Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๒. อิทฺธิกถา
2. Iddhikathā
อิทฺธิกถาวณฺณนา
Iddhikathāvaṇṇanā
๙. อิทานิ ปญฺญากถาย อนนฺตรํ ปญฺญานุภาวํ ทเสฺสเนฺตน กถิตาย อิทฺธิกถาย อปุพฺพตฺถานุวณฺณนาฯ ตตฺถ ปุจฺฉาสุ ตาว กา อิทฺธีติ สภาวปุจฺฉาฯ กติ อิทฺธิโยติ ปเภทปุจฺฉาฯ กติ ภูมิโยติ สมฺภารปุจฺฉาฯ กติ ปาทาติ ปติฎฺฐปุจฺฉาฯ กติ ปทานีติ อาสนฺนการณปุจฺฉาฯ กติ มูลานีติ อาทิการณปุจฺฉาฯ วิสชฺชเนสุ อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธีติ นิปฺผตฺติอเตฺถน ปฎิลาภเฎฺฐน จาติ อโตฺถฯ ยญฺหิ นิปฺผชฺชติ ปฎิลพฺภติ จ, ตํ อิชฺฌตีติ วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘กามํ กามยมานสฺส, ตสฺส เจตํ สมิชฺฌตี’’ติ (สุ. นิ. ๗๗๒)ฯ ‘‘เนกฺขมฺมํ อิชฺฌตีติ อิทฺธิ, ปฎิหรตีติ ปาฎิหาริย’’นฺติอาทิ (ปฎิ. ม. ๓.๓๒)ฯ อปโร นโย – อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธิ, อุปายสมฺปทาเยตํ อธิวจนํฯ อุปายสมฺปทา หิ อิชฺฌติ อธิเปฺปตผลปฺปสวนโตฯ ยถาห – ‘‘อยํ โข, จิโตฺต คหปติ, สีลวา กลฺยาณธโมฺม, สเจ ปณิทหิสฺสติ ‘อนาคตมทฺธานํ ราชา อสฺสํ จกฺกวตฺตี’ติฯ อิชฺฌิสฺสติ หิ สีลวโต เจโตปณิธิ วิสุทฺธตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๕๒)ฯ อปโร นโย – เอตาย สตฺตา อิชฺฌนฺตีติ อิทฺธิฯ อิชฺฌนฺตีติ อิทฺธา วุทฺธา อุกฺกํสคตา โหนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ
9. Idāni paññākathāya anantaraṃ paññānubhāvaṃ dassentena kathitāya iddhikathāya apubbatthānuvaṇṇanā. Tattha pucchāsu tāva kā iddhīti sabhāvapucchā. Kati iddhiyoti pabhedapucchā. Kati bhūmiyoti sambhārapucchā. Kati pādāti patiṭṭhapucchā. Kati padānīti āsannakāraṇapucchā. Kati mūlānīti ādikāraṇapucchā. Visajjanesu ijjhanaṭṭhena iddhīti nipphattiatthena paṭilābhaṭṭhena cāti attho. Yañhi nipphajjati paṭilabbhati ca, taṃ ijjhatīti vuccati. Yathāha – ‘‘kāmaṃ kāmayamānassa, tassa cetaṃ samijjhatī’’ti (su. ni. 772). ‘‘Nekkhammaṃ ijjhatīti iddhi, paṭiharatīti pāṭihāriya’’ntiādi (paṭi. ma. 3.32). Aparo nayo – ijjhanaṭṭhena iddhi, upāyasampadāyetaṃ adhivacanaṃ. Upāyasampadā hi ijjhati adhippetaphalappasavanato. Yathāha – ‘‘ayaṃ kho, citto gahapati, sīlavā kalyāṇadhammo, sace paṇidahissati ‘anāgatamaddhānaṃ rājā assaṃ cakkavattī’ti. Ijjhissati hi sīlavato cetopaṇidhi visuddhattā’’ti (saṃ. ni. 4.352). Aparo nayo – etāya sattā ijjhantīti iddhi. Ijjhantīti iddhā vuddhā ukkaṃsagatā hontīti vuttaṃ hoti.
๑๐. ทสสุ อิทฺธีสุ อธิฎฺฐานวเสน นิปฺผนฺนตฺตา อธิฎฺฐานา อิทฺธิฯ ปกติวณฺณวิชหนวิการวเสน ปวตฺตตฺตา วิกุพฺพนา อิทฺธิฯ สรีรพฺภนฺตเร อญฺญสฺส มโนมยสฺส สรีรสฺส นิปฺผตฺติวเสน ปวตฺตตฺตา มโนมยา อิทฺธิฯ ญาณปฺปวตฺติโต ปุเพฺพ วา ปจฺฉา วา ตํขเณ วา ญาณานุภาวนิพฺพโตฺต วิเสโส ญาณวิปฺผารา อิทฺธิฯ สมาธิโต ปุเพฺพ วา ปจฺฉา วา ตํขเณ วา สมถานุภาวนิพฺพโตฺต วิเสโส สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิฯ เจโตวสิปฺปตฺตานํ อริยานํเยว สมฺภวโต อริยา อิทฺธิฯ กมฺมวิปากวเสน ชาโต วิเสโส กมฺมวิปากชา อิทฺธิฯ ปุเพฺพ กตปุญฺญสฺส ชาโต วิเสโส ปุญฺญวโต อิทฺธิฯ วิชฺชาย ชาโต วิเสโส วิชฺชามยา อิทฺธิฯ เตน เตน สมฺมาปโยเคน ตสฺส ตสฺส กมฺมสฺส อิชฺฌนํ ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคปจฺจยา อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธิฯ
10. Dasasu iddhīsu adhiṭṭhānavasena nipphannattā adhiṭṭhānā iddhi. Pakativaṇṇavijahanavikāravasena pavattattā vikubbanā iddhi. Sarīrabbhantare aññassa manomayassa sarīrassa nipphattivasena pavattattā manomayā iddhi. Ñāṇappavattito pubbe vā pacchā vā taṃkhaṇe vā ñāṇānubhāvanibbatto viseso ñāṇavipphārā iddhi. Samādhito pubbe vā pacchā vā taṃkhaṇe vā samathānubhāvanibbatto viseso samādhivipphārā iddhi. Cetovasippattānaṃ ariyānaṃyeva sambhavato ariyā iddhi. Kammavipākavasena jāto viseso kammavipākajā iddhi. Pubbe katapuññassa jāto viseso puññavato iddhi. Vijjāya jāto viseso vijjāmayā iddhi. Tena tena sammāpayogena tassa tassa kammassa ijjhanaṃ tattha tattha sammāpayogapaccayā ijjhanaṭṭhena iddhi.
อิทฺธิยา จตโสฺส ภูมิโยติ อวิเสเสตฺวา วุเตฺตปิ ยถาลาภวเสน อธิฎฺฐานวิกุพฺพนมโนมยิทฺธิยา เอว ภูมิโย, น เสสานํฯ วิเวกชา ภูมีติ วิเวกโต วา วิเวเก วา ชาตา วิเวกชา ภูมิฯ ปีติสุขภูมีติ ปีติสุขยุตฺตา ภูมิฯ อุเปกฺขาสุขภูมีติ ตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขาย จ สุเขน จ ยุตฺตา ภูมิฯ อทุกฺขมสุขาภูมีติ อทุกฺขมสุขเวทนายุตฺตา ภูมิฯ เตสุ ปฐมทุติยานิ ฌานานิ ปีติผรณตา, ตีณิ ฌานานิ สุขผรณตา, จตุตฺถชฺฌานํ เจโตผรณตาฯ เอตฺถ จ ปุริมานิ ตีณิ ฌานานิ ยสฺมา ปีติผรเณน จ สุขผรเณน จ สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ โอกฺกมิตฺวา ลหุมุทุกมฺมญฺญกาโย หุตฺวา อิทฺธิํ ปาปุณาติ, ตสฺมา อิมินา ปริยาเยน อิทฺธิลาภาย สํวตฺตนโต สมฺภารภูมิโยติ เวทิตพฺพานิฯ จตุตฺถชฺฌานํ ปน อิทฺธิลาภาย ปกติภูมิเยวฯ อิทฺธิลาภายาติ อตฺตโน สนฺตาเน ปาตุภาววเสน อิทฺธีนํ ลาภายฯ อิทฺธิปฎิลาภายาติ ปริหีนานํ วา อิทฺธีนํ วีริยารมฺภวเสน ปุน ลาภาย, อุปสคฺควเสน วา ปทํ วฑฺฒิตํฯ อิทฺธิวิกุพฺพนตายาติ อิทฺธิยา วิวิธกรณภาวายฯ อิทฺธิวิสวิตายาติ วิวิธํ วิเสสํ สวติ ชเนติ ปวเตฺตตีติ วิสวี, วิวิธํ สวนํ วา อสฺส อตฺถีติ วิสวี, ตสฺส ภาโว วิสวิตาฯ ตสฺสา วิสวิตาย, อิทฺธิยา วิวิธวิเสสปวตฺตนภาวายาติ อโตฺถฯ อิทฺธิวสีภาวายาติ อิทฺธิยา อิสฺสรภาวายฯ อิทฺธิเวสารชฺชายาติ อิทฺธิวิสารทภาวายฯ อิทฺธิปาทา ญาณกถายํ วุตฺตตฺถาฯ
Iddhiyācatasso bhūmiyoti avisesetvā vuttepi yathālābhavasena adhiṭṭhānavikubbanamanomayiddhiyā eva bhūmiyo, na sesānaṃ. Vivekajā bhūmīti vivekato vā viveke vā jātā vivekajā bhūmi. Pītisukhabhūmīti pītisukhayuttā bhūmi. Upekkhāsukhabhūmīti tatramajjhattupekkhāya ca sukhena ca yuttā bhūmi. Adukkhamasukhābhūmīti adukkhamasukhavedanāyuttā bhūmi. Tesu paṭhamadutiyāni jhānāni pītipharaṇatā, tīṇi jhānāni sukhapharaṇatā, catutthajjhānaṃ cetopharaṇatā. Ettha ca purimāni tīṇi jhānāni yasmā pītipharaṇena ca sukhapharaṇena ca sukhasaññañca lahusaññañca okkamitvā lahumudukammaññakāyo hutvā iddhiṃ pāpuṇāti, tasmā iminā pariyāyena iddhilābhāya saṃvattanato sambhārabhūmiyoti veditabbāni. Catutthajjhānaṃ pana iddhilābhāya pakatibhūmiyeva. Iddhilābhāyāti attano santāne pātubhāvavasena iddhīnaṃ lābhāya. Iddhipaṭilābhāyāti parihīnānaṃ vā iddhīnaṃ vīriyārambhavasena puna lābhāya, upasaggavasena vā padaṃ vaḍḍhitaṃ. Iddhivikubbanatāyāti iddhiyā vividhakaraṇabhāvāya. Iddhivisavitāyāti vividhaṃ visesaṃ savati janeti pavattetīti visavī, vividhaṃ savanaṃ vā assa atthīti visavī, tassa bhāvo visavitā. Tassā visavitāya, iddhiyā vividhavisesapavattanabhāvāyāti attho. Iddhivasībhāvāyāti iddhiyā issarabhāvāya. Iddhivesārajjāyāti iddhivisāradabhāvāya. Iddhipādā ñāṇakathāyaṃ vuttatthā.
ฉนฺทํ เจ ภิกฺขุ นิสฺสายาติ ยทิ ภิกฺขุ ฉนฺทํ นิสฺสาย ฉนฺทํ อธิปติํ กริตฺวาฯ ลภติ สมาธินฺติ สมาธิํ ปฎิลภติ นิพฺพเตฺตติฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ ฉนฺทวีริยจิตฺตวีมํสา จตฺตาริ ปทานิ, ตํสมฺปยุตฺตา จตฺตาโร สมาธี จตฺตาริ ปทานีติ เอวํ อฎฺฐ ปทานิฯ ยสฺมา ปน อิทฺธิมุปฺปาเทตุกามตาฉโนฺท สมาธินา เอกโต นิยุโตฺตว อิทฺธิลาภาย สํวตฺตติ, ตถา วีริยาทโย, ตสฺมา อิมานิ อฎฺฐ ปทานิ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ
Chandaṃce bhikkhu nissāyāti yadi bhikkhu chandaṃ nissāya chandaṃ adhipatiṃ karitvā. Labhati samādhinti samādhiṃ paṭilabhati nibbatteti. Sesesupi eseva nayo. Tattha chandavīriyacittavīmaṃsā cattāri padāni, taṃsampayuttā cattāro samādhī cattāri padānīti evaṃ aṭṭha padāni. Yasmā pana iddhimuppādetukāmatāchando samādhinā ekato niyuttova iddhilābhāya saṃvattati, tathā vīriyādayo, tasmā imāni aṭṭha padāni vuttānīti veditabbāni.
ยํ ตํ ภควตา อภิญฺญา อุปฺปาเทตุกามสฺส โยคิโน กตฺตพฺพโยควิธิํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๓๘) จิตฺตสฺส อาเนญฺชํ วุตฺตํ, ตํ เถโร โสฬสธา ทเสฺสโนฺต โสฬสมูลานีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อโนนตนฺติ โกสชฺชวเสน อโนนตํ, อสลฺลีนนฺติ อโตฺถฯ อนุนฺนตนฺติ อุทฺธจฺจวเสน อุทฺธํ น อารุฬฺหํ, อนุทฺธตนฺติ อโตฺถฯ อนภินตนฺติ โลภวเสน น อภินตํ, อนลฺลีนนฺติ อโตฺถฯ อภิกามตาย นตํ อภินตนฺติ, อิทํ ตาทิสํ น โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ ราเคติ สงฺขารวตฺถุเกน โลเภนฯ อนปนตนฺติ โทสวเสน น อปนตํ, น ฆฎฺฎนนฺติ อโตฺถฯ ‘‘นตํ นตี’’ติ อตฺถโต เอกํฯ อปคตนตนฺติ อปนตํ, อิทํ ตาทิสํ น โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ อนิสฺสิตนฺติ อนตฺตโต ทิฎฺฐตฺตา ทิฎฺฐิวเสน ‘‘อตฺตา’’ติ วา ‘‘อตฺตนิย’’นฺติ วา กิญฺจิ น นิสฺสิตํฯ อปฺปฎิพทฺธนฺติ ปจฺจุปการาสาวเสน นปฺปฎิพทฺธํฯ ฉนฺทราเคติ สตฺตวตฺถุเกน โลเภนฯ วิปฺปมุตฺตนฺติ วิกฺขมฺภนวิมุตฺติวเสน กามราคโต วิปฺปมุตฺตํฯ อถ วา ปญฺจวิมุตฺติวเสน กามราคโต วิปฺปมุตฺตํฯ อถ วา ปญฺจวิมุตฺติวเสน ตโต ตโต ปฎิปกฺขโต วิปฺปมุตฺตํฯ อิทํ ปุถุชฺชนเสขาเสขานมฺปิ อภิญฺญาย อุปฺปาทนโต นิโรธสมาปตฺติญาเณ ‘‘โสฬสหิ ญาณจริยาหี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๘๔) วุตฺตนเยน อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน วุตฺตํ, ยถาลาภวเสน ปน คเหตพฺพํฯ กามราเคติ เมถุนราเคนฯ วิสญฺญุตฺตนฺติ วิกฺขมฺภนโต เสสกิเลเสหิ วิสํยุตฺตํ, อุกฺกฎฺฐนเยน สมุเจฺฉทโต วา วิปฺปยุตฺตํฯ กิเลเสติ เสสกิเลเสนฯ วิมริยาทิกตนฺติ วิกฺขมฺภิตพฺพมริยาทวเสน วิคตกิเลสมริยาทํ กตํ, เตน เตน มเคฺคน ปหาตพฺพมริยาทวเสน วา วิคตกิเลสมริยาทํ กตํฯ กิเลสมริยาเทติ เตน เตน ปหีเนน กิเลสมริยาเทนฯ ลิงฺควิปลฺลาโส เจตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอกตฺตคตนฺติ เอการมฺมณคตํฯ นานตฺตกิเลเสหีติ นานารมฺมเณ ปวตฺตมาเนหิ กิเลเสหิฯ อิทํ อารมฺมณมเปกฺขิตฺวา วุตฺตํ, ‘‘อโนนต’’นฺติอาทิ ปน กิเลเส เอว อเปกฺขิตฺวาฯ โอภาสคตนฺติ ปญฺญาย วิสทปฺปวตฺติวเสน ปโญฺญภาสํ คตํฯ อวิชฺชนฺธกาเรติ พลวอวิชฺชายฯ จตโสฺส จ ภูมิโย โสฬส จ มูลานิ อิทฺธิยา ปุพฺพภาควเสน วุตฺตานิ, จตฺตาโร จ ปาทา อฎฺฐ จ ปทานิ ปุพฺพภาควเสน จ สมฺปโยควเสน จ วุตฺตานีติฯ
Yaṃ taṃ bhagavatā abhiññā uppādetukāmassa yogino kattabbayogavidhiṃ dassentena ‘‘so evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte’’ti (dī. ni. 1.238) cittassa āneñjaṃ vuttaṃ, taṃ thero soḷasadhā dassento soḷasamūlānītiādimāha. Tattha anonatanti kosajjavasena anonataṃ, asallīnanti attho. Anunnatanti uddhaccavasena uddhaṃ na āruḷhaṃ, anuddhatanti attho. Anabhinatanti lobhavasena na abhinataṃ, anallīnanti attho. Abhikāmatāya nataṃ abhinatanti, idaṃ tādisaṃ na hotīti vuttaṃ hoti. Rāgeti saṅkhāravatthukena lobhena. Anapanatanti dosavasena na apanataṃ, na ghaṭṭananti attho. ‘‘Nataṃ natī’’ti atthato ekaṃ. Apagatanatanti apanataṃ, idaṃ tādisaṃ na hotīti vuttaṃ hoti. Anissitanti anattato diṭṭhattā diṭṭhivasena ‘‘attā’’ti vā ‘‘attaniya’’nti vā kiñci na nissitaṃ. Appaṭibaddhanti paccupakārāsāvasena nappaṭibaddhaṃ. Chandarāgeti sattavatthukena lobhena. Vippamuttanti vikkhambhanavimuttivasena kāmarāgato vippamuttaṃ. Atha vā pañcavimuttivasena kāmarāgato vippamuttaṃ. Atha vā pañcavimuttivasena tato tato paṭipakkhato vippamuttaṃ. Idaṃ puthujjanasekhāsekhānampi abhiññāya uppādanato nirodhasamāpattiñāṇe ‘‘soḷasahi ñāṇacariyāhī’’ti (paṭi. ma. 1.84) vuttanayena ukkaṭṭhaparicchedena vuttaṃ, yathālābhavasena pana gahetabbaṃ. Kāmarāgeti methunarāgena. Visaññuttanti vikkhambhanato sesakilesehi visaṃyuttaṃ, ukkaṭṭhanayena samucchedato vā vippayuttaṃ. Kileseti sesakilesena. Vimariyādikatanti vikkhambhitabbamariyādavasena vigatakilesamariyādaṃ kataṃ, tena tena maggena pahātabbamariyādavasena vā vigatakilesamariyādaṃ kataṃ. Kilesamariyādeti tena tena pahīnena kilesamariyādena. Liṅgavipallāso cettha daṭṭhabbo. Ekattagatanti ekārammaṇagataṃ. Nānattakilesehīti nānārammaṇe pavattamānehi kilesehi. Idaṃ ārammaṇamapekkhitvā vuttaṃ, ‘‘anonata’’ntiādi pana kilese eva apekkhitvā. Obhāsagatanti paññāya visadappavattivasena paññobhāsaṃ gataṃ. Avijjandhakāreti balavaavijjāya. Catasso ca bhūmiyo soḷasa ca mūlāni iddhiyā pubbabhāgavasena vuttāni, cattāro ca pādā aṭṭha ca padāni pubbabhāgavasena ca sampayogavasena ca vuttānīti.
๑๐. เอวํ อิทฺธิยา ภูมิปาทปทมูลภูเต ธเมฺม ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตา อิทฺธิโย ทเสฺสโนฺต กตมา อธิฎฺฐานา อิทฺธีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุเทฺทสปทานํ อโตฺถ อิทฺธิวิธญาณนิเทฺทเส วุโตฺตเยวฯ อิธ ภิกฺขูติ อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขุฯ เตน สพฺพปการวเสน อิทฺธิวิธการกสฺส อญฺญตฺถ อภาวํ ทีเปติฯ อิเมสํ ทฺวินฺนํ ปทานํ นิเทฺทโส เหฎฺฐา วุตฺตโตฺถฯ เตเนว จ อิทฺธิยา ภูมิปาทปทมูลภูเตหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๓๖๕-๓๖๖) วุเตฺตหิ จุทฺทสหิ ปนฺนรสหิ วา อากาเรหิ ปริทมิตจิตฺตตา จ ฉนฺทาทิเอเกกาธิปติสมาปชฺชนวเสน อาวชฺชนาทิวสีภาววเสน จ มุทุกมฺมญฺญกตจิตฺตตา จ วุตฺตา โหติฯ พลวปุพฺพโยคสมฺปโนฺน ปุพฺพโยคสมฺปตฺติยา อรหตฺตปฎิลาเภเนว ปฎิลทฺธาภิญฺญาทิคุโณ ภิกฺขุ ภูมิอาทีหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โหตีติ กตฺวา โสปิ วุโตฺตว โหติฯ
10. Evaṃ iddhiyā bhūmipādapadamūlabhūte dhamme dassetvā idāni tā iddhiyo dassento katamā adhiṭṭhānā iddhītiādimāha. Tattha uddesapadānaṃ attho iddhividhañāṇaniddese vuttoyeva. Idha bhikkhūti imasmiṃ sāsane bhikkhu. Tena sabbapakāravasena iddhividhakārakassa aññattha abhāvaṃ dīpeti. Imesaṃ dvinnaṃ padānaṃ niddeso heṭṭhā vuttattho. Teneva ca iddhiyā bhūmipādapadamūlabhūtehi dhammehi samannāgato visuddhimagge (visuddhi. 2.365-366) vuttehi cuddasahi pannarasahi vā ākārehi paridamitacittatā ca chandādiekekādhipatisamāpajjanavasena āvajjanādivasībhāvavasena ca mudukammaññakatacittatā ca vuttā hoti. Balavapubbayogasampanno pubbayogasampattiyā arahattapaṭilābheneva paṭiladdhābhiññādiguṇo bhikkhu bhūmiādīhi dhammehi samannāgato hotīti katvā sopi vuttova hoti.
พหุกํ อาวชฺชตีติ ปถวีกสิณารมฺมณํ อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย สเจ สตํ อิจฺฉติ, ‘‘สตํ โหมิ, สตํ โหมี’’ติ ปริกมฺมกรณวเสน อาวชฺชติฯ อาวชฺชิตฺวา ญาเณน อธิฎฺฐาตีติ เอวํ ปริกมฺมํ กตฺวา อภิญฺญาญาเณน อธิฎฺฐาติฯ เอตฺถ ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน ปาทกชฺฌานสมาปชฺชนํ น วุตฺตํฯ กิญฺจาปิ น วุตฺตํ, อถ โข อฎฺฐกถายํ (วิสุทฺธิ. ๒.๓๘๖) ‘‘อาวชฺชตีติ ปริกมฺมวเสเนว วุตฺตํ, อาวชฺชิตฺวา ญาเณน อธิฎฺฐาตีติ อภิญฺญาญาณวเสน วุตฺตํ, ตสฺมา พหุกํ อาวชฺชติ, ตโต เตสํ ปริกมฺมจิตฺตานํ อวสาเน สมาปชฺชติ, สมาปตฺติโต วุฎฺฐหิตฺวา ปุน ‘พหุโก โหมี’ติ อาวชฺชิตฺวา ตโต ปรํ ปวตฺตานํ ติณฺณํ จตุนฺนํ วา ปุพฺพภาคจิตฺตานํ อนนฺตรา อุปฺปเนฺนน สนฺนิฎฺฐาปนวเสน อธิฎฺฐานนฺติ ลทฺธนาเมน เอเกเนว อภิญฺญาญาเณน อธิฎฺฐาตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ วุตฺตตฺตา เอวเมว ทฎฺฐพฺพํฯ ยถา ‘‘ภุญฺชิตฺวา สยตี’’ติ วุเตฺต ปานียํ อปิวิตฺวา หตฺถโธวนาทีนิ อกตฺวา ภุตฺตานนฺตรเมว สยตีติ อโตฺถ น โหตีติ อนฺตรา สเนฺตสุปิ อเญฺญสุ กิเจฺจสุ ‘‘ภุตฺวา สยตี’’ติ วุจฺจติ, เอวมิธาปีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปฐมํ ปาทกชฺฌานสมาปชฺชนมฺปิ หิ ปาฬิยํ อวุตฺตเมวาติฯ เตน ปน อธิฎฺฐานญาเณน สเหว สตํ โหติฯ สหเสฺสปิ สตสหเสฺสปิ เอเสว นโยฯ สเจ เอวํ น อิชฺฌติ, ปุน ปริกมฺมํ กตฺวา ทุติยมฺปิ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สํยุตฺตฎฺฐกถายญฺหิ ‘‘เอกวารํ ทฺวิวารํ สมาปชฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ นิมิตฺตารมฺมณํ, ปริกมฺมจิตฺตานิ สตารมฺมณานิ วา สหสฺสารมฺมณานิ วาฯ ตานิ จ โข วณฺณวเสน, น ปณฺณตฺติวเสนฯ อธิฎฺฐานจิตฺตมฺปิ ตเถว สตารมฺมณํ วา สหสฺสารมฺมณํ วาฯ ตํ ปุเพฺพ วุตฺตอปฺปนาจิตฺตมิว โคตฺรภุอนนฺตรํ เอกเมว อุปฺปชฺชติ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานิกํฯ
Bahukaṃ āvajjatīti pathavīkasiṇārammaṇaṃ abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya sace sataṃ icchati, ‘‘sataṃ homi, sataṃ homī’’ti parikammakaraṇavasena āvajjati. Āvajjitvāñāṇena adhiṭṭhātīti evaṃ parikammaṃ katvā abhiññāñāṇena adhiṭṭhāti. Ettha parikammaṃ katvā puna pādakajjhānasamāpajjanaṃ na vuttaṃ. Kiñcāpi na vuttaṃ, atha kho aṭṭhakathāyaṃ (visuddhi. 2.386) ‘‘āvajjatīti parikammavaseneva vuttaṃ, āvajjitvā ñāṇena adhiṭṭhātīti abhiññāñāṇavasena vuttaṃ, tasmā bahukaṃ āvajjati, tato tesaṃ parikammacittānaṃ avasāne samāpajjati, samāpattito vuṭṭhahitvā puna ‘bahuko homī’ti āvajjitvā tato paraṃ pavattānaṃ tiṇṇaṃ catunnaṃ vā pubbabhāgacittānaṃ anantarā uppannena sanniṭṭhāpanavasena adhiṭṭhānanti laddhanāmena ekeneva abhiññāñāṇena adhiṭṭhātīti evamettha attho daṭṭhabbo’’ti vuttattā evameva daṭṭhabbaṃ. Yathā ‘‘bhuñjitvā sayatī’’ti vutte pānīyaṃ apivitvā hatthadhovanādīni akatvā bhuttānantarameva sayatīti attho na hotīti antarā santesupi aññesu kiccesu ‘‘bhutvā sayatī’’ti vuccati, evamidhāpīti daṭṭhabbaṃ. Paṭhamaṃ pādakajjhānasamāpajjanampi hi pāḷiyaṃ avuttamevāti. Tena pana adhiṭṭhānañāṇena saheva sataṃ hoti. Sahassepi satasahassepi eseva nayo. Sace evaṃ na ijjhati, puna parikammaṃ katvā dutiyampi samāpajjitvā vuṭṭhāya adhiṭṭhātabbaṃ. Saṃyuttaṭṭhakathāyañhi ‘‘ekavāraṃ dvivāraṃ samāpajjituṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Tattha pādakajjhānacittaṃ nimittārammaṇaṃ, parikammacittāni satārammaṇāni vā sahassārammaṇāni vā. Tāni ca kho vaṇṇavasena, na paṇṇattivasena. Adhiṭṭhānacittampi tatheva satārammaṇaṃ vā sahassārammaṇaṃ vā. Taṃ pubbe vuttaappanācittamiva gotrabhuanantaraṃ ekameva uppajjati rūpāvacaracatutthajjhānikaṃ.
ยถายสฺมา จูฬปนฺถโก เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหตีติ พหุธาภาวสฺส กายสกฺขิทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ วตฺตมานวจนํ ปเนตฺถ เถรสฺส ตถากรณปกติกตฺตา ตสฺส ธรมานกาลตฺตา จ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอโก โหตีติ วาเรปิ เอเสว นโยฯ
Yathāyasmā cūḷapanthako ekopi hutvā bahudhā hotīti bahudhābhāvassa kāyasakkhidassanatthaṃ vuttaṃ. Vattamānavacanaṃ panettha therassa tathākaraṇapakatikattā tassa dharamānakālattā ca katanti veditabbaṃ. Eko hotīti vārepi eseva nayo.
ตตฺริทํ วตฺถุ (วิสุทฺธิ. ๒.๓๘๖) – เต เทฺว ภาตโร กิร เถรา ปเนฺถ ชาตตฺตา ‘‘ปนฺถกา’’ติ นามํ ลภิํสุฯ เตสุ เชโฎฺฐ มหาปนฺถโก ปพฺพชิตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส อรหา หุตฺวา จูฬปนฺถกํ ปพฺพาเชตฺวา –
Tatridaṃ vatthu (visuddhi. 2.386) – te dve bhātaro kira therā panthe jātattā ‘‘panthakā’’ti nāmaṃ labhiṃsu. Tesu jeṭṭho mahāpanthako pabbajitvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. So arahā hutvā cūḷapanthakaṃ pabbājetvā –
‘‘ปทุมํ ยถา โกกนทํ สุคนฺธํ, ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ;
‘‘Padumaṃ yathā kokanadaṃ sugandhaṃ, pāto siyā phullamavītagandhaṃ;
องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ, ตปนฺตมาทิจฺจมิวนฺตลิเกฺข’’ติฯ (อ. นิ. ๕.๑๙๕; สํ. นิ. ๑.๑๒๓) –
Aṅgīrasaṃ passa virocamānaṃ, tapantamādiccamivantalikkhe’’ti. (a. ni. 5.195; saṃ. ni. 1.123) –
อิมํ คาถํ อทาสิฯ โส ตํ จตูหิ มาเสหิ ปคุณํ กาตุํ นาสกฺขิฯ อถ นํ เถโร ‘‘อภโพฺพ ตฺวํ อิมสฺมิํ สาสเน, นิกฺขม อิโต’’ติ อาหฯ ตสฺมิญฺจ กาเล เถโร ภตฺตุเทฺทสโก โหติฯ ชีวโก โกมารภโจฺจ พหุํ มาลาคนฺธวิเลปนํ อาทาย อตฺตโน อมฺพวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ปูเชตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา ทสพลํ วนฺทิตฺวา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เสฺว, ภเนฺต, พุทฺธปฺปมุขานิ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ อาทาย อมฺหากํ นิเวสเน ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ อาหฯ เถโรปิ ‘‘ฐเปตฺวา จูฬปนฺถกํ เสสานํ อธิวาเสมี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา จูฬปนฺถโก ภิโยฺยโส มตฺตาย โทมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว วิหารา นิกฺขมิตฺวา สาสเน สาเปกฺขตาย วิหารทฺวารโกฎฺฐเก โรทมาโน อฎฺฐาสิฯ
Imaṃ gāthaṃ adāsi. So taṃ catūhi māsehi paguṇaṃ kātuṃ nāsakkhi. Atha naṃ thero ‘‘abhabbo tvaṃ imasmiṃ sāsane, nikkhama ito’’ti āha. Tasmiñca kāle thero bhattuddesako hoti. Jīvako komārabhacco bahuṃ mālāgandhavilepanaṃ ādāya attano ambavanaṃ gantvā satthāraṃ pūjetvā dhammaṃ sutvā dasabalaṃ vanditvā theraṃ upasaṅkamitvā ‘‘sve, bhante, buddhappamukhāni pañca bhikkhusatāni ādāya amhākaṃ nivesane bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti āha. Theropi ‘‘ṭhapetvā cūḷapanthakaṃ sesānaṃ adhivāsemī’’ti āha. Taṃ sutvā cūḷapanthako bhiyyoso mattāya domanassappatto hutvā punadivase pātova vihārā nikkhamitvā sāsane sāpekkhatāya vihāradvārakoṭṭhake rodamāno aṭṭhāsi.
ภควา ตสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กสฺมา โรทสี’’ติ อาหฯ โส ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ ภควา ‘‘น สชฺฌายํ กาตุํ อสโกฺกโนฺต มม สาสเน อภโพฺพ นาม โหติ, มา โสจิ, ปนฺถกา’’ติ จกฺกจิตฺตตเลน ปาณินา ตสฺส สีสํ ปรามสิตฺวา ตํ พาหายํ คเหตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา คนฺธกุฎิปมุเข นิสีทาเปตฺวา อิทฺธิยา อภิสงฺขตํ ปริสุทฺธํ ปิโลติกขณฺฑํ ‘‘อิมํ ปิโลติกํ ‘รโชหรณํ รโชหรณ’นฺติ หเตฺถน ปริมชฺชโนฺต นิสีท, ปนฺถกา’’ติ วตฺวา ตสฺส ปิโลติกขณฺฑํ ทตฺวา กาเล อาโรจิเต ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ชีวกสฺส เคหํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ ตสฺส ตํ ปิโลติกขณฺฑํ ตถาปริมชฺชนฺตสฺส กิลิฎฺฐํ หุตฺวา กเมน กาฬวณฺณํ อโหสิฯ โส ‘‘อิทํ ปริสุทฺธํ ปิโลติกขณฺฑํ, นเตฺถตฺถ โทโส, อตฺตภาวํ นิสฺสาย ปนายํ โทโส’’ติ สญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ปญฺจสุ ขเนฺธสุ ญาณํ โอตาเรตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒสิฯ อถสฺส ภควา โอภาสํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปุรโต นิสิโนฺน วิย ปญฺญายมานรูโป หุตฺวา อิมา โอภาสคาถา อภาสิ –
Bhagavā tassa upanissayaṃ disvā taṃ upasaṅkamitvā ‘‘kasmā rodasī’’ti āha. So taṃ pavattiṃ ācikkhi. Bhagavā ‘‘na sajjhāyaṃ kātuṃ asakkonto mama sāsane abhabbo nāma hoti, mā soci, panthakā’’ti cakkacittatalena pāṇinā tassa sīsaṃ parāmasitvā taṃ bāhāyaṃ gahetvā vihāraṃ pavisitvā gandhakuṭipamukhe nisīdāpetvā iddhiyā abhisaṅkhataṃ parisuddhaṃ pilotikakhaṇḍaṃ ‘‘imaṃ pilotikaṃ ‘rajoharaṇaṃ rajoharaṇa’nti hatthena parimajjanto nisīda, panthakā’’ti vatvā tassa pilotikakhaṇḍaṃ datvā kāle ārocite bhikkhusaṅghaparivuto jīvakassa gehaṃ gantvā paññattāsane nisīdi. Tassa taṃ pilotikakhaṇḍaṃ tathāparimajjantassa kiliṭṭhaṃ hutvā kamena kāḷavaṇṇaṃ ahosi. So ‘‘idaṃ parisuddhaṃ pilotikakhaṇḍaṃ, natthettha doso, attabhāvaṃ nissāya panāyaṃ doso’’ti saññaṃ paṭilabhitvā pañcasu khandhesu ñāṇaṃ otāretvā vipassanaṃ vaḍḍhesi. Athassa bhagavā obhāsaṃ vissajjetvā purato nisinno viya paññāyamānarūpo hutvā imā obhāsagāthā abhāsi –
‘‘ราโค รโช น จ ปน เรณุ วุจฺจติ, ราคเสฺสตํ อธิวจนํ รโชติ;
‘‘Rāgo rajo na ca pana reṇu vuccati, rāgassetaṃ adhivacanaṃ rajoti;
เอตํ รชํ วิปฺปชหิตฺว ภิกฺขโว, วิหรนฺติ เต วิคตรชสฺส สาสเนฯ
Etaṃ rajaṃ vippajahitva bhikkhavo, viharanti te vigatarajassa sāsane.
‘‘โทโส…เป.… สาสเนฯ
‘‘Doso…pe… sāsane.
‘‘โมโห รโช น จ ปน เรณุ วุจฺจติ, โมหเสฺสตํ อธิวจนํ รโชติ;
‘‘Moho rajo na ca pana reṇu vuccati, mohassetaṃ adhivacanaṃ rajoti;
เอตํ รชํ วิปฺปชหิตฺว ภิกฺขโว, วิหรนฺติ เต วิคตรชสฺส สาสเนฯ (มหานิ. ๒๐๙);
Etaṃ rajaṃ vippajahitva bhikkhavo, viharanti te vigatarajassa sāsane. (mahāni. 209);
‘‘อธิเจตโส อปฺปมชฺชโต, มุนิโน โมนปเถสุ สิกฺขโต;
‘‘Adhicetaso appamajjato, munino monapathesu sikkhato;
โสกา น ภวนฺติ ตาทิโน, อุปสนฺตสฺส สทา สตีมโต’’ติฯ (อุทา. ๓๗);
Sokā na bhavanti tādino, upasantassa sadā satīmato’’ti. (udā. 37);
คาถาปริโยสาเน เถโร สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส มโนมยชฺฌานลาภี หุตฺวา เอโก หุตฺวา พหุธา, พหุธา หุตฺวา เอโก ภวิตุํ สมโตฺถ อโหสิฯ อรหตฺตมเคฺคเนวสฺส ตีณิ ปิฎกานิ ฉ จ อภิญฺญา อาคมิํสุฯ
Gāthāpariyosāne thero saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. So manomayajjhānalābhī hutvā eko hutvā bahudhā, bahudhā hutvā eko bhavituṃ samattho ahosi. Arahattamaggenevassa tīṇi piṭakāni cha ca abhiññā āgamiṃsu.
ชีวโกปิ โข ทสพลสฺส ทกฺขิโณทกํ อุปนาเมสิฯ สตฺถา ปตฺตํ หเตฺถน ปิทหิตฺวา ‘‘กิํ ภเนฺต’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘วิหาเร เอโก ภิกฺขุ อตฺถิ, ชีวกา’’ติ อาหฯ โส ปุริสํ เปเสสิ ‘‘คจฺฉ อยฺยํ คเหตฺวา สีฆํ เอหี’’ติฯ จูฬปนฺถกเตฺถโร ตสฺส ปุริสสฺส ปุเร อาคมนาเยว ภาตรํ อตฺตโน ปตฺตวิเสสํ ญาเปตุกาโม ภิกฺขุสหสฺสํ นิมฺมินิตฺวา เอกมฺปิ เอเกน อสทิสํ, เอกสฺสาปิ จ จีวรวิจารณาทิสามณกกมฺมํ อเญฺญน อสทิสํ อกาสิฯ ปุริโส คนฺตฺวา วิหาเร พหู ภิกฺขู ทิสฺวา ปจฺจาคนฺตฺวา ‘‘พหู, ภเนฺต, วิหาเร ภิกฺขู, ปโกฺกสิตพฺพํ อยฺยํ น ปสฺสามี’’ติ ชีวกสฺส กเถสิฯ ชีวโก สตฺถารํ ปุจฺฉิตฺวา ตสฺส นามํ วตฺวา ปุน ตํ เปเสสิฯ โส คนฺตฺวา ‘‘จูฬปนฺถโก นาม กตโร ภเนฺต’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ จูฬปนฺถโก, อหํ จูฬปนฺถโก’’ติ สกิํเยว มุขสหสฺสํ กเถสิฯ โส ปุน คนฺตฺวา ‘‘สเพฺพปิ กิร จูฬปนฺถกา, อหํ ปโกฺกสิตพฺพํ น ชานามี’’ติ อาหฯ ชีวโก ปฎิวิทฺธสจฺจตาย ‘‘อิทฺธิมา ภิกฺขู’’ติ นยโต อญฺญาสิฯ ภควา อาห – ‘‘คจฺฉ, ยํ ปฐมํ ปสฺสสิ, ตํ จีวรกเณฺณ คเหตฺวา สตฺถา ตํ อามเนฺตตีติ วตฺวา อาเนหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตถา อกาสิฯ ตาวเทว สเพฺพปิ นิมฺมิตา อนฺตรธายิํสุฯ เถโร ตํ อุโยฺยเชตฺวา มุขโธวนาทิสรีรกิจฺจํ นิฎฺฐเปตฺวา ปฐมตรํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ สตฺถา ทกฺขิโณทกํ คณฺหิตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา จูฬปนฺถกเตฺถเรเนว ภตฺตานุโมทนํ ธมฺมกถํ กถาเปสิฯ เถโร ทีฆมชฺฌิมาคมปฺปมาณํ ธมฺมกถํ กเถสีติฯ
Jīvakopi kho dasabalassa dakkhiṇodakaṃ upanāmesi. Satthā pattaṃ hatthena pidahitvā ‘‘kiṃ bhante’’ti puṭṭho ‘‘vihāre eko bhikkhu atthi, jīvakā’’ti āha. So purisaṃ pesesi ‘‘gaccha ayyaṃ gahetvā sīghaṃ ehī’’ti. Cūḷapanthakatthero tassa purisassa pure āgamanāyeva bhātaraṃ attano pattavisesaṃ ñāpetukāmo bhikkhusahassaṃ nimminitvā ekampi ekena asadisaṃ, ekassāpi ca cīvaravicāraṇādisāmaṇakakammaṃ aññena asadisaṃ akāsi. Puriso gantvā vihāre bahū bhikkhū disvā paccāgantvā ‘‘bahū, bhante, vihāre bhikkhū, pakkositabbaṃ ayyaṃ na passāmī’’ti jīvakassa kathesi. Jīvako satthāraṃ pucchitvā tassa nāmaṃ vatvā puna taṃ pesesi. So gantvā ‘‘cūḷapanthako nāma kataro bhante’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ cūḷapanthako, ahaṃ cūḷapanthako’’ti sakiṃyeva mukhasahassaṃ kathesi. So puna gantvā ‘‘sabbepi kira cūḷapanthakā, ahaṃ pakkositabbaṃ na jānāmī’’ti āha. Jīvako paṭividdhasaccatāya ‘‘iddhimā bhikkhū’’ti nayato aññāsi. Bhagavā āha – ‘‘gaccha, yaṃ paṭhamaṃ passasi, taṃ cīvarakaṇṇe gahetvā satthā taṃ āmantetīti vatvā ānehī’’ti. So gantvā tathā akāsi. Tāvadeva sabbepi nimmitā antaradhāyiṃsu. Thero taṃ uyyojetvā mukhadhovanādisarīrakiccaṃ niṭṭhapetvā paṭhamataraṃ gantvā paññattāsane nisīdi. Tasmiṃ khaṇe satthā dakkhiṇodakaṃ gaṇhitvā bhattakiccaṃ katvā cūḷapanthakatthereneva bhattānumodanaṃ dhammakathaṃ kathāpesi. Thero dīghamajjhimāgamappamāṇaṃ dhammakathaṃ kathesīti.
อเญฺญ ภิกฺขู อธิฎฺฐาเนน มโนมยํ กายํ อภินิมฺมินิตฺวา ตโย วา จตฺตาโร วา อภินิมฺมินนฺติ, พหุเก เอกสทิเสเยว จ กตฺวา นิมฺมินนฺติ เอกวิธเมว กมฺมํ กุรุมาเนฯ จูฬปนฺถกเตฺถโร ปน เอกาวชฺชเนเนว ภิกฺขุสหสฺสํ มาเปสิฯ เทฺวปิ ชเน น เอกสทิเส อกาสิ, น เอกวิธํ กมฺมํ กุรุมาเนฯ ตสฺมา มโนมยํ กายํ อภินิมฺมินนฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ อเญฺญ ปน พหู อนิยเมตฺวา นิมฺมิตา อิทฺธิมตา สทิสาว โหนฺติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ จ ภาสิตตุณฺหีภาวาทีสุ จ ยํ ยํ อิทฺธิมา กโรติ, ตํ ตเทว กโรนฺติฯ สเจ ปน นานาวณฺณํ กาตุกาโม โหติ เกจิ ปฐมวเย เกจิ มชฺฌิมวเย เกจิ ปจฺฉิมวเย, ตถา ทีฆเกเส อุปฑฺฒมุเณฺฑ มุเณฺฑ มิสฺสกเกเส อุปฑฺฒรตฺตจีวเร ปณฺฑุกจีวเร ปทภาณธมฺมกถาสรภญฺญปญฺหาปุจฺฉนปญฺหาวิสชฺชนรชนปจนจีวรสิพฺพนโธวนาทีนิ กโรเนฺต อปเรปิ วา นานปฺปการเก กาตุกาโม โหติ, เตน ปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐาย ‘‘เอตฺตกา ภิกฺขู ปฐมวยา โหนฺตู’’ติอาทินา นเยน ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อธิฎฺฐาตพฺพํ, อธิฎฺฐานจิเตฺตน สทฺธิํ อิจฺฉิติจฺฉิตปฺปการาเยว โหนฺตีติฯ เอเสว นโย พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหตีติอาทีสุฯ
Aññe bhikkhū adhiṭṭhānena manomayaṃ kāyaṃ abhinimminitvā tayo vā cattāro vā abhinimminanti, bahuke ekasadiseyeva ca katvā nimminanti ekavidhameva kammaṃ kurumāne. Cūḷapanthakatthero pana ekāvajjaneneva bhikkhusahassaṃ māpesi. Dvepi jane na ekasadise akāsi, na ekavidhaṃ kammaṃ kurumāne. Tasmā manomayaṃ kāyaṃ abhinimminantānaṃ aggo nāma jāto. Aññe pana bahū aniyametvā nimmitā iddhimatā sadisāva honti. Ṭhānanisajjādīsu ca bhāsitatuṇhībhāvādīsu ca yaṃ yaṃ iddhimā karoti, taṃ tadeva karonti. Sace pana nānāvaṇṇaṃ kātukāmo hoti keci paṭhamavaye keci majjhimavaye keci pacchimavaye, tathā dīghakese upaḍḍhamuṇḍe muṇḍe missakakese upaḍḍharattacīvare paṇḍukacīvare padabhāṇadhammakathāsarabhaññapañhāpucchanapañhāvisajjanarajanapacanacīvarasibbanadhovanādīni karonte aparepi vā nānappakārake kātukāmo hoti, tena pādakajjhānato vuṭṭhāya ‘‘ettakā bhikkhū paṭhamavayā hontū’’tiādinā nayena parikammaṃ katvā puna samāpajjitvā vuṭṭhāya adhiṭṭhātabbaṃ, adhiṭṭhānacittena saddhiṃ icchiticchitappakārāyeva hontīti. Eseva nayo bahudhāpi hutvā eko hotītiādīsu.
อยํ ปน วิเสโส – ปกติยา พหุโกติ นิมฺมิตกาลพฺภนฺตเร นิมฺมิตปกติยา พหุโกฯ อิมินา จ ภิกฺขุนา เอวํ พหุภาวํ นิมฺมินิตฺวา ปุน ‘‘เอโกว หุตฺวา จงฺกมิสฺสามิ, สชฺฌายํ กริสฺสามิ, ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา วา, ‘‘อยํ วิหาโร อปฺปภิกฺขุโก, สเจ เกจิ อาคมิสฺสนฺติ ‘กุโต อิเม เอตฺตกา เอกสทิสา ภิกฺขู, อทฺธา เถรสฺส เอส อานุภาโว’ติ มํ ชานิสฺสนฺตี’’ติ อปฺปิจฺฉตาย วา อนฺตราว ‘‘เอโก โหมี’’ติ อิจฺฉเนฺตน ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ‘‘เอโก โหมี’’ติ ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ‘‘เอโก โหมี’’ติ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ อธิฎฺฐานจิเตฺตน สทฺธิํเยว เอโก โหติฯ เอวํ อกโรโนฺต ปน ยถาปริจฺฉินฺนกาลวเสน สยเมว เอโก โหติฯ
Ayaṃ pana viseso – pakatiyā bahukoti nimmitakālabbhantare nimmitapakatiyā bahuko. Iminā ca bhikkhunā evaṃ bahubhāvaṃ nimminitvā puna ‘‘ekova hutvā caṅkamissāmi, sajjhāyaṃ karissāmi, pañhaṃ pucchissāmī’’ti cintetvā vā, ‘‘ayaṃ vihāro appabhikkhuko, sace keci āgamissanti ‘kuto ime ettakā ekasadisā bhikkhū, addhā therassa esa ānubhāvo’ti maṃ jānissantī’’ti appicchatāya vā antarāva ‘‘eko homī’’ti icchantena pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya ‘‘eko homī’’ti parikammaṃ katvā puna samāpajjitvā vuṭṭhāya ‘‘eko homī’’ti adhiṭṭhātabbaṃ. Adhiṭṭhānacittena saddhiṃyeva eko hoti. Evaṃ akaronto pana yathāparicchinnakālavasena sayameva eko hoti.
๑๑. อาวิภาวนฺติ ปทํ นิกฺขิปิตฺวา เกนจิ อนาวฎํ โหตีติ วุตฺตตฺตา เกนจิ อนาวฎปเทน อาวิภาวปทสฺส ปากฎภาวโตฺถ วุโตฺตฯ ‘‘โหตี’’ติ ปเทน ‘‘กโรตี’’ติ ปาฐเสโส วุโตฺต โหติฯ ปากฎํ โหนฺตญฺหิ อาวิภาเว กเต โหติฯ เกนจิ อนาวฎนฺติ กุฎฺฎาทินา เยน เกนจิ อนาวฎํ อาวรณวิรหิตํฯ อปฺปฎิจฺฉนฺนนฺติ อุปริโต อจฺฉาทิตํฯ ตเทว อนาวฎตฺตา วิวฎํฯ อปฺปฎิจฺฉนฺนตฺตา ปากฎํฯ ติโรภาวนฺติ อนฺตริตภาวํ กโรติฯ อาวฎํเยว เตน อาวรเณน ปิหิตํฯ ปฎิจฺฉนฺนํเยว เตน ปฎิจฺฉาทเนน ปฎิกุชฺชิตํฯ
11.Āvibhāvanti padaṃ nikkhipitvā kenaci anāvaṭaṃ hotīti vuttattā kenaci anāvaṭapadena āvibhāvapadassa pākaṭabhāvattho vutto. ‘‘Hotī’’ti padena ‘‘karotī’’ti pāṭhaseso vutto hoti. Pākaṭaṃ hontañhi āvibhāve kate hoti. Kenaci anāvaṭanti kuṭṭādinā yena kenaci anāvaṭaṃ āvaraṇavirahitaṃ. Appaṭicchannanti uparito acchāditaṃ. Tadeva anāvaṭattā vivaṭaṃ. Appaṭicchannattā pākaṭaṃ. Tirobhāvanti antaritabhāvaṃ karoti. Āvaṭaṃyeva tena āvaraṇena pihitaṃ. Paṭicchannaṃyeva tena paṭicchādanena paṭikujjitaṃ.
อากาสกสิณสมาปตฺติยาติ ปริเจฺฉทากาสกสิเณ อุปฺปาทิตาย จตุตฺถชฺฌานสมาปตฺติยาฯ ลาภีติ ลาโภ อสฺส อตฺถีติ ลาภีฯ อปริกฺขิเตฺตติ เกนจิ สมนฺตโต อปริกฺขิเตฺต ปเทเสฯ อิธ อากาสกสิณเสฺสว วุตฺตตฺตา ตตฺถ ภาวิตเมว ฌานํ อากาสกรณสฺส ปจฺจโย โหติ, น อญฺญนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อุปริอาโปกสิณาทีสุปิ ตทารมฺมณเมว ฌานํ ทฎฺฐพฺพํ, น อญฺญํ ฯ ปถวิํ อาวชฺชติ, อุทกํ อาวชฺชติ, อากาสํ อาวชฺชตีติ ปกติปถวีอุทกอากาเส อาวชฺชติฯ อนฺตลิเกฺขติ ตสฺส อากาสสฺส ปถวิโต ทูรากาสภาวํ ทีเปติฯ
Ākāsakasiṇasamāpattiyāti paricchedākāsakasiṇe uppāditāya catutthajjhānasamāpattiyā. Lābhīti lābho assa atthīti lābhī. Aparikkhitteti kenaci samantato aparikkhitte padese. Idha ākāsakasiṇasseva vuttattā tattha bhāvitameva jhānaṃ ākāsakaraṇassa paccayo hoti, na aññanti daṭṭhabbaṃ. Upariāpokasiṇādīsupi tadārammaṇameva jhānaṃ daṭṭhabbaṃ, na aññaṃ . Pathaviṃ āvajjati, udakaṃ āvajjati, ākāsaṃ āvajjatīti pakatipathavīudakaākāse āvajjati. Antalikkheti tassa ākāsassa pathavito dūrākāsabhāvaṃ dīpeti.
๑๒. จนฺทิมสูริยปริมชฺชเน กสิณนิยมํ อกตฺวา ‘‘อิทฺธิมา เจโตวสิปฺปโตฺต’’ติ อวิเสเสน วุตฺตตฺตา นเตฺถตฺถ กสิณสมาปตฺตินิยโมติ เวทิตพฺพํฯ นิสินฺนโก วา นิปนฺนโก วาติ นิสิโนฺน วา นิปโนฺน วาฯ อิเมเหว อิตรอิริยาปถทฺวยมฺปิ วุตฺตเมว โหติฯ หตฺถปาเส โหตูติ หตฺถสมีเป โหตุฯ หตฺถปเสฺส โหตูติปิ ปาโฐฯ อิทํ ตถา กาตุกามสฺส วเสน วุตฺตํฯ อยํ ปน ตตฺถ คนฺตฺวาปิ หตฺถํ วเฑฺฒตฺวาปิ อามสติฯ อามสตีติ อีสกํ ผุสติฯ ปรามสตีติ พาฬฺหํ ผุสติฯ ปริมชฺชตีติ สมนฺตโต ผุสติฯ รูปคตนฺติ หตฺถปาเส ฐิตรูปเมวฯ
12. Candimasūriyaparimajjane kasiṇaniyamaṃ akatvā ‘‘iddhimā cetovasippatto’’ti avisesena vuttattā natthettha kasiṇasamāpattiniyamoti veditabbaṃ. Nisinnako vā nipannako vāti nisinno vā nipanno vā. Imeheva itarairiyāpathadvayampi vuttameva hoti. Hatthapāse hotūti hatthasamīpe hotu. Hatthapasse hotūtipi pāṭho. Idaṃ tathā kātukāmassa vasena vuttaṃ. Ayaṃ pana tattha gantvāpi hatthaṃ vaḍḍhetvāpi āmasati. Āmasatīti īsakaṃ phusati. Parāmasatīti bāḷhaṃ phusati. Parimajjatīti samantato phusati. Rūpagatanti hatthapāse ṭhitarūpameva.
ทูเรปิ สนฺติเก อธิฎฺฐาตีติ ปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐาย ทูเร เทวโลกํ วา พฺรหฺมโลกํ วา อาวชฺชติ ‘‘สนฺติเก โหตู’’ติฯ อาวชฺชิตฺวา ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ญาเณน อธิฎฺฐาติ ‘‘สนฺติเก โหตู’’ติฯ สนฺติเก โหติฯ เอส นโย เสสปเทสุปิฯ พฺรหฺมโลกํ ปน คนฺตุกามสฺส ทูรสฺส สนฺติกกรณํ วตฺวา พฺรหฺมโลกคมนสฺส อนุปการมฺปิ อิมาย อิทฺธิยา อิชฺฌมานวิเสสํ ทเสฺสโนฺต สนฺติเกปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ น เกวลํ โถกกรณพหุกรณเมว, ‘‘อมธุรํ มธุร’’นฺติอาทีสุปิ ยํ ยํ อิจฺฉติ, ตํ สพฺพํ อิทฺธิมโต อิชฺฌติฯ อปโร นโย – ทูเรปิ สนฺติเก อธิฎฺฐาตีติ ทูเร พฺรหฺมโลกํ วา มนุสฺสโลกสฺส สนฺติเก อธิฎฺฐาติฯ สนฺติเกปิ ทูเร อธิฎฺฐาตีติ สนฺติเก มนุสฺสโลกํ วา ทูเร พฺรหฺมโลเก อธิฎฺฐาติฯ พหุกมฺปิ โถกํ อธิฎฺฐาตีติ สเจ พฺรหฺมาโน พหู สนฺนิปติตา โหนฺติ, มหาอตฺตภาวตฺตา ทสฺสนูปจารํ สวนูปจารํ ปชหนฺติ, ทสฺสนูปจาเร จ สวนูปจาเร จ เอกชฺฌํ สงฺขิปิตฺวา พหุกมฺปิ โถกนฺติ อธิฎฺฐาติฯ โถกมฺปิ พหุกํ อธิฎฺฐาตีติ สเจ มหาปริวาเรน คนฺตุกาโม โหติ, เอกกตฺตา โถกํ อตฺตานํ พหุกํ อธิฎฺฐหิตฺวา มหาปริวาโร คจฺฉตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอวํ สติ จตุพฺพิธมฺปิ ตํ พฺรหฺมโลกคมเน อุปกาโร โหติฯ
Dūrepi santike adhiṭṭhātīti pādakajjhānato vuṭṭhāya dūre devalokaṃ vā brahmalokaṃ vā āvajjati ‘‘santike hotū’’ti. Āvajjitvā parikammaṃ katvā puna samāpajjitvā vuṭṭhāya ñāṇena adhiṭṭhāti ‘‘santike hotū’’ti. Santike hoti. Esa nayo sesapadesupi. Brahmalokaṃ pana gantukāmassa dūrassa santikakaraṇaṃ vatvā brahmalokagamanassa anupakārampi imāya iddhiyā ijjhamānavisesaṃ dassento santikepītiādimāha. Tattha na kevalaṃ thokakaraṇabahukaraṇameva, ‘‘amadhuraṃ madhura’’ntiādīsupi yaṃ yaṃ icchati, taṃ sabbaṃ iddhimato ijjhati. Aparo nayo – dūrepi santike adhiṭṭhātīti dūre brahmalokaṃ vā manussalokassa santike adhiṭṭhāti. Santikepi dūre adhiṭṭhātīti santike manussalokaṃ vā dūre brahmaloke adhiṭṭhāti. Bahukampi thokaṃ adhiṭṭhātīti sace brahmāno bahū sannipatitā honti, mahāattabhāvattā dassanūpacāraṃ savanūpacāraṃ pajahanti, dassanūpacāre ca savanūpacāre ca ekajjhaṃ saṅkhipitvā bahukampi thokanti adhiṭṭhāti. Thokampi bahukaṃ adhiṭṭhātīti sace mahāparivārena gantukāmo hoti, ekakattā thokaṃ attānaṃ bahukaṃ adhiṭṭhahitvā mahāparivāro gacchatīti evamettha attho daṭṭhabbo. Evaṃ sati catubbidhampi taṃ brahmalokagamane upakāro hoti.
ทิเพฺพน จกฺขุนา ตสฺส พฺรหฺมุโน รูปํ ปสฺสตีติ อิธ ฐิโต อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ยสฺส พฺรหฺมุโน รูปํ ทฎฺฐุกาโม, ทิเพฺพน จกฺขุนา ตสฺส พฺรหฺมุโน รูปํ ปสฺสติฯ อิเธว ฐิโต ทิพฺพาย โสตธาตุยา ตสฺส พฺรหฺมุโน ภาสมานสฺส สทฺทํ สุณาติฯ เจโตปริยญาเณน ตสฺส พฺรหฺมุโน จิตฺตํ ปชานาติฯ ทิสฺสมาเนนาติ จกฺขุนา เปกฺขิยมาเนนฯ กายวเสน จิตฺตํ ปริณาเมตีติ รูปกายสฺส วเสน จิตฺตํ ปริณาเมติฯ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ คเหตฺวา กาเย อาโรเปติ, กายานุคติกํ กโรติ ทนฺธคมนํฯ กายคมนญฺหิ ทนฺธํ โหติฯ อธิฎฺฐาตีติ ตเสฺสว เววจนํ, สนฺนิฎฺฐาเปตีติ อโตฺถฯ สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ โอกฺกมิตฺวาติ ปาทกชฺฌานารมฺมเณน อิทฺธิจิเตฺตน สหชาตํ สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ โอกฺกมิตฺวา ปวิสิตฺวา ผุสิตฺวา ปาปุณิตฺวาฯ สุขสญฺญา จ นาม อุเปกฺขาสมฺปยุตฺตสญฺญาฯ อุเปกฺขา หิ สนฺตํ สุขนฺติ วุตฺตา, สาเยว สญฺญา นีวรเณหิ เจว วิตกฺกาทิปจฺจนีเกหิ จ วิมุตฺตตฺตา ลหุสญฺญาติปิ เวทิตพฺพาฯ ตํ โอกฺกนฺตสฺส ปนสฺส กรชกาโยปิ ตูลปิจุ วิย สลฺลหุโก โหติฯ โส เอวํ วาตกฺขิตฺตตูลปิจุนา วิย สลฺลหุเกน ทิสฺสมาเนน กาเยน พฺรหฺมโลกํ คจฺฉติฯ เอวํ คจฺฉโนฺต จ สเจ อิจฺฉติ, ปถวีกสิณวเสน อากาเส มคฺคํ นิมฺมินิตฺวา ปทสา คจฺฉติฯ สเจ อิจฺฉติ, อากาเส ปถวีกสิณวเสเนว ปเท ปเท ปทุมํ นิมฺมินิตฺวา ปทุเม ปทุเม ปทํ นิกฺขิปโนฺต ปทสา คจฺฉติฯ สเจ อิจฺฉติ, วาโยกสิณวเสน วาตํ อธิฎฺฐหิตฺวา ตูลปิจุ วิย วายุนา คจฺฉติฯ อปิจ คนฺตุกามตาว เอตฺถ ปมาณํฯ สติ หิ คนฺตุกามตาย เอวํกตจิตฺตาธิฎฺฐาโน อธิฎฺฐานเวคกฺขิโตฺตว โส ชิยาเวคกฺขิโตฺต สโร วิย ทิสฺสมาโน คจฺฉติฯ
Dibbena cakkhunā tassa brahmuno rūpaṃ passatīti idha ṭhito ālokaṃ vaḍḍhetvā yassa brahmuno rūpaṃ daṭṭhukāmo, dibbena cakkhunā tassa brahmuno rūpaṃ passati. Idheva ṭhito dibbāya sotadhātuyā tassa brahmuno bhāsamānassa saddaṃ suṇāti. Cetopariyañāṇena tassa brahmuno cittaṃ pajānāti. Dissamānenāti cakkhunā pekkhiyamānena. Kāyavasena cittaṃ pariṇāmetīti rūpakāyassa vasena cittaṃ pariṇāmeti. Pādakajjhānacittaṃ gahetvā kāye āropeti, kāyānugatikaṃ karoti dandhagamanaṃ. Kāyagamanañhi dandhaṃ hoti. Adhiṭṭhātīti tasseva vevacanaṃ, sanniṭṭhāpetīti attho. Sukhasaññañca lahusaññañca okkamitvāti pādakajjhānārammaṇena iddhicittena sahajātaṃ sukhasaññañca lahusaññañca okkamitvā pavisitvā phusitvā pāpuṇitvā. Sukhasaññā ca nāma upekkhāsampayuttasaññā. Upekkhā hi santaṃ sukhanti vuttā, sāyeva saññā nīvaraṇehi ceva vitakkādipaccanīkehi ca vimuttattā lahusaññātipi veditabbā. Taṃ okkantassa panassa karajakāyopi tūlapicu viya sallahuko hoti. So evaṃ vātakkhittatūlapicunā viya sallahukena dissamānena kāyena brahmalokaṃ gacchati. Evaṃ gacchanto ca sace icchati, pathavīkasiṇavasena ākāse maggaṃ nimminitvā padasā gacchati. Sace icchati, ākāse pathavīkasiṇavaseneva pade pade padumaṃ nimminitvā padume padume padaṃ nikkhipanto padasā gacchati. Sace icchati, vāyokasiṇavasena vātaṃ adhiṭṭhahitvā tūlapicu viya vāyunā gacchati. Apica gantukāmatāva ettha pamāṇaṃ. Sati hi gantukāmatāya evaṃkatacittādhiṭṭhāno adhiṭṭhānavegakkhittova so jiyāvegakkhitto saro viya dissamāno gacchati.
จิตฺตวเสน กายํ ปริณาเมตีติ กรชกายํ คเหตฺวา ปาทกชฺฌานจิเตฺต อาโรเปติ, จิตฺตานุคติกํ กโรติ สีฆคมนํฯ จิตฺตคมนญฺหิ สีฆํ โหติฯ สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ โอกฺกมิตฺวาติ รูปกายารมฺมเณน อิทฺธิจิเตฺตน สหชาตํ สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อิทํ ปน จิตฺตคมนเมว โหติฯ เอวํ อทิสฺสมาเนน กาเยน คจฺฉโนฺต ปนายํ กิํ ตสฺสาธิฎฺฐานจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ คจฺฉติ? อุทาหุ ฐิติกฺขเณ ภงฺคกฺขเณ วาติ วุเตฺต ‘‘ตีสุปิ ขเณสุ คจฺฉตี’’ติ เถโร อาหฯ กิํ ปน โส สยํ คจฺฉติ, นิมฺมิตํ เปเสตีติ? ยถารุจิ กโรติฯ อิธ ปนสฺส สยํ คมนเมว อาคตํฯ
Cittavasena kāyaṃ pariṇāmetīti karajakāyaṃ gahetvā pādakajjhānacitte āropeti, cittānugatikaṃ karoti sīghagamanaṃ. Cittagamanañhi sīghaṃ hoti. Sukhasaññañca lahusaññañca okkamitvāti rūpakāyārammaṇena iddhicittena sahajātaṃ sukhasaññañca lahusaññañca. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Idaṃ pana cittagamanameva hoti. Evaṃ adissamānena kāyena gacchanto panāyaṃ kiṃ tassādhiṭṭhānacittassa uppādakkhaṇe gacchati? Udāhu ṭhitikkhaṇe bhaṅgakkhaṇe vāti vutte ‘‘tīsupi khaṇesu gacchatī’’ti thero āha. Kiṃ pana so sayaṃ gacchati, nimmitaṃ pesetīti? Yathāruci karoti. Idha panassa sayaṃ gamanameva āgataṃ.
มโนมยนฺติ อธิฎฺฐานมเนน นิมฺมิตตฺตา มโนมยํฯ สพฺพงฺคปจฺจงฺคนฺติ สพฺพองฺคปจฺจงฺควนฺตํฯ อหีนินฺทฺริยนฺติ อิทํ จกฺขุโสตาทีนํ สณฺฐานวเสน วุตฺตํ, นิมฺมิตรูเป ปน ปสาโท นาม นตฺถิฯ สเจ โส อิทฺธิมา จงฺกมติ, นิมฺมิโตปิ ตตฺถ จงฺกมตีติอาทิ สพฺพํ สาวกนิมฺมิตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ พุทฺธนิมฺมิตา ปน ยํ ยํ ภควา กโรติ, ตํ ตมฺปิ กโรนฺติ, ภควโต จิตฺตวเสน อญฺญมฺปิ กโรนฺตีติฯ ธูมายติ ปชฺชลตีติ เตโชกสิณวเสนฯ ธมฺมํ ภาสตีติอาทีนิ ตีณิ อนิยเมตฺวา วุตฺตานิฯ สนฺติฎฺฐตีติ สงฺคมฺม ติฎฺฐติฯ สลฺลปตีติ สงฺคมฺม ลปติฯ สากจฺฉํ สมาปชฺชตีติ อญฺญมญฺญสฺส อุตฺตรปจฺจุตฺตรทานวเสน สํกถํ กโรติฯ เอตฺถ จ ยํ โส อิทฺธิมา อิเธว ฐิโต ทิเพฺพน จกฺขุนา รูปํ ปสฺสติ, ทิพฺพาย โสตธาตุยา สทฺทํ สุณาติ, เจโตปริยญาเณน จิตฺตํ ปชานาติ, ยมฺปิ โส อิเธว ฐิโต เตน พฺรหฺมุนา สทฺธิํ สนฺติฎฺฐติ , สลฺลปติ, สากจฺฉํ สมาปชฺชติ, ยมฺปิสฺส ‘‘ทูเรปิ สนฺติเก อธิฎฺฐาตี’’ติอาทิกํ อธิฎฺฐานํ, ยมฺปิ โส ทิสฺสมาเนน วา อทิสฺสมาเนน วา กาเยน พฺรหฺมโลกํ คจฺฉติ, เอตฺตาวตา น กาเยน วสํ วเตฺตติฯ ยญฺจ โข ‘‘โส ตสฺส พฺรหฺมุโน ปุรโต รูปิํ อภินิมฺมินาตี’’ติอาทินา นเยน วุตฺตวิธานํ อาปชฺชติ, เอตฺตาวตา กาเยน วสํ วเตฺตติ นามฯ เสสํ ปน กาเยน วสวตฺตนาย ปุพฺพภาคทสฺสนตฺถํ วุตฺตนฺติฯ อยํ ตาว อธิฎฺฐานา อิทฺธิฯ
Manomayanti adhiṭṭhānamanena nimmitattā manomayaṃ. Sabbaṅgapaccaṅganti sabbaaṅgapaccaṅgavantaṃ. Ahīnindriyanti idaṃ cakkhusotādīnaṃ saṇṭhānavasena vuttaṃ, nimmitarūpe pana pasādo nāma natthi. Sace so iddhimā caṅkamati, nimmitopi tattha caṅkamatītiādi sabbaṃ sāvakanimmitaṃ sandhāya vuttaṃ. Buddhanimmitā pana yaṃ yaṃ bhagavā karoti, taṃ tampi karonti, bhagavato cittavasena aññampi karontīti. Dhūmāyati pajjalatīti tejokasiṇavasena. Dhammaṃ bhāsatītiādīni tīṇi aniyametvā vuttāni. Santiṭṭhatīti saṅgamma tiṭṭhati. Sallapatīti saṅgamma lapati. Sākacchaṃ samāpajjatīti aññamaññassa uttarapaccuttaradānavasena saṃkathaṃ karoti. Ettha ca yaṃ so iddhimā idheva ṭhito dibbena cakkhunā rūpaṃ passati, dibbāya sotadhātuyā saddaṃ suṇāti, cetopariyañāṇena cittaṃ pajānāti, yampi so idheva ṭhito tena brahmunā saddhiṃ santiṭṭhati , sallapati, sākacchaṃ samāpajjati, yampissa ‘‘dūrepi santike adhiṭṭhātī’’tiādikaṃ adhiṭṭhānaṃ, yampi so dissamānena vā adissamānena vā kāyena brahmalokaṃ gacchati, ettāvatā na kāyena vasaṃ vatteti. Yañca kho ‘‘so tassa brahmuno purato rūpiṃ abhinimminātī’’tiādinā nayena vuttavidhānaṃ āpajjati, ettāvatā kāyena vasaṃ vatteti nāma. Sesaṃ pana kāyena vasavattanāya pubbabhāgadassanatthaṃ vuttanti. Ayaṃ tāva adhiṭṭhānā iddhi.
๑๓. วิกุพฺพนิทฺธินิเทฺทเส สิขิสฺส ภควโต สาวกนิทสฺสนํ วิกุพฺพนิทฺธิยา กายสกฺขิปุคฺคลทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตมฺปิ ทเสฺสโนฺต ปฐมํ ตาว พฺรหฺมโลเก ฐิโต สหสฺสิโลกธาตุํ สเรน วิญฺญาเปสีติ อติวิย อจฺฉริยอพฺภุตภูตํ สหสฺสิโลกธาตุยา สทฺทสวนํ อธิฎฺฐานิทฺธิํ ทเสฺสสิฯ อิทานิ ตสฺส วตฺถุสฺส ปริทีปนตฺถมิทํ วุจฺจติ – อิมสฺมา หิ กปฺปา เอกติํเส กเปฺป สิขี ภควา อนนฺตรชาติยา ตุสิตปุรโต จวิตฺวา อรุณวตีนคเร อรุณวโต รโญฺญ ปภาวติยา นาม มเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติตฺวา ปริปกฺกญาโณ มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา ปวตฺตวรธมฺมจโกฺก อรุณวติํ นิสฺสาย วิหรโนฺต เอกทิวสํ ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ‘‘อรุณวติํ ปิณฺฑาย ปวิสิสฺสามี’’ติ นิกฺขมิตฺวา วิหารทฺวารโกฎฺฐกสมีเป ฐิโต อภิภุํ นาม อคฺคสาวกํ อามเนฺตสิ – ‘‘อติปฺปโค โข, ภิกฺขุ, อรุณวติํ ปิณฺฑาย ปวิสิตุํฯ เยน อญฺญตโร พฺรหฺมโลโก เตนุปสงฺกมิสฺสามา’’ติฯ ยถาห –
13. Vikubbaniddhiniddese sikhissa bhagavato sāvakanidassanaṃ vikubbaniddhiyā kāyasakkhipuggaladassanatthaṃ vuttaṃ. Tampi dassento paṭhamaṃ tāva brahmaloke ṭhito sahassilokadhātuṃ sarena viññāpesīti ativiya acchariyaabbhutabhūtaṃ sahassilokadhātuyā saddasavanaṃ adhiṭṭhāniddhiṃ dassesi. Idāni tassa vatthussa paridīpanatthamidaṃ vuccati – imasmā hi kappā ekatiṃse kappe sikhī bhagavā anantarajātiyā tusitapurato cavitvā aruṇavatīnagare aruṇavato rañño pabhāvatiyā nāma mahesiyā kucchismiṃ nibbattitvā paripakkañāṇo mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā bodhimaṇḍe sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitvā pavattavaradhammacakko aruṇavatiṃ nissāya viharanto ekadivasaṃ pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā mahābhikkhusaṅghaparivāro ‘‘aruṇavatiṃ piṇḍāya pavisissāmī’’ti nikkhamitvā vihāradvārakoṭṭhakasamīpe ṭhito abhibhuṃ nāma aggasāvakaṃ āmantesi – ‘‘atippago kho, bhikkhu, aruṇavatiṃ piṇḍāya pavisituṃ. Yena aññataro brahmaloko tenupasaṅkamissāmā’’ti. Yathāha –
‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, สิขี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อภิภุํ ภิกฺขุํ อามเนฺตสิ – ‘อายาม, พฺราหฺมณ, เยน อญฺญตโร พฺรหฺมโลโก, เตนุปสงฺกมิสฺสาม ยาว ภตฺตสฺส กาโล ภวิสฺสตี’ติฯ ‘เอวํ ภเนฺต’ติ โข, ภิกฺขเว, อภิภู ภิกฺขุ สิขิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข, ภิกฺขเว, สิขี จ ภควา อภิภู จ ภิกฺขุ เยน อญฺญตโร พฺรหฺมโลโก, เตนุปสงฺกมิํสู’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๘๕)ฯ
‘‘Atha kho, bhikkhave, sikhī bhagavā arahaṃ sammāsambuddho abhibhuṃ bhikkhuṃ āmantesi – ‘āyāma, brāhmaṇa, yena aññataro brahmaloko, tenupasaṅkamissāma yāva bhattassa kālo bhavissatī’ti. ‘Evaṃ bhante’ti kho, bhikkhave, abhibhū bhikkhu sikhissa bhagavato arahato sammāsambuddhassa paccassosi. Atha kho, bhikkhave, sikhī ca bhagavā abhibhū ca bhikkhu yena aññataro brahmaloko, tenupasaṅkamiṃsū’’ti (saṃ. ni. 1.185).
ตตฺถ มหาพฺรหฺมา สมฺมาสมฺพุทฺธํ ทิสฺวา อตฺตมโน ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา พฺรหฺมาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิฯ เถรสฺสาปิ อนุจฺฉวิกํ อาสนํ ปญฺญาปยิํสุฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเน, เถโรปิ อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทิฯ มหาพฺรหฺมาปิ ทสพลํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เตนาห – อถ โข, ภิกฺขเว, สิขี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อภิภุํ ภิกฺขุํ อามเนฺตสิ – ‘‘ปฎิภาตุ, พฺราหฺมณ, ตํ พฺรหฺมุโน จ พฺรหฺมปริสาย จ พฺรหฺมปาริสชฺชานญฺจ ธมฺมี กถา’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข, ภิกฺขเว, อภิภู ภิกฺขุ สิขิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา พฺรหฺมุโน จ พฺรหฺมปริสาย จ พฺรหฺมปาริสชฺชานญฺจ ธมฺมกถํ กเถสิฯ เถเร ธมฺมกถํ กเถเนฺต พฺรหฺมาโน อุชฺฌายิํสุ ‘‘จิรสฺสญฺจ มยํ สตฺถุ พฺรหฺมโลกาคมนํ ลภิมฺหา, อยญฺจ ภิกฺขุ ฐเปตฺวา สตฺถารํ สยํ ธมฺมกถํ อารภี’’ติฯ สตฺถา เตสํ อนตฺตมนภาวํ ญตฺวา อภิภุํ ภิกฺขุํ เอตทโวจ – ‘‘อุชฺฌายนฺติ โข เต, พฺราหฺมณ, พฺรหฺมา จ พฺรหฺมปริสา จ พฺรหฺมปาริสชฺชา จฯ เตน หิ, ตฺวํ พฺราหฺมณ, ภิโยฺยโส มตฺตาย สํเวเชหี’’ติฯ เถโร สตฺถุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิกุพฺพนํ กตฺวา สหสฺสิโลกธาตุํ สเรน วิญฺญาเปโนฺต –
Tattha mahābrahmā sammāsambuddhaṃ disvā attamano paccuggamanaṃ katvā brahmāsanaṃ paññāpetvā adāsi. Therassāpi anucchavikaṃ āsanaṃ paññāpayiṃsu. Nisīdi bhagavā paññatte āsane, theropi attano pattāsane nisīdi. Mahābrahmāpi dasabalaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Tenāha – atha kho, bhikkhave, sikhī bhagavā arahaṃ sammāsambuddho abhibhuṃ bhikkhuṃ āmantesi – ‘‘paṭibhātu, brāhmaṇa, taṃ brahmuno ca brahmaparisāya ca brahmapārisajjānañca dhammī kathā’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho, bhikkhave, abhibhū bhikkhu sikhissa bhagavato arahato sammāsambuddhassa paṭissuṇitvā brahmuno ca brahmaparisāya ca brahmapārisajjānañca dhammakathaṃ kathesi. There dhammakathaṃ kathente brahmāno ujjhāyiṃsu ‘‘cirassañca mayaṃ satthu brahmalokāgamanaṃ labhimhā, ayañca bhikkhu ṭhapetvā satthāraṃ sayaṃ dhammakathaṃ ārabhī’’ti. Satthā tesaṃ anattamanabhāvaṃ ñatvā abhibhuṃ bhikkhuṃ etadavoca – ‘‘ujjhāyanti kho te, brāhmaṇa, brahmā ca brahmaparisā ca brahmapārisajjā ca. Tena hi, tvaṃ brāhmaṇa, bhiyyoso mattāya saṃvejehī’’ti. Thero satthu vacanaṃ sampaṭicchitvā anekavihitaṃ iddhivikubbanaṃ katvā sahassilokadhātuṃ sarena viññāpento –
‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถ, ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน;
‘‘Ārambhatha nikkamatha, yuñjatha buddhasāsane;
ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโรฯ
Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaro.
‘‘โย อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย, อปฺปมโตฺต วิหสฺสติ;
‘‘Yo imasmiṃ dhammavinaye, appamatto vihassati;
ปหาย ชาติสํสารํ, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี’’ติฯ (อ. นิ. ๑.๑๘๕) –
Pahāya jātisaṃsāraṃ, dukkhassantaṃ karissatī’’ti. (a. ni. 1.185) –
อิมํ คาถาทฺวยํ อภาสิฯ
Imaṃ gāthādvayaṃ abhāsi.
กิํ ปน กตฺวา เถโร สหสฺสิโลกธาตุํ สเรน วิญฺญาเปสีติ? นีลกสิณํ ตาว สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อภิญฺญาญาเณน จกฺกวาฬสหเสฺส สพฺพตฺถ อนฺธการํ ผริฯ ตโต ‘‘กิมิทํ อนฺธการ’’นฺติ สตฺตานํ อาโภเค อุปฺปเนฺน อาโลกกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อาโลกํ ทเสฺสสิฯ ‘‘กิํ อาโลโก อย’’นฺติ วิจินนฺตานํ อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ จกฺกวาฬสหเสฺส จ เทวมนุสฺสา อญฺชลิํ ปคฺคณฺหิตฺวา เถรํเยว นมสฺสมานา อฎฺฐํสุฯ เถโร ‘‘มหาชโน มยฺหํ ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส สทฺทํ สุณาตู’’ติ อิมา คาถา อภาสิฯ สเพฺพ โอสฎาย ปริสาย มเชฺฌ นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส วิย สทฺทํ อโสฺสสุํฯ อโตฺถปิ เตสํ ปากโฎ อโหสิฯ ตํ วิญฺญาปนํ สนฺธาย ‘‘สเรน วิญฺญาเปสี’’ติ วุตฺตํฯ เตน กตํ อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิกุพฺพนํ สนฺธาย ปุน โส ทิสฺสมาเนนปีติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ธมฺมํ เทเสสีติ ปฐมํ วุตฺตปฺปการํ อิทฺธิวิกุพฺพนํ ทเสฺสโนฺต ธมฺมํ เทเสสิ, ตโต ยถาวุตฺตกฺกเมน เทฺว คาถา ภาสโนฺต สเรน วิญฺญาเปสีติ เวทิตพฺพํฯ ทิสฺสมาเนนปิ กาเยนาติอาทีสุ จ อิตฺถํภูตลกฺขเณ กรณวจนํ, เอวํภูตกาโย หุตฺวาติ อโตฺถฯ
Kiṃ pana katvā thero sahassilokadhātuṃ sarena viññāpesīti? Nīlakasiṇaṃ tāva samāpajjitvā vuṭṭhāya abhiññāñāṇena cakkavāḷasahasse sabbattha andhakāraṃ phari. Tato ‘‘kimidaṃ andhakāra’’nti sattānaṃ ābhoge uppanne ālokakasiṇaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya ālokaṃ dassesi. ‘‘Kiṃ āloko aya’’nti vicinantānaṃ attānaṃ dassesi. Cakkavāḷasahasse ca devamanussā añjaliṃ paggaṇhitvā theraṃyeva namassamānā aṭṭhaṃsu. Thero ‘‘mahājano mayhaṃ dhammaṃ desentassa saddaṃ suṇātū’’ti imā gāthā abhāsi. Sabbe osaṭāya parisāya majjhe nisīditvā dhammaṃ desentassa viya saddaṃ assosuṃ. Atthopi tesaṃ pākaṭo ahosi. Taṃ viññāpanaṃ sandhāya ‘‘sarena viññāpesī’’ti vuttaṃ. Tena kataṃ anekavihitaṃ iddhivikubbanaṃ sandhāya puna so dissamānenapītiādi vuttaṃ. Tattha dhammaṃ desesīti paṭhamaṃ vuttappakāraṃ iddhivikubbanaṃ dassento dhammaṃ desesi, tato yathāvuttakkamena dve gāthā bhāsanto sarena viññāpesīti veditabbaṃ. Dissamānenapi kāyenātiādīsu ca itthaṃbhūtalakkhaṇe karaṇavacanaṃ, evaṃbhūtakāyo hutvāti attho.
อิทานิ ตํ วตฺถุํ ทเสฺสตฺวา อญฺญสฺสาปิ อิทฺธิมโต วิกุพฺพนิทฺธิกรณวิธานํ ทเสฺสโนฺต โส ปกติวณฺณํ วิชหิตฺวาติอาทิมาหฯ ตตฺถ โสติ เหฎฺฐา วุตฺตวิธาเนน มุทุกมฺมญฺญกตจิโตฺต โส อิทฺธิมา ภิกฺขุฯ สเจ วิกุพฺพนิทฺธิํ กาตุกาโม โหติ, อตฺตโน ปกติวณฺณํ ปกติสณฺฐานํ วิชหิตฺวา กุมารกวณฺณํ วา ทเสฺสติฯ กถํ? ปถวีกสิณารมฺมณาภิญฺญาปาทกจตุตฺถชฺฌานโต วุฎฺฐาย ‘‘เอวรูโป กุมารโก โหมี’’ติ นิมฺมินิตพฺพํ กุมารกวณฺณํ อาวชฺชิตฺวา กตปริกมฺมาวสาเน ปุน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ‘‘เอวรูโป นาม กุมารโก โหมี’’ติ อภิญฺญาญาเณน อธิฎฺฐาติ, สห อธิฎฺฐาเนน กุมารโก โหตีติฯ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๐๐) กสิณนิเทฺทเส ‘‘ปถวีกสิณวเสน เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหตีติอาทิภาโว…เป.… เอวมาทีนิ อิชฺฌนฺตี’’ติ วจเนน อิธ ปถวีกสิณารมฺมณํ ปาทกชฺฌานํ ยุชฺชติฯ ตเตฺถว ปน อภิญฺญานิเทฺทเส วิกุพฺพนิทฺธิยา ‘‘ปถวีกสิณาทีสุ อญฺญตรารมฺมณโต อภิญฺญาปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐายา’’ติ วุตฺตํ, ตเตฺถว (วิสุทฺธิ. ๒.๓๙๘) จ ‘‘อตฺตโน กุมารกวโณฺณ อาวชฺชิตโพฺพ’’ติ วุตฺตํ, ตํ นาคาทินิมฺมาเน น ยุชฺชติ วิยฯ นาควณฺณาทินิมฺมาเนปิ เอเสว นโยฯ
Idāni taṃ vatthuṃ dassetvā aññassāpi iddhimato vikubbaniddhikaraṇavidhānaṃ dassento so pakativaṇṇaṃ vijahitvātiādimāha. Tattha soti heṭṭhā vuttavidhānena mudukammaññakatacitto so iddhimā bhikkhu. Sace vikubbaniddhiṃ kātukāmo hoti, attano pakativaṇṇaṃ pakatisaṇṭhānaṃ vijahitvā kumārakavaṇṇaṃ vā dasseti. Kathaṃ? Pathavīkasiṇārammaṇābhiññāpādakacatutthajjhānato vuṭṭhāya ‘‘evarūpo kumārako homī’’ti nimminitabbaṃ kumārakavaṇṇaṃ āvajjitvā kataparikammāvasāne puna samāpajjitvā vuṭṭhāya ‘‘evarūpo nāma kumārako homī’’ti abhiññāñāṇena adhiṭṭhāti, saha adhiṭṭhānena kumārako hotīti. Visuddhimagge (visuddhi. 1.100) kasiṇaniddese ‘‘pathavīkasiṇavasena ekopi hutvā bahudhā hotītiādibhāvo…pe… evamādīni ijjhantī’’ti vacanena idha pathavīkasiṇārammaṇaṃ pādakajjhānaṃ yujjati. Tattheva pana abhiññāniddese vikubbaniddhiyā ‘‘pathavīkasiṇādīsu aññatarārammaṇato abhiññāpādakajjhānato vuṭṭhāyā’’ti vuttaṃ, tattheva (visuddhi. 2.398) ca ‘‘attano kumārakavaṇṇo āvajjitabbo’’ti vuttaṃ, taṃ nāgādinimmāne na yujjati viya. Nāgavaṇṇādinimmānepi eseva nayo.
ตตฺถ นาควณฺณนฺติ สปฺปสณฺฐานํฯ สุปณฺณวณฺณนฺติ ครุฬสณฺฐานํฯ อินฺทวณฺณนฺติ สกฺกสณฺฐานํฯ เทววณฺณนฺติ เสสเทวสณฺฐานํฯ สมุทฺทวณฺณํ ปน อาโปกสิณวเสน อิชฺฌติฯ ปตฺตินฺติ ปทาติํฯ วิวิธมฺปิ เสนาพฺยูหนฺติ หตฺถิอาทีนํ วเสน อเนกวิหิตํ เสนาสมูหํฯ วิสุทฺธิมเคฺค ปน ‘‘หตฺถิมฺปิ ทเสฺสตีติอาทิ ปเนตฺถ พหิทฺธาปิ หตฺถิอาทิทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘หตฺถี โหมี’ติ อนธิฎฺฐหิตฺวา ‘หตฺถี โหตู’ติ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ อสฺสาทีสุปิ เอเสว นโย’’ติ วุตฺตํ, ตํ ‘‘ปกติวณฺณํ วิชหิตฺวา’’ติ วุตฺตมูลปเทน จ วิกุพฺพนิทฺธิภาเวน จ วิรุชฺฌติฯ ปาฬิยํ วุตฺตกฺกเมน หิ ปกติวณฺณํ อวิชหิตฺวา อธิฎฺฐานวเสน อญฺญสฺส ทสฺสนํ อธิฎฺฐานิทฺธิ นาม, ปกติวณฺณํ วิชหิตฺวา อธิฎฺฐานวเสน อตฺตโน อญฺญถาทสฺสนํ วิกุพฺพนิทฺธิ นามฯ
Tattha nāgavaṇṇanti sappasaṇṭhānaṃ. Supaṇṇavaṇṇanti garuḷasaṇṭhānaṃ. Indavaṇṇanti sakkasaṇṭhānaṃ. Devavaṇṇanti sesadevasaṇṭhānaṃ. Samuddavaṇṇaṃ pana āpokasiṇavasena ijjhati. Pattinti padātiṃ. Vividhampi senābyūhanti hatthiādīnaṃ vasena anekavihitaṃ senāsamūhaṃ. Visuddhimagge pana ‘‘hatthimpi dassetītiādi panettha bahiddhāpi hatthiādidassanavasena vuttaṃ. Tattha ‘hatthī homī’ti anadhiṭṭhahitvā ‘hatthī hotū’ti adhiṭṭhātabbaṃ. Assādīsupi eseva nayo’’ti vuttaṃ, taṃ ‘‘pakativaṇṇaṃ vijahitvā’’ti vuttamūlapadena ca vikubbaniddhibhāvena ca virujjhati. Pāḷiyaṃ vuttakkamena hi pakativaṇṇaṃ avijahitvā adhiṭṭhānavasena aññassa dassanaṃ adhiṭṭhāniddhi nāma, pakativaṇṇaṃ vijahitvā adhiṭṭhānavasena attano aññathādassanaṃ vikubbaniddhi nāma.
๑๔. มโนมยิทฺธิญาณนิเทฺทเส อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาตีติอาทีสุ อิทฺธิมา ภิกฺขุ มโนมยิทฺธิํ กาตุกาโม อากาสกสิณารมฺมณปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐาย อตฺตโน รูปกายํ ตาว อาวชฺชิตฺวา วุตฺตนเยเนว ‘‘สุสิโร โหตู’’ติ อธิฎฺฐาติ, สุสิโร โหติ ฯ อถ ตสฺส อพฺภนฺตเร ปถวีกสิณวเสน อญฺญํ กายํ อาวชฺชิตฺวา ปริกมฺมํ กตฺวา วุตฺตนเยเนว อธิฎฺฐาติ, ตสฺส อพฺภนฺตเร อโญฺญ กาโย โหติฯ โส ตํ มุขโต อพฺพูหิตฺวา พหิ ฐเปติฯ อิทานิ ตมตฺถํ อุปมาหิ ปกาเสโนฺต เสยฺยถาปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ มุญฺชมฺหาติ มุญฺชติณมฺหาฯ อีสิกํ ปวาเหยฺยาติ กฬีรํ ลุเญฺจยฺยฯ โกสิยาติ โกสกโตฯ กรณฺฑาติ กรณฺฑาย, ปุราณตจกญฺจุกโตติ อโตฺถฯ ตตฺถ จ อุทฺธเรยฺยาติ จิเตฺตเนวสฺส อุทฺธรณํ เวทิตพฺพํฯ อยญฺหิ อหิ นาม สชาติยํ ฐิโต, กฎฺฐนฺตรํ วา รุกฺขนฺตรํ วา นิสฺสาย, ตจโต สรีรํ นิกฺกฑฺฒนปโยคสงฺขาเตน ถาเมน, สรีรํ ขาทยมานํ วิย ปุราณตจํ ชิคุจฺฉโนฺต อิเมหิ จตูหิ การเณหิ สยเมว กญฺจุกํ ปชหาติฯ
14. Manomayiddhiñāṇaniddese imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimminātītiādīsu iddhimā bhikkhu manomayiddhiṃ kātukāmo ākāsakasiṇārammaṇapādakajjhānato vuṭṭhāya attano rūpakāyaṃ tāva āvajjitvā vuttanayeneva ‘‘susiro hotū’’ti adhiṭṭhāti, susiro hoti . Atha tassa abbhantare pathavīkasiṇavasena aññaṃ kāyaṃ āvajjitvā parikammaṃ katvā vuttanayeneva adhiṭṭhāti, tassa abbhantare añño kāyo hoti. So taṃ mukhato abbūhitvā bahi ṭhapeti. Idāni tamatthaṃ upamāhi pakāsento seyyathāpītiādimāha. Tattha muñjamhāti muñjatiṇamhā. Īsikaṃ pavāheyyāti kaḷīraṃ luñceyya. Kosiyāti kosakato. Karaṇḍāti karaṇḍāya, purāṇatacakañcukatoti attho. Tattha ca uddhareyyāti cittenevassa uddharaṇaṃ veditabbaṃ. Ayañhi ahi nāma sajātiyaṃ ṭhito, kaṭṭhantaraṃ vā rukkhantaraṃ vā nissāya, tacato sarīraṃ nikkaḍḍhanapayogasaṅkhātena thāmena, sarīraṃ khādayamānaṃ viya purāṇatacaṃ jigucchanto imehi catūhi kāraṇehi sayameva kañcukaṃ pajahāti.
เอตฺถ จ ยถา อีสิกาทโย มุญฺชาทีหิ สทิสา โหนฺติ, เอวมิทํ มโนมยํ รูปํ อิทฺธิมตา สพฺพากาเรหิ สทิสเมว โหตีติ ทสฺสนตฺถํ อิมา อุปมา วุตฺตาติฯ ‘‘มโนมเยน กาเยน, อิทฺธิยา อุปสงฺกมี’’ติ (เถรคา. ๙๐๑) เอตฺถ อภิญฺญามเนน กตกาโย มโนมยกาโย นามฯ ‘‘อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปชฺชตี’’ติ (จูฬว. ๓๓๓) เอตฺถ ฌานมเนน นิพฺพิตฺติตกาโย เตน มเนน กตตฺตา มโนมยกาโย นามฯ อิธ ปน อภิญฺญามเนน อุปฺปาทิตกาโย เตน มเนน กตตฺตา มโนมยกาโย นามฯ เอวํ สติ อธิฎฺฐานิทฺธิยา วิกุพฺพนิทฺธิยา จ กโต มโนมยกาโย นาม โหตีติ เจ? โหติเยวฯ อิธ ปน ตาสํ วิสุํ วิสุํ วิเสเสน วิเสเสตฺวา อธิฎฺฐานิทฺธิ วิกุพฺพนิทฺธีติ จ วุตฺตตฺตา อพฺภนฺตรโต นิมฺมานเมว มโนมยิทฺธิ นามฯ
Ettha ca yathā īsikādayo muñjādīhi sadisā honti, evamidaṃ manomayaṃ rūpaṃ iddhimatā sabbākārehi sadisameva hotīti dassanatthaṃ imā upamā vuttāti. ‘‘Manomayena kāyena, iddhiyā upasaṅkamī’’ti (theragā. 901) ettha abhiññāmanena katakāyo manomayakāyo nāma. ‘‘Aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapajjatī’’ti (cūḷava. 333) ettha jhānamanena nibbittitakāyo tena manena katattā manomayakāyo nāma. Idha pana abhiññāmanena uppāditakāyo tena manena katattā manomayakāyo nāma. Evaṃ sati adhiṭṭhāniddhiyā vikubbaniddhiyā ca kato manomayakāyo nāma hotīti ce? Hotiyeva. Idha pana tāsaṃ visuṃ visuṃ visesena visesetvā adhiṭṭhāniddhi vikubbaniddhīti ca vuttattā abbhantarato nimmānameva manomayiddhi nāma.
๑๕. ญาณวิปฺผาริทฺธินิเทฺทเส ญาณสฺส วิปฺผาโร เวโค อสฺสา อตฺถีติ ญาณวิปฺผาราฯ เอตฺถ จ สตฺตอนุปสฺสนาวเสเนว อิทฺธิํ ทเสฺสตฺวา เสสา ยาว อรหตฺตมคฺคา สงฺขิตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
15. Ñāṇavipphāriddhiniddese ñāṇassa vipphāro vego assā atthīti ñāṇavipphārā. Ettha ca sattaanupassanāvaseneva iddhiṃ dassetvā sesā yāva arahattamaggā saṅkhittāti veditabbā.
อายสฺมโต พากุลสฺส ญาณวิปฺผารา อิทฺธีติอาทีสุ พากุลเตฺถโร ตาว ทฺวีสุ กุเลสุ วฑฺฒิตตฺตา เอวํลทฺธนาโม ปุพฺพพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ปุญฺญสมฺปทาย สมฺปโนฺน เถโรฯ โส หิ มหาสมฺปตฺติํ อนุภวมาโน เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อมฺหากํ ทสพลสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว โกสมฺพิยํ เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติฯ ตํ ชาตกาเล มงฺคลตฺถาย มหาปริวาเรน ยมุนํ เนตฺวา สปริวารา ธาตี นิมุชฺชนุมฺมุชฺชนวเสน กีฬาเปนฺตี นฺหาเปติฯ เอโก มหามโจฺฉ ‘‘ภโกฺข เม อย’’นฺติ มญฺญมาโน มุขํ วิวริตฺวา อุปคโตฯ ธาตี ทารกํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลาตาฯ มหามโจฺฉ ตํ คิลิฯ ปุญฺญวา สโตฺต สยนคพฺภํ ปวิสิตฺวา นิปโนฺน วิย น กิญฺจิ ทุกฺขํ ปาปุณิฯ มโจฺฉ ทารกสฺส เตเชน ตตฺตกํ ผาลํ คิลิตฺวา วิย ทยฺหมาโน เวเคน ติํสโยชนํ คนฺตฺวา พาราณสิวาสิโน มจฺฉพนฺธสฺส ชาลํ ปาวิสิฯ โส ทารกสฺส เตเชน ชาลโต นีหฎมโตฺตว มโตฯ มจฺฉพนฺธา ตํ สกลเมว อนฺตรกาเชน อาทาย ‘‘สหเสฺสน เทมา’’ติ นคเร จรนฺตา อสีติโกฎิธนสฺส อปุตฺตกสฺส เสฎฺฐิสฺส ฆรทฺวารํ คนฺตฺวา เสฎฺฐิภริยาย เอเกน กหาปเณน อทํสุฯ สา ตํ สยเมว ผลเก ฐเปตฺวา ปิฎฺฐิโต ผาเลนฺตี มจฺฉกุจฺฉิยํ สุวณฺณวณฺณํ ทารกํ ทิสฺวา ‘‘มจฺฉกุจฺฉิยํ เม ปุโตฺต ลโทฺธ’’ติ นาทํ นทิตฺวา ทารกํ อาทาย สามิกํ อุปคจฺฉิฯ เสฎฺฐิ ตาวเทว เภริํ จราเปตฺวา ทารกํ อาทาย รโญฺญ สนฺติกํ อาเนตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘ปุญฺญวา ทารโก, โปเสหิ น’’นฺติ อาหฯ อิตรมฺปิ เสฎฺฐิกุลํ ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘อมฺหากํ ปุโตฺต’’ติ ตํ ทารกํ คณฺหิตุํ วิวทิฯ อุโภปิ ราชกุลํ อคมํสุฯ ราชา ‘‘ทฺวินฺนมฺปิ อปุตฺตกํ กาตุํ น สกฺกา, ทฺวินฺนมฺปิ ทายาโท โหตู’’ติ อาหฯ ตโต ปฎฺฐาย เทฺวปิ กุลานิ ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตานิ อเหสุํฯ ตสฺส ทฺวีหิ กุเลหิ วฑฺฒิตตฺตา ‘‘พากุลกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ ตสฺส วิญฺญุตํ ปตฺตสฺส ทฺวีสุปิ นคเรสุ ตโย ตโย ปาสาเท กาเรตฺวา นาฎกานิ ปจฺจุปฎฺฐเปสุํฯ เอเกกสฺมิํ นคเร จตฺตาโร จตฺตาโร มาเส วสิฯ ตหิํ เอกสฺมิํ นคเร จตฺตาโร มาเส วุฎฺฐสฺส สงฺฆาฎนาวาสุ มณฺฑปํ กาเรตฺวา ตตฺถ นํ นาฎเกหิ สทฺธิํ อาโรเปตฺวา มหาสมฺปตฺติํ อนุภวมานํ ทฺวีหิ มาเสหิ อิตรํ นครํ อุปฑฺฒปถํ เนนฺติฯ อิตรนครวาสิโน นาฎกาปิ ‘‘ทฺวีหิ มาเสหิ อุปฑฺฒปถํ อาคโต ภวิสฺสตี’’ติ ตเถว ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ทฺวีหิ มาเสหิ อตฺตโน นครํ อาเนนฺติฯ อิตรนาฎกา มเชฺฌ นิวตฺติตฺวา อตฺตโน นครเมว คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ จตฺตาโร มาเส วสิตฺวา เตเนว นิยาเมน ปุน อิตรนครํ คจฺฉติฯ เอวมสฺส สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตสฺส อสีติ วสฺสานิ ปริปุณฺณานิฯ
Āyasmatobākulassa ñāṇavipphārā iddhītiādīsu bākulatthero tāva dvīsu kulesu vaḍḍhitattā evaṃladdhanāmo pubbabuddhesu katādhikāro puññasampadāya sampanno thero. So hi mahāsampattiṃ anubhavamāno devamanussesu saṃsaranto amhākaṃ dasabalassa nibbattito puretarameva kosambiyaṃ seṭṭhikule nibbatti. Taṃ jātakāle maṅgalatthāya mahāparivārena yamunaṃ netvā saparivārā dhātī nimujjanummujjanavasena kīḷāpentī nhāpeti. Eko mahāmaccho ‘‘bhakkho me aya’’nti maññamāno mukhaṃ vivaritvā upagato. Dhātī dārakaṃ chaḍḍetvā palātā. Mahāmaccho taṃ gili. Puññavā satto sayanagabbhaṃ pavisitvā nipanno viya na kiñci dukkhaṃ pāpuṇi. Maccho dārakassa tejena tattakaṃ phālaṃ gilitvā viya dayhamāno vegena tiṃsayojanaṃ gantvā bārāṇasivāsino macchabandhassa jālaṃ pāvisi. So dārakassa tejena jālato nīhaṭamattova mato. Macchabandhā taṃ sakalameva antarakājena ādāya ‘‘sahassena demā’’ti nagare carantā asītikoṭidhanassa aputtakassa seṭṭhissa gharadvāraṃ gantvā seṭṭhibhariyāya ekena kahāpaṇena adaṃsu. Sā taṃ sayameva phalake ṭhapetvā piṭṭhito phālentī macchakucchiyaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ dārakaṃ disvā ‘‘macchakucchiyaṃ me putto laddho’’ti nādaṃ naditvā dārakaṃ ādāya sāmikaṃ upagacchi. Seṭṭhi tāvadeva bheriṃ carāpetvā dārakaṃ ādāya rañño santikaṃ ānetvā tamatthaṃ ārocesi. Rājā ‘‘puññavā dārako, posehi na’’nti āha. Itarampi seṭṭhikulaṃ taṃ pavattiṃ sutvā tattha gantvā ‘‘amhākaṃ putto’’ti taṃ dārakaṃ gaṇhituṃ vivadi. Ubhopi rājakulaṃ agamaṃsu. Rājā ‘‘dvinnampi aputtakaṃ kātuṃ na sakkā, dvinnampi dāyādo hotū’’ti āha. Tato paṭṭhāya dvepi kulāni lābhaggayasaggappattāni ahesuṃ. Tassa dvīhi kulehi vaḍḍhitattā ‘‘bākulakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. Tassa viññutaṃ pattassa dvīsupi nagaresu tayo tayo pāsāde kāretvā nāṭakāni paccupaṭṭhapesuṃ. Ekekasmiṃ nagare cattāro cattāro māse vasi. Tahiṃ ekasmiṃ nagare cattāro māse vuṭṭhassa saṅghāṭanāvāsu maṇḍapaṃ kāretvā tattha naṃ nāṭakehi saddhiṃ āropetvā mahāsampattiṃ anubhavamānaṃ dvīhi māsehi itaraṃ nagaraṃ upaḍḍhapathaṃ nenti. Itaranagaravāsino nāṭakāpi ‘‘dvīhi māsehi upaḍḍhapathaṃ āgato bhavissatī’’ti tatheva paccuggantvā dvīhi māsehi attano nagaraṃ ānenti. Itaranāṭakā majjhe nivattitvā attano nagarameva gacchanti. Tattha cattāro māse vasitvā teneva niyāmena puna itaranagaraṃ gacchati. Evamassa sampattiṃ anubhavantassa asīti vassāni paripuṇṇāni.
ตสฺมิํ สมเย อมฺหากํ โพธิสโตฺต สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา ปวตฺตวรธมฺมจโกฺก อนุกฺกเมน จาริกํ จรโนฺต โกสมฺพิํ ปาปุณิฯ ‘‘พาราณสิ’’นฺติ มชฺฌิมภาณกาฯ พากุลเสฎฺฐิปิ โข ‘‘ทสพโล อาคโต’’ติ สุตฺวา พหุํ คนฺธมาลํ อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมกถํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิฯ โส สตฺตาหเมว ปุถุชฺชโน หุตฺวา อฎฺฐเม อรุเณ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถสฺส ทฺวีสุ นคเรสุ ปริจิตมาตุคามา อตฺตโน กุลฆรานิ อาคนฺตฺวา ตเตฺถว วสมานา จีวรานิ กริตฺวา ปหิณิํสุฯ เถโร เอกํ อฑฺฒมาสํ โกสมฺพิวาสีหิ ปหิตํ จีวรํ ปริภุญฺชติ, เอกํ อฑฺฒมาสํ พาราณสิวาสีหีติ เอเตเนว นิยาเมน ทฺวีสุ นคเรสุ ยํ ยํ อุตฺตมํ, ตํ ตํ เถรเสฺสว อาหรียติฯ ปพฺพชิตสฺสาปิสฺส สุเขเนว อสีติ วสฺสานิ อคมํสุฯ อุภยตฺถาปิสฺส มุหุตฺตมตฺตมฺปิ อปฺปมตฺตโกปิ อาพาโธ น อุปฺปนฺนปุโพฺพฯ โส ปจฺฉิเม กาเล พากุลสุตฺตํ (ม. นิ. ๓.๒๐๙ อาทโย) กเถตฺวา ปรินิพฺพายีติ ฯ เอวํ มจฺฉกุจฺฉิยํ อโรคภาโว อายสฺมโต พากุลสฺส ปจฺฉิมภวิกสฺส เตน อตฺตภาเวน ปฎิลภิตพฺพอรหตฺตญาณานุภาเวน นิพฺพตฺตตฺตา ญาณวิปฺผารา อิทฺธิ นามฯ สุจริตกมฺมผลปฺปตฺตสฺส ปฎิสมฺภิทาญาณสฺส อานุภาเวนาติปิ วทนฺติฯ
Tasmiṃ samaye amhākaṃ bodhisatto sabbaññutaṃ pāpuṇitvā pavattavaradhammacakko anukkamena cārikaṃ caranto kosambiṃ pāpuṇi. ‘‘Bārāṇasi’’nti majjhimabhāṇakā. Bākulaseṭṭhipi kho ‘‘dasabalo āgato’’ti sutvā bahuṃ gandhamālaṃ ādāya satthu santikaṃ gantvā dhammakathaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbaji. So sattāhameva puthujjano hutvā aṭṭhame aruṇe saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Athassa dvīsu nagaresu paricitamātugāmā attano kulagharāni āgantvā tattheva vasamānā cīvarāni karitvā pahiṇiṃsu. Thero ekaṃ aḍḍhamāsaṃ kosambivāsīhi pahitaṃ cīvaraṃ paribhuñjati, ekaṃ aḍḍhamāsaṃ bārāṇasivāsīhīti eteneva niyāmena dvīsu nagaresu yaṃ yaṃ uttamaṃ, taṃ taṃ therasseva āharīyati. Pabbajitassāpissa sukheneva asīti vassāni agamaṃsu. Ubhayatthāpissa muhuttamattampi appamattakopi ābādho na uppannapubbo. So pacchime kāle bākulasuttaṃ (ma. ni. 3.209 ādayo) kathetvā parinibbāyīti . Evaṃ macchakucchiyaṃ arogabhāvo āyasmato bākulassa pacchimabhavikassa tena attabhāvena paṭilabhitabbaarahattañāṇānubhāvena nibbattattā ñāṇavipphārā iddhi nāma. Sucaritakammaphalappattassa paṭisambhidāñāṇassa ānubhāvenātipi vadanti.
สํกิจฺจเตฺถโรปิ (วิสุทฺธิ. ๒.๓๗๓) ปุเพฺพ กตปุโญฺญ ธมฺมเสนาปติเตฺถรสฺส อุปฎฺฐากสฺส สาวตฺถิยํ อฑฺฒกุลสฺส ธีตุ กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติฯ สา ตสฺมิํ กุจฺฉิคเต เอเกน พฺยาธินา ตํ ขณํเยว กาลมกาสิ, ตสฺสา สรีเร ฌาปิยมาเน ฐเปตฺวา คพฺภมํสํ เสสมํสํ ฌาปยิฯ อถสฺสา คพฺภมํสํ จิตกโต โอตาเรตฺวา ทฺวีสุ ตีสุ ฐาเนสุ สูเลหิ วิชฺฌิํสุฯ สูลโกฎิ ทารกสฺส อกฺขิโกฎิํ ผุสิฯ เอวํ คพฺภมํสํ วิชฺฌิตฺวา องฺคารราสิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา องฺคาเรเหว ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ คพฺภมํสํ ฌายิ, องฺคารมตฺถเก ปน สุวณฺณพิมฺพสทิโส ทารโก ปทุมคเพฺภ นิปโนฺน วิย อโหสิฯ ปจฺฉิมภวิกสตฺตสฺส หิ สิเนรุนา โอตฺถริยมานสฺสาปิ อรหตฺตํ อปฺปตฺวา ชีวิตกฺขโย นาม นตฺถิฯ ปุนทิวเส ‘‘จิตกํ นิพฺพาเปสฺสามา’’ติ อาคตา ตถา นิปนฺนํ ทารกํ ทิสฺวา อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา ทารกํ อาทาย นครํ คนฺตฺวา เนมิตฺตเก ปุจฺฉิํสุฯ เนมิตฺตกา ‘‘สเจ อยํ ทารโก อคารํ อชฺฌาวสิสฺสติ, ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา ญาตกา ทุคฺคตา ภวิสฺสนฺติฯ สเจ ปพฺพชิสฺสติ, ปญฺจหิ สมณสเตหิ ปริวุโต จริสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ อยฺยกา ตํ ทารกํ วเฑฺฒสิฯ ญาตกาปิ วฑฺฒิตกาเล ‘‘อมฺหากํ อยฺยสฺส สนฺติเก ปพฺพาเชสฺสามา’’ติ โปสยิํสุฯ โส สตฺตวสฺสิกกาเล ‘‘ตว กุจฺฉิยา วสนกาเล มาตา เต กาลมกาสิ, ตสฺสา สรีเร ฌาปิยมาเนปิ ตฺวํ น ฌายี’’ติ กุมารกานํ กถํ สุตฺวา ‘‘อหํ กิร เอวรูปา ภยา มุโตฺต, กิํ เม ฆราวาเสน ปพฺพชิสฺสามี’’ติ ญาตกานํ อาโรเจสิฯ เต ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติ ตํ ธมฺมเสนาปติเตฺถรสฺส สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมํ ปพฺพาเชถา’’ติ อทํสุฯ เถโร ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ ทตฺวา ปพฺพาเชสิฯ โส ขุรเคฺคเยว สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ปริปุณฺณวโสฺส จ อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา ทสวโสฺส หุตฺวา ปญฺจสตภิกฺขุปริวาโร วิจรีติฯ เอวํ วุตฺตนเยเนว ทารุจิตกาย อโรคภาโว อายสฺมโต สํกิจฺจสฺส ญาณวิปฺผารา อิทฺธิ นามฯ
Saṃkiccattheropi (visuddhi. 2.373) pubbe katapuñño dhammasenāpatittherassa upaṭṭhākassa sāvatthiyaṃ aḍḍhakulassa dhītu kucchismiṃ nibbatti. Sā tasmiṃ kucchigate ekena byādhinā taṃ khaṇaṃyeva kālamakāsi, tassā sarīre jhāpiyamāne ṭhapetvā gabbhamaṃsaṃ sesamaṃsaṃ jhāpayi. Athassā gabbhamaṃsaṃ citakato otāretvā dvīsu tīsu ṭhānesu sūlehi vijjhiṃsu. Sūlakoṭi dārakassa akkhikoṭiṃ phusi. Evaṃ gabbhamaṃsaṃ vijjhitvā aṅgārarāsimhi pakkhipitvā aṅgāreheva paṭicchādetvā pakkamiṃsu. Gabbhamaṃsaṃ jhāyi, aṅgāramatthake pana suvaṇṇabimbasadiso dārako padumagabbhe nipanno viya ahosi. Pacchimabhavikasattassa hi sinerunā otthariyamānassāpi arahattaṃ appatvā jīvitakkhayo nāma natthi. Punadivase ‘‘citakaṃ nibbāpessāmā’’ti āgatā tathā nipannaṃ dārakaṃ disvā acchariyabbhutacittajātā dārakaṃ ādāya nagaraṃ gantvā nemittake pucchiṃsu. Nemittakā ‘‘sace ayaṃ dārako agāraṃ ajjhāvasissati, yāva sattamā kulaparivaṭṭā ñātakā duggatā bhavissanti. Sace pabbajissati, pañcahi samaṇasatehi parivuto carissatī’’ti āhaṃsu. Ayyakā taṃ dārakaṃ vaḍḍhesi. Ñātakāpi vaḍḍhitakāle ‘‘amhākaṃ ayyassa santike pabbājessāmā’’ti posayiṃsu. So sattavassikakāle ‘‘tava kucchiyā vasanakāle mātā te kālamakāsi, tassā sarīre jhāpiyamānepi tvaṃ na jhāyī’’ti kumārakānaṃ kathaṃ sutvā ‘‘ahaṃ kira evarūpā bhayā mutto, kiṃ me gharāvāsena pabbajissāmī’’ti ñātakānaṃ ārocesi. Te ‘‘sādhu, tātā’’ti taṃ dhammasenāpatittherassa santikaṃ netvā ‘‘bhante, imaṃ pabbājethā’’ti adaṃsu. Thero tacapañcakakammaṭṭhānaṃ datvā pabbājesi. So khuraggeyeva saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Paripuṇṇavasso ca upasampadaṃ labhitvā dasavasso hutvā pañcasatabhikkhuparivāro vicarīti. Evaṃ vuttanayeneva dārucitakāya arogabhāvo āyasmato saṃkiccassa ñāṇavipphārā iddhi nāma.
ภูตปาลเตฺถโรปิ (วิสุทฺธิ. ๒.๓๗๓) ปุพฺพเหตุสมฺปโนฺนฯ ตสฺส ปิตา ราชคเห ทลิทฺทมนุโสฺสฯ โส ตํ ทารกํ คเหตฺวา ทารูนํ อตฺถาย สกเฎน อฎวิํ คนฺตฺวา ทารุภารํ กตฺวา สายํ นครทฺวารสมีปํ ปโตฺตฯ อถสฺส โคณา ยุคํ โอสฺสชิตฺวา นครํ ปวิสิํสุฯ โส สกฎมูเล ปุตฺตกํ นิสีทาเปตฺวา โคณานํ อนุปทํ คจฺฉโนฺต นครเมว ปาวิสิฯ ตสฺส อนิกฺขนฺตเสฺสว ทฺวารํ ปิทหิฯ ทารโก สกลรตฺติํ สกฎสฺส เหฎฺฐา นิปชฺชิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ ราชคหํ ปกติยาปิ อมนุสฺสพหุลํ, อิทํ ปน สุสานสมีปฎฺฐานํฯ น จ โกจิ ยโกฺข ตสฺส ปจฺฉิมภวิกสฺส ทารกสฺส อุปทฺทวํ กาตุมสกฺขิฯ โส อปเรน สมเยน ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิตฺวา ภูตปาลเตฺถโร นาม อโหสีติฯ เอวํ วาฬยกฺขานุจริเตปิ ปเทเส วุตฺตนเยเนว อโรคภาโว อายสฺมโต ภูตปาลสฺส ญาณวิปฺผารา อิทฺธิ นามฯ
Bhūtapālattheropi (visuddhi. 2.373) pubbahetusampanno. Tassa pitā rājagahe daliddamanusso. So taṃ dārakaṃ gahetvā dārūnaṃ atthāya sakaṭena aṭaviṃ gantvā dārubhāraṃ katvā sāyaṃ nagaradvārasamīpaṃ patto. Athassa goṇā yugaṃ ossajitvā nagaraṃ pavisiṃsu. So sakaṭamūle puttakaṃ nisīdāpetvā goṇānaṃ anupadaṃ gacchanto nagarameva pāvisi. Tassa anikkhantasseva dvāraṃ pidahi. Dārako sakalarattiṃ sakaṭassa heṭṭhā nipajjitvā niddaṃ okkami. Rājagahaṃ pakatiyāpi amanussabahulaṃ, idaṃ pana susānasamīpaṭṭhānaṃ. Na ca koci yakkho tassa pacchimabhavikassa dārakassa upaddavaṃ kātumasakkhi. So aparena samayena pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇitvā bhūtapālatthero nāma ahosīti. Evaṃ vāḷayakkhānucaritepi padese vuttanayeneva arogabhāvo āyasmato bhūtapālassa ñāṇavipphārā iddhi nāma.
๑๖. สมาธิวิปฺผาริทฺธินิเทฺทเส อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส สมาธิวิปฺผารา อิทฺธีติอาทีสุ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส มหาโมคฺคลฺลานเตฺถเรน สทฺธิํ กโปตกนฺทรายํ วิหรโต ชุณฺหาย รตฺติยา นโวโรปิเตหิ เกเสหิ อโชฺฌกาเส นิสินฺนสฺส เอโก ทุฎฺฐยโกฺข สหายเกน ยเกฺขน วาริยมาโนปิ สีเส ปหารํ อทาสิฯ ยสฺส เมฆสฺส วิย คชฺชโต สโทฺท อโหสิ, เถโร ตสฺส ปหรณสมเย สมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสิโนฺน โหติฯ อถสฺส เตน ปหาเรน น โกจิ อาพาโธ อโหสิฯ อยํ ตสฺส อายสฺมโต สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิฯ ยถาห –
16. Samādhivipphāriddhiniddese āyasmato sāriputtassa samādhivipphārā iddhītiādīsu āyasmato sāriputtassa mahāmoggallānattherena saddhiṃ kapotakandarāyaṃ viharato juṇhāya rattiyā navoropitehi kesehi ajjhokāse nisinnassa eko duṭṭhayakkho sahāyakena yakkhena vāriyamānopi sīse pahāraṃ adāsi. Yassa meghassa viya gajjato saddo ahosi, thero tassa paharaṇasamaye samāpattiṃ appetvā nisinno hoti. Athassa tena pahārena na koci ābādho ahosi. Ayaṃ tassa āyasmato samādhivipphārā iddhi. Yathāha –
‘‘เอวํ เม สุตํ (อุทา. ๓๔) – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา จ สาริปุโตฺต อายสฺมา จ มหาโมคฺคลฺลาโน กโปตกนฺทรายํ วิหรนฺติฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา สาริปุโตฺต ชุณฺหาย รตฺติยา นโวโรปิเตหิ เกเสหิ อโพฺภกาเส นิสิโนฺน โหติ อญฺญตรํ สมาธิํ สมาปชฺชิตฺวาฯ
‘‘Evaṃ me sutaṃ (udā. 34) – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena āyasmā ca sāriputto āyasmā ca mahāmoggallāno kapotakandarāyaṃ viharanti. Tena kho pana samayena āyasmā sāriputto juṇhāya rattiyā navoropitehi kesehi abbhokāse nisinno hoti aññataraṃ samādhiṃ samāpajjitvā.
‘‘เตน โข ปน สมเยน เทฺว ยกฺขา สหายกา อุตฺตราย ทิสาย ทกฺขิณํ ทิสํ คจฺฉนฺติ เกนจิเทว กรณีเยนฯ อทฺทสํสุ โข เต ยกฺขา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ชุณฺหาย รตฺติยา นโวโรปิเตหิ เกเสหิ อโพฺภกาเส นิสินฺนํ, ทิสฺวาน เอโก ยโกฺข ทุติยํ ยกฺขํ เอตทโวจ – ‘ปฎิภาติ มํ, สมฺม, อิมสฺส สมณสฺส สีเส ปหารํ ทาตุ’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต โส ยโกฺข ตํ ยกฺขํ เอตทโวจ – ‘อลํ, สมฺม, มา สมณํ อาสาเทสิ, อุฬาโร โส, สมฺม, สมโณ มหิทฺธิโก มหานุภาโว’ติฯ
‘‘Tena kho pana samayena dve yakkhā sahāyakā uttarāya disāya dakkhiṇaṃ disaṃ gacchanti kenacideva karaṇīyena. Addasaṃsu kho te yakkhā āyasmantaṃ sāriputtaṃ juṇhāya rattiyā navoropitehi kesehi abbhokāse nisinnaṃ, disvāna eko yakkho dutiyaṃ yakkhaṃ etadavoca – ‘paṭibhāti maṃ, samma, imassa samaṇassa sīse pahāraṃ dātu’nti. Evaṃ vutte so yakkho taṃ yakkhaṃ etadavoca – ‘alaṃ, samma, mā samaṇaṃ āsādesi, uḷāro so, samma, samaṇo mahiddhiko mahānubhāvo’ti.
‘‘ทุติยมฺปิ โข…เป.… ตติยมฺปิ โข โส ยโกฺข ตํ ยกฺขํ เอตทโวจ – ‘ปฎิภาติ มํ, สมฺม, อิมสฺส สมณสฺส สีเส ปหารํ ทาตุ’นฺติฯ ตติยมฺปิ โข โส ยโกฺข ตํ ยกฺขํ เอตทโวจ – ‘อลํ, สมฺม, มา สมณํ อาสาเทสิ, อุฬาโร โส, สมฺม, สมโณ มหิทฺธิโก มหานุภาโว’ติฯ
‘‘Dutiyampi kho…pe… tatiyampi kho so yakkho taṃ yakkhaṃ etadavoca – ‘paṭibhāti maṃ, samma, imassa samaṇassa sīse pahāraṃ dātu’nti. Tatiyampi kho so yakkho taṃ yakkhaṃ etadavoca – ‘alaṃ, samma, mā samaṇaṃ āsādesi, uḷāro so, samma, samaṇo mahiddhiko mahānubhāvo’ti.
‘‘อถ โข โส ยโกฺข ตํ ยกฺขํ อนาทิยิตฺวา อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส สีเส ปหารํ อทาสิฯ ตาว มหาปหาโร อโหสิ, อปิ เตน ปหาเรน สตฺตรตนํ วา อฑฺฒฎฺฐมรตนํ วา นาคํ โอสาเรยฺย, มหนฺตํ วา ปพฺพตกูฎํ ปทาเลยฺยฯ อถ จ ปน โส ยโกฺข ‘ทยฺหามิ ทยฺหามี’ติ ตเตฺถว มหานิรยํ อปตาสิฯ
‘‘Atha kho so yakkho taṃ yakkhaṃ anādiyitvā āyasmato sāriputtassa sīse pahāraṃ adāsi. Tāva mahāpahāro ahosi, api tena pahārena sattaratanaṃ vā aḍḍhaṭṭhamaratanaṃ vā nāgaṃ osāreyya, mahantaṃ vā pabbatakūṭaṃ padāleyya. Atha ca pana so yakkho ‘dayhāmi dayhāmī’ti tattheva mahānirayaṃ apatāsi.
‘‘อทฺทสา โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน เตน ยเกฺขน อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส สีเส ปหารํ ทียมานํ, ทิสฺวา เยน อายสฺมา สาริปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘กจฺจิ เต, อาวุโส สาริปุตฺต, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ น กิญฺจิ ทุกฺข’นฺติฯ ‘ขมนียํ เม, อาวุโส โมคฺคลฺลาน, ยาปนียํ เม, อาวุโส โมคฺคลฺลาน, อปิ จ เม สีสํ โถกํ ทุกฺข’นฺติฯ
‘‘Addasā kho āyasmā mahāmoggallāno dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena tena yakkhena āyasmato sāriputtassa sīse pahāraṃ dīyamānaṃ, disvā yena āyasmā sāriputto tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘kacci te, āvuso sāriputta, khamanīyaṃ, kacci yāpanīyaṃ, kacci na kiñci dukkha’nti. ‘Khamanīyaṃ me, āvuso moggallāna, yāpanīyaṃ me, āvuso moggallāna, api ca me sīsaṃ thokaṃ dukkha’nti.
‘‘อจฺฉริยํ, อาวุโส สาริปุตฺต, อพฺภุตํ, อาวุโส สาริปุตฺต, ยาว มหิทฺธิโก อายสฺมา สาริปุโตฺต มหานุภาโวฯ อิธ เต, อาวุโส สาริปุตฺต, อญฺญตโร ยโกฺข สีเส ปหารํ อทาสิฯ ตาว มหา ปหาโร อโหสิ, อปิ เตน ปหาเรน สตฺตรตนํ วา อฑฺฒฎฺฐมรตนํ วา นาคํ โอสาเรยฺย, มหนฺตํ วา ปพฺพตกูฎํ ปทาเลยฺยฯ อถ จ ปนายสฺมา สาริปุโตฺต เอวมาห – ‘ขมนียํ เม, อาวุโส โมคฺคลฺลาน, ยาปนียํ เม, อาวุโส โมคฺคลฺลาน, อปิ จ เม สีสํ โถกํ ทุกฺข’นฺติฯ
‘‘Acchariyaṃ, āvuso sāriputta, abbhutaṃ, āvuso sāriputta, yāva mahiddhiko āyasmā sāriputto mahānubhāvo. Idha te, āvuso sāriputta, aññataro yakkho sīse pahāraṃ adāsi. Tāva mahā pahāro ahosi, api tena pahārena sattaratanaṃ vā aḍḍhaṭṭhamaratanaṃ vā nāgaṃ osāreyya, mahantaṃ vā pabbatakūṭaṃ padāleyya. Atha ca panāyasmā sāriputto evamāha – ‘khamanīyaṃ me, āvuso moggallāna, yāpanīyaṃ me, āvuso moggallāna, api ca me sīsaṃ thokaṃ dukkha’nti.
‘‘อจฺฉริยํ, อาวุโส โมคฺคลฺลาน, อพฺภุตํ, อาวุโส โมคฺคลฺลาน, ยาว มหิทฺธิโก อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน มหานุภาโว, ยตฺร หิ นาม ยกฺขมฺปิ ปสฺสิสฺสติ, มยํ ปเนตรหิ ปํสุปิสาจกมฺปิ น ปสฺสามาติฯ
‘‘Acchariyaṃ, āvuso moggallāna, abbhutaṃ, āvuso moggallāna, yāva mahiddhiko āyasmā mahāmoggallāno mahānubhāvo, yatra hi nāma yakkhampi passissati, mayaṃ panetarahi paṃsupisācakampi na passāmāti.
‘‘อโสฺสสิ โข ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย เตสํ อุภินฺนํ มหานาคานํ อิมํ เอวรูปํ กถาสลฺลาปํฯ
‘‘Assosi kho bhagavā dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya tesaṃ ubhinnaṃ mahānāgānaṃ imaṃ evarūpaṃ kathāsallāpaṃ.
อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –
Atha kho bhagavā etamatthaṃ viditvā tāyaṃ velāyaṃ imaṃ udānaṃ udānesi –
‘‘ยสฺส เสลูปมํ จิตฺตํ, ฐิตํ นานุปกมฺปติ;
‘‘Yassa selūpamaṃ cittaṃ, ṭhitaṃ nānupakampati;
วิรตฺตํ รชนีเยสุ, โกปนีเย น กุปฺปติ;
Virattaṃ rajanīyesu, kopanīye na kuppati;
ยเสฺสวํ ภาวิตํ จิตฺตํ, กุโต ตํ ทุกฺขเมสฺสตี’’ติฯ (อุทา. ๓๔);
Yassevaṃ bhāvitaṃ cittaṃ, kuto taṃ dukkhamessatī’’ti. (udā. 34);
เอตฺถ จ ‘‘กุโต ตํ ทุกฺขเมสฺสตี’’ติ ภควตา วุตฺตวจเนน ‘‘เตน ปหาเรน น โกจิ อาพาโธ อโหสี’’ติ อฎฺฐกถาวจนํ อติวิย สเมติฯ ตสฺมา ‘‘อปิจ เม สีสํ โถกํ ทุกฺข’’นฺติ วจเนน ทุกฺขเวทนา น โหติ, สีสสฺส ปน อกมฺมญฺญภาวํ สนฺธาย ‘‘ทุกฺข’’นฺติ วุตฺตํฯ โลเกปิ หิ อกิเจฺฉน ปริหริตุํ สกฺกุเณโยฺย สุขสีโล, กิเจฺฉน ปริหริตุํ สกฺกุเณโยฺย ทุกฺขสีโลติ วุจฺจติฯ ตมฺปิ โข อกมฺมญฺญตํ สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสมยตฺตา อโหสีติ เวทิตโพฺพฯ สมาปตฺติอปฺปิตสมเย หิ ตมฺปิ น ภเวยฺยาติฯ ‘‘เอตรหิ ปํสุปิสาจกมฺปิ น ปสฺสามา’’ติ ทฎฺฐุํ อสมตฺถตาย น วุตฺตํ, อภิญฺญาสุ พฺยาปาราภาเวน วุตฺตํฯ เถโร กิร ‘‘ปจฺฉิมา ชนตา โปถุชฺชนิกาย อิทฺธิยา สารสญฺญา มาเหสุ’’นฺติ ปจฺฉิมํ ชนตํ อนุกมฺปมาโน เยภุเยฺยน อิทฺธิํ น วลเญฺชสิฯ เถรคาถาย จ –
Ettha ca ‘‘kuto taṃ dukkhamessatī’’ti bhagavatā vuttavacanena ‘‘tena pahārena na koci ābādho ahosī’’ti aṭṭhakathāvacanaṃ ativiya sameti. Tasmā ‘‘apica me sīsaṃ thokaṃ dukkha’’nti vacanena dukkhavedanā na hoti, sīsassa pana akammaññabhāvaṃ sandhāya ‘‘dukkha’’nti vuttaṃ. Lokepi hi akicchena pariharituṃ sakkuṇeyyo sukhasīlo, kicchena pariharituṃ sakkuṇeyyo dukkhasīloti vuccati. Tampi kho akammaññataṃ samāpattito vuṭṭhitasamayattā ahosīti veditabbo. Samāpattiappitasamaye hi tampi na bhaveyyāti. ‘‘Etarahi paṃsupisācakampi na passāmā’’ti daṭṭhuṃ asamatthatāya na vuttaṃ, abhiññāsu byāpārābhāvena vuttaṃ. Thero kira ‘‘pacchimā janatā pothujjanikāya iddhiyā sārasaññā māhesu’’nti pacchimaṃ janataṃ anukampamāno yebhuyyena iddhiṃ na valañjesi. Theragāthāya ca –
‘‘เนว ปุเพฺพนิวาสาย, นปิ ทิพฺพสฺส จกฺขุโน;
‘‘Neva pubbenivāsāya, napi dibbassa cakkhuno;
เจโตปริยาย อิทฺธิยา, จุติยา อุปปตฺติยา;
Cetopariyāya iddhiyā, cutiyā upapattiyā;
โสตธาตุวิสุทฺธิยา, ปณิธิ เม น วิชฺชตี’’ติฯ (เถรคา. ๙๙๖) –
Sotadhātuvisuddhiyā, paṇidhi me na vijjatī’’ti. (theragā. 996) –
เถเรน สยเมว อภิญฺญาสุ ปตฺถนาภาโว วุโตฺตฯ เถโร ปน สตฺตสฎฺฐิยา สาวกปารมีญาเณสุ ปารมิปฺปโตฺตติฯ
Therena sayameva abhiññāsu patthanābhāvo vutto. Thero pana sattasaṭṭhiyā sāvakapāramīñāṇesu pāramippattoti.
สญฺชีวเตฺถรํ ปน กกุสนฺธสฺส ภควโต ทุติยอคฺคสาวกํ นิโรธสมาปนฺนํ ‘‘กาลงฺกโต’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา โคปาลกาทโย ติณกฎฺฐาทีนิ สํกฑฺฒิตฺวา อคฺคิํ อทํสุฯ เถรสฺส จีวเร อํสุมตฺตมฺปิ น ฌายิตฺถฯ อยมสฺสายสฺมโต อนุปุพฺพสมาปตฺติวเสน ปวตฺตสมถานุภาวนิพฺพตฺตตฺตา สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิฯ ยถาห –
Sañjīvattheraṃ pana kakusandhassa bhagavato dutiyaaggasāvakaṃ nirodhasamāpannaṃ ‘‘kālaṅkato’’ti sallakkhetvā gopālakādayo tiṇakaṭṭhādīni saṃkaḍḍhitvā aggiṃ adaṃsu. Therassa cīvare aṃsumattampi na jhāyittha. Ayamassāyasmato anupubbasamāpattivasena pavattasamathānubhāvanibbattattā samādhivipphārā iddhi. Yathāha –
‘‘เตน โข ปน, ปาปิม, สมเยน กกุสโนฺธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน โหติฯ กกุสนฺธสฺส โข ปน, ปาปิม, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วิธุรสญฺชีวํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ ยาวตา ปน, ปาปิม, กกุสนฺธสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาวกาฯ เตสุ น จ โกจิ อายสฺมตา วิธุเรน สมสโม โหติ ยทิทํ ธมฺมเทสนายฯ อิมินา โข เอตํ, ปาปิม, ปริยาเยน อายสฺมโต วิธุรสฺส วิธุโรเตว สมญฺญา อุทปาทิฯ อายสฺมา ปน, ปาปิม, สญฺชีโว อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อปฺปกสิเรเนว สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปชฺชติฯ
‘‘Tena kho pana, pāpima, samayena kakusandho bhagavā arahaṃ sammāsambuddho loke uppanno hoti. Kakusandhassa kho pana, pāpima, bhagavato arahato sammāsambuddhassa vidhurasañjīvaṃ nāma sāvakayugaṃ ahosi aggaṃ bhaddayugaṃ. Yāvatā pana, pāpima, kakusandhassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa sāvakā. Tesu na ca koci āyasmatā vidhurena samasamo hoti yadidaṃ dhammadesanāya. Iminā kho etaṃ, pāpima, pariyāyena āyasmato vidhurassa vidhuroteva samaññā udapādi. Āyasmā pana, pāpima, sañjīvo araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi appakasireneva saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjati.
‘‘ภูตปุพฺพํ, ปาปิม, อายสฺมา สญฺชีโว อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปโนฺน นิสิโนฺน โหติฯ อทฺทสํสุ โข, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน อายสฺมนฺตํ สญฺชีวํ อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปนฺนํ, ทิสฺวาน เตสํ เอตทโหสิ – ‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, อยํ สมโณ นิสินฺนโก กาลงฺกโต, หนฺท นํ ทหามา’ติฯ
‘‘Bhūtapubbaṃ, pāpima, āyasmā sañjīvo aññatarasmiṃ rukkhamūle saññāvedayitanirodhaṃ samāpanno nisinno hoti. Addasaṃsu kho, pāpima, gopālakā pasupālakā kassakā pathāvino āyasmantaṃ sañjīvaṃ aññatarasmiṃ rukkhamūle saññāvedayitanirodhaṃ samāpannaṃ, disvāna tesaṃ etadahosi – ‘acchariyaṃ vata bho, abbhutaṃ vata bho, ayaṃ samaṇo nisinnako kālaṅkato, handa naṃ dahāmā’ti.
‘‘อถ โข เต, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน ติณญฺจ กฎฺฐญฺจ โคมยญฺจ สํกฑฺฒิตฺวา อายสฺมโต สญฺชีวสฺส กาเย อุปจินิตฺวา อคฺคิํ ทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ อถ โข, ปาปิม, อายสฺมา สญฺชีโว ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ตาย สมาปตฺติยา วุฎฺฐหิตฺวา จีวรานิ ปโปฺผเฎตฺวา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อทฺทสํสุ โข เต, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน อายสฺมนฺตํ สญฺชีวํ ปิณฺฑาย จรนฺตํ, ทิสฺวาน เนสํ เอตทโหสิ – ‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, อยํ สมโณ นิสินฺนโกว กาลงฺกโต, สฺวายํ ปฎิสญฺชีวิโต’ติฯ อิมินา โข เอวํ, ปาปิม, ปริยาเยน อายสฺมโต สญฺชีวสฺส สญฺชีโวเตว สมญฺญา อุทปาที’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๐๗)ฯ
‘‘Atha kho te, pāpima, gopālakā pasupālakā kassakā pathāvino tiṇañca kaṭṭhañca gomayañca saṃkaḍḍhitvā āyasmato sañjīvassa kāye upacinitvā aggiṃ datvā pakkamiṃsu. Atha kho, pāpima, āyasmā sañjīvo tassā rattiyā accayena tāya samāpattiyā vuṭṭhahitvā cīvarāni papphoṭetvā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya gāmaṃ piṇḍāya pāvisi. Addasaṃsu kho te, pāpima, gopālakā pasupālakā kassakā pathāvino āyasmantaṃ sañjīvaṃ piṇḍāya carantaṃ, disvāna nesaṃ etadahosi – ‘acchariyaṃ vata bho, abbhutaṃ vata bho, ayaṃ samaṇo nisinnakova kālaṅkato, svāyaṃ paṭisañjīvito’ti. Iminā kho evaṃ, pāpima, pariyāyena āyasmato sañjīvassa sañjīvoteva samaññā udapādī’’ti (ma. ni. 1.507).
ขาณุโกณฺฑญฺญเตฺถโร ปน ปกติยาว สมาปตฺติพหุโล, โส อญฺญตรสฺมิํ อรเญฺญ รตฺติํ สมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทิ, ปญฺจสตา โจรา ภณฺฑกํ เถเนตฺวา คจฺฉนฺตา ‘‘อิทานิ อมฺหากํ อนุปทํ คจฺฉนฺตา นตฺถี’’ติ วิสฺสมิตุกามา ภณฺฑกํ โอโรปยมานา ‘‘ขาณุโก อย’’นฺติ มญฺญมานา เถรเสฺสว อุปริ สพฺพภณฺฑกานิ ฐเปสุํฯ เตสํ วิสฺสมิตฺวา คจฺฉนฺตานํ ปฐมํ ฐปิตภณฺฑกสฺส คหณกาเล กาลปริเจฺฉทวเสน เถโร วุฎฺฐาสิฯ เต เถรสฺส จลนาการํ ทิสฺวา ภีตา วิรวิํสุฯ เถโร ‘‘มา ภายถ, อุปาสกา, ภิกฺขุ อห’’นฺติ อาหฯ เต อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เถรคเตน ปสาเทน ปพฺพชิตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ ตโต ปภุติ จ เถโร ขาณุโกณฺฑญฺญเตฺถโร นาม อโหสิฯ อยเมตฺถ ปญฺจหิ ภณฺฑกสเตหิ อโชฺฌตฺถฎสฺส ตสฺสายสฺมโต อาพาธาภาโว สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิฯ
Khāṇukoṇḍaññatthero pana pakatiyāva samāpattibahulo, so aññatarasmiṃ araññe rattiṃ samāpattiṃ appetvā nisīdi, pañcasatā corā bhaṇḍakaṃ thenetvā gacchantā ‘‘idāni amhākaṃ anupadaṃ gacchantā natthī’’ti vissamitukāmā bhaṇḍakaṃ oropayamānā ‘‘khāṇuko aya’’nti maññamānā therasseva upari sabbabhaṇḍakāni ṭhapesuṃ. Tesaṃ vissamitvā gacchantānaṃ paṭhamaṃ ṭhapitabhaṇḍakassa gahaṇakāle kālaparicchedavasena thero vuṭṭhāsi. Te therassa calanākāraṃ disvā bhītā viraviṃsu. Thero ‘‘mā bhāyatha, upāsakā, bhikkhu aha’’nti āha. Te āgantvā vanditvā theragatena pasādena pabbajitvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Tato pabhuti ca thero khāṇukoṇḍaññatthero nāma ahosi. Ayamettha pañcahi bhaṇḍakasatehi ajjhotthaṭassa tassāyasmato ābādhābhāvo samādhivipphārā iddhi.
อุตฺตรา (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๖๒) ปน อุปาสิกา ราชคเห มหาธนสฺส ปุณฺณสฺส เสฎฺฐิโน ธีตา, กุมาริกกาเลเยว สทฺธิํ มาตาปิตูหิ โสตาปตฺติผลํ ปตฺตา, สา วยปฺปตฺตา ราชคหเสฎฺฐิโน มหตา นิพเนฺธน ตสฺส ปุตฺตสฺส มิจฺฉาทิฎฺฐิกสฺส ทินฺนาฯ สา พุทฺธทสฺสนาย ธมฺมสฺสวนาย พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานญฺจ ทาตุํ ธมฺมญฺจ โสตุํ โอกาสํ อลภมานา อุปทฺทุตา หุตฺวา ตสฺมิํเยว นคเร สิริมํ นาม คณิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา โอกาสกรณตฺถเมว ปิตุ ฆราว อานีตานิ ปญฺจทสกหาปณสหสฺสานิ ตสฺสา ทตฺวา ‘‘อิเม กหาปเณ คเหตฺวา อิมํ อฑฺฒมาสํ เสฎฺฐิปุตฺตํ ปริจราหี’’ติ ตํ สามิกสฺส อเปฺปตฺวา สยํ อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย ‘‘อิมํ อฑฺฒมาสํ พุทฺธทสฺสนาทีนิ ลภิสฺสามี’’ติ ตุฎฺฐมานสา ยาว ปวารณาย พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมนฺตาเปตฺวา อฑฺฒมาสํ มหาทานํ อทาสิ, ปจฺฉาภตฺตํ มหานเส ขชฺชโภชฺชาทีนิ สํวิทหาเปติฯ ตสฺสา สามิโก ‘‘เสฺว ปวารณา’’ติ สิริมาย สห วาตปาเน ฐตฺวา พหิ โอโลเกโนฺต ตํ ตถาวิจรนฺติํ เสทกิลินฺนํ ฉาริกาย โอกิณฺณํ องฺคารมสิมกฺขิตํ ทิสฺวา ‘‘อตฺตโน สมฺปตฺติํ อภุญฺชิตฺวา กุสลํ นาม กโรติ พาลา’’ติ หสิฯ อุตฺตราปิ ตํ โอโลเกตฺวา ‘‘สมฺปรายตฺถํ กุสลํ น กโรติ พาโล’’ติ หสิฯ
Uttarā (a. ni. aṭṭha. 1.1.262) pana upāsikā rājagahe mahādhanassa puṇṇassa seṭṭhino dhītā, kumārikakāleyeva saddhiṃ mātāpitūhi sotāpattiphalaṃ pattā, sā vayappattā rājagahaseṭṭhino mahatā nibandhena tassa puttassa micchādiṭṭhikassa dinnā. Sā buddhadassanāya dhammassavanāya buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānañca dātuṃ dhammañca sotuṃ okāsaṃ alabhamānā upaddutā hutvā tasmiṃyeva nagare sirimaṃ nāma gaṇikaṃ pakkosāpetvā okāsakaraṇatthameva pitu gharāva ānītāni pañcadasakahāpaṇasahassāni tassā datvā ‘‘ime kahāpaṇe gahetvā imaṃ aḍḍhamāsaṃ seṭṭhiputtaṃ paricarāhī’’ti taṃ sāmikassa appetvā sayaṃ uposathaṅgāni adhiṭṭhāya ‘‘imaṃ aḍḍhamāsaṃ buddhadassanādīni labhissāmī’’ti tuṭṭhamānasā yāva pavāraṇāya buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantāpetvā aḍḍhamāsaṃ mahādānaṃ adāsi, pacchābhattaṃ mahānase khajjabhojjādīni saṃvidahāpeti. Tassā sāmiko ‘‘sve pavāraṇā’’ti sirimāya saha vātapāne ṭhatvā bahi olokento taṃ tathāvicarantiṃ sedakilinnaṃ chārikāya okiṇṇaṃ aṅgāramasimakkhitaṃ disvā ‘‘attano sampattiṃ abhuñjitvā kusalaṃ nāma karoti bālā’’ti hasi. Uttarāpi taṃ oloketvā ‘‘samparāyatthaṃ kusalaṃ na karoti bālo’’ti hasi.
สิริมา อุภินฺนมฺปิ ตํ กิริยํ ทิสฺวา ‘‘อหํ ฆรสามินี’’ติ มญฺญมานา อิสฺสาปกตา อุตฺตราย กุชฺฌิตฺวา ‘‘ทุกฺขํ อุปฺปาเทสฺสามี’’ติ ปาสาทา โอตรติฯ อุตฺตรา ตํ ญตฺวา ปีฐเก นิสีทิตฺวา ตํ เมเตฺตน จิเตฺตน ผริฯ สิริมา ปาสาทา โอรุยฺห มหานสํ ปวิสิตฺวา ปูวปจนโต อุฬุงฺกปูรํ ปกฺกุถิตํ สปฺปิํ คเหตฺวา ตสฺสา มตฺถเก โอกิริฯ ตํ ปทุมินิปเณฺณ สีตูทกํ วิย วินิวเฎฺฎตฺวา อคมาสิฯ ทาสิโย สิริมํ หเตฺถหิ ปาเทหิ โปเถตฺวา ภูมิยํ ปาเตสุํฯ อุตฺตรา เมตฺตาฌานโต วุฎฺฐาย ทาสิโย วาเรสิฯ สิริมา อุตฺตรํ ขมาเปสิฯ อุตฺตรา ‘‘เสฺว สตฺถุ ปุรโต ขมาเปหี’’ติ วตฺวา ตาย กายเวยฺยาวฎิกํ ยาจิตาย พฺยญฺชนสมฺปาทนํ อาจิกฺขิฯ สา ตํ สมฺปาเทตฺวา อตฺตโน ปริวารา ปญฺจสตา คณิกาโย สสงฺฆํ สตฺถารํ ปริวิสิตฺวา ‘‘ขมาปนสหายิกา โหถา’’ติ วตฺวา ปุนทิวเส ตถา ตาหิ คณิกาหิ สทฺธิํ สตฺถุ ภตฺตกิจฺจาวสาเน สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘อหํ ภควา อุตฺตราย อปรชฺฌิํ, ขมตุ เม อุตฺตรา’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘ขม, อุตฺตเร’’ติ วตฺวา ‘‘ขมามิ, ภควา’’ติ วุเตฺต ‘‘อโกฺกเธน ชิเน โกธ’’นฺติอาทิกํ (ธ. ป. ๒๒๓) ธมฺมํ เทเสสิฯ อุตฺตรา ปุเรตรเมว สามิกญฺจ สสฺสุสสุเร จ สตฺถุ สนฺติเก อุปเนสิฯ เทสนาวสาเน เต จ ตโย ชนา, สพฺพา จ คณิกาโย โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสูติฯ เอวํ อุตฺตราย อุปาสิกาย ปกฺกุถิตสปฺปินา ปีฬาภาโว สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิฯ
Sirimā ubhinnampi taṃ kiriyaṃ disvā ‘‘ahaṃ gharasāminī’’ti maññamānā issāpakatā uttarāya kujjhitvā ‘‘dukkhaṃ uppādessāmī’’ti pāsādā otarati. Uttarā taṃ ñatvā pīṭhake nisīditvā taṃ mettena cittena phari. Sirimā pāsādā oruyha mahānasaṃ pavisitvā pūvapacanato uḷuṅkapūraṃ pakkuthitaṃ sappiṃ gahetvā tassā matthake okiri. Taṃ paduminipaṇṇe sītūdakaṃ viya vinivaṭṭetvā agamāsi. Dāsiyo sirimaṃ hatthehi pādehi pothetvā bhūmiyaṃ pātesuṃ. Uttarā mettājhānato vuṭṭhāya dāsiyo vāresi. Sirimā uttaraṃ khamāpesi. Uttarā ‘‘sve satthu purato khamāpehī’’ti vatvā tāya kāyaveyyāvaṭikaṃ yācitāya byañjanasampādanaṃ ācikkhi. Sā taṃ sampādetvā attano parivārā pañcasatā gaṇikāyo sasaṅghaṃ satthāraṃ parivisitvā ‘‘khamāpanasahāyikā hothā’’ti vatvā punadivase tathā tāhi gaṇikāhi saddhiṃ satthu bhattakiccāvasāne satthāraṃ vanditvā ‘‘ahaṃ bhagavā uttarāya aparajjhiṃ, khamatu me uttarā’’ti āha. Satthā ‘‘khama, uttare’’ti vatvā ‘‘khamāmi, bhagavā’’ti vutte ‘‘akkodhena jine kodha’’ntiādikaṃ (dha. pa. 223) dhammaṃ desesi. Uttarā puretarameva sāmikañca sassusasure ca satthu santike upanesi. Desanāvasāne te ca tayo janā, sabbā ca gaṇikāyo sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsūti. Evaṃ uttarāya upāsikāya pakkuthitasappinā pīḷābhāvo samādhivipphārā iddhi.
สามาวตี อุปาสิกา นาม โกสมฺพิยํ อุเทนสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสีฯ ตสฺส หิ รโญฺญ ปญฺจสตปญฺจสตอิตฺถิปริวารา ติโสฺส อคฺคมเหสิโย อเหสุํฯ ตาสํ สามาวตี ภทฺทิยนคเร ภทฺทิยเสฎฺฐิโน ธีตาฯ ปิตริ กาลงฺกเต ปิตุ สหายกสฺส โกสมฺพิยํ โฆสิตเสฎฺฐิโน ฆเร ปญฺจสตอิตฺถิปริวารวฑฺฒิตํ วยปฺปตฺตํ ราชา ทิสฺวา สญฺชาตสิเนโห สปริวารมตฺตโน ฆรํ เนตฺวา อภิเสกฎฺฐานํ อทาสิฯ จณฺฑปโชฺชตสฺส รโญฺญ ธีตา วาสุลทตฺตา นาม เอกา มเหสีฯ มาคณฺฑิยพฺราหฺมณสฺส ธีตา ภควโต ปาทปริจาริกํ กตฺวา ปิตรา ทิยฺยมานา –
Sāmāvatīupāsikā nāma kosambiyaṃ udenassa rañño aggamahesī. Tassa hi rañño pañcasatapañcasataitthiparivārā tisso aggamahesiyo ahesuṃ. Tāsaṃ sāmāvatī bhaddiyanagