Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๓. หิริสุตฺตวณฺณนา
3. Hirisuttavaṇṇanā
หิริํ ตรนฺตนฺติ หิริสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อนุปฺปเนฺน ภควติ สาวตฺถิยํ อญฺญตโร พฺราหฺมณมหาสาโล อโฑฺฒ อโหสิ อสีติโกฎิธนวิภโวฯ ตสฺส เอกปุตฺตโก อโหสิ ปิโย มนาโปฯ โส ตํ เทวกุมารํ วิย นานปฺปกาเรหิ สุขูปกรเณหิ สํวเฑฺฒโนฺต ตํ สาปเตยฺยํ ตสฺส อนิยฺยาเตตฺวาว กาลมกาสิ สทฺธิํ พฺราหฺมณิยาฯ ตโต ตสฺส มาณวสฺส มาตาปิตูนํ อจฺจเยน ภณฺฑาคาริโก สารคพฺภํ วิวริตฺวา สาปเตยฺยํ นิยฺยาเตโนฺต อาห – ‘‘อิทํ เต, สามิ, มาตาปิตูนํ สนฺตกํ, อิทํ อยฺยกปยฺยกานํ สนฺตกํ, อิทํ สตฺตกุลปริวเฎฺฎน อาคต’’นฺติฯ มาณโว ธนํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ ธนํเยว ทิสฺสติ, เยหิ ปน อิทํ สญฺจิตํ, เต น ทิสฺสนฺติ, สเพฺพว มจฺจุวสํ คตาฯ คจฺฉนฺตา จ น อิโต กิญฺจิ อาทาย อคมํสุ, เอวํ นาม โภเค ปหาย คนฺตโพฺพ ปรโลโก, น สกฺกา กิญฺจิ อาทาย คนฺตุํ อญฺญตฺร สุจริเตนฯ ยํนูนาหํ อิมํ ธนํ ปริจฺจชิตฺวา สุจริตธนํ คเณฺหยฺยํ, ยํ สกฺกา อาทาย คนฺตุ’’นฺติฯ โส ทิวเส ทิวเส สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชโนฺต ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘ปหูตมิทํ ธนํ, กิํ อิมินา เอวมปฺปเกน ปริจฺจาเคน, ยํนูนาหํ มหาทานํ ทเทยฺย’’นฺติฯ โส รโญฺญ อาโรเจสิ – ‘‘มหาราช, มม ฆเร เอตฺตกํ ธนํ อตฺถิ, อิจฺฉามิ เตน มหาทานํ ทาตุํฯ สาธุ, มหาราช, นคเร โฆสนํ การาเปถา’’ติฯ ราชา ตถา การาเปสิฯ โส อาคตาคตานํ ภาชนานิ ปูเรตฺวา สตฺตหิ ทิวเสหิ สพฺพธนมทาสิ , ทตฺวา จ จิเนฺตสิ – ‘‘เอวํ มหาปริจฺจาคํ กตฺวา อยุตฺตํ ฆเร วสิตุํ, ยํนูนาหํ ปพฺพเชยฺย’’นฺติฯ ตโต ปริชนสฺส เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ เต ‘‘มา, ตฺวํ สามิ, ‘ธนํ ปริกฺขีณ’นฺติ จินฺตยิ, มยํ อปฺปเกเนว กาเลน นานาวิเธหิ อุปาเยหิ ธนสญฺจยํ กริสฺสามา’’ติ วตฺวา นานปฺปกาเรหิ ตํ ยาจิํสุฯ โส เตสํ ยาจนํ อนาทิยิตฺวาว ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ
Hiriṃtarantanti hirisuttaṃ. Kā uppatti? Anuppanne bhagavati sāvatthiyaṃ aññataro brāhmaṇamahāsālo aḍḍho ahosi asītikoṭidhanavibhavo. Tassa ekaputtako ahosi piyo manāpo. So taṃ devakumāraṃ viya nānappakārehi sukhūpakaraṇehi saṃvaḍḍhento taṃ sāpateyyaṃ tassa aniyyātetvāva kālamakāsi saddhiṃ brāhmaṇiyā. Tato tassa māṇavassa mātāpitūnaṃ accayena bhaṇḍāgāriko sāragabbhaṃ vivaritvā sāpateyyaṃ niyyātento āha – ‘‘idaṃ te, sāmi, mātāpitūnaṃ santakaṃ, idaṃ ayyakapayyakānaṃ santakaṃ, idaṃ sattakulaparivaṭṭena āgata’’nti. Māṇavo dhanaṃ disvā cintesi – ‘‘idaṃ dhanaṃyeva dissati, yehi pana idaṃ sañcitaṃ, te na dissanti, sabbeva maccuvasaṃ gatā. Gacchantā ca na ito kiñci ādāya agamaṃsu, evaṃ nāma bhoge pahāya gantabbo paraloko, na sakkā kiñci ādāya gantuṃ aññatra sucaritena. Yaṃnūnāhaṃ imaṃ dhanaṃ pariccajitvā sucaritadhanaṃ gaṇheyyaṃ, yaṃ sakkā ādāya gantu’’nti. So divase divase satasahassaṃ vissajjento puna cintesi – ‘‘pahūtamidaṃ dhanaṃ, kiṃ iminā evamappakena pariccāgena, yaṃnūnāhaṃ mahādānaṃ dadeyya’’nti. So rañño ārocesi – ‘‘mahārāja, mama ghare ettakaṃ dhanaṃ atthi, icchāmi tena mahādānaṃ dātuṃ. Sādhu, mahārāja, nagare ghosanaṃ kārāpethā’’ti. Rājā tathā kārāpesi. So āgatāgatānaṃ bhājanāni pūretvā sattahi divasehi sabbadhanamadāsi , datvā ca cintesi – ‘‘evaṃ mahāpariccāgaṃ katvā ayuttaṃ ghare vasituṃ, yaṃnūnāhaṃ pabbajeyya’’nti. Tato parijanassa etamatthaṃ ārocesi. Te ‘‘mā, tvaṃ sāmi, ‘dhanaṃ parikkhīṇa’nti cintayi, mayaṃ appakeneva kālena nānāvidhehi upāyehi dhanasañcayaṃ karissāmā’’ti vatvā nānappakārehi taṃ yāciṃsu. So tesaṃ yācanaṃ anādiyitvāva tāpasapabbajjaṃ pabbaji.
ตตฺถ อฎฺฐวิธา ตาปสา – สปุตฺตภริยา, อุญฺฉาจาริกา, สมฺปตฺตกาลิกา, อนคฺคิปกฺกิกา, อสฺมมุฎฺฐิกา, ทนฺตลุยฺยกา, ปวตฺตผลิกา, วณฺฎมุตฺติกา จาติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๘๐)ฯ ตตฺถ สปุตฺตภริยาติ ปุตฺตทาเรน สทฺธิํ ปพฺพชิตฺวา กสิวณิชฺชาทีหิ ชีวิกํ กปฺปยมานา เกณิยชฎิลาทโยฯ อุญฺฉาจาริกาติ นครทฺวาเร อสฺสมํ การาเปตฺวา ตตฺถ ขตฺติยพฺราหฺมณกุมาราทโย สิปฺปาทีนิ สิกฺขาเปตฺวา หิรญฺญสุวณฺณํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ติลตณฺฑุลาทิกปฺปิยภณฺฑปฎิคฺคาหกา, เต สปุตฺตภริเยหิ เสฎฺฐตราฯ สมฺปตฺตกาลิกาติ อาหารเวลาย สมฺปตฺตํ อาหารํ คเหตฺวา ยาเปนฺตา, เต อุญฺฉาจาริเกหิ เสฎฺฐตราฯ อนคฺคิปกฺกิกาติ อคฺคินา อปกฺกปตฺตผลานิ ขาทิตฺวา ยาเปนฺตา, เต สมฺปตฺตกาลิเกหิ เสฎฺฐตราฯ อสฺมมุฎฺฐิกาติ มุฎฺฐิปาสาณํ คเหตฺวา อญฺญํ วา กิญฺจิ วาสิสตฺถกาทิํ คเหตฺวา วิจรนฺตา ยทา ฉาตา โหนฺติ, ตทา สมฺปตฺตรุกฺขโต ตจํ คเหตฺวา ขาทิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวนฺติ, เต อนคฺคิปกฺกิเกหิ เสฎฺฐตราฯ ทนฺตลุยฺยกาติ มุฎฺฐิปาสาณาทีนิปิ อคเหตฺวา จรนฺตา ขุทากาเล สมฺปตฺตรุกฺขโต ทเนฺตหิ อุปฺปาเฎตฺวา ตจํ ขาทิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย พฺรหฺมวิหาเร ภาเวนฺติ, เต อสฺมมุฎฺฐิเกหิ เสฎฺฐตราฯ ปวตฺตผลิกาติ ชาตสฺสรํ วา วนสณฺฑํ วา นิสฺสาย วสนฺตา ยํ ตตฺถ สเร ภิสมุฬาลาทิ, ยํ วา วนสเณฺฑ ปุปฺผกาเล ปุปฺผํ, ผลกาเล ผลํ, ตเมว ขาทนฺติฯ ปุปฺผผเล อสติ อนฺตมโส ตตฺถ รุกฺขปปฎิกมฺปิ ขาทิตฺวา วสนฺติ, น เตฺวว อาหารตฺถาย อญฺญตฺร คจฺฉนฺติฯ อุโปสถงฺคาธิฎฺฐานํ พฺรหฺมวิหารภาวนํ จ กโรนฺติ, เต ทนฺตลุยฺยเกหิ เสฎฺฐตราฯ วณฺฎมุตฺติกา นาม วณฺฎมุตฺตานิ ภูมิยํ ปติตานิ ปณฺณานิเยว ขาทนฺติ, เสสํ ปุริมสทิสเมว, เต สพฺพเสฎฺฐาฯ
Tattha aṭṭhavidhā tāpasā – saputtabhariyā, uñchācārikā, sampattakālikā, anaggipakkikā, asmamuṭṭhikā, dantaluyyakā, pavattaphalikā, vaṇṭamuttikā cāti (dī. ni. aṭṭha. 1.280). Tattha saputtabhariyāti puttadārena saddhiṃ pabbajitvā kasivaṇijjādīhi jīvikaṃ kappayamānā keṇiyajaṭilādayo. Uñchācārikāti nagaradvāre assamaṃ kārāpetvā tattha khattiyabrāhmaṇakumārādayo sippādīni sikkhāpetvā hiraññasuvaṇṇaṃ paṭikkhipitvā tilataṇḍulādikappiyabhaṇḍapaṭiggāhakā, te saputtabhariyehi seṭṭhatarā. Sampattakālikāti āhāravelāya sampattaṃ āhāraṃ gahetvā yāpentā, te uñchācārikehi seṭṭhatarā. Anaggipakkikāti agginā apakkapattaphalāni khāditvā yāpentā, te sampattakālikehi seṭṭhatarā. Asmamuṭṭhikāti muṭṭhipāsāṇaṃ gahetvā aññaṃ vā kiñci vāsisatthakādiṃ gahetvā vicarantā yadā chātā honti, tadā sampattarukkhato tacaṃ gahetvā khāditvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya cattāro brahmavihāre bhāventi, te anaggipakkikehi seṭṭhatarā. Dantaluyyakāti muṭṭhipāsāṇādīnipi agahetvā carantā khudākāle sampattarukkhato dantehi uppāṭetvā tacaṃ khāditvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya brahmavihāre bhāventi, te asmamuṭṭhikehi seṭṭhatarā. Pavattaphalikāti jātassaraṃ vā vanasaṇḍaṃ vā nissāya vasantā yaṃ tattha sare bhisamuḷālādi, yaṃ vā vanasaṇḍe pupphakāle pupphaṃ, phalakāle phalaṃ, tameva khādanti. Pupphaphale asati antamaso tattha rukkhapapaṭikampi khāditvā vasanti, na tveva āhāratthāya aññatra gacchanti. Uposathaṅgādhiṭṭhānaṃ brahmavihārabhāvanaṃ ca karonti, te dantaluyyakehi seṭṭhatarā. Vaṇṭamuttikā nāma vaṇṭamuttāni bhūmiyaṃ patitāni paṇṇāniyeva khādanti, sesaṃ purimasadisameva, te sabbaseṭṭhā.
อยํ ปน พฺราหฺมณกุลปุโตฺต ‘‘ตาปสปพฺพชฺชาสุ อคฺคปพฺพชฺชํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วณฺฎมุตฺติกปพฺพชฺชเมว ปพฺพชิตฺวา หิมวเนฺต เทฺว ตโย ปพฺพเต อติกฺกมฺม อสฺสมํ การาเปตฺวา ปฎิวสติฯ อถ ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ คนฺตฺวา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน สาวตฺถิวาสี เอโก ปุริโส ปพฺพเต จนฺทนสาราทีนิ คเวสโนฺต ตสฺส อสฺสมํ ปตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ โส ตํ ทิสฺวา ‘‘กุโต อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สาวตฺถิโต, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กา ตตฺถ ปวตฺตี’’ติ? ‘‘ตตฺถ, ภเนฺต, มนุสฺสา อปฺปมตฺตา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรนฺตี’’ติฯ ‘‘กสฺส โอวาทํ สุตฺวา’’ติ? ‘‘พุทฺธสฺส ภควโต’’ติฯ ตาปโส พุทฺธสทฺทสฺสวเนน วิมฺหิโต ‘‘พุโทฺธติ ตฺวํ, โภ ปุริส, วเทสี’’ติ อามคเนฺธ วุตฺตนเยเนว ติกฺขตฺตุํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘โฆโสปิ โข เอโส ทุลฺลโภ’’ติ อตฺตมโน ภควโต สนฺติกํ คนฺตุกาโม หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘น ยุตฺตํ พุทฺธสฺส สนฺติกํ ตุจฺฉเมว คนฺตุํ, กิํ นุ โข คเหตฺวา คเจฺฉยฺย’’นฺติฯ ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘พุทฺธา นาม อามิสครุกา น โหนฺติ, หนฺทาหํ ธมฺมปณฺณาการํ คเหตฺวา คจฺฉามี’’ติ จตฺตาโร ปเญฺห อภิสงฺขริ –
Ayaṃ pana brāhmaṇakulaputto ‘‘tāpasapabbajjāsu aggapabbajjaṃ pabbajissāmī’’ti vaṇṭamuttikapabbajjameva pabbajitvā himavante dve tayo pabbate atikkamma assamaṃ kārāpetvā paṭivasati. Atha bhagavā loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko anupubbena sāvatthiṃ gantvā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tena kho pana samayena sāvatthivāsī eko puriso pabbate candanasārādīni gavesanto tassa assamaṃ patvā abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. So taṃ disvā ‘‘kuto āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Sāvatthito, bhante’’ti. ‘‘Kā tattha pavattī’’ti? ‘‘Tattha, bhante, manussā appamattā dānādīni puññāni karontī’’ti. ‘‘Kassa ovādaṃ sutvā’’ti? ‘‘Buddhassa bhagavato’’ti. Tāpaso buddhasaddassavanena vimhito ‘‘buddhoti tvaṃ, bho purisa, vadesī’’ti āmagandhe vuttanayeneva tikkhattuṃ pucchitvā ‘‘ghosopi kho eso dullabho’’ti attamano bhagavato santikaṃ gantukāmo hutvā cintesi – ‘‘na yuttaṃ buddhassa santikaṃ tucchameva gantuṃ, kiṃ nu kho gahetvā gaccheyya’’nti. Puna cintesi – ‘‘buddhā nāma āmisagarukā na honti, handāhaṃ dhammapaṇṇākāraṃ gahetvā gacchāmī’’ti cattāro pañhe abhisaṅkhari –
‘‘กีทิโส มิโตฺต น เสวิตโพฺพ, กีทิโส มิโตฺต เสวิตโพฺพ;
‘‘Kīdiso mitto na sevitabbo, kīdiso mitto sevitabbo;
กีทิโส ปโยโค ปยุญฺชิตโพฺพ, กิํ รสานํ อคฺค’’นฺติฯ
Kīdiso payogo payuñjitabbo, kiṃ rasānaṃ agga’’nti.
โส เต ปเญฺห คเหตฺวา มชฺฌิมเทสาภิมุโข ปกฺกมิตฺวา อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนํ ปวิโฎฺฐฯ ภควาปิ ตสฺมิํ สมเย ธมฺมเทสนตฺถาย อาสเน นิสิโนฺนเยว โหติฯ โส ภควนฺตํ ทิสฺวา อวนฺทิตฺวาว เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ภควา ‘‘กจฺจิ, อิสิ, ขมนีย’’นฺติอาทินา นเยน สโมฺมทิฯ โสปิ ‘‘ขมนียํ, โภ โคตมา’’ติอาทินา นเยน ปฎิสโมฺมทิตฺวา ‘‘ยทิ พุโทฺธ ภวิสฺสติ, มนสา ปุจฺฉิเต ปเญฺห วาจาย เอว วิสฺสเชฺชสฺสตี’’ติ มนสา เอว ภควนฺตํ เต ปเญฺห ปุจฺฉิฯ ภควา พฺราหฺมเณน ปุโฎฺฐ อาทิปญฺหํ ตาว วิสฺสเชฺชตุํ หิริํ ตรนฺตนฺติ อารภิตฺวา อฑฺฒเตยฺยา คาถาโย อาหฯ
So te pañhe gahetvā majjhimadesābhimukho pakkamitvā anupubbena sāvatthiṃ patvā jetavanaṃ paviṭṭho. Bhagavāpi tasmiṃ samaye dhammadesanatthāya āsane nisinnoyeva hoti. So bhagavantaṃ disvā avanditvāva ekamantaṃ aṭṭhāsi. Bhagavā ‘‘kacci, isi, khamanīya’’ntiādinā nayena sammodi. Sopi ‘‘khamanīyaṃ, bho gotamā’’tiādinā nayena paṭisammoditvā ‘‘yadi buddho bhavissati, manasā pucchite pañhe vācāya eva vissajjessatī’’ti manasā eva bhagavantaṃ te pañhe pucchi. Bhagavā brāhmaṇena puṭṭho ādipañhaṃ tāva vissajjetuṃ hiriṃ tarantanti ārabhitvā aḍḍhateyyā gāthāyo āha.
๒๕๖. ตาสํ อโตฺถ – หิริํ ตรนฺตนฺติ หิริํ อติกฺกมนฺตํ อหิริกํ นิลฺลชฺชํฯ วิชิคุจฺฉมานนฺติ อสุจิมิว ปสฺสมานํฯ อหิริโก หิ หิริํ ชิคุจฺฉติ อสุจิมิว ปสฺสติ, เตน นํ น ภชติ น อลฺลียติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วิชิคุจฺฉมาน’’นฺติฯ ตวาหมสฺมิ อิติ ภาสมานนฺติ ‘‘อหํ, สมฺม, ตว สหาโย หิตกาโม สุขกาโม, ชีวิตมฺปิ เม ตุยฺหํ อตฺถาย ปริจฺจตฺต’’นฺติ เอวมาทินา นเยน ภาสมานํฯ สยฺหานิ กมฺมานิ อนาทิยนฺตนฺติ เอวํ ภาสิตฺวาปิ จ สยฺหานิ กาตุํ สกฺกานิปิ ตสฺส กมฺมานิ อนาทิยนฺตํ กรณตฺถาย อสมาทิยนฺตํฯ อถ วา จิเตฺตน ตตฺถ อาทรมตฺตมฺปิ อกโรนฺตํ, อปิจ โข ปน อุปฺปเนฺนสุ กิเจฺจสุ พฺยสนเมว ทเสฺสนฺตํฯ เนโส มมนฺติ อิติ นํ วิชญฺญาติ ตํ เอวรูปํ ‘‘มิตฺตปฎิรูปโก เอโส, เนโส เม มิโตฺต’’ติ เอวํ ปณฺฑิโต ปุริโส วิชาเนยฺยฯ
256. Tāsaṃ attho – hiriṃ tarantanti hiriṃ atikkamantaṃ ahirikaṃ nillajjaṃ. Vijigucchamānanti asucimiva passamānaṃ. Ahiriko hi hiriṃ jigucchati asucimiva passati, tena naṃ na bhajati na allīyati. Tena vuttaṃ ‘‘vijigucchamāna’’nti. Tavāhamasmi iti bhāsamānanti ‘‘ahaṃ, samma, tava sahāyo hitakāmo sukhakāmo, jīvitampi me tuyhaṃ atthāya pariccatta’’nti evamādinā nayena bhāsamānaṃ. Sayhāni kammāni anādiyantanti evaṃ bhāsitvāpi ca sayhāni kātuṃ sakkānipi tassa kammāni anādiyantaṃ karaṇatthāya asamādiyantaṃ. Atha vā cittena tattha ādaramattampi akarontaṃ, apica kho pana uppannesu kiccesu byasanameva dassentaṃ. Neso mamanti iti naṃ vijaññāti taṃ evarūpaṃ ‘‘mittapaṭirūpako eso, neso me mitto’’ti evaṃ paṇḍito puriso vijāneyya.
๒๕๗. อนนฺวยนฺติ ยํ อตฺถํ ทสฺสามิ, กริสฺสามีติ จ ภาสติ, เตน อนนุคตํฯ ปิยํ วาจํ โย มิเตฺตสุ ปกุพฺพตีติ โย อตีตานาคเตหิ ปเทหิ ปฎิสนฺถรโนฺต นิรตฺถเกน สงฺคณฺหโนฺต เกวลํ พฺยญฺชนจฺฉายามเตฺตเนว ปิยํ มิเตฺตสุ วาจํ ปวเตฺตติฯ อกโรนฺตํ ภาสมานํ, ปริชานนฺติ ปณฺฑิตาติ เอวรูปํ ยํ ภาสติ, ตํ อกโรนฺตํ, เกวลํ วาจาย ภาสมานํ ‘‘วจีปรโม นาเมส อมิโตฺต มิตฺตปฎิรูปโก’’ติ เอวํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปณฺฑิตา ชานนฺติฯ
257.Ananvayanti yaṃ atthaṃ dassāmi, karissāmīti ca bhāsati, tena ananugataṃ. Piyaṃ vācaṃ yo mittesu pakubbatīti yo atītānāgatehi padehi paṭisantharanto niratthakena saṅgaṇhanto kevalaṃ byañjanacchāyāmatteneva piyaṃ mittesu vācaṃ pavatteti. Akarontaṃ bhāsamānaṃ, parijānanti paṇḍitāti evarūpaṃ yaṃ bhāsati, taṃ akarontaṃ, kevalaṃ vācāya bhāsamānaṃ ‘‘vacīparamo nāmesa amitto mittapaṭirūpako’’ti evaṃ paricchinditvā paṇḍitā jānanti.
๒๕๘. น โส มิโตฺต โย สทา อปฺปมโตฺต, เภทาสงฺกี รนฺธเมวานุปสฺสีติ โย เภทเมว อาสงฺกมาโน กตมธุเรน อุปจาเรน สทา อปฺปมโตฺต วิหรติ, ยํกิญฺจิ อสฺสติยา อมนสิกาเรน กตํ, อญฺญาณเกน วา อกตํ, ‘‘ยทา มํ ครหิสฺสติ, ตทา นํ เอเตน ปฎิโจเทสฺสามี’’ติ เอวํ รนฺธเมว อนุปสฺสติ, น โส มิโตฺต เสวิตโพฺพติฯ
258.Na so mitto yo sadā appamatto, bhedāsaṅkī randhamevānupassīti yo bhedameva āsaṅkamāno katamadhurena upacārena sadā appamatto viharati, yaṃkiñci assatiyā amanasikārena kataṃ, aññāṇakena vā akataṃ, ‘‘yadā maṃ garahissati, tadā naṃ etena paṭicodessāmī’’ti evaṃ randhameva anupassati, na so mitto sevitabboti.
เอวํ ภควา ‘‘กีทิโส มิโตฺต น เสวิตโพฺพ’’ติ อิมํ อาทิปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา ทุติยํ วิสฺสเชฺชตุํ ‘‘ยสฺมิญฺจ เสตี’’ติ อิมํ อุปฑฺฒคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ ยสฺมิญฺจ มิเตฺต มิโตฺต ตสฺส หทยมนุปวิสิตฺวา สยเนน ยถา นาม ปิตุ อุรสิ ปุโตฺต ‘‘อิมสฺส มยิ อุรสิ สยเนฺต ทุกฺขํ วา อนตฺตมนตา วา ภเวยฺยา’’ติอาทีหิ อปริสงฺกมาโน นิพฺพิสโงฺก หุตฺวา เสติ, เอวเมวํ ทารธนชีวิตาทีสุ วิสฺสาสํ กโรโนฺต มิตฺตภาเวน นิพฺพิสโงฺก เสติฯ โย จ ปเรหิ การณสตํ การณสหสฺสมฺปิ วตฺวา อเภโชฺช, ส เว มิโตฺต เสวิตโพฺพติฯ
Evaṃ bhagavā ‘‘kīdiso mitto na sevitabbo’’ti imaṃ ādipañhaṃ vissajjetvā dutiyaṃ vissajjetuṃ ‘‘yasmiñca setī’’ti imaṃ upaḍḍhagāthamāha. Tassattho yasmiñca mitte mitto tassa hadayamanupavisitvā sayanena yathā nāma pitu urasi putto ‘‘imassa mayi urasi sayante dukkhaṃ vā anattamanatā vā bhaveyyā’’tiādīhi aparisaṅkamāno nibbisaṅko hutvā seti, evamevaṃ dāradhanajīvitādīsu vissāsaṃ karonto mittabhāvena nibbisaṅko seti. Yo ca parehi kāraṇasataṃ kāraṇasahassampi vatvā abhejjo, sa ve mitto sevitabboti.
๒๕๙. เอวํ ภควา ‘‘กีทิโส มิโตฺต เสวิตโพฺพ’’ติ เอวํ ทุติยปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตติยํ วิสฺสเชฺชตุํ ‘‘ปามุชฺชกรณ’’นฺติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ปามุชฺชํ กโรตีติ ปามุชฺชกรณํฯ ฐานนฺติ การณํฯ กิํ ปน ตนฺติ? วีริยํฯ ตญฺหิ ธมฺมูปสญฺหิตํ ปีติปาโมชฺชสุขมุปฺปาทนโต ปามุชฺชกรณนฺติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘สฺวาขาเต, ภิกฺขเว, ธมฺมวินเย โย อารทฺธวีริโย, โส สุขํ วิหรตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๙)ฯ ปสํสํ อาวหตีติ ปสํสาวหนํฯ อาทิโต ทิพฺพมานุสกสุขานํ , ปริโยสาเน นิพฺพานสุขสฺส อาวหนโต ผลูปจาเรน สุขํฯ ผลํ ปฎิกงฺขมาโน ผลานิสํโสฯ ภาเวตีติ วเฑฺฒติฯ วหโนฺต โปริสํ ธุรนฺติ ปุริสานุจฺฉวิกํ ภารํ อาทาย วิหรโนฺต เอตํ สมฺมปฺปธานวีริยสงฺขาตํ ฐานํ ภาเวติ, อีทิโส ปโยโค เสวิตโพฺพติฯ
259. Evaṃ bhagavā ‘‘kīdiso mitto sevitabbo’’ti evaṃ dutiyapañhaṃ vissajjetvā tatiyaṃ vissajjetuṃ ‘‘pāmujjakaraṇa’’nti gāthamāha. Tassattho – pāmujjaṃ karotīti pāmujjakaraṇaṃ. Ṭhānanti kāraṇaṃ. Kiṃ pana tanti? Vīriyaṃ. Tañhi dhammūpasañhitaṃ pītipāmojjasukhamuppādanato pāmujjakaraṇanti vuccati. Yathāha ‘‘svākhāte, bhikkhave, dhammavinaye yo āraddhavīriyo, so sukhaṃ viharatī’’ti (a. ni. 1.319). Pasaṃsaṃ āvahatīti pasaṃsāvahanaṃ. Ādito dibbamānusakasukhānaṃ , pariyosāne nibbānasukhassa āvahanato phalūpacārena sukhaṃ. Phalaṃ paṭikaṅkhamāno phalānisaṃso. Bhāvetīti vaḍḍheti. Vahanto porisaṃ dhuranti purisānucchavikaṃ bhāraṃ ādāya viharanto etaṃ sammappadhānavīriyasaṅkhātaṃ ṭhānaṃ bhāveti, īdiso payogo sevitabboti.
๒๖๐. เอวํ ภควา ‘‘กีทิโส ปโยโค ปยุญฺชิตโพฺพ’’ติ ตติยปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา จตุตฺถํ วิสฺสเชฺชตุํ ‘‘ปวิเวกรส’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ ปวิเวโกติ กิเลสวิเวกโต ชาตตฺตา อคฺคผลํ วุจฺจติ, ตสฺส รโสติ อสฺสาทนเฎฺฐน ตํสมฺปยุตฺตํ สุขํฯ อุปสโมปิ กิเลสูปสมเนฺต ชาตตฺตา นิพฺพานสงฺขาตอุปสมารมฺมณตฺตา วา ตเทว, ธมฺมปีติรโสปิ อริยธมฺมโต อนเปตาย นิพฺพานสงฺขาเต ธเมฺม อุปฺปนฺนาย ปีติยา รสตฺตา ตเทวฯ ตํ ปวิเวกรสํ อุปสมสฺส จ รสํ ปิตฺวา ตเทว ธมฺมปีติรสํ ปิวํ นิทฺทโร โหติ นิปฺปาโป, ปิวิตฺวาปิ กิเลสปริฬาหาภาเวน นิทฺทโร, ปิวโนฺตปิ ปหีนปาปตฺตา นิปฺปาโป โหติ, ตสฺมา เอตํ รสานมคฺคนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘ฌานนิพฺพานปจฺจเวกฺขณานํ กายจิตฺตอุปธิวิเวกานญฺจ วเสน ปวิเวกรสาทโย ตโย เอว เอเต ธมฺมา’’ติ โยเชนฺติ , ปุริมเมว สุนฺทรํฯ เอวํ ภควา จตุตฺถปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ เทสนาปริโยสาเน พฺราหฺมโณ ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา กติปาเหเนว ปฎิสมฺภิทาปฺปโตฺต อรหา อโหสีติฯ
260. Evaṃ bhagavā ‘‘kīdiso payogo payuñjitabbo’’ti tatiyapañhaṃ vissajjetvā catutthaṃ vissajjetuṃ ‘‘pavivekarasa’’nti gāthamāha. Tattha pavivekoti kilesavivekato jātattā aggaphalaṃ vuccati, tassa rasoti assādanaṭṭhena taṃsampayuttaṃ sukhaṃ. Upasamopi kilesūpasamante jātattā nibbānasaṅkhātaupasamārammaṇattā vā tadeva, dhammapītirasopi ariyadhammato anapetāya nibbānasaṅkhāte dhamme uppannāya pītiyā rasattā tadeva. Taṃ pavivekarasaṃ upasamassa ca rasaṃ pitvā tadeva dhammapītirasaṃ pivaṃ niddaro hoti nippāpo, pivitvāpi kilesapariḷāhābhāvena niddaro, pivantopi pahīnapāpattā nippāpo hoti, tasmā etaṃ rasānamagganti. Keci pana ‘‘jhānanibbānapaccavekkhaṇānaṃ kāyacittaupadhivivekānañca vasena pavivekarasādayo tayo eva ete dhammā’’ti yojenti , purimameva sundaraṃ. Evaṃ bhagavā catutthapañhaṃ vissajjento arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi. Desanāpariyosāne brāhmaṇo bhagavato santike pabbajitvā katipāheneva paṭisambhidāppatto arahā ahosīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย หิริสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya hirisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปฐโม ภาโค นิฎฺฐิโตฯ
Paṭhamo bhāgo niṭṭhito.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๓. หิริสุตฺตํ • 3. Hirisuttaṃ