Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๕. หีนายาวตฺตนปโญฺห
5. Hīnāyāvattanapañho
๕. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, มหนฺตํ อิทํ ตถาคตสาสนํ สารํ วรํ เสฎฺฐํ ปวรํ อนุปมํ ปริสุทฺธํ วิมลํ ปณฺฑรํ อนวชฺชํ, น ยุตฺตํ คิหิํ ตาวตกํ ปพฺพเชตุํ, คิหี เยว 1 เอกสฺมิํ ผเล วิเนตฺวา ยทา อปุนราวตฺตี โหติ ตทา โส ปพฺพาเชตโพฺพฯ กิํ การณา? อิเม ทุชฺชนา ตาว ตตฺถ สาสเน วิสุเทฺธ ปพฺพชิตฺวา ปฎินิวตฺติตฺวา หีนายาวตฺตนฺติ, เตสํ ปจฺจาคมเนน อยํ มหาชโน เอวํ วิจิเนฺตติ ‘ตุจฺฉกํ วต โภ เอตํ สมณสฺส โคตมสฺส สาสนํ ภวิสฺสติ, ยํ อิเม ปฎินิวตฺตนฺตี’ติ, อิทเมตฺถ การณ’’นฺติฯ
5. ‘‘Bhante nāgasena, mahantaṃ idaṃ tathāgatasāsanaṃ sāraṃ varaṃ seṭṭhaṃ pavaraṃ anupamaṃ parisuddhaṃ vimalaṃ paṇḍaraṃ anavajjaṃ, na yuttaṃ gihiṃ tāvatakaṃ pabbajetuṃ, gihī yeva 2 ekasmiṃ phale vinetvā yadā apunarāvattī hoti tadā so pabbājetabbo. Kiṃ kāraṇā? Ime dujjanā tāva tattha sāsane visuddhe pabbajitvā paṭinivattitvā hīnāyāvattanti, tesaṃ paccāgamanena ayaṃ mahājano evaṃ vicinteti ‘tucchakaṃ vata bho etaṃ samaṇassa gotamassa sāsanaṃ bhavissati, yaṃ ime paṭinivattantī’ti, idamettha kāraṇa’’nti.
‘‘ยถา, มหาราช, ตฬาโก ภเวยฺย สมฺปุณฺณสุจิวิมลสีตลสลิโล, อถ โย โกจิ กิลิโฎฺฐ มลกทฺทมคโต ตํ ตฬากํ คนฺตฺวา อนหายิตฺวา กิลิโฎฺฐว ปฎินิวเตฺตยฺย, ตตฺถ, มหาราช, กตมํ ชโน ครเหยฺย กิลิฎฺฐํ วา ตฬากํ วา’’ติ? ‘‘กิลิฎฺฐํ, ภเนฺต, ชโน ครเหยฺย ‘อยํ ตฬากํ คนฺตฺวา อนหายิตฺวา กิลิโฎฺฐว ปฎินิวโตฺต, กิํ อิมํ อนหายิตุกามํ ตฬาโก สยํ นหาเปสฺสติ, โก โทโส ตฬากสฺสา’ติฯ เอวเมว โข, มหาราช , ตถาคโต วิมุตฺติวรสลิลสมฺปุณฺณํ สทฺธมฺมวรตฬากํ มาเปสิ ‘เย เกจิ กิเลสมลกิลิฎฺฐา สเจตนา พุธา, เต อิธ นหายิตฺวา สพฺพกิเลเส ปวาหยิสฺสนฺตี’ติฯ ยทิ โกจิ ตํ สทฺธมฺมวรตฬากํ คนฺตฺวา อนหายิตฺวา สกิเลโสว ปฎินิวตฺติตฺวา หีนายาวตฺตติ ตํ เยว ชโน ครหิสฺสติ ‘อยํ ชินสาสเน ปพฺพชิตฺวา ตตฺถ ปติฎฺฐํ อลภิตฺวา หีนายาวโตฺต, กิํ อิมํ อปฺปฎิปชฺชนฺตํ ชินสาสนํ สยํ โพเธสฺสติ, โก โทโส ชินสาสนสฺสา’ติ?
‘‘Yathā, mahārāja, taḷāko bhaveyya sampuṇṇasucivimalasītalasalilo, atha yo koci kiliṭṭho malakaddamagato taṃ taḷākaṃ gantvā anahāyitvā kiliṭṭhova paṭinivatteyya, tattha, mahārāja, katamaṃ jano garaheyya kiliṭṭhaṃ vā taḷākaṃ vā’’ti? ‘‘Kiliṭṭhaṃ, bhante, jano garaheyya ‘ayaṃ taḷākaṃ gantvā anahāyitvā kiliṭṭhova paṭinivatto, kiṃ imaṃ anahāyitukāmaṃ taḷāko sayaṃ nahāpessati, ko doso taḷākassā’ti. Evameva kho, mahārāja , tathāgato vimuttivarasalilasampuṇṇaṃ saddhammavarataḷākaṃ māpesi ‘ye keci kilesamalakiliṭṭhā sacetanā budhā, te idha nahāyitvā sabbakilese pavāhayissantī’ti. Yadi koci taṃ saddhammavarataḷākaṃ gantvā anahāyitvā sakilesova paṭinivattitvā hīnāyāvattati taṃ yeva jano garahissati ‘ayaṃ jinasāsane pabbajitvā tattha patiṭṭhaṃ alabhitvā hīnāyāvatto, kiṃ imaṃ appaṭipajjantaṃ jinasāsanaṃ sayaṃ bodhessati, ko doso jinasāsanassā’ti?
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, ปุริโส ปรมพฺยาธิโต โรคุปฺปตฺติกุสลํ อโมฆธุวสิทฺธกมฺมํ ภิสกฺกํ สลฺลกตฺตํ ทิสฺวา อติกิจฺฉาเปตฺวา สพฺยาธิโกว ปฎินิวเตฺตยฺย, ตตฺถ กตมํ ชโน ครเหยฺย อาตุรํ วา ภิสกฺกํ วา’’ติ? ‘‘อาตุรํ, ภเนฺต, ชโน ครเหยฺย ‘อยํ โรคุปฺปตฺติกุสลํ อโมฆธุวสิทฺธกมฺมํ ภิสกฺกํ สลฺลกตฺตํ ทิสฺวา อติกิจฺฉาเปตฺวา สพฺยาธิโกว ปฎินิวโตฺต, กิํ อิมํ อติกิจฺฉาเปนฺตํ ภิสโกฺก สยํ ติกิจฺฉิสฺสติ, โก โทโส ภิสกฺกสฺสา’’’ติ? ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคโต อโนฺตสาสนสมุเคฺค เกวลํ สกลกิเลสพฺยาธิวูปสมนสมตฺถํ อมโตสธํ ปกฺขิปิ, ‘เย เกจิ กิเลสพฺยาธิปีฬิตา สเจตนา พุธา, เต อิมํ อมโตสธํ ปิวิตฺวา สพฺพกิเลสพฺยาธิํ วูปสเมสฺสนฺตี’ติฯ ยทิ โกจิ ยํ อมโตสธํ อปิวิตฺวา สกิเลโสว ปฎินิวตฺติตฺวา หีนายาวตฺตติ, ตํ เยว ชโน ครหิสฺสติ ‘อยํ ชินสาสเน ปพฺพชิตฺวา ตตฺถ ปติฎฺฐํ อลภิตฺวา หีนายาวโตฺต, กิํ อิมํ อปฺปฎิปชฺชนฺตํ ชินสาสนํ สยํ โพเธสฺสติ, โก โทโส ชินสาสนสฺสา’ติ?
‘‘Yathā vā pana, mahārāja, puriso paramabyādhito roguppattikusalaṃ amoghadhuvasiddhakammaṃ bhisakkaṃ sallakattaṃ disvā atikicchāpetvā sabyādhikova paṭinivatteyya, tattha katamaṃ jano garaheyya āturaṃ vā bhisakkaṃ vā’’ti? ‘‘Āturaṃ, bhante, jano garaheyya ‘ayaṃ roguppattikusalaṃ amoghadhuvasiddhakammaṃ bhisakkaṃ sallakattaṃ disvā atikicchāpetvā sabyādhikova paṭinivatto, kiṃ imaṃ atikicchāpentaṃ bhisakko sayaṃ tikicchissati, ko doso bhisakkassā’’’ti? ‘‘Evameva kho, mahārāja, tathāgato antosāsanasamugge kevalaṃ sakalakilesabyādhivūpasamanasamatthaṃ amatosadhaṃ pakkhipi, ‘ye keci kilesabyādhipīḷitā sacetanā budhā, te imaṃ amatosadhaṃ pivitvā sabbakilesabyādhiṃ vūpasamessantī’ti. Yadi koci yaṃ amatosadhaṃ apivitvā sakilesova paṭinivattitvā hīnāyāvattati, taṃ yeva jano garahissati ‘ayaṃ jinasāsane pabbajitvā tattha patiṭṭhaṃ alabhitvā hīnāyāvatto, kiṃ imaṃ appaṭipajjantaṃ jinasāsanaṃ sayaṃ bodhessati, ko doso jinasāsanassā’ti?
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, ฉาโต ปุริโส มหติมหาปุญฺญภตฺตปริเวสนํ คนฺตฺวา ตํ ภตฺตํ อภุญฺชิตฺวา ฉาโตว ปฎินิวเตฺตยฺย, ตตฺถ กตมํ ชโน ครเหยฺย ฉาตํ วา ปุญฺญภตฺตํ วา’’ติ? ‘‘ฉาตํ, ภเนฺต, ชโน ครเหยฺย ‘อยํ ขุทาปีฬิโต ปุญฺญภตฺตํ ปฎิลภิตฺวา อภุญฺชิตฺวา ฉาโตว ปฎินิวโตฺต, กิํ อิมสฺส อภุญฺชนฺตสฺส โภชนํ สยํ มุขํ ปวิสิสฺสติ, โก โทโส โภชนสฺสา’’’ติ? ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคโต อโนฺตสาสนสมุเคฺค ปรมปวรํ สนฺตํ สิวํ ปณีตํ อมตํ ปรมมธุรํ กายคตาสติโภชนํ ฐเปสิ ‘เย เกจิ กิเลสฉาตชฺฌตฺตา ตณฺหาปเรตมานสา สเจตนา พุธา, เต อิมํ โภชนํ ภุญฺชิตฺวา กามรูปารูปภเวสุ สพฺพํ ตณฺหมปเนสฺสนฺตี’ติฯ ยทิ โกจิ ตํ โภชนํ อภุญฺชิตฺวา ตณฺหาสิโตว ปฎินิวตฺติตฺวา หีนายาวตฺตติ, ตเญฺญว ชโน ครหิสฺสติ ‘อยํ ชินสาสเน ปพฺพชิตฺวา ตตฺถ ปติฎฺฐํ อลภิตฺวา หีนายาวโตฺต, กิํ อิมํ อปฺปฎิปชฺชนฺตํ ชินสาสนํ สยํ โพเธสฺสสิ, โก โทโส ชินสาสนสฺสา’ติฯ
‘‘Yathā vā pana, mahārāja, chāto puriso mahatimahāpuññabhattaparivesanaṃ gantvā taṃ bhattaṃ abhuñjitvā chātova paṭinivatteyya, tattha katamaṃ jano garaheyya chātaṃ vā puññabhattaṃ vā’’ti? ‘‘Chātaṃ, bhante, jano garaheyya ‘ayaṃ khudāpīḷito puññabhattaṃ paṭilabhitvā abhuñjitvā chātova paṭinivatto, kiṃ imassa abhuñjantassa bhojanaṃ sayaṃ mukhaṃ pavisissati, ko doso bhojanassā’’’ti? ‘‘Evameva kho, mahārāja, tathāgato antosāsanasamugge paramapavaraṃ santaṃ sivaṃ paṇītaṃ amataṃ paramamadhuraṃ kāyagatāsatibhojanaṃ ṭhapesi ‘ye keci kilesachātajjhattā taṇhāparetamānasā sacetanā budhā, te imaṃ bhojanaṃ bhuñjitvā kāmarūpārūpabhavesu sabbaṃ taṇhamapanessantī’ti. Yadi koci taṃ bhojanaṃ abhuñjitvā taṇhāsitova paṭinivattitvā hīnāyāvattati, taññeva jano garahissati ‘ayaṃ jinasāsane pabbajitvā tattha patiṭṭhaṃ alabhitvā hīnāyāvatto, kiṃ imaṃ appaṭipajjantaṃ jinasāsanaṃ sayaṃ bodhessasi, ko doso jinasāsanassā’ti.
‘‘ยทิ, มหาราช, ตถาคโต คิหิํ เยว เอกสฺมิํ ผเล วินีตํ ปพฺพาเชยฺย, น นามายํ ปพฺพชฺชา กิเลสปฺปหานาย วิสุทฺธิยา วา, นตฺถิ ปพฺพชฺชาย กรณียํฯ ยถา, มหาราช, ปุริโส อเนกสเตน กเมฺมน ตฬากํ ขณาเปตฺวา ปริสาย เอวมนุสฺสาเวยฺย ‘มา เม, โภโนฺต, เกจิ สํกิลิฎฺฐา อิมํ ตฬากํ โอตรถ, ปวาหิตรโชชลฺลา ปริสุทฺธา วิมลมฎฺฐา อิมํ ตฬากํ โอตรถา’ติฯ อปิ นุ โข, มหาราช, เตสํ ปวาหิตรโชชลฺลานํ ปริสุทฺธานํ วิมลมฎฺฐานํ เตน ตฬาเกน กรณียํ ภเวยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, ยสฺสตฺถาย เต ตํ ตฬากํ อุปคเจฺฉยฺยุํ, ตํ อญฺญเตฺรว เตสํ กตํ กรณียํ, กิํ เตสํ เตน ตฬาเกนา’’ติ? ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ยทิ ตถาคโต คิหิํ เยว เอกสฺมิํ ผเล วินีตํ ปพฺพาเชยฺย, ตเตฺถว เตสํ กตํ กรณียํ, กิํ เตสํ ปพฺพชฺชายฯ
‘‘Yadi, mahārāja, tathāgato gihiṃ yeva ekasmiṃ phale vinītaṃ pabbājeyya, na nāmāyaṃ pabbajjā kilesappahānāya visuddhiyā vā, natthi pabbajjāya karaṇīyaṃ. Yathā, mahārāja, puriso anekasatena kammena taḷākaṃ khaṇāpetvā parisāya evamanussāveyya ‘mā me, bhonto, keci saṃkiliṭṭhā imaṃ taḷākaṃ otaratha, pavāhitarajojallā parisuddhā vimalamaṭṭhā imaṃ taḷākaṃ otarathā’ti. Api nu kho, mahārāja, tesaṃ pavāhitarajojallānaṃ parisuddhānaṃ vimalamaṭṭhānaṃ tena taḷākena karaṇīyaṃ bhaveyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, yassatthāya te taṃ taḷākaṃ upagaccheyyuṃ, taṃ aññatreva tesaṃ kataṃ karaṇīyaṃ, kiṃ tesaṃ tena taḷākenā’’ti? ‘‘Evameva kho, mahārāja, yadi tathāgato gihiṃ yeva ekasmiṃ phale vinītaṃ pabbājeyya, tattheva tesaṃ kataṃ karaṇīyaṃ, kiṃ tesaṃ pabbajjāya.
