปฺปโถติ ปาโฐฯ จตุตฺถปาเท มนฺตาติ ปญฺญา วุจฺจติฯ ภควา ยสฺมา ตาย มนฺตาย ปริจฺฉินฺทิตฺวา อตฺถเมว ภาสติ อตฺถโต อนเปตวจนํ, น สมฺผํ ฯ อญฺญาณปุเรกฺขารญฺหิ นิรตฺถกวจนํ พุทฺธานํ นตฺถิฯ ตสฺมา อาห – ‘‘มนฺตา อตฺถํ โส ภาสตี’’ติฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ

    159. Atha sātāgiro yasmā bhagavā na kevalaṃ etarahi, atītepi addhāne dīgharattaṃ musāvādādīhi paṭivirato, tassā tassāyeva ca viratiyā ānubhāvena taṃ taṃ mahāpurisalakkhaṇaṃ paṭilabhi, sadevako cassa loko ‘‘musāvādā paṭivirato samaṇo gotamo’’ti vaṇṇaṃ bhāsati. Tasmā vissaṭṭhāya vācāya sīhanādaṃ nadanto āha, ‘‘musā ca so na bhaṇatī’’ti. Tattha musāti vinidhāya diṭṭhādīni paravisaṃvādanavacanaṃ. Taṃ so na bhaṇati. Dutiyapāde pana paṭhamatthavasena na khīṇabyappathoti, dutiyatthavasena nākhīṇabyappathoti pāṭho. Catutthapāde mantāti paññā vuccati. Bhagavā yasmā tāya mantāya paricchinditvā atthameva bhāsati atthato anapetavacanaṃ, na samphaṃ . Aññāṇapurekkhārañhi niratthakavacanaṃ buddhānaṃ natthi. Tasmā āha – ‘‘mantā atthaṃ so bhāsatī’’ti. Sesamettha pākaṭameva.

    ๑๖๐. เอวํ วจีทฺวารสุทฺธิมฺปิ สุตฺวา อิทานิ มโนทฺวารสุทฺธิํ ปุจฺฉโนฺต อาห ‘‘กจฺจิ น รชฺชติ กาเมสู’’ติฯ ตตฺถ กามาติ วตฺถุกามาฯ เตสุ กิเลสกาเมน น รชฺชตีติ ปุจฺฉโนฺต อนภิชฺฌาลุตํ ปุจฺฉติฯ อนาวิลนฺติ ปุจฺฉโนฺต พฺยาปาเทน อาวิลภาวํ สนฺธาย อพฺยาปาทตํ ปุจฺฉติฯ โมหํ อติกฺกโนฺตติ ปุจฺฉโนฺต เยน โมเหน มูโฬฺห มิจฺฉาทิฎฺฐิํ คณฺหาติ, ตสฺสาติกฺกเมน สมฺมาทิฎฺฐิตํ ปุจฺฉติฯ ธเมฺมสุ จกฺขุมาติ ปุจฺฉโนฺต สพฺพธเมฺมสุ อปฺปฎิหตสฺส ญาณจกฺขุโน, ปญฺจจกฺขุวิสเยสุ วา ธเมฺมสุ ปญฺจนฺนมฺปิ จกฺขูนํ วเสน สพฺพญฺญุตํ ปุจฺฉติ ‘‘ทฺวารตฺตยปาริสุทฺธิยาปิ สพฺพญฺญู น โหตี’’ติ จิเนฺตตฺวาฯ

    160. Evaṃ vacīdvārasuddhimpi sutvā idāni manodvārasuddhiṃ pucchanto āha ‘‘kacci na rajjati kāmesū’’ti. Tattha kāmāti vatthukāmā. Tesu kilesakāmena na rajjatīti pucchanto anabhijjhālutaṃ pucchati. Anāvilanti pucchanto byāpādena āvilabhāvaṃ sandhāya abyāpādataṃ pucchati. Mohaṃ atikkantoti pucchanto yena mohena mūḷho micchādiṭṭhiṃ gaṇhāti, tassātikkamena sammādiṭṭhitaṃ pucchati. Dhammesu cakkhumāti pucchanto sabbadhammesu appaṭihatassa ñāṇacakkhuno, pañcacakkhuvisayesu vā dhammesu pañcannampi cakkhūnaṃ vasena sabbaññutaṃ pucchati ‘‘dvārattayapārisuddhiyāpi sabbaññū na hotī’’ti cintetvā.

    ๑๖๑. อถ สาตาคิโร ยสฺมา ภควา อปฺปตฺวาว อรหตฺตํ อนาคามิมเคฺคน กามราคพฺยาปาทานํ ปหีนตฺตา เนว กาเมสุ รชฺชติ, น พฺยาปาเทน อาวิลจิโตฺต, โสตาปตฺติมเคฺคเนว จ มิจฺฉาทิฎฺฐิปจฺจยสฺส สจฺจปฎิจฺฉาทกโมหสฺส ปหีนตฺตา โมหํ อติกฺกโนฺต, สามญฺจ สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา พุโทฺธติ วิโมกฺขนฺติกํ นามํ ยถาวุตฺตานิ จ จกฺขูนิ ปฎิลภิ, ตสฺมา ตสฺส มโนทฺวารสุทฺธิํ สพฺพญฺญุตญฺจ อุโคฺฆเสโนฺต อาห ‘‘น โส รชฺชติ กาเมสู’’ติฯ

    161. Atha sātāgiro yasmā bhagavā appatvāva arahattaṃ anāgāmimaggena kāmarāgabyāpādānaṃ pahīnattā neva kāmesu rajjati, na byāpādena āvilacitto, sotāpattimaggeneva ca micchādiṭṭhipaccayassa saccapaṭicchādakamohassa pahīnattā mohaṃ atikkanto, sāmañca saccāni abhisambujjhitvā buddhoti vimokkhantikaṃ nāmaṃ yathāvuttāni ca cakkhūni paṭilabhi, tasmā tassa manodvārasuddhiṃ sabbaññutañca ugghosento āha ‘‘na so rajjati kāmesū’’ti.

    ๑๖๒. เอวํ เหมวโต ภควโต ทฺวารตฺตยปาริสุทฺธิํ สพฺพญฺญุตญฺจ สุตฺวา หโฎฺฐ อุทโคฺค อตีตชาติยํ พาหุสจฺจวิสทาย ปญฺญาย อสชฺชมานวจนปฺปโถ หุตฺวา อจฺฉริยพฺภุตรูเป สพฺพญฺญุคุเณ โสตุกาโม อาห ‘‘กจฺจิ วิชฺชาย สมฺปโนฺน’’ติฯ ตตฺถ วิชฺชาย สมฺปโนฺนติ อิมินา ทสฺสนสมฺปตฺติํ ปุจฺฉติ, สํสุทฺธจารโณติ อิมินา คมนสมฺปตฺติํฯ ฉนฺทวเสน เจตฺถ ทีฆํ กตฺวา จาการมาห, สํสุทฺธจรโณติ อโตฺถฯ อาสวา ขีณาติ อิมินา เอตาย ทสฺสนคมนสมฺปตฺติยา ปตฺตพฺพาย อาสวกฺขยสญฺญิตาย ปฐมนิพฺพานธาตุยา ปตฺติํ ปุจฺฉติ, นตฺถิ ปุนพฺภโวติ อิมินา ทุติยนิพฺพานธาตุปตฺติสมตฺถตํ, ปจฺจเวกฺขณญาเณน วา ปรมสฺสาสปฺปตฺติํ ญตฺวา ฐิตภาวํฯ

    162. Evaṃ hemavato bhagavato dvārattayapārisuddhiṃ sabbaññutañca sutvā haṭṭho udaggo atītajātiyaṃ bāhusaccavisadāya paññāya asajjamānavacanappatho hutvā acchariyabbhutarūpe sabbaññuguṇe sotukāmo āha ‘‘kacci vijjāya sampanno’’ti. Tattha vijjāya sampannoti iminā dassanasampattiṃ pucchati, saṃsuddhacāraṇoti iminā gamanasampattiṃ. Chandavasena cettha dīghaṃ katvā cākāramāha, saṃsuddhacaraṇoti attho. Āsavā khīṇāti iminā etāya dassanagamanasampattiyā pattabbāya āsavakkhayasaññitāya paṭhamanibbānadhātuyā pattiṃ pucchati, natthi punabbhavoti iminā dutiyanibbānadhātupattisamatthataṃ, paccavekkhaṇañāṇena vā paramassāsappattiṃ ñatvā ṭhitabhāvaṃ.

    ๑๖๓. ตโต ยา เอสา ‘‘โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาส’’นฺติอาทินา (ม. นิ. ๑.๕๒) นเยน ภยเภรวาทีสุ ติวิธา, ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต…เป.… อาเนญฺชปฺปเตฺต ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๒๗๙) นเยน อมฺพฎฺฐาทีสุ อฎฺฐวิธา วิชฺชา วุตฺตา, ตาย ยสฺมา สพฺพายปิ สพฺพาการสมฺปนฺนาย ภควา อุเปโตฯ ยเญฺจตํ ‘‘อิธ, มหานาม, อริยสาวโก สีลสมฺปโนฺน โหติ, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ, โภชเน มตฺตญฺญู โหติ , ชาคริยํ อนุยุโตฺต โหติ, สตฺตหิ สทฺธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โหติ, จตุนฺนํ ฌานานํ อาภิเจตสิกานํ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารานํ นิกามลาภี โหตี’’ติ เอวํ อุทฺทิสิตฺวา ‘‘กถญฺจ, มหานาม, อริยสาวโก สีลสมฺปโนฺน โหตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๒.๒๔) นเยน เสขสุเตฺต นิทฺทิฎฺฐํ ปนฺนรสปฺปเภทํ จรณํฯ ตญฺจ ยสฺมา สพฺพูปกฺกิเลสปฺปหาเนน ภควโต อติวิย สํสุทฺธํฯ เยปิเม กามาสวาทโย จตฺตาโร อาสวา, เตปิ ยสฺมา สเพฺพ สปริวารา สวาสนา ภควโต ขีณาฯ ยสฺมา จ อิมาย วิชฺชาจรณสมฺปทาย ขีณาสโว หุตฺวา ตทา ภควา ‘‘นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’ติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ฐิโต, ตสฺมา สาตาคิโร ภควโต สพฺพญฺญุภาเว พฺยวสาเยน สมุสฺสาหิตหทโย สเพฺพปิ คุเณ อนุชานโนฺต อาห ‘‘วิชฺชาย เจว สมฺปโนฺน’’ติฯ

    163. Tato yā esā ‘‘so anekavihitaṃ pubbenivāsa’’ntiādinā (ma. ni. 1.52) nayena bhayabheravādīsu tividhā, ‘‘so evaṃ samāhite citte…pe… āneñjappatte ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharatī’’tiādinā (dī. ni. 1.279) nayena ambaṭṭhādīsu aṭṭhavidhā vijjā vuttā, tāya yasmā sabbāyapi sabbākārasampannāya bhagavā upeto. Yañcetaṃ ‘‘idha, mahānāma, ariyasāvako sīlasampanno hoti, indriyesu guttadvāro hoti, bhojane mattaññū hoti , jāgariyaṃ anuyutto hoti, sattahi saddhammehi samannāgato hoti, catunnaṃ jhānānaṃ ābhicetasikānaṃ diṭṭhadhammasukhavihārānaṃ nikāmalābhī hotī’’ti evaṃ uddisitvā ‘‘kathañca, mahānāma, ariyasāvako sīlasampanno hotī’’tiādinā (ma. ni. 2.24) nayena sekhasutte niddiṭṭhaṃ pannarasappabhedaṃ caraṇaṃ. Tañca yasmā sabbūpakkilesappahānena bhagavato ativiya saṃsuddhaṃ. Yepime kāmāsavādayo cattāro āsavā, tepi yasmā sabbe saparivārā savāsanā bhagavato khīṇā. Yasmā ca imāya vijjācaraṇasampadāya khīṇāsavo hutvā tadā bhagavā ‘‘natthi dāni punabbhavo’’ti paccavekkhitvā ṭhito, tasmā sātāgiro bhagavato sabbaññubhāve byavasāyena samussāhitahadayo sabbepi guṇe anujānanto āha ‘‘vijjāya ceva sampanno’’ti.

    ๑๖๔. ตโต เหมวโต ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควา’’ติ ภควติ นิกฺกโงฺข หุตฺวา อากาเส ฐิโตเยว ภควนฺตํ ปสํสโนฺต สาตาคิรญฺจ อาราเธโนฺต อาห ‘‘สมฺปนฺนํ มุนิโน จิตฺต’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – สมฺปนฺนํ มุนิโน จิตฺตํ, ‘‘มโน จสฺส สุปณิหิโต’’ติ เอตฺถ วุตฺตตาทิภาเวน ปุณฺณํ สมฺปุณฺณํ, ‘‘น โส อทินฺนํ อาทิยตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตกายกมฺมุนา, ‘‘น โส รชฺชติ กาเมสู’’ติ เอตฺถ วุตฺตมโนกมฺมุนา จ ปุณฺณํ สมฺปุณฺณํ, ‘‘มุสา จ โส น ภณตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตพฺยปฺปเถน จ วจีกมฺมุนาติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ สมฺปนฺนจิตฺตญฺจ อนุตฺตราย วิชฺชาจรณสมฺปทาย สมฺปนฺนตฺตา วิชฺชาจรณสมฺปนฺนญฺจ อิเมหิ คุเณหิ ‘‘มโน จสฺส สุปณิหิโต’’ติอาทินา นเยน ธมฺมโต นํ ปสํสสิ, สภาวโต ตจฺฉโต ภูตโต เอว นํ ปสํสสิ, น เกวลํ สทฺธามตฺตเกนาติ ทเสฺสติฯ

    164. Tato hemavato ‘‘sammāsambuddho bhagavā’’ti bhagavati nikkaṅkho hutvā ākāse ṭhitoyeva bhagavantaṃ pasaṃsanto sātāgirañca ārādhento āha ‘‘sampannaṃ munino citta’’nti. Tassattho – sampannaṃ munino cittaṃ, ‘‘mano cassa supaṇihito’’ti ettha vuttatādibhāvena puṇṇaṃ sampuṇṇaṃ, ‘‘na so adinnaṃ ādiyatī’’ti ettha vuttakāyakammunā, ‘‘na so rajjati kāmesū’’ti ettha vuttamanokammunā ca puṇṇaṃ sampuṇṇaṃ, ‘‘musā ca so na bhaṇatī’’ti ettha vuttabyappathena ca vacīkammunāti vuttaṃ hoti. Evaṃ sampannacittañca anuttarāya vijjācaraṇasampadāya sampannattā vijjācaraṇasampannañca imehi guṇehi ‘‘mano cassa supaṇihito’’tiādinā nayena dhammato naṃ pasaṃsasi, sabhāvato tacchato bhūtato eva naṃ pasaṃsasi, na kevalaṃ saddhāmattakenāti dasseti.

    ๑๖๕-๑๖๖. ตโต สาตาคิโรปิ ‘‘เอวเมตํ, มาริส, สุฎฺฐุ ตยา ญาตญฺจ อนุโมทิตญฺจา’’ติ อธิปฺปาเยน ตเมว สํราเธโนฺต อาห – ‘‘สมฺปนฺนํ มุนิโน…เป.… ธมฺมโต อนุโมทสี’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุน ภควโต ทสฺสเน ตํ อภิตฺถวยมาโน อาห ‘‘สมฺปนฺนํ…เป.… หนฺท ปสฺสาม โคตม’’นฺติฯ

    165-166. Tato sātāgiropi ‘‘evametaṃ, mārisa, suṭṭhu tayā ñātañca anumoditañcā’’ti adhippāyena tameva saṃrādhento āha – ‘‘sampannaṃ munino…pe… dhammato anumodasī’’ti. Evañca pana vatvā puna bhagavato dassane taṃ abhitthavayamāno āha ‘‘sampannaṃ…pe… handa passāma gotama’’nti.

    ๑๖๗. อถ เหมวโต อตฺตโน อภิรุจิตคุเณหิ ปุริมชาติพาหุสจฺจพเลน ภควนฺตํ อภิตฺถุนโนฺต สาตาคิรํ อาห – ‘‘เอณิชงฺฆํ…เป.… เอหิ ปสฺสาม โคตม’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – เอณิมิคเสฺสว ชงฺฆา อสฺสาติ เอณิชโงฺฆฯ พุทฺธานญฺหิ เอณิมิคเสฺสว อนุปุพฺพวฎฺฎา ชงฺฆา โหนฺติ, น ปุรโต นิมฺมํสา ปจฺฉโต สุสุมารกุจฺฉิ วิย อุทฺธุมาตาฯ กิสา จ พุทฺธา โหนฺติ ทีฆรสฺสสมวฎฺฎิตยุตฺตฎฺฐาเนสุ ตถารูปาย องฺคปจฺจงฺคสมฺปตฺติยา, น วฐรปุริสา วิย ถูลาฯ ปญฺญาย วิลิขิตกิเลสตฺตา วา กิสาฯ อชฺฌตฺติกพาหิรสปตฺตวิทฺธํสนโต วีราฯ เอกาสนโภชิตาย ปริมิตโภชิตาย จ อปฺปาหารา, น ทฺวตฺติมตฺตาโลปโภชิตายฯ ยถาห –

    167. Atha hemavato attano abhirucitaguṇehi purimajātibāhusaccabalena bhagavantaṃ abhitthunanto sātāgiraṃ āha – ‘‘eṇijaṅghaṃ…pe… ehi passāma gotama’’nti. Tassattho – eṇimigasseva jaṅghā assāti eṇijaṅgho. Buddhānañhi eṇimigasseva anupubbavaṭṭā jaṅghā honti, na purato nimmaṃsā pacchato susumārakucchi viya uddhumātā. Kisā ca buddhā honti dīgharassasamavaṭṭitayuttaṭṭhānesu tathārūpāya aṅgapaccaṅgasampattiyā, na vaṭharapurisā viya thūlā. Paññāya vilikhitakilesattā vā kisā. Ajjhattikabāhirasapattaviddhaṃsanato vīrā. Ekāsanabhojitāya parimitabhojitāya ca appāhārā, na dvattimattālopabhojitāya. Yathāha –

    ‘‘อหํ โข ปน, อุทายิ, อเปฺปกทา อิมินา ปเตฺตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิโยฺยปิ ภุญฺชามิฯ ‘อปฺปาหาโร สมโณ โคตโม อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาที’ติ อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ, ครุํ กเรยฺยุํ, มาเนยฺยุํ, ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา, ครุํ กตฺวา, อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ เย เต, อุทายิ, มม สาวกา โกสกาหาราปิ อฑฺฒโกสกาหาราปิ เพลุวาหาราปิ อฑฺฒเพลุวาหาราปิ, น มํ เต อิมินา ธเมฺมน สกฺกเรยฺยุํ…เป.… อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุ’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๒๔๒)ฯ

    ‘‘Ahaṃ kho pana, udāyi, appekadā iminā pattena samatittikampi bhuñjāmi, bhiyyopi bhuñjāmi. ‘Appāhāro samaṇo gotamo appāhāratāya ca vaṇṇavādī’ti iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ, garuṃ kareyyuṃ, māneyyuṃ, pūjeyyuṃ, sakkatvā, garuṃ katvā, upanissāya vihareyyuṃ. Ye te, udāyi, mama sāvakā kosakāhārāpi aḍḍhakosakāhārāpi beluvāhārāpi aḍḍhabeluvāhārāpi, na maṃ te iminā dhammena sakkareyyuṃ…pe… upanissāya vihareyyu’’nti (ma. ni. 2.242).

    อาหาเร ฉนฺทราคาภาเวน อโลลุปา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อาหารํ อาหาเรนฺติ โมเนยฺยสมฺปตฺติยา มุนิโนฯ อนคาริกตาย วิเวกนินฺนมานสตาย จ วเน ฌายนฺติฯ เตนาห เหมวโต ยโกฺข ‘‘เอณิชงฺฆํ…เป.… เอหิ ปสฺสาม โคตม’’นฺติฯ

    Āhāre chandarāgābhāvena alolupā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ āhāraṃ āhārenti moneyyasampattiyā munino. Anagārikatāya vivekaninnamānasatāya ca vane jhāyanti. Tenāha hemavato yakkho ‘‘eṇijaṅghaṃ…pe… ehi passāma gotama’’nti.

    ๑๖๘. เอวญฺจ วตฺวา ปุน ตสฺส ภควโต สนฺติเก ธมฺมํ โสตุกามตาย ‘‘สีหํเวกจร’’นฺติ อิมํ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – สีหํวาติ ทุราสทเฎฺฐน ขมนเฎฺฐน นิพฺภยเฎฺฐน จ เกสรสีหสทิสํฯ ยาย ตณฺหาย ‘‘ตณฺหาทุติโย ปุริโส’’ติ วุจฺจติ, ตสฺสา อภาเวน เอกจรํ, เอกิสฺสา โลกธาตุยา ทฺวินฺนํ พุทฺธานํ อนุปฺปตฺติโตปิ เอกจรํฯ ขคฺควิสาณสุเตฺต วุตฺตนเยนาปิ เจตฺถ ตํ ตํ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ นาคนฺติ ปุนพฺภวํ เนว คนฺตารํ นาคนฺตารํฯ อถ วา อาคุํ น กโรตีติปิ นาโคฯ พลวาติปิ นาโคฯ ตํ นาคํฯ กาเมสุ อนเปกฺขินนฺติ ทฺวีสุปิ กาเมสุ ฉนฺทราคาภาเวน อนเปกฺขินํฯ อุปสงฺกมฺม ปุจฺฉาม, มจฺจุปาสปฺปโมจนนฺติ ตํ เอวรูปํ มเหสิํ อุปสงฺกมิตฺวา เตภูมกวฎฺฎสฺส มจฺจุปาสสฺส ปโมจนํ วิวฎฺฎํ นิพฺพานํ ปุจฺฉามฯ เยน วา อุปาเยน ทุกฺขสมุทยสงฺขาตา มจฺจุปาสา ปมุจฺจติ, ตํ มจฺจุปาสปฺปโมจนํ ปุจฺฉามาติฯ อิมํ คาถํ เหมวโต สาตาคิรญฺจ สาตาคิรปริสญฺจ อตฺตโน ปริสญฺจ สนฺธาย อาหฯ

    168. Evañca vatvā puna tassa bhagavato santike dhammaṃ sotukāmatāya ‘‘sīhaṃvekacara’’nti imaṃ gāthamāha. Tassattho – sīhaṃvāti durāsadaṭṭhena khamanaṭṭhena nibbhayaṭṭhena ca kesarasīhasadisaṃ. Yāya taṇhāya ‘‘taṇhādutiyo puriso’’ti vuccati, tassā abhāvena ekacaraṃ, ekissā lokadhātuyā dvinnaṃ buddhānaṃ anuppattitopi ekacaraṃ. Khaggavisāṇasutte vuttanayenāpi cettha taṃ taṃ attho daṭṭhabbo. Nāganti punabbhavaṃ neva gantāraṃ nāgantāraṃ. Atha vā āguṃ na karotītipi nāgo. Balavātipi nāgo. Taṃ nāgaṃ. Kāmesu anapekkhinanti dvīsupi kāmesu chandarāgābhāvena anapekkhinaṃ. Upasaṅkamma pucchāma, maccupāsappamocananti taṃ evarūpaṃ mahesiṃ upasaṅkamitvā tebhūmakavaṭṭassa maccupāsassa pamocanaṃ vivaṭṭaṃ nibbānaṃ pucchāma. Yena vā upāyena dukkhasamudayasaṅkhātā maccupāsā pamuccati, taṃ maccupāsappamocanaṃ pucchāmāti. Imaṃ gāthaṃ hemavato sātāgirañca sātāgiraparisañca attano parisañca sandhāya āha.

    เตน โข ปน สมเยน อาสาฬฺหีนกฺขตฺตํ โฆสิตํ อโหสิฯ อถ สมนฺตโต อลงฺกตปฎิยเตฺต เทวนคเร สิริํ ปจฺจนุโภนฺตี วิย ราชคเห กาฬี นาม กุรรฆริกา อุปาสิกา ปาสาทมารุยฺห สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา คพฺภปริสฺสมํ วิโนเทนฺตี สวาตปฺปเทเส อุตุคฺคหณตฺถํ ฐิตา เตสํ ยกฺขเสนาปตีนํ ตํ พุทฺธคุณปฎิสํยุตฺตํ กถํ อาทิมชฺฌปริโยสานโต อโสฺสสิฯ สุตฺวา จ ‘‘เอวํ วิวิธคุณสมนฺนาคตา พุทฺธา’’ติ พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ตาย นีวรณานิ วิกฺขเมฺภตฺวา ตเตฺถว ฐิตา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ ตโต เอว ภควตา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวิกานํ อุปาสิกานํ อนุสฺสวปฺปสนฺนานํ, ยทิทํ กาฬี อุปาสิกา กุรรฆริกา’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๖๗) เอตทเคฺค ฐปิตาฯ

    Tena kho pana samayena āsāḷhīnakkhattaṃ ghositaṃ ahosi. Atha samantato alaṅkatapaṭiyatte devanagare siriṃ paccanubhontī viya rājagahe kāḷī nāma kuraragharikā upāsikā pāsādamāruyha sīhapañjaraṃ vivaritvā gabbhaparissamaṃ vinodentī savātappadese utuggahaṇatthaṃ ṭhitā tesaṃ yakkhasenāpatīnaṃ taṃ buddhaguṇapaṭisaṃyuttaṃ kathaṃ ādimajjhapariyosānato assosi. Sutvā ca ‘‘evaṃ vividhaguṇasamannāgatā buddhā’’ti buddhārammaṇaṃ pītiṃ uppādetvā tāya nīvaraṇāni vikkhambhetvā tattheva ṭhitā sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Tato eva bhagavatā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvikānaṃ upāsikānaṃ anussavappasannānaṃ, yadidaṃ kāḷī upāsikā kuraragharikā’’ti (a. ni. 1.267) etadagge ṭhapitā.

    ๑๖๙. เตปิ ยกฺขเสนาปตโย สหสฺสยกฺขปริวารา มชฺฌิมยามสมเย อิสิปตนํ ปตฺวา, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺติตปลฺลเงฺกเนว นิสินฺนํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมฺม วนฺทิตฺวา, อิมาย คาถาย ภควนฺตํ อภิตฺถวิตฺวา โอกาสมการยิํสุ ‘‘อกฺขาตารํ ปวตฺตาร’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – ฐเปตฺวา ตณฺหํ เตภูมเก ธเมฺม ‘‘อิทํ โข ปน, ภิกฺขเว, ทุกฺขํ อริยสจฺจ’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๔) นเยน สจฺจานํ ววตฺถานกถาย อกฺขาตารํ, ‘‘‘ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริเญฺญยฺย’นฺติ เม ภิกฺขเว’’ติอาทินา นเยน เตสุ กิจฺจญาณกตญาณปฺปวตฺตเนน ปวตฺตารํฯ เย วา ธมฺมา ยถา โวหริตพฺพา, เตสุ ตถา โวหารกถเนน อกฺขาตารํ, เตสํเยว ธมฺมานํ สตฺตานุรูปโต ปวตฺตารํฯ อุคฺฆฎิตญฺญุวิปญฺจิตญฺญูนํ วา เทสนาย อกฺขาตารํ, เนยฺยานํ ปฎิปาทเนน ปวตฺตารํฯ อุเทฺทเสน วา อกฺขาตารํ, วิภเงฺคน เตหิ เตหิ ปกาเรหิ วจนโต ปวตฺตารํฯ โพธิปกฺขิยานํ วา สลกฺขณกถเนน อกฺขาตารํ, สตฺตานํ จิตฺตสนฺตาเน ปวตฺตเนน ปวตฺตารํฯ สเงฺขปโต วา ตีหิ ปริวเฎฺฎหิ สจฺจานํ กถเนน อกฺขาตารํ, วิตฺถารโต ปวตฺตารํฯ ‘‘สทฺธินฺทฺริยํ ธโมฺม, ตํ ธมฺมํ ปวเตฺตตีติ ธมฺมจกฺก’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๒.๔๐) เอวมาทินา ปฎิสมฺภิทานเยน วิตฺถาริตสฺส ธมฺมจกฺกสฺส ปวตฺตนโต ปวตฺตารํฯ

    169. Tepi yakkhasenāpatayo sahassayakkhaparivārā majjhimayāmasamaye isipatanaṃ patvā, dhammacakkappavattitapallaṅkeneva nisinnaṃ bhagavantaṃ upasaṅkamma vanditvā, imāya gāthāya bhagavantaṃ abhitthavitvā okāsamakārayiṃsu ‘‘akkhātāraṃ pavattāra’’nti. Tassattho – ṭhapetvā taṇhaṃ tebhūmake dhamme ‘‘idaṃ kho pana, bhikkhave, dukkhaṃ ariyasacca’’ntiādinā (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 14) nayena saccānaṃ vavatthānakathāya akkhātāraṃ, ‘‘‘taṃ kho panidaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ pariññeyya’nti me bhikkhave’’tiādinā nayena tesu kiccañāṇakatañāṇappavattanena pavattāraṃ. Ye vā dhammā yathā voharitabbā, tesu tathā vohārakathanena akkhātāraṃ, tesaṃyeva dhammānaṃ sattānurūpato pavattāraṃ. Ugghaṭitaññuvipañcitaññūnaṃ vā desanāya akkhātāraṃ, neyyānaṃ paṭipādanena pavattāraṃ. Uddesena vā akkhātāraṃ, vibhaṅgena tehi tehi pakārehi vacanato pavattāraṃ. Bodhipakkhiyānaṃ vā salakkhaṇakathanena akkhātāraṃ, sattānaṃ cittasantāne pavattanena pavattāraṃ. Saṅkhepato vā tīhi parivaṭṭehi saccānaṃ kathanena akkhātāraṃ, vitthārato pavattāraṃ. ‘‘Saddhindriyaṃ dhammo, taṃ dhammaṃ pavattetīti dhammacakka’’nti (paṭi. ma. 2.40) evamādinā paṭisambhidānayena vitthāritassa dhammacakkassa pavattanato pavattāraṃ.

    สพฺพธมฺมานนฺติ จตุภูมกธมฺมานํฯ ปารคุนฺติ ฉหากาเรหิ ปารํ คตํ อภิญฺญาย, ปริญฺญาย, ปหาเนน, ภาวนาย, สจฺฉิกิริยาย, สมาปตฺติยาฯ โส หิ ภควา สพฺพธเมฺม อภิชานโนฺต คโตติ อภิญฺญาปารคู, ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธ ปริชานโนฺต คโตติ ปริญฺญาปารคู, สพฺพกิเลเส ปชหโนฺต คโตติ ปหานปารคู, จตฺตาโร มเคฺค ภาเวโนฺต คโตติ ภาวนาปารคู, นิโรธํ สจฺฉิกโรโนฺต คโตติ สจฺฉิกิริยาปารคู, สพฺพา สมาปตฺติโย สมาปชฺชโนฺต คโตติ สมาปตฺติปารคูฯ เอวํ สพฺพธมฺมานํ ปารคุํฯ พุทฺธํ เวรภยาตีตนฺติ อญฺญาณสยนโต ปฎิพุทฺธตฺตา พุทฺธํ, สเพฺพน วา สรณวณฺณนายํ วุเตฺตนเตฺถน พุทฺธํ, ปญฺจเวรภยานํ อตีตตฺตา เวรภยาตีตํฯ เอวํ ภควนฺตํ อติตฺถวนฺตา ‘‘มยํ ปุจฺฉาม โคตม’’นฺติ โอกาสมการยิํสุฯ

    Sabbadhammānanti catubhūmakadhammānaṃ. Pāragunti chahākārehi pāraṃ gataṃ abhiññāya, pariññāya, pahānena, bhāvanāya, sacchikiriyāya, samāpattiyā. So hi bhagavā sabbadhamme abhijānanto gatoti abhiññāpāragū, pañcupādānakkhandhe parijānanto gatoti pariññāpāragū, sabbakilese pajahanto gatoti pahānapāragū, cattāro magge bhāvento gatoti bhāvanāpāragū, nirodhaṃ sacchikaronto gatoti sacchikiriyāpāragū, sabbā samāpattiyo samāpajjanto gatoti samāpattipāragū. Evaṃ sabbadhammānaṃ pāraguṃ. Buddhaṃ verabhayātītanti aññāṇasayanato paṭibuddhattā buddhaṃ, sabbena vā saraṇavaṇṇanāyaṃ vuttenatthena buddhaṃ, pañcaverabhayānaṃ atītattā verabhayātītaṃ. Evaṃ bhagavantaṃ atitthavantā ‘‘mayaṃ pucchāma gotama’’nti okāsamakārayiṃsu.

    ๑๗๐. อถ เนสํ ยกฺขานํ เตเชน จ ปญฺญาย จ อโคฺค เหมวโต ยถาธิเปฺปตํ ปุจฺฉิตพฺพํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘กิสฺมิํ โลโก’’ติ อิมํ คาถมาหฯ ตสฺสาทิปาเท กิสฺมินฺติ ภาเวนภาวลกฺขเณ ภุมฺมวจนํ, กิสฺมิํ อุปฺปเนฺน โลโก สมุปฺปโนฺน โหตีติ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโยฯ สตฺตโลกสงฺขารโลเก สนฺธาย ปุจฺฉติฯ กิสฺมิํ กุพฺพติ สนฺถวนฺติ อหนฺติ วา มมนฺติ วา ตณฺหาทิฎฺฐิสนฺถวํ กิสฺมิํ กุพฺพติ, อธิกรณเตฺถ ภุมฺมวจนํฯ กิสฺส โลโกติ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ, กิํ อุปาทาย โลโกติ สงฺขฺยํ คจฺฉตีติ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโยฯ กิสฺมิํ โลโกติ ภาเวนภาวลกฺขณการณเตฺถสุ ภุมฺมวจนํฯ กิสฺมิํ สติ เกน การเณน โลโก วิหญฺญติ ปีฬียติ พาธียตีติ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโยฯ

    170. Atha nesaṃ yakkhānaṃ tejena ca paññāya ca aggo hemavato yathādhippetaṃ pucchitabbaṃ pucchanto ‘‘kismiṃ loko’’ti imaṃ gāthamāha. Tassādipāde kisminti bhāvenabhāvalakkhaṇe bhummavacanaṃ, kismiṃ uppanne loko samuppanno hotīti ayañhettha adhippāyo. Sattalokasaṅkhāraloke sandhāya pucchati. Kismiṃ kubbati santhavanti ahanti vā mamanti vā taṇhādiṭṭhisanthavaṃ kismiṃ kubbati, adhikaraṇatthe bhummavacanaṃ. Kissa lokoti upayogatthe sāmivacanaṃ, kiṃ upādāya lokoti saṅkhyaṃ gacchatīti ayañhettha adhippāyo. Kismiṃ lokoti bhāvenabhāvalakkhaṇakāraṇatthesu bhummavacanaṃ. Kismiṃ sati kena kāraṇena loko vihaññati pīḷīyati bādhīyatīti ayañhettha adhippāyo.

    ๑๗๑. อถ ภควา ยสฺมา ฉสุ อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสุ อุปฺปเนฺนสุ สตฺตโลโก จ ธนธญฺญาทิวเสน สงฺขารโลโก จ อุปฺปโนฺน โหติ, ยสฺมา เจตฺถ สตฺตโลโก เตเสฺวว ฉสุ ทุวิธมฺปิ สนฺถวํ กโรติฯ จกฺขายตนํ วา หิ ‘‘อหํ มม’’นฺติ คณฺหาติ อวเสเสสุ วา อญฺญตรํฯ ยถาห – ‘‘จกฺขุ อตฺตาติ โย วเทยฺย, ตํ น อุปปชฺชตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๔๒๒)ฯ ยสฺมา จ เอตานิเยว ฉ อุปาทาย ทุวิโธปิ โลโกติ สงฺขฺยํ คจฺฉติ, ยสฺมา จ เตเสฺวว ฉสุ สติ สตฺตโลโก ทุกฺขปาตุภาเวน วิหญฺญติฯ ยถาห –

    171. Atha bhagavā yasmā chasu ajjhattikabāhiresu āyatanesu uppannesu sattaloko ca dhanadhaññādivasena saṅkhāraloko ca uppanno hoti, yasmā cettha sattaloko tesveva chasu duvidhampi santhavaṃ karoti. Cakkhāyatanaṃ vā hi ‘‘ahaṃ mama’’nti gaṇhāti avasesesu vā aññataraṃ. Yathāha – ‘‘cakkhu attāti yo vadeyya, taṃ na upapajjatī’’tiādi (ma. ni. 3.422). Yasmā ca etāniyeva cha upādāya duvidhopi lokoti saṅkhyaṃ gacchati, yasmā ca tesveva chasu sati sattaloko dukkhapātubhāvena vihaññati. Yathāha –

    ‘‘หเตฺถสุ, ภิกฺขเว, สติ อาทานนิเกฺขปนํ โหติ, ปาเทสุ สติ อภิกฺกมปฎิกฺกโม โหติ, ปเพฺพสุ สติ สมิญฺชนปสารณํ โหติ, กุจฺฉิสฺมิํ สติ ชิฆจฺฉาปิปาสา โหติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, จกฺขุสฺมิํ สติ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ อชฺฌตฺตํ สุขํ ทุกฺข’’นฺติอาทิ (สํ. นิ. ๔.๒๓๗)ฯ

    ‘‘Hatthesu, bhikkhave, sati ādānanikkhepanaṃ hoti, pādesu sati abhikkamapaṭikkamo hoti, pabbesu sati samiñjanapasāraṇaṃ hoti, kucchismiṃ sati jighacchāpipāsā hoti; evameva kho, bhikkhave, cakkhusmiṃ sati cakkhusamphassapaccayā uppajjati ajjhattaṃ sukhaṃ dukkha’’ntiādi (saṃ. ni. 4.237).

    ตถา เตสุ อาธารภูเตสุ ปฎิหโต สงฺขารโลโก วิหญฺญติฯ ยถาห –

    Tathā tesu ādhārabhūtesu paṭihato saṅkhāraloko vihaññati. Yathāha –

    ‘‘จกฺขุสฺมิํ อนิทสฺสเน สปฺปฎิเฆ ปฎิหญฺญิ วา’’อิติ (ธ. ส. ๕๙๗-๘) จฯ

    ‘‘Cakkhusmiṃ anidassane sappaṭighe paṭihaññi vā’’iti (dha. sa. 597-8) ca.

    ‘‘จกฺขุ, ภิกฺขเว, ปฎิหญฺญติ มนาปามนาเปสุ รูเปสู’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๓๘) เอวมาทิฯ

    ‘‘Cakkhu, bhikkhave, paṭihaññati manāpāmanāpesu rūpesū’’ti (saṃ. ni. 4.238) evamādi.

    ตถา เตหิเยว การณภูเตหิ ทุวิโธปิ โลโก วิหญฺญติฯ ยถาห –

    Tathā tehiyeva kāraṇabhūtehi duvidhopi loko vihaññati. Yathāha –

    ‘‘จกฺขุ วิหญฺญติ มนาปามนาเปสุ รูเปสู’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๓๘) จฯ

    ‘‘Cakkhu vihaññati manāpāmanāpesu rūpesū’’ti (saṃ. ni. 4.238) ca.

    ‘‘จกฺขุ, ภิกฺขเว, อาทิตฺตํ, รูปา อาทิตฺตาฯ เกน อาทิตฺตํ? ราคคฺคินา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๘; มหาว. ๕๔) เอวมาทิฯ

    ‘‘Cakkhu, bhikkhave, ādittaṃ, rūpā ādittā. Kena ādittaṃ? Rāgagginā’’ti (saṃ. ni. 4.28; mahāva. 54) evamādi.

    ตสฺมา ฉอชฺฌตฺติกพาหิรายตนวเสน ตํ ปุจฺฉํ วิสฺสเชฺชโนฺต อาห ‘‘ฉสุ โลโก สมุปฺปโนฺน’’ติฯ

    Tasmā chaajjhattikabāhirāyatanavasena taṃ pucchaṃ vissajjento āha ‘‘chasu loko samuppanno’’ti.

    ๑๗๒. อถ โส ยโกฺข อตฺตนา วฎฺฎวเสน ปุฎฺฐปญฺหํ ภควตา ทฺวาทสายตนวเสน สงฺขิปิตฺวา วิสฺสชฺชิตํ น สุฎฺฐุ อุปลเกฺขตฺวา ตญฺจ อตฺถํ ตปฺปฎิปกฺขญฺจ ญาตุกาโม สเงฺขเปเนว วฎฺฎวิวฎฺฎํ ปุจฺฉโนฺต อาห ‘‘กตมํ ต’’นฺติฯ ตตฺถ อุปาทาตพฺพเฎฺฐน อุปาทานํ, ทุกฺขสจฺจเสฺสตํ อธิวจนํฯ ยตฺถ โลโก วิหญฺญตีติ ‘‘ฉสุ โลโก วิหญฺญตี’’ติ เอวํ ภควตา ยตฺถ ฉพฺพิเธ อุปาทาเน โลโก วิหญฺญตีติ วุโตฺต, ตํ กตมํ อุปาทานนฺติ? เอวํ อุปฑฺฒคาถาย สรูเปเนว ทุกฺขสจฺจํ ปุจฺฉิฯ สมุทยสจฺจํ ปน ตสฺส การณภาเวน คหิตเมว โหติฯ นิยฺยานํ ปุจฺฉิโตติ อิมาย ปน อุปฑฺฒคาถาย มคฺคสจฺจํ ปุจฺฉิฯ มคฺคสเจฺจน หิ อริยสาวโก ทุกฺขํ ปริชานโนฺต, สมุทยํ ปชหโนฺต, นิโรธํ สจฺฉิกโรโนฺต, มคฺคํ ภาเวโนฺต โลกมฺหา นิยฺยาติ, ตสฺมา นิยฺยานนฺติ วุจฺจติฯ กถนฺติ เกน ปกาเรนฯ ทุกฺขา ปมุจฺจตีติ ‘‘อุปาทาน’’นฺติ วุตฺตา วฎฺฎทุกฺขา ปโมกฺขํ ปาปุณาติฯ เอวเมตฺถ สรูเปเนว มคฺคสจฺจํ ปุจฺฉิ, นิโรธสจฺจํ ปน ตสฺส วิสยภาเวน คหิตเมว โหติฯ

    172. Atha so yakkho attanā vaṭṭavasena puṭṭhapañhaṃ bhagavatā dvādasāyatanavasena saṅkhipitvā vissajjitaṃ na suṭṭhu upalakkhetvā tañca atthaṃ tappaṭipakkhañca ñātukāmo saṅkhepeneva vaṭṭavivaṭṭaṃ pucchanto āha ‘‘katamaṃ ta’’nti. Tattha upādātabbaṭṭhena upādānaṃ, dukkhasaccassetaṃ adhivacanaṃ. Yattha loko vihaññatīti ‘‘chasu loko vihaññatī’’ti evaṃ bhagavatā yattha chabbidhe upādāne loko vihaññatīti vutto, taṃ katamaṃ upādānanti? Evaṃ upaḍḍhagāthāya sarūpeneva dukkhasaccaṃ pucchi. Samudayasaccaṃ pana tassa kāraṇabhāvena gahitameva hoti. Niyyānaṃ pucchitoti imāya pana upaḍḍhagāthāya maggasaccaṃ pucchi. Maggasaccena hi ariyasāvako dukkhaṃ parijānanto, samudayaṃ pajahanto, nirodhaṃ sacchikaronto, maggaṃ bhāvento lokamhā niyyāti, tasmā niyyānanti vuccati. Kathanti kena pakārena. Dukkhā pamuccatīti ‘‘upādāna’’nti vuttā vaṭṭadukkhā pamokkhaṃ pāpuṇāti. Evamettha sarūpeneva maggasaccaṃ pucchi, nirodhasaccaṃ pana tassa visayabhāvena gahitameva hoti.

    ๑๗๓. เอวํ ยเกฺขน สรูเปน ทเสฺสตฺวา จ อทเสฺสตฺวา จ จตุสจฺจวเสน ปญฺหํ ปุโฎฺฐ ภควา เตเนว นเยน วิสฺสเชฺชโนฺต อาห ‘‘ปญฺจ กามคุณา’’ติฯ ตตฺถ ปญฺจกามคุณสงฺขาตโคจรคฺคหเณน ตโคฺคจรานิ ปญฺจายตนานิ คหิตาเนว โหนฺติฯ มโน ฉโฎฺฐ เอเตสนฺติ มโนฉฎฺฐาฯ ปเวทิตาติ ปกาสิตาฯ เอตฺถ อชฺฌตฺติเกสุ ฉฎฺฐสฺส มนายตนสฺส คหเณน ตสฺส วิสยภูตํ ธมฺมายตนํ คหิตเมว โหติฯ เอวํ ‘‘กตมํ ตํ อุปาทาน’’นฺติ อิมํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต ปุนปิ ทฺวาทสายตนานํ วเสเนว ทุกฺขสจฺจํ ปกาเสสิฯ มโนคหเณน วา สตฺตนฺนํ วิญฺญาณธาตูนํ คหิตตฺตา ตาสุ ปุริมปญฺจวิญฺญาณธาตุคฺคหเณน ตาสํ วตฺถูนิ ปญฺจ จกฺขาทีนิ อายตนานิ, มโนธาตุมโนวิญฺญาณธาตุคฺคหเณน ตาสํ วตฺถุโคจรเภทํ ธมฺมายตนํ คหิตเมวาติ เอวมฺปิ ทฺวาทสายตนวเสน ทุกฺขสจฺจํ ปกาเสสิฯ โลกุตฺตรมนายตนธมฺมายตเนกเทโส ปเนตฺถ ยตฺถ โลโก วิหญฺญติ, ตํ สนฺธาย นิทฺทิฎฺฐตฺตา น สงฺคยฺหติฯ

    173. Evaṃ yakkhena sarūpena dassetvā ca adassetvā ca catusaccavasena pañhaṃ puṭṭho bhagavā teneva nayena vissajjento āha ‘‘pañca kāmaguṇā’’ti. Tattha pañcakāmaguṇasaṅkhātagocaraggahaṇena taggocarāni pañcāyatanāni gahitāneva honti. Mano chaṭṭho etesanti manochaṭṭhā. Paveditāti pakāsitā. Ettha ajjhattikesu chaṭṭhassa manāyatanassa gahaṇena tassa visayabhūtaṃ dhammāyatanaṃ gahitameva hoti. Evaṃ ‘‘katamaṃ taṃ upādāna’’nti imaṃ pañhaṃ vissajjento punapi dvādasāyatanānaṃ vaseneva dukkhasaccaṃ pakāsesi. Manogahaṇena vā sattannaṃ viññāṇadhātūnaṃ gahitattā tāsu purimapañcaviññāṇadhātuggahaṇena tāsaṃ vatthūni pañca cakkhādīni āyatanāni, manodhātumanoviññāṇadhātuggahaṇena tāsaṃ vatthugocarabhedaṃ dhammāyatanaṃ gahitamevāti evampi dvādasāyatanavasena dukkhasaccaṃ pakāsesi. Lokuttaramanāyatanadhammāyatanekadeso panettha yattha loko vihaññati, taṃ sandhāya niddiṭṭhattā na saṅgayhati.

    เอตฺถ ฉนฺทํ วิราเชตฺวาติ เอตฺถ ทฺวาทสายตนเภเท ทุกฺขสเจฺจ ตาเนวายตนานิ ขนฺธโต ธาตุโต นามรูปโตติ ตถา ตถา ววตฺถเปตฺวา, ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา, วิปสฺสโนฺต อรหตฺตมคฺคปริโยสานาย วิปสฺสนาย ตณฺหาสงฺขาตํ ฉนฺทํ สพฺพโส วิราเชตฺวา วิเนตฺวา วิทฺธํเสตฺวาติ อโตฺถฯ เอวํ ทุกฺขา ปมุจฺจตีติ อิมินา ปกาเรน เอตสฺมา วฎฺฎทุกฺขา ปมุจฺจตีติ ฯ เอวมิมาย อุปฑฺฒคาถาย ‘‘นิยฺยานํ ปุจฺฉิโต พฺรูหิ, กถํ ทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติ อยํ ปโญฺห วิสฺสชฺชิโต โหติ, มคฺคสจฺจญฺจ ปกาสิตํ สมุทยนิโรธสจฺจานิ ปเนตฺถ ปุริมนเยเนว สงฺคหิตตฺตา ปกาสิตาเนว โหนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ อุปฑฺฒคาถาย วา ทุกฺขสจฺจํ, ฉเนฺทน สมุทยสจฺจํ, ‘‘วิราเชตฺวา’’ติ เอตฺถ วิราเคน นิโรธสจฺจํ, ‘‘วิราคาวิมุจฺจตี’’ติ วจนโต วา มคฺคสจฺจํฯ ‘‘เอว’’นฺติ อุปายนิทสฺสเนน มคฺคสจฺจํ, ทุกฺขนิโรธนฺติ วจนโต วาฯ ‘‘ทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติ ทุกฺขปโมเกฺขน นิโรธสจฺจนฺติ เอวเมตฺถ จตฺตาริ สจฺจานิ ปกาสิตานิ โหนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ

    Ettha chandaṃ virājetvāti ettha dvādasāyatanabhede dukkhasacce tānevāyatanāni khandhato dhātuto nāmarūpatoti tathā tathā vavatthapetvā, tilakkhaṇaṃ āropetvā, vipassanto arahattamaggapariyosānāya vipassanāya taṇhāsaṅkhātaṃ chandaṃ sabbaso virājetvā vinetvā viddhaṃsetvāti attho. Evaṃ dukkhā pamuccatīti iminā pakārena etasmā vaṭṭadukkhā pamuccatīti . Evamimāya upaḍḍhagāthāya ‘‘niyyānaṃ pucchito brūhi, kathaṃ dukkhā pamuccatī’’ti ayaṃ pañho vissajjito hoti, maggasaccañca pakāsitaṃ samudayanirodhasaccāni panettha purimanayeneva saṅgahitattā pakāsitāneva hontīti veditabbāni. Upaḍḍhagāthāya vā dukkhasaccaṃ, chandena samudayasaccaṃ, ‘‘virājetvā’’ti ettha virāgena nirodhasaccaṃ, ‘‘virāgāvimuccatī’’ti vacanato vā maggasaccaṃ. ‘‘Eva’’nti upāyanidassanena maggasaccaṃ, dukkhanirodhanti vacanato vā. ‘‘Dukkhā pamuccatī’’ti dukkhapamokkhena nirodhasaccanti evamettha cattāri saccāni pakāsitāni hontīti veditabbāni.

    ๑๗๔. เอวํ จตุสจฺจคพฺภาย คาถาย ลกฺขณโต นิยฺยานํ ปกาเสตฺวา ปุน ตเทว สเกน นิรุตฺตาภิลาเปน นิคเมโนฺต อาห ‘‘เอตํ โลกสฺส นิยฺยาน’’นฺติฯ เอตฺถ เอตนฺติ ปุเพฺพ วุตฺตสฺส นิเทฺทโส, โลกสฺสาติ เตธาตุกโลกสฺสฯ ยถาตถนฺติ อวิปรีตํฯ เอตํ โว อหมกฺขามีติ สเจปิ มํ สหสฺสกฺขตฺตุํ ปุเจฺฉยฺยาถ, เอตํ โว อหมกฺขามิ, น อญฺญํฯ กสฺมา? ยสฺมา เอวํ ทุกฺขา ปมุจฺจติ, น อญฺญถาติ อธิปฺปาโยฯ อถ วา เอเตน นิยฺยาเนน เอกทฺวตฺติกฺขตุํ นิคฺคตานมฺปิ เอตํ โว อหมกฺขามิ, อุปริวิเสสาธิคมายปิ เอตเทว อหมกฺขามีติ อโตฺถฯ กสฺมา? ยสฺมา เอวํ ทุกฺขา ปมุจฺจติ อเสสนิเสฺสสาติ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ เทสนาปริโยสาเน เทฺวปิ ยกฺขเสนาปตโย โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุ สทฺธิํ ยกฺขสหเสฺสนฯ

    174. Evaṃ catusaccagabbhāya gāthāya lakkhaṇato niyyānaṃ pakāsetvā puna tadeva sakena niruttābhilāpena nigamento āha ‘‘etaṃ lokassa niyyāna’’nti. Ettha etanti pubbe vuttassa niddeso, lokassāti tedhātukalokassa. Yathātathanti aviparītaṃ. Etaṃ vo ahamakkhāmīti sacepi maṃ sahassakkhattuṃ puccheyyātha, etaṃ vo ahamakkhāmi, na aññaṃ. Kasmā? Yasmā evaṃ dukkhā pamuccati, na aññathāti adhippāyo. Atha vā etena niyyānena ekadvattikkhatuṃ niggatānampi etaṃ vo ahamakkhāmi, uparivisesādhigamāyapi etadeva ahamakkhāmīti attho. Kasmā? Yasmā evaṃ dukkhā pamuccati asesanissesāti arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi. Desanāpariyosāne dvepi yakkhasenāpatayo sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu saddhiṃ yakkhasahassena.

    ๑๗๕. อถ เหมวโต ปกติยาปิ ธมฺมครุ อิทานิ อริยภูมิยํ ปติฎฺฐาย สุฎฺฐุตรํ อติโตฺต ภควโต วิจิตฺรปฎิภานาย เทสนาย ภควนฺตํ เสกฺขาเสกฺขภูมิํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘โก สูธ ตรตี’’ติ คาถมภาสิฯ ตตฺถ โก สูธ ตรติ โอฆนฺติ อิมินา จตุโรฆํ โก ตรตีติ เสกฺขภูมิํ ปุจฺฉติ อวิเสเสนฯ ยสฺมา อณฺณวนฺติ น วิตฺถตมตฺตํ นาปิ คมฺภีรมตฺตํ อปิจ ปน ยํ วิตฺถตตรญฺจ คมฺภีรตรญฺจ, ตํ วุจฺจติฯ ตาทิโส จ สํสารณฺณโวฯ อยญฺหิ สมนฺตโต ปริยนฺตาภาเวน วิตฺถโต, เหฎฺฐา ปติฎฺฐาภาเวน อุปริ อาลมฺพนาภาเวน จ คมฺภีโร, ตสฺมา ‘‘โก อิธ ตรติ อณฺณวํ, ตสฺมิญฺจ อปฺปติเฎฺฐ อนาลเมฺพ คมฺภีเร อณฺณเว โก น สีทตี’’ติ อเสกฺขภูมิํ ปุจฺฉติฯ

    175. Atha hemavato pakatiyāpi dhammagaru idāni ariyabhūmiyaṃ patiṭṭhāya suṭṭhutaraṃ atitto bhagavato vicitrapaṭibhānāya desanāya bhagavantaṃ sekkhāsekkhabhūmiṃ pucchanto ‘‘ko sūdha taratī’’ti gāthamabhāsi. Tattha ko sūdha tarati oghanti iminā caturoghaṃ ko taratīti sekkhabhūmiṃ pucchati avisesena. Yasmā aṇṇavanti na vitthatamattaṃ nāpi gambhīramattaṃ apica pana yaṃ vitthatatarañca gambhīratarañca, taṃ vuccati. Tādiso ca saṃsāraṇṇavo. Ayañhi samantato pariyantābhāvena vitthato, heṭṭhā patiṭṭhābhāvena upari ālambanābhāvena ca gambhīro, tasmā ‘‘ko idha tarati aṇṇavaṃ, tasmiñca appatiṭṭhe anālambe gambhīre aṇṇave ko na sīdatī’’ti asekkhabhūmiṃ pucchati.

    ๑๗๖. อถ ภควา โย ภิกฺขุ ชีวิตเหตุปิ วีติกฺกมํ อกโรโนฺต สพฺพทา สีลสมฺปโนฺน โลกิยโลกุตฺตราย จ ปญฺญาย ปญฺญวา, อุปจารปฺปนาสมาธินา อิริยาปถเหฎฺฐิมมคฺคผเลหิ จ สุสมาหิโต, ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนาย นิยกชฺฌตฺตจินฺตนสีโล, สาตจฺจกิริยาวหาย อปฺปมาทสติยา จ สมนฺนาคโตฯ ยสฺมา โส จตุเตฺถน มเคฺคน อิมํ สุทุตฺตรํ โอฆํ อนวเสสํ ตรติ, ตสฺมา เสกฺขภูมิํ วิสฺสเชฺชโนฺต ‘‘สพฺพทา สีลสมฺปโนฺน’’ติ อิมํ ติสิกฺขาคพฺภํ คาถมาหฯ เอตฺถ หิ สีลสมฺปทาย อธิสีลสิกฺขา, สติสมาธีหิ อธิจิตฺตสิกฺขา, อชฺฌตฺตจินฺติตาปญฺญาหิ อธิปญฺญาสิกฺขาติ ติโสฺส สิกฺขา สอุปการา สานิสํสา จ วุตฺตาฯ อุปกาโร หิ สิกฺขานํ โลกิยปญฺญา สติ จ, อนิสํโส สามญฺญผลานีติฯ

    176. Atha bhagavā yo bhikkhu jīvitahetupi vītikkamaṃ akaronto sabbadā sīlasampanno lokiyalokuttarāya ca paññāya paññavā, upacārappanāsamādhinā iriyāpathaheṭṭhimamaggaphalehi ca susamāhito, tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassanāya niyakajjhattacintanasīlo, sātaccakiriyāvahāya appamādasatiyā ca samannāgato. Yasmā so catutthena maggena imaṃ suduttaraṃ oghaṃ anavasesaṃ tarati, tasmā sekkhabhūmiṃ vissajjento ‘‘sabbadā sīlasampanno’’ti imaṃ tisikkhāgabbhaṃ gāthamāha. Ettha hi sīlasampadāya adhisīlasikkhā, satisamādhīhi adhicittasikkhā, ajjhattacintitāpaññāhi adhipaññāsikkhāti tisso sikkhā saupakārā sānisaṃsā ca vuttā. Upakāro hi sikkhānaṃ lokiyapaññā sati ca, anisaṃso sāmaññaphalānīti.

    ๑๗๗. เอวํ ปฐมคาถาย เสกฺขภูมิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อเสกฺขภูมิํ ทเสฺสโนฺต ทุติยคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ วิรโต กามสญฺญายาติ ยา กาจิ กามสญฺญา, ตโต สพฺพโต จตุตฺถมคฺคสมฺปยุตฺตาย สมุเจฺฉทวิรติยา วิรโตฯ ‘‘วิรโตฺต’’ติปิ ปาโฐฯ ตทา ‘‘กามสญฺญายา’’ติ ภุมฺมวจนํ โหติ, สคาถาวเคฺค ปน ‘‘กามสญฺญาสู’’ติปิ (สํ. นิ. ๑.๙๖) ปาโฐฯ จตูหิปิ มเคฺคหิ ทสนฺนํ สํโยชนานํ อตีตตฺตา สพฺพสํโยชนาติโค, จตุเตฺถเนว วา อุทฺธมฺภาคิยสพฺพสํโยชนาติโค , ตตฺรตตฺราภินนฺทินีตณฺหาสงฺขาตาย นนฺทิยา ติณฺณญฺจ ภวานํ ปริกฺขีณตฺตา นนฺทีภวปริกฺขีโณ โส ตาทิโส ขีณาสโว ภิกฺขุ คมฺภีเร สํสารณฺณเว น สีทติ นนฺทีปริกฺขเยน สอุปาทิเสสํ, ภวปริกฺขเยน จ อนุปาทิเสสํ นิพฺพานถลํ สมาปชฺช ปรมสฺสาสปฺปตฺติยาติฯ

    177. Evaṃ paṭhamagāthāya sekkhabhūmiṃ dassetvā idāni asekkhabhūmiṃ dassento dutiyagāthamāha. Tassattho virato kāmasaññāyāti yā kāci kāmasaññā, tato sabbato catutthamaggasampayuttāya samucchedaviratiyā virato. ‘‘Viratto’’tipi pāṭho. Tadā ‘‘kāmasaññāyā’’ti bhummavacanaṃ hoti, sagāthāvagge pana ‘‘kāmasaññāsū’’tipi (saṃ. ni. 1.96) pāṭho. Catūhipi maggehi dasannaṃ saṃyojanānaṃ atītattā sabbasaṃyojanātigo, catuttheneva vā uddhambhāgiyasabbasaṃyojanātigo , tatratatrābhinandinītaṇhāsaṅkhātāya nandiyā tiṇṇañca bhavānaṃ parikkhīṇattā nandībhavaparikkhīṇo so tādiso khīṇāsavo bhikkhu gambhīre saṃsāraṇṇave na sīdati nandīparikkhayena saupādisesaṃ, bhavaparikkhayena ca anupādisesaṃ nibbānathalaṃ samāpajja paramassāsappattiyāti.

    ๑๗๘. อถ เหมวโต สหายญฺจ ยกฺขปริสญฺจ โอโลเกตฺวา ปีติโสมนสฺสชาโต ‘‘คมฺภีรปญฺญ’’นฺติ เอวมาทีหิ คาถาหิ ภควนฺตํ อภิตฺถวิตฺวา สพฺพาวติยา ปริสาย สหาเยน จ สทฺธิํ อภิวาเทตฺวา, ปทกฺขิณํ กตฺวา, อตฺตโน วสนฎฺฐานํ อคมาสิฯ

    178. Atha hemavato sahāyañca yakkhaparisañca oloketvā pītisomanassajāto ‘‘gambhīrapañña’’nti evamādīhi gāthāhi bhagavantaṃ abhitthavitvā sabbāvatiyā parisāya sahāyena ca saddhiṃ abhivādetvā, padakkhiṇaṃ katvā, attano vasanaṭṭhānaṃ agamāsi.

    ตาสํ ปน คาถานํ อยํ อตฺถวณฺณนา – คมฺภีรปญฺญนฺติ คมฺภีราย ปญฺญาย สมนฺนาคตํฯ ตตฺถ ปฎิสมฺภิทายํ วุตฺตนเยน คมฺภีรปญฺญา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ‘‘คมฺภีเรสุ ขเนฺธสุ ญาณํ ปวตฺตตีติ คมฺภีรปญฺญา’’ติอาทิ (ปฎิ. ม. ๓.๔)ฯ นิปุณตฺถทสฺสินฺติ นิปุเณหิ ขตฺติยปณฺฑิตาทีหิ อภิสงฺขตานํ ปญฺหานํ อตฺถทสฺสิํ อตฺถานํ วา ยานิ นิปุณานิ การณานิ ทุปฺปฎิวิชฺฌานิ อเญฺญหิ เตสํ ทสฺสเนน นิปุณตฺถทสฺสิํฯ ราคาทิกิญฺจนาภาเวน อกิญฺจนํฯ ทุวิเธ กาเม ติวิเธ เจ ภเว อลคฺคเนน กามภเว อสตฺตํฯ ขนฺธาทิเภเทสุ สพฺพารมฺมเณสุ ฉนฺทราคพนฺธนาภาเวน สพฺพธิ วิปฺปมุตฺตํฯ ทิเพฺพ ปเถ กมมานนฺติ อฎฺฐสมาปตฺติเภเท ทิเพฺพ ปเถ สมาปชฺชนวเสน จงฺกมนฺตํฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ น ตาย เวลาย ภควา ทิเพฺพ ปเถ กมติ, อปิจ โข ปุเพฺพ กมนํ อุปาทาย กมนสตฺติสพฺภาเวน ตตฺถ ลทฺธวสีภาวตาย เอวํ วุจฺจติฯ อถ วา เย เต วิสุทฺธิเทวา อรหโนฺต, เตสํ ปเถ สนฺตวิหาเร กมเนนาเปตํ วุตฺตํฯ มหนฺตานํ คุณานํ เอสเนน มเหสิํ

    Tāsaṃ pana gāthānaṃ ayaṃ atthavaṇṇanā – gambhīrapaññanti gambhīrāya paññāya samannāgataṃ. Tattha paṭisambhidāyaṃ vuttanayena gambhīrapaññā veditabbā. Vuttañhi tattha ‘‘gambhīresu khandhesu ñāṇaṃ pavattatīti gambhīrapaññā’’tiādi (paṭi. ma. 3.4). Nipuṇatthadassinti nipuṇehi khattiyapaṇḍitādīhi abhisaṅkhatānaṃ pañhānaṃ atthadassiṃ atthānaṃ vā yāni nipuṇāni kāraṇāni duppaṭivijjhāni aññehi tesaṃ dassanena nipuṇatthadassiṃ. Rāgādikiñcanābhāvena akiñcanaṃ. Duvidhe kāme tividhe ce bhave alagganena kāmabhave asattaṃ. Khandhādibhedesu sabbārammaṇesu chandarāgabandhanābhāvena sabbadhi vippamuttaṃ. Dibbe pathe kamamānanti aṭṭhasamāpattibhede dibbe pathe samāpajjanavasena caṅkamantaṃ. Tattha kiñcāpi na tāya velāya bhagavā dibbe pathe kamati, apica kho pubbe kamanaṃ upādāya kamanasattisabbhāvena tattha laddhavasībhāvatāya evaṃ vuccati. Atha vā ye te visuddhidevā arahanto, tesaṃ pathe santavihāre kamanenāpetaṃ vuttaṃ. Mahantānaṃ guṇānaṃ esanena mahesiṃ.

    ๑๗๙. ทุติยคาถาย อปเรน ปริยาเยน ถุติ อารทฺธาติ กตฺวา ปุน นิปุณตฺถทสฺสิคฺคหณํ นิทเสฺสติฯ อถ วา นิปุณเตฺถ ทเสฺสตารนฺติ อโตฺถฯ ปญฺญาททนฺติ ปญฺญาปฎิลาภสํวตฺตนิกาย ปฎิปตฺติยา กถเนน ปญฺญาทายกํฯ กามาลเย อสตฺตนฺติ ยฺวายํกาเมสุ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน ทุวิโธ อาลโย, ตตฺถ อสตฺตํฯ สพฺพวิทุนฺติ สพฺพธมฺมวิทุํ, สพฺพญฺญุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สุเมธนฺติ ตสฺส สพฺพญฺญุภาวสฺส มคฺคภูตาย ปารมีปญฺญาสงฺขาตาย เมธาย สมนฺนาคตํฯ อริเย ปเถติ อฎฺฐงฺคิเก มเคฺค, ผลสมาปตฺติยํ วาฯ กมมานนฺติ ปญฺญาย อโชฺฌคาหมานํ มคฺคลกฺขณํ ญตฺวา เทสนโต, ปวิสมานํ วา ขเณ ขเณ ผลสมาปตฺติสมาปชฺชนโต, จตุพฺพิธมคฺคภาวนาสงฺขาตาย กมนสตฺติยา กมิตปุพฺพํ วาฯ

    179. Dutiyagāthāya aparena pariyāyena thuti āraddhāti katvā puna nipuṇatthadassiggahaṇaṃ nidasseti. Atha vā nipuṇatthe dassetāranti attho. Paññādadanti paññāpaṭilābhasaṃvattanikāya paṭipattiyā kathanena paññādāyakaṃ. Kāmālaye asattanti yvāyaṃkāmesu taṇhādiṭṭhivasena duvidho ālayo, tattha asattaṃ. Sabbavidunti sabbadhammaviduṃ, sabbaññunti vuttaṃ hoti. Sumedhanti tassa sabbaññubhāvassa maggabhūtāya pāramīpaññāsaṅkhātāya medhāya samannāgataṃ. Ariye patheti aṭṭhaṅgike magge, phalasamāpattiyaṃ vā. Kamamānanti paññāya ajjhogāhamānaṃ maggalakkhaṇaṃ ñatvā desanato, pavisamānaṃ vā khaṇe khaṇe phalasamāpattisamāpajjanato, catubbidhamaggabhāvanāsaṅkhātāya kamanasattiyā kamitapubbaṃ vā.

    ๑๘๐. สุทิฎฺฐํ วต โน อชฺชาติฯ อชฺช อเมฺหหิ สุนฺทรํ ทิฎฺฐํ, อชฺช วา อมฺหากํ สุนฺทรํ ทิฎฺฐํ, ทสฺสนนฺติ อโตฺถฯ สุปฺปภาตํ สุหุฎฺฐิตนฺติ อชฺช อมฺหากํ สุฎฺฐุ ปภาตํ โสภนํ วา ปภาตํ อโหสิฯ อชฺช จ โน สุนฺทรํ อุฎฺฐิตํ อโหสิ, อนุปโรเธน สยนโต อุฎฺฐิตํฯ กิํ การณํ? ยํ อทฺทสาม สมฺพุทฺธํ, ยสฺมา สมฺพุทฺธํ อทฺทสามาติ อตฺตโน ลาภสมฺปตฺติํ อารพฺภ ปาโมชฺชํ ปเวเทติฯ

    180.Sudiṭṭhaṃ vata no ajjāti. Ajja amhehi sundaraṃ diṭṭhaṃ, ajja vā amhākaṃ sundaraṃ diṭṭhaṃ, dassananti attho. Suppabhātaṃ suhuṭṭhitanti ajja amhākaṃ suṭṭhu pabhātaṃ sobhanaṃ vā pabhātaṃ ahosi. Ajja ca no sundaraṃ uṭṭhitaṃ ahosi, anuparodhena sayanato uṭṭhitaṃ. Kiṃ kāraṇaṃ? Yaṃ addasāma sambuddhaṃ, yasmā sambuddhaṃ addasāmāti attano lābhasampattiṃ ārabbha pāmojjaṃ pavedeti.

    ๑๘๑. อิทฺธิมโนฺตติ กมฺมวิปากชิทฺธิยา สมนฺนาคตาฯ ยสสฺสิโนติ ลาภคฺคปริวารคฺคสมฺปนฺนาฯ สรณํ ยนฺตีติ กิญฺจาปิ มเคฺคเนว คตา, ตถาปิ โสตาปนฺนภาวปริทีปนตฺถํ ปสาททสฺสนตฺถญฺจ วาจํ ภินฺทติฯ

    181.Iddhimantoti kammavipākajiddhiyā samannāgatā. Yasassinoti lābhaggaparivāraggasampannā. Saraṇaṃ yantīti kiñcāpi maggeneva gatā, tathāpi sotāpannabhāvaparidīpanatthaṃ pasādadassanatthañca vācaṃ bhindati.

    ๑๘๒. คามา คามนฺติ เทวคามา เทวคามํฯ นคา นคนฺติ เทวปพฺพตา เทวปพฺพตํฯ นมสฺสมานา สมฺพุทฺธํ, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมตนฺติ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต ภควา, สฺวากฺขาโต วต ภควโต ธโมฺม’’ติอาทินา นเยน พุทฺธสุโพธิตญฺจ ธมฺมสุธมฺมตญฺจฯ ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน วต ภควโต สาวกสโงฺฆ’’ติอาทินา สงฺฆ-สุปฺปฎิปตฺติญฺจ อภิตฺถวิตฺวา อภิตฺถวิตฺวา นมสฺสมานา ธมฺมโฆสกา หุตฺวา วิจริสฺสามาติ วุตฺตํ โหติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    182.Gāmā gāmanti devagāmā devagāmaṃ. Nagā naganti devapabbatā devapabbataṃ. Namassamānā sambuddhaṃ, dhammassa ca sudhammatanti ‘‘sammāsambuddho vata bhagavā, svākkhāto vata bhagavato dhammo’’tiādinā nayena buddhasubodhitañca dhammasudhammatañca. ‘‘Suppaṭipanno vata bhagavato sāvakasaṅgho’’tiādinā saṅgha-suppaṭipattiñca abhitthavitvā abhitthavitvā namassamānā dhammaghosakā hutvā vicarissāmāti vuttaṃ hoti. Sesamettha uttānatthamevāti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย เหมวตสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya hemavatasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๙. เหมวตสุตฺตํ • 9. Hemavatasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact