Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
(๗) ๒. ภูมิจาลวโคฺค
(7) 2. Bhūmicālavaggo
๑-๕. อิจฺฉาสุตฺตาทิวณฺณนา
1-5. Icchāsuttādivaṇṇanā
๖๑-๖๕. สตฺตมสฺส ปฐมาทีนิ สุวิเญฺญยฺยานิฯ ปญฺจเม (ที.นิ.ฎี. ๒.๑๗๓) อภิภวตีติ อภิภุ, ปริกมฺมํ, ญาณํ วาฯ อภิภุ อายตนํ เอตสฺสาติ อภิภายตนํ, ฌานํฯ อภิภวิตพฺพํ วา อารมฺมณสงฺขาตํ อายตนํ เอตสฺสาติ อภิภายตนํฯ อถ วา อารมฺมณาภิภวนโต อภิตุ จ ตํ อายตนญฺจ โยคิโน สุขวิเสสานํ อธิฎฺฐานภาวโต มนายตนธมฺมายตนภาวโต จาติปิ สสมฺปยุตฺตชฺฌานํ อภิภายตนํฯ เตนาห ‘‘อภิภวนการณานี’’ติอาทิฯ ตานิ หีติ อภิภายตนสญฺญิตานิ ฌานานิฯ ‘‘ปุคฺคลสฺส ญาณุตฺตริยตายา’’ติ อิทํ อุภยตฺถาปิ โยเชตพฺพํฯ กถํ? ปฎิปกฺขภาเวน ปจฺจนีกธเมฺม อภิภวนฺติ ปุคฺคลสฺส ญาณุตฺตริยตาย อารมฺมณานิ อภิภวนฺติฯ ญาณพเลเนว หิ อารมฺมณาภิภวนํ วิย ปฎิปกฺขาภิภโวปีติฯ
61-65. Sattamassa paṭhamādīni suviññeyyāni. Pañcame (dī.ni.ṭī. 2.173) abhibhavatīti abhibhu, parikammaṃ, ñāṇaṃ vā. Abhibhu āyatanaṃ etassāti abhibhāyatanaṃ, jhānaṃ. Abhibhavitabbaṃ vā ārammaṇasaṅkhātaṃ āyatanaṃ etassāti abhibhāyatanaṃ. Atha vā ārammaṇābhibhavanato abhitu ca taṃ āyatanañca yogino sukhavisesānaṃ adhiṭṭhānabhāvato manāyatanadhammāyatanabhāvato cātipi sasampayuttajjhānaṃ abhibhāyatanaṃ. Tenāha ‘‘abhibhavanakāraṇānī’’tiādi. Tāni hīti abhibhāyatanasaññitāni jhānāni. ‘‘Puggalassa ñāṇuttariyatāyā’’ti idaṃ ubhayatthāpi yojetabbaṃ. Kathaṃ? Paṭipakkhabhāvena paccanīkadhamme abhibhavanti puggalassa ñāṇuttariyatāya ārammaṇāni abhibhavanti. Ñāṇabaleneva hi ārammaṇābhibhavanaṃ viya paṭipakkhābhibhavopīti.
ปริกมฺมวเสน อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี, น อปฺปนาวเสนฯ น หิ ปฎิภาคนิมิตฺตารมฺมณา อปฺปนา อชฺฌตฺตวิสยา สมฺภวติฯ ตํ ปน อชฺฌตฺตปริกมฺมวเสน ลทฺธํ กสิณนิมิตฺตํ อวิสุทฺธเมว โหติ, น พหิทฺธาปริกมฺมวเสน ลทฺธํ วิย วิสุทฺธํฯ
Parikammavasenaajjhattaṃ rūpasaññī, na appanāvasena. Na hi paṭibhāganimittārammaṇā appanā ajjhattavisayā sambhavati. Taṃ pana ajjhattaparikammavasena laddhaṃ kasiṇanimittaṃ avisuddhameva hoti, na bahiddhāparikammavasena laddhaṃ viya visuddhaṃ.
ปริตฺตานีติ ยถาลทฺธานิ สุปฺปสราวมตฺตานิฯ เตนาห ‘‘อวฑฺฒิตานี’’ติฯ ปริตฺตวเสเนวาติ วณฺณวเสน อาโภเค วิชฺชมาเนปิ ปริตฺตวเสเนว อิทํ อภิภายตนํ วุตฺตํฯ ปริตฺตตา เหตฺถ อภิภวนสฺส การณํฯ วณฺณาโภเค สติปิ อสติปิ อภิภายตนภาวนา นาม ติกฺขปญฺญเสฺสว สมฺภวติ, น อิตรสฺสาติ อาห ‘‘ญาณุตฺตริโก ปุคฺคโล’’ติฯ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชตีติ เอตฺถ อภิภวนํ สมาปชฺชนญฺจ อุปจารชฺฌานาธิคมสมนนฺตรเมว อปฺปนาฌานุปฺปาทนนฺติ อาห ‘‘สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตี’’ติฯ สห นิมิตฺตุปฺปาเทนาติ จ อปฺปนาปริวาสาภาวสฺส ลกฺขณวจนเมตํฯ โย ‘‘ขิปฺปาภิโญฺญ’’ติ วุจฺจติ, ตโตปิ ญาณุตฺตรเสฺสว อภิภายตนภาวนาฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ นิมิเตฺตฯ อปฺปนํ ปาเปตีติ ภาวนํ อปฺปนํ เนติฯ
Parittānīti yathāladdhāni suppasarāvamattāni. Tenāha ‘‘avaḍḍhitānī’’ti. Parittavasenevāti vaṇṇavasena ābhoge vijjamānepi parittavaseneva idaṃ abhibhāyatanaṃ vuttaṃ. Parittatā hettha abhibhavanassa kāraṇaṃ. Vaṇṇābhoge satipi asatipi abhibhāyatanabhāvanā nāma tikkhapaññasseva sambhavati, na itarassāti āha ‘‘ñāṇuttariko puggalo’’ti. Abhibhavitvā samāpajjatīti ettha abhibhavanaṃ samāpajjanañca upacārajjhānādhigamasamanantarameva appanājhānuppādananti āha ‘‘saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetī’’ti. Saha nimittuppādenāti ca appanāparivāsābhāvassa lakkhaṇavacanametaṃ. Yo ‘‘khippābhiñño’’ti vuccati, tatopi ñāṇuttarasseva abhibhāyatanabhāvanā. Etthāti etasmiṃ nimitte. Appanaṃ pāpetīti bhāvanaṃ appanaṃ neti.
เอตฺถ จ เกจิ ‘‘อุปฺปเนฺน อุปจารชฺฌาเน ตํ อารพฺภ เย เหฎฺฐิมเนฺตน เทฺว ตโย ชวนวารา ปวตฺตนฺติ, เต อุปจารชฺฌานปกฺขิกา เอว, ตทนนฺตรญฺจ ภวงฺคปริวาเสน อุปจาราเสวนาย จ วินา อปฺปนา โหติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนว อปฺปนํ ปาเปตี’’ติ วทนฺติ, ตํ เตสํ มติมตฺตํฯ น หิ ปาริวาสิกกเมฺมน อปฺปนาวาโร อิจฺฉิโต, นาปิ มหคฺคตปฺปมาณชฺฌาเนสุ วิย อุปจารชฺฌาเน เอกนฺตโต ปจฺจเวกฺขณา อิจฺฉิตพฺพา, ตสฺมา อุปจารชฺฌานาธิคมโต ปรํ กติปยภวงฺคจิตฺตาวสาเน อปฺปนํ ปาปุณโนฺต ‘‘สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตี’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘สห นิมิตฺตุปฺปาเทนา’’ติ จ อธิปฺปายิกมิทํ วจนํ, น นีตตฺถํฯ อธิปฺปาโย วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Ettha ca keci ‘‘uppanne upacārajjhāne taṃ ārabbha ye heṭṭhimantena dve tayo javanavārā pavattanti, te upacārajjhānapakkhikā eva, tadanantarañca bhavaṅgaparivāsena upacārāsevanāya ca vinā appanā hoti, saha nimittuppādeneva appanaṃ pāpetī’’ti vadanti, taṃ tesaṃ matimattaṃ. Na hi pārivāsikakammena appanāvāro icchito, nāpi mahaggatappamāṇajjhānesu viya upacārajjhāne ekantato paccavekkhaṇā icchitabbā, tasmā upacārajjhānādhigamato paraṃ katipayabhavaṅgacittāvasāne appanaṃ pāpuṇanto ‘‘saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetī’’ti vutto. ‘‘Saha nimittuppādenā’’ti ca adhippāyikamidaṃ vacanaṃ, na nītatthaṃ. Adhippāyo vuttanayeneva veditabbo.
น อโนฺตสมาปตฺติยํ ตทา ตถารูปสฺส อาโภคสฺส อสมฺภวโต, สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส อาโภโค ปุพฺพภาคภาวนาย วเสน ฌานกฺขเณ ปวตฺตํ อภิภวนาการํ คเหตฺวา ปวโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อภิธมฺมฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๒๐๔) ปน ‘‘อิมินา ปนสฺส ปุพฺพโภโค กถิโต’’ติ วุตฺตํฯ อโนฺตสมาปตฺติยํ ตถา อาโภคาภาเว กสฺมา ‘‘ฌานสญฺญายปี’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อภิภวน…เป.… อตฺถี’’ติฯ
Na antosamāpattiyaṃ tadā tathārūpassa ābhogassa asambhavato, samāpattito vuṭṭhitassa ābhogo pubbabhāgabhāvanāya vasena jhānakkhaṇe pavattaṃ abhibhavanākāraṃ gahetvā pavattoti daṭṭhabbaṃ. Abhidhammaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 204) pana ‘‘iminā panassa pubbabhogo kathito’’ti vuttaṃ. Antosamāpattiyaṃ tathā ābhogābhāve kasmā ‘‘jhānasaññāyapī’’ti vuttanti āha ‘‘abhibhavana…pe… atthī’’ti.
วฑฺฒิตปฺปมาณานีติ วิปุลปฺปมาณานีติ อโตฺถ, น เอกงฺคุลทฺวงฺคุลาทิวเสน วฑฺฒิํ ปาปิตานีติ ตถาวฑฺฒนเสฺสเวตฺถ อสมฺภวโตฯ เตนาห ‘‘มหนฺตานี’’ติฯ ภตฺตวฑฺฒิตกนฺติ ภุญฺชนภาชเน วฑฺฒิตฺวา ทินฺนํ ภตฺตํ, เอกาสเน ปุริเสน ภุญฺชิตพฺพภตฺตโต อุปฑฺฒภตฺตนฺติ อโตฺถฯ
Vaḍḍhitappamāṇānīti vipulappamāṇānīti attho, na ekaṅguladvaṅgulādivasena vaḍḍhiṃ pāpitānīti tathāvaḍḍhanassevettha asambhavato. Tenāha ‘‘mahantānī’’ti. Bhattavaḍḍhitakanti bhuñjanabhājane vaḍḍhitvā dinnaṃ bhattaṃ, ekāsane purisena bhuñjitabbabhattato upaḍḍhabhattanti attho.
รูเป สญฺญา รูปสญฺญา, สา อสฺส อตฺถีติ รูปสญฺญี, น รูปสญฺญี อรูปสญฺญีฯ สญฺญาสีเสน ฌานํ วทติฯ รูปสญฺญาย อนุปฺปาทนเมเวตฺถ อลาภิตาฯ พหิทฺธาว อุปฺปนฺนนฺติ พหิทฺธาวตฺถุสฺมิํเยว อุปฺปนฺนํฯ อภิธเมฺม (ธ. ส. ๒๐๔-๒๐๙) ปน ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ, อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติ เอวํ จตุนฺนํ อภิภายตนานํ อาคตตฺตา อภิธมฺมฎฺฐกถายํ ‘‘กสฺมา ปน ยถา สุตฺตเนฺต อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานีติอาทิ วุตฺตํ, เอวํ อวตฺวา อิธ จตูสุปิ อภิภายตเนสุ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญิตาว วุตฺตา’’ติ โจทนํ กตฺวา ‘‘อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียโต’’ติ การณํ วตฺวา ‘‘ตตฺถ วา อิธ วา พหิทฺธา รูปาเนว อภิภวิตพฺพานิ, ตสฺมา ตานิ นิยมโตว วตฺตพฺพานีติ ตตฺราปิ อิธาปิ วุตฺตานิ, ‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี’ติ อิทํ ปน สตฺถุ เทสนาวิลาสมตฺตเมวา’’ติ วุตฺตํฯ
Rūpe saññā rūpasaññā, sā assa atthīti rūpasaññī, na rūpasaññī arūpasaññī. Saññāsīsena jhānaṃ vadati. Rūpasaññāya anuppādanamevettha alābhitā. Bahiddhāva uppannanti bahiddhāvatthusmiṃyeva uppannaṃ. Abhidhamme (dha. sa. 204-209) pana ‘‘ajjhattaṃ arūpasaññī bahiddhā rūpāni passati parittāni suvaṇṇadubbaṇṇāni, appamāṇāni suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti evaṃ catunnaṃ abhibhāyatanānaṃ āgatattā abhidhammaṭṭhakathāyaṃ ‘‘kasmā pana yathā suttante ajjhattaṃ rūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati parittānītiādi vuttaṃ, evaṃ avatvā idha catūsupi abhibhāyatanesu ajjhattaṃ arūpasaññitāva vuttā’’ti codanaṃ katvā ‘‘ajjhattarūpānaṃ anabhibhavanīyato’’ti kāraṇaṃ vatvā ‘‘tattha vā idha vā bahiddhā rūpāneva abhibhavitabbāni, tasmā tāni niyamatova vattabbānīti tatrāpi idhāpi vuttāni, ‘ajjhattaṃ rūpasaññī’ti idaṃ pana satthu desanāvilāsamattamevā’’ti vuttaṃ.
เอตฺถ จ วณฺณาโภครหิตานิ สหิตานิ จ สพฺพานิ ‘‘ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติ วุตฺตานิ, ตถา ‘‘อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติฯ อตฺถิ หิ โส ปริยาโย ‘‘ปริตฺตานิ อภิภุยฺย, ตานิ เจ กทาจิ วณฺณวเสน อาภุชิตานิ โหนฺติ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ อภิภุยฺยา’’ติฯ ปริยายกถา หิ สุตฺตนฺตเทสนาติฯ อภิธเมฺม ปน นิปฺปริยายเทสนตฺตา วณฺณาโภครหิตานิ วิสุํ วุตฺตานิ, ตถา สหิตานิฯ อตฺถิ หิ อุภยตฺถ อภิภวนวิเสโสติ, ตถา อิธ ปริยายเทสนตฺตา วิโมกฺขานมฺปิ อภิภวนปริยาโย อตฺถีติ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี’’ติอาทินา ปฐมทุติยอภิภายตเนสุ ปฐมวิโมโกฺข, ตติยจตุตฺถอภิภายตเนสุ ทุติยวิโมโกฺข, วณฺณาภิภายตเนสุ ตติยวิโมโกฺข จ อภิภวนปฺปวตฺติโต สงฺคหิโตฯ อภิธเมฺม (ธ. ส. ๒๐๔-๒๐๙, ๒๔๗-๒๔๙) ปน นิปฺปริยายเทสนตฺตา วิโมกฺขาภิภายตนานิ อสงฺกรโต ทเสฺสตุํ วิโมเกฺข วเชฺชตฺวา อภิภายตนานิ กถิตานิฯ สพฺพานิ จ วิโมกฺขกิจฺจานิ ฌานานิ วิโมกฺขเทสนายํ วุตฺตานิฯ ตเทตํ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี’’ติ อาคตสฺส อภิภายตนทฺวยสฺส อภิธเมฺม อภิภายตเนสุ อวจนโต ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทีนญฺจ สพฺพวิโมกฺขกิจฺจสาธารณวจนภาวโต ววตฺถานํ กตนฺติ วิญฺญายติฯ ‘‘อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียโต’’ติ อิทํ อภิธเมฺม กตฺถจิปิ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปานิ ปสฺสตี’’ติ อวตฺวา สพฺพตฺถ ยํ วุตฺตํ ‘‘พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ, ตสฺส การณวจนํฯ เตน ยํ อญฺญเหตุกํ, ตํ เตน เหตุนา วุตฺตํฯ ยํ ปน เทสนาวิลาสเหตุกํ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญิตาย เอว อภิธเมฺม วจนํ, น ตสฺส อญฺญํ การณํ มคฺคิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ
Ettha ca vaṇṇābhogarahitāni sahitāni ca sabbāni ‘‘parittāni suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti vuttāni, tathā ‘‘appamāṇāni suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti. Atthi hi so pariyāyo ‘‘parittāni abhibhuyya, tāni ce kadāci vaṇṇavasena ābhujitāni honti suvaṇṇadubbaṇṇāni abhibhuyyā’’ti. Pariyāyakathā hi suttantadesanāti. Abhidhamme pana nippariyāyadesanattā vaṇṇābhogarahitāni visuṃ vuttāni, tathā sahitāni. Atthi hi ubhayattha abhibhavanavisesoti, tathā idha pariyāyadesanattā vimokkhānampi abhibhavanapariyāyo atthīti ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī’’tiādinā paṭhamadutiyaabhibhāyatanesu paṭhamavimokkho, tatiyacatutthaabhibhāyatanesu dutiyavimokkho, vaṇṇābhibhāyatanesu tatiyavimokkho ca abhibhavanappavattito saṅgahito. Abhidhamme (dha. sa. 204-209, 247-249) pana nippariyāyadesanattā vimokkhābhibhāyatanāni asaṅkarato dassetuṃ vimokkhe vajjetvā abhibhāyatanāni kathitāni. Sabbāni ca vimokkhakiccāni jhānāni vimokkhadesanāyaṃ vuttāni. Tadetaṃ ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī’’ti āgatassa abhibhāyatanadvayassa abhidhamme abhibhāyatanesu avacanato ‘‘rūpī rūpāni passatī’’tiādīnañca sabbavimokkhakiccasādhāraṇavacanabhāvato vavatthānaṃ katanti viññāyati. ‘‘Ajjhattarūpānaṃ anabhibhavanīyato’’ti idaṃ abhidhamme katthacipi ‘‘ajjhattaṃ rūpāni passatī’’ti avatvā sabbattha yaṃ vuttaṃ ‘‘bahiddhā rūpāni passatī’’ti, tassa kāraṇavacanaṃ. Tena yaṃ aññahetukaṃ, taṃ tena hetunā vuttaṃ. Yaṃ pana desanāvilāsahetukaṃ ajjhattaṃ arūpasaññitāya eva abhidhamme vacanaṃ, na tassa aññaṃ kāraṇaṃ maggitabbanti dasseti.
อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียตา จ เตสํ พหิทฺธารูปานํ วิย อวิภูตตฺตา เทสนาวิลาโส จ ยถาวุตฺตววตฺถานวเสน เวทิตโพฺพ เวเนยฺยชฺฌาสยวเสน วิชฺชมานปริยายกถาภาวโตฯ ‘‘สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติ เอเตเนว สิทฺธตฺตา น นีลาทิอภิภายตนานิ วตฺตพฺพานีติ เจ? ตํ นฯ นีลาทีสุ กตาธิการานํ นีลาทิภาวเสฺสว อภิภวนการณตฺตาฯ น หิ เตสํ ปริสุทฺธาปริสุทฺธวณฺณานํ ปริตฺตตา วา อปฺปมาณตา วา อภิภวนการณํ, อถ โข นีลาทิภาโว เอวาติฯ เอเตสุ จ ปริตฺตาทิกสิณรูเปสุ ยํ ยํ จริตสฺส อิมานิ อภิภายตนานิ อิชฺฌนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิเมสุ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สพฺพสงฺคาหิกวเสนาติ นีลวณฺณนีลนิทสฺสนนีลนิภาสานํ สาธารณวเสนฯ วณฺณวเสนาติ สภาววณฺณวเสนฯ นิทสฺสนวเสนาติ ปสฺสิตพฺพตาวเสน จกฺขุวิญฺญาณาทิวิญฺญาณวีถิยา คเหตพฺพตาวเสนฯ โอภาสวเสนาติ สปฺปภาสตาย อวภาสนวเสนฯ
Ajjhattarūpānaṃ anabhibhavanīyatā ca tesaṃ bahiddhārūpānaṃ viya avibhūtattā desanāvilāso ca yathāvuttavavatthānavasena veditabbo veneyyajjhāsayavasena vijjamānapariyāyakathābhāvato. ‘‘Suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti eteneva siddhattā na nīlādiabhibhāyatanāni vattabbānīti ce? Taṃ na. Nīlādīsu katādhikārānaṃ nīlādibhāvasseva abhibhavanakāraṇattā. Na hi tesaṃ parisuddhāparisuddhavaṇṇānaṃ parittatā vā appamāṇatā vā abhibhavanakāraṇaṃ, atha kho nīlādibhāvo evāti. Etesu ca parittādikasiṇarūpesu yaṃ yaṃ caritassa imāni abhibhāyatanāni ijjhanti, taṃ dassetuṃ ‘‘imesu panā’’tiādi vuttaṃ. Sabbasaṅgāhikavasenāti nīlavaṇṇanīlanidassananīlanibhāsānaṃ sādhāraṇavasena. Vaṇṇavasenāti sabhāvavaṇṇavasena. Nidassanavasenāti passitabbatāvasena cakkhuviññāṇādiviññāṇavīthiyā gahetabbatāvasena. Obhāsavasenāti sappabhāsatāya avabhāsanavasena.
อิจฺฉาสุตฺตาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Icchāsuttādivaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya
๑. อิจฺฉาสุตฺตํ • 1. Icchāsuttaṃ
๒. อลํสุตฺตํ • 2. Alaṃsuttaṃ
๓. สํขิตฺตสุตฺตํ • 3. Saṃkhittasuttaṃ
๔. คยาสีสสุตฺตํ • 4. Gayāsīsasuttaṃ
๕. อภิภายตนสุตฺตํ • 5. Abhibhāyatanasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)
๑. อิจฺฉาสุตฺตวณฺณนา • 1. Icchāsuttavaṇṇanā
๒. อลํสุตฺตวณฺณนา • 2. Alaṃsuttavaṇṇanā
๓. สํขิตฺตสุตฺตวณฺณนา • 3. Saṃkhittasuttavaṇṇanā
๔. คยาสีสสุตฺตวณฺณนา • 4. Gayāsīsasuttavaṇṇanā
๕. อภิภายตนสุตฺตวณฺณนา • 5. Abhibhāyatanasuttavaṇṇanā