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, สภาวอิสิภตฺติโก สุตมนฺตปทธโร อตกฺกิโก โรคุปฺปตฺติกุสโล อโมฆธุวสิทฺธกโมฺม ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต สพฺพโรคูปสมเภสชฺชํ สนฺนิปาเตตฺวา ปริสาย เอวมนุสฺสาเวยฺย ‘มา โข, โภโนฺต , เกจิ สพฺยาธิกา มม สนฺติเก อุปคจฺฉถ, อพฺยาธิกา อโรคา มม สนฺติเก อุปคจฺฉถา’ติฯ อปิ นุ โข, มหาราช, เตสํ อพฺยาธิกานํ อโรคานํ ปริปุณฺณานํ อุทคฺคานํ เตน ภิสเกฺกน กรณียํ ภเวยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, ยสฺสตฺถาย เต ตํ ภิสกฺกํ สลฺลกตฺตํ อุปคเจฺฉยฺยุํ, ตํ อญฺญเตฺรว เตสํ กตํ กรณียํ, กิํ เตสํ เตน ภิสเกฺกนา’’ติ? ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ยทิ ตถาคโต คิหิํ เยว เอกสฺมิํ ผเล วินีตํ ปพฺพาเชยฺย, ตเตฺถว เตสํ กตํ กรณียํ, กิํ เตสํ ปพฺพชฺชาย?
‘‘Yathā vā pana, mahārāja, sabhāvaisibhattiko sutamantapadadharo atakkiko roguppattikusalo amoghadhuvasiddhakammo bhisakko sallakatto sabbarogūpasamabhesajjaṃ sannipātetvā parisāya evamanussāveyya ‘mā kho, bhonto , keci sabyādhikā mama santike upagacchatha, abyādhikā arogā mama santike upagacchathā’ti. Api nu kho, mahārāja, tesaṃ abyādhikānaṃ arogānaṃ paripuṇṇānaṃ udaggānaṃ tena bhisakkena karaṇīyaṃ bhaveyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, yassatthāya te taṃ bhisakkaṃ sallakattaṃ upagaccheyyuṃ, taṃ aññatreva tesaṃ kataṃ karaṇīyaṃ, kiṃ tesaṃ tena bhisakkenā’’ti? ‘‘Evameva kho, mahārāja, yadi tathāgato gihiṃ yeva ekasmiṃ phale vinītaṃ pabbājeyya, tattheva tesaṃ kataṃ karaṇīyaṃ, kiṃ tesaṃ pabbajjāya?
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, โกจิ ปุริโส อเนกถาลิปากสตํ โภชนํ ปฎิยาทาเปตฺวา ปริสาย เอวมนุสฺสาเวยฺย ‘มา เม, โภโนฺต, เกจิ ฉาตา อิมํ ปริเวสนํ อุปคจฺฉถ, สุภุตฺตา ติตฺตา สุหิตา ธาตา ปีณิตา ปริปุณฺณา อิมํ ปริเวสนํ อุปคจฺฉถา’’ติฯ อปิ นุ โข มหาราช, เตสํ ภุตฺตาวีนํ ติตฺตานํ สุหิตานํ ธาตานํ ปีณิตานํ ปริปุณฺณานํ เตน โภชเนน กรณียํ ภเวยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, ยสฺสตฺถาย เต ตํ ปริเวสนํ อุปคเจฺฉยฺยุํ, ตํ อญฺญเตฺรว เตสํ กตํ กรณียํ, กิํ เตสํ ตาย ปริเวสนายา’’ติ? ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ยทิ ตถาคโต คิหิํ เยว เอกสฺมิํ ผเล วินีตํ ปพฺพาเชยฺย, ตเตฺถว เตสํ กตํ กรณียํ, กิํ เตสํ ปพฺพชฺชาย?
‘‘Yathā vā pana, mahārāja, koci puriso anekathālipākasataṃ bhojanaṃ paṭiyādāpetvā parisāya evamanussāveyya ‘mā me, bhonto, keci chātā imaṃ parivesanaṃ upagacchatha, subhuttā tittā suhitā dhātā pīṇitā paripuṇṇā imaṃ parivesanaṃ upagacchathā’’ti. Api nu kho mahārāja, tesaṃ bhuttāvīnaṃ tittānaṃ suhitānaṃ dhātānaṃ pīṇitānaṃ paripuṇṇānaṃ tena bhojanena karaṇīyaṃ bhaveyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, yassatthāya te taṃ parivesanaṃ upagaccheyyuṃ, taṃ aññatreva tesaṃ kataṃ karaṇīyaṃ, kiṃ tesaṃ tāya parivesanāyā’’ti? ‘‘Evameva kho, mahārāja, yadi tathāgato gihiṃ yeva ekasmiṃ phale vinītaṃ pabbājeyya, tattheva tesaṃ kataṃ karaṇīyaṃ, kiṃ tesaṃ pabbajjāya?
‘‘อปิ จ, มหาราช, เย หีนายาวตฺตนฺติ, เต ชินสาสนสฺส ปญฺจ อตุลิเย คุเณ ทเสฺสนฺติฯ กตเม ปญฺจ? ภูมิมหนฺตภาวํ ทเสฺสนฺติ, ปริสุทฺธวิมลภาวํ ทเสฺสนฺติ, ปาเปหิ อสํวาสิยภาวํ ทเสฺสนฺติ, ทุปฺปฎิเวธภาวํ ทเสฺสนฺติ, พหุสํวรรกฺขิยภาวํ ทเสฺสนฺติฯ
‘‘Api ca, mahārāja, ye hīnāyāvattanti, te jinasāsanassa pañca atuliye guṇe dassenti. Katame pañca? Bhūmimahantabhāvaṃ dassenti, parisuddhavimalabhāvaṃ dassenti, pāpehi asaṃvāsiyabhāvaṃ dassenti, duppaṭivedhabhāvaṃ dassenti, bahusaṃvararakkhiyabhāvaṃ dassenti.
‘‘กถํ ภูมิมหนฺตภาวํ ทเสฺสนฺติ? ยถา, มหาราช, ปุริโส อธโน หีนชโจฺจ นิพฺพิเสโส พุทฺธิปริหีโน มหารชฺชํ ปฎิลภิตฺวา น จิรเสฺสว ปริปตติ ปริธํสติ ปริหายติ ยสโต, น สโกฺกติ อิสฺสริยํ สนฺธาเรตุํฯ กิํ การณํ ? มหนฺตตฺตา อิสฺสริยสฺสฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เกจิ นิพฺพิเสสา อกตปุญฺญา พุทฺธิปริหีนา ชินสาสเน ปพฺพชนฺติ, เต ตํ ปพฺพชฺชํ ปวรุตฺตมํ สนฺธาเรตุํ อวิสหนฺตา น จิรเสฺสว ชินสาสนา ปริปติตฺวา ปริธํสิตฺวา ปริหายิตฺวา หีนายาวตฺตนฺติ, น สโกฺกนฺติ ชินสาสนํ สนฺธาเรตุํฯ กิํ การณํ? มหนฺตตฺตา ชินสาสนภูมิยาฯ เอวํ ภูมิมหนฺตภาวํ ทเสฺสนฺติฯ
‘‘Kathaṃ bhūmimahantabhāvaṃ dassenti? Yathā, mahārāja, puriso adhano hīnajacco nibbiseso buddhiparihīno mahārajjaṃ paṭilabhitvā na cirasseva paripatati paridhaṃsati parihāyati yasato, na sakkoti issariyaṃ sandhāretuṃ. Kiṃ kāraṇaṃ ? Mahantattā issariyassa. Evameva kho, mahārāja, ye keci nibbisesā akatapuññā buddhiparihīnā jinasāsane pabbajanti, te taṃ pabbajjaṃ pavaruttamaṃ sandhāretuṃ avisahantā na cirasseva jinasāsanā paripatitvā paridhaṃsitvā parihāyitvā hīnāyāvattanti, na sakkonti jinasāsanaṃ sandhāretuṃ. Kiṃ kāraṇaṃ? Mahantattā jinasāsanabhūmiyā. Evaṃ bhūmimahantabhāvaṃ dassenti.
‘‘กถํ ปริสุทฺธวิมลภาวํ ทเสฺสนฺติ? ยถา, มหาราช, วาริ โปกฺขรปเตฺต วิกิรติ วิธมติ วิธํเสติ, น ฐานมุปคจฺฉติ นูปลิมฺปติฯ กิํ การณํ? ปริสุทฺธวิมลตฺตา ปทุมสฺสฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เกจิ สฐา กูฎา วงฺกา กุฎิลา วิสมทิฎฺฐิโน ชินสาสเน ปพฺพชนฺติ, เต ปริสุทฺธวิมลนิกฺกณฺฎกปณฺฑรวรปฺปวรสาสนโต น จิรเสฺสว วิกิริตฺวา วิธมิตฺวา วิธํเสตฺวา อสณฺฐหิตฺวา อนุปลิมฺปิตฺวา หีนายาวตฺตนฺติฯ กิํ การณํ? ปริสุทฺธวิมลตฺตา ชินสาสนสฺสฯ เอวํ ปริสุทฺธวิมลภาวํ ทเสฺสนฺติฯ
‘‘Kathaṃ parisuddhavimalabhāvaṃ dassenti? Yathā, mahārāja, vāri pokkharapatte vikirati vidhamati vidhaṃseti, na ṭhānamupagacchati nūpalimpati. Kiṃ kāraṇaṃ? Parisuddhavimalattā padumassa. Evameva kho, mahārāja, ye keci saṭhā kūṭā vaṅkā kuṭilā visamadiṭṭhino jinasāsane pabbajanti, te parisuddhavimalanikkaṇṭakapaṇḍaravarappavarasāsanato na cirasseva vikiritvā vidhamitvā vidhaṃsetvā asaṇṭhahitvā anupalimpitvā hīnāyāvattanti. Kiṃ kāraṇaṃ? Parisuddhavimalattā jinasāsanassa. Evaṃ parisuddhavimalabhāvaṃ dassenti.
‘‘กถํ ปาเปหิ อสํวาสิยภาวํ ทเสฺสนฺติ? ยถา, มหาราช, มหาสมุโทฺท น มเตน กุณเปน สํวสติ, ยํ โหติ มหาสมุเทฺท มตํ กุณปํ, ตํ ขิปฺปเมว ตีรํ อุปเนติ ถลํ วา อุสฺสาเรติฯ กิํ การณํ? มหาภูตานํ ภวนตฺตา มหาสมุทฺทสฺสฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เกจิ ปาปกา อสํวุตา อหิริกา อกิริยา โอสนฺนวีริยา กุสีตา กิลิฎฺฐา ทุชฺชนา มนุสฺสา ชินสาสเน ปพฺพชนฺติ, เต น จิรเสฺสว ชินสาสนโต อรหนฺตวิมลขีณาสวมหาภูตภวนโต นิกฺขมิตฺวา อสํวสิตฺวา หีนายาวตฺตนฺติฯ กิํ การณํ? ปาเปหิ อสํวาสิยตฺตา ชินสาสนสฺสฯ เอวํ ปาเปหิ อสํวาสิยภาวํ ทเสฺสนฺติฯ
‘‘Kathaṃ pāpehi asaṃvāsiyabhāvaṃ dassenti? Yathā, mahārāja, mahāsamuddo na matena kuṇapena saṃvasati, yaṃ hoti mahāsamudde mataṃ kuṇapaṃ, taṃ khippameva tīraṃ upaneti thalaṃ vā ussāreti. Kiṃ kāraṇaṃ? Mahābhūtānaṃ bhavanattā mahāsamuddassa. Evameva kho, mahārāja, ye keci pāpakā asaṃvutā ahirikā akiriyā osannavīriyā kusītā kiliṭṭhā dujjanā manussā jinasāsane pabbajanti, te na cirasseva jinasāsanato arahantavimalakhīṇāsavamahābhūtabhavanato nikkhamitvā asaṃvasitvā hīnāyāvattanti. Kiṃ kāraṇaṃ? Pāpehi asaṃvāsiyattā jinasāsanassa. Evaṃ pāpehi asaṃvāsiyabhāvaṃ dassenti.
‘‘กถํ ทุปฺปฎิเวธภาวํ ทเสฺสนฺติ? ยถา, มหาราช, เย เกจิ อเฉกา อสิกฺขิตา อสิปฺปิโน มติวิปฺปหีนา อิสฺสาสา 3 วาลคฺคเวธํ อวิสหนฺตา วิคฬนฺติ ปกฺกมนฺติฯ กิํ การณํ? สณฺหสุขุมทุปฺปฎิเวธตฺตา วาลคฺคสฺส ฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เกจิ ทุปฺปญฺญา ชฬา เอฬมูคา มูฬฺหา ทนฺธคติกา ชนา ชินสาสเน ปพฺพชนฺติ, เต ตํ ปรมสณฺหสุขุมจตุสจฺจปฺปฎิเวธํ ปฎิวิชฺฌิตุํ อวิสหนฺตา ชินสาสนา วิคฬิตฺวา ปกฺกมิตฺวา น จิรเสฺสว หีนายาวตฺตนฺติฯ กิํ การณํ? ปรมสณฺหสุขุมทุปฺปฎิเวธตาย สจฺจานํฯ เอวํ ทุปฺปฎิเวธภาวํ ทเสฺสนฺติฯ
‘‘Kathaṃ duppaṭivedhabhāvaṃ dassenti? Yathā, mahārāja, ye keci achekā asikkhitā asippino mativippahīnā issāsā 4 vālaggavedhaṃ avisahantā vigaḷanti pakkamanti. Kiṃ kāraṇaṃ? Saṇhasukhumaduppaṭivedhattā vālaggassa . Evameva kho, mahārāja, ye keci duppaññā jaḷā eḷamūgā mūḷhā dandhagatikā janā jinasāsane pabbajanti, te taṃ paramasaṇhasukhumacatusaccappaṭivedhaṃ paṭivijjhituṃ avisahantā jinasāsanā vigaḷitvā pakkamitvā na cirasseva hīnāyāvattanti. Kiṃ kāraṇaṃ? Paramasaṇhasukhumaduppaṭivedhatāya saccānaṃ. Evaṃ duppaṭivedhabhāvaṃ dassenti.
‘‘กถํ พหุสํวรรกฺขิยภาวํ ทเสฺสนฺติ? ยถา, มหาราช, โกจิเทว ปุริโส มหติมหายุทฺธภูมิมุปคโต ปรเสนาย ทิสาวิทิสาหิ สมนฺตา ปริวาริโต สตฺติหตฺถํ ชนมุเปนฺตํ ทิสฺวา ภีโต โอสกฺกติ ปฎินิวตฺตติ ปลายติฯ กิํ การณํ? พหุวิธยุทฺธมุขรกฺขณภยาฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เกจิ ปาปกา อสํวุตา อหิริกา อกิริยา อกฺขนฺตี จปลา จลิตา อิตฺตรา พาลชนา ชินสาสเน ปพฺพชนฺติ, เต พหุวิธํ สิกฺขาปทํ ปริรกฺขิตุํ อวิสหนฺตา โอสกฺกิตฺวา ปฎินิวตฺติตฺวา ปลายิตฺวา น จิรเสฺสว หีนายาวตฺตนฺติฯ กิํ การณํ? พหุวิธสํวรรกฺขิยภาวตฺตา ชินสาสนสฺสฯ เอวํ พหุวิธสํวรรกฺขิยภาวํ ทเสฺสนฺติฯ
‘‘Kathaṃ bahusaṃvararakkhiyabhāvaṃ dassenti? Yathā, mahārāja, kocideva puriso mahatimahāyuddhabhūmimupagato parasenāya disāvidisāhi samantā parivārito sattihatthaṃ janamupentaṃ disvā bhīto osakkati paṭinivattati palāyati. Kiṃ kāraṇaṃ? Bahuvidhayuddhamukharakkhaṇabhayā. Evameva kho, mahārāja, ye keci pāpakā asaṃvutā ahirikā akiriyā akkhantī capalā calitā ittarā bālajanā jinasāsane pabbajanti, te bahuvidhaṃ sikkhāpadaṃ parirakkhituṃ avisahantā osakkitvā paṭinivattitvā palāyitvā na cirasseva hīnāyāvattanti. Kiṃ kāraṇaṃ? Bahuvidhasaṃvararakkhiyabhāvattā jinasāsanassa. Evaṃ bahuvidhasaṃvararakkhiyabhāvaṃ dassenti.
‘‘ถลชุตฺตเมปิ, มหาราช, วสฺสิกาคุเมฺพ กิมิวิทฺธานิ ปุปฺผานิ โหนฺติ, ตานิ องฺกุรานิ สงฺกุฎิตานิ อนฺตรา เยว ปริปตนฺติ, น จ เตสุ ปริปติเตสุ วสฺสิกาคุโมฺพ หีฬิโต นาม โหติฯ ยานิ ตตฺถ ฐิตานิ ปุปฺผานิ, ตานิ สมฺมา คเนฺธน ทิสาวิทิสํ อภิพฺยาเปนฺติฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เต ชินสาสเน ปพฺพชิตฺวา หีนายาวตฺตนฺติ, เต ชินสาสเน กิมิวิทฺธานิ วสฺสิกาปุปฺผานิ วิย วณฺณคนฺธรหิตา นิพฺพณฺณาการสีลา อภพฺพา เวปุลฺลาย, น จ เตสํ หีนายาวตฺตเนน ชินสาสนํ หีฬิตํ นาม โหติฯ เย ตตฺถ ฐิตา ภิกฺขู, เต สเทวกํ โลกํ สีลวรคเนฺธน อภิพฺยาเปนฺติฯ
‘‘Thalajuttamepi, mahārāja, vassikāgumbe kimividdhāni pupphāni honti, tāni aṅkurāni saṅkuṭitāni antarā yeva paripatanti, na ca tesu paripatitesu vassikāgumbo hīḷito nāma hoti. Yāni tattha ṭhitāni pupphāni, tāni sammā gandhena disāvidisaṃ abhibyāpenti. Evameva kho, mahārāja, ye te jinasāsane pabbajitvā hīnāyāvattanti, te jinasāsane kimividdhāni vassikāpupphāni viya vaṇṇagandharahitā nibbaṇṇākārasīlā abhabbā vepullāya, na ca tesaṃ hīnāyāvattanena jinasāsanaṃ hīḷitaṃ nāma hoti. Ye tattha ṭhitā bhikkhū, te sadevakaṃ lokaṃ sīlavaragandhena abhibyāpenti.
‘‘สาลีนมฺปิ, มหาราช, นิราตงฺกานํ โลหิตกานํ อนฺตเร กรุมฺภกํ นาม สาลิชาติ อุปฺปชฺชิตฺวา อนฺตรา เยว วินสฺสติ, น จ ตสฺสา วินฎฺฐตฺตา โลหิตกสาลี หีฬิตา นาม โหนฺติฯ เย ตตฺถ ฐิตา สาลี, เต ราชูปโภคา โหนฺติฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เต ชินสาสเน ปพฺพชิตฺวา หีนายาวตฺตนฺติ, เต โลหิตกสาลีนมนฺตเร กรุมฺภกา วิย ชินสาสเน น วฑฺฒิตฺวา เวปุลฺลตํ น ปาปุณิตฺวา 5 อนฺตรา เยว หีนายาวตฺตนฺติ, น จ เตสํ หีนายาวตฺตเนน ชินสาสนํ หีฬิตํ นาม โหติฯ เย ตตฺถ ฐิตา ภิกฺขู เต อรหตฺตสฺส อนุจฺฉวิกา โหนฺติฯ
‘‘Sālīnampi, mahārāja, nirātaṅkānaṃ lohitakānaṃ antare karumbhakaṃ nāma sālijāti uppajjitvā antarā yeva vinassati, na ca tassā vinaṭṭhattā lohitakasālī hīḷitā nāma honti. Ye tattha ṭhitā sālī, te rājūpabhogā honti. Evameva kho, mahārāja, ye te jinasāsane pabbajitvā hīnāyāvattanti, te lohitakasālīnamantare karumbhakā viya jinasāsane na vaḍḍhitvā vepullataṃ na pāpuṇitvā 6 antarā yeva hīnāyāvattanti, na ca tesaṃ hīnāyāvattanena jinasāsanaṃ hīḷitaṃ nāma hoti. Ye tattha ṭhitā bhikkhū te arahattassa anucchavikā honti.
‘‘กามททสฺสาปิ , มหาราช, มณิรตนสฺส เอกเทสํ 7 กกฺกสํ อุปฺปชฺชติ, น จ ตตฺถ กกฺกสุปฺปนฺนตฺตา มณิรตนํ หีฬิตํ นาม โหติฯ ยํ ตตฺถ ปริสุทฺธํ มณิรตนสฺส, ตํ ชนสฺส หาสกรํ โหติฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เต ชินสาสเน ปพฺพชิตฺวา หีนายาวตฺตนฺติ, กกฺกสา เต ชินสาสเน ปปฎิกา, น จ เตสํ หีนายาวตฺตเนน ชินสาสนํ หีฬิตํ นาม โหติฯ เย ตตฺถ ฐิตา ภิกฺขู, เต เทวมนุสฺสานํ หาสชนกา โหนฺติฯ
‘‘Kāmadadassāpi , mahārāja, maṇiratanassa ekadesaṃ 8 kakkasaṃ uppajjati, na ca tattha kakkasuppannattā maṇiratanaṃ hīḷitaṃ nāma hoti. Yaṃ tattha parisuddhaṃ maṇiratanassa, taṃ janassa hāsakaraṃ hoti. Evameva kho, mahārāja, ye te jinasāsane pabbajitvā hīnāyāvattanti, kakkasā te jinasāsane papaṭikā, na ca tesaṃ hīnāyāvattanena jinasāsanaṃ hīḷitaṃ nāma hoti. Ye tattha ṭhitā bhikkhū, te devamanussānaṃ hāsajanakā honti.
‘‘ชาติสมฺปนฺนสฺสปิ, มหาราช, โลหิตจนฺทนสฺส เอกเทสํ ปูติกํ โหติ อปฺปคนฺธํฯ น เตน โลหิตจนฺทนํ หีฬิตํ นาม โหติฯ ยํ ตตฺถ อปูติกํ สุคนฺธํ, ตํ สมนฺตา วิธูเปติ อภิพฺยาเปติฯ เอวเมว โข, มหาราช, เย เต ชินสาสเน ปพฺพชิตฺวา หีนายาวตฺตนฺติ, เต โลหิตจนฺทนสารนฺตเร ปูติกเทสมิว ฉฑฺฑนียา ชินสาสเน, น จ เตสํ หีนายาวตฺตเนน ชินสาสนํ หีฬิตํ นาม โหติฯ เย ตตฺถ ฐิตา ภิกฺขู, เต สเทวกํ โลกํ สีลวรจนฺทนคเนฺธน อนุลิมฺปยนฺตี’’ติฯ
‘‘Jātisampannassapi, mahārāja, lohitacandanassa ekadesaṃ pūtikaṃ hoti appagandhaṃ. Na tena lohitacandanaṃ hīḷitaṃ nāma hoti. Yaṃ tattha apūtikaṃ sugandhaṃ, taṃ samantā vidhūpeti abhibyāpeti. Evameva kho, mahārāja, ye te jinasāsane pabbajitvā hīnāyāvattanti, te lohitacandanasārantare pūtikadesamiva chaḍḍanīyā jinasāsane, na ca tesaṃ hīnāyāvattanena jinasāsanaṃ hīḷitaṃ nāma hoti. Ye tattha ṭhitā bhikkhū, te sadevakaṃ lokaṃ sīlavaracandanagandhena anulimpayantī’’ti.
‘‘สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, เตน เตน อนุจฺฉวิเกน เตน เตน สทิเสน การเณน นิรวชฺชมนุปาปิตํ ชินสาสนํ เสฎฺฐภาเวน ปริทีปิตํ, หีนายาวตฺตมานาปิ เต ชินสาสนสฺส เสฎฺฐภาวํ เยว ปริทีเปนฺตี’’ติฯ
‘‘Sādhu, bhante nāgasena, tena tena anucchavikena tena tena sadisena kāraṇena niravajjamanupāpitaṃ jinasāsanaṃ seṭṭhabhāvena paridīpitaṃ, hīnāyāvattamānāpi te jinasāsanassa seṭṭhabhāvaṃ yeva paridīpentī’’ti.
หีนายาวตฺตนปโญฺห ปญฺจโมฯ
Hīnāyāvattanapañho pañcamo.
Footnotes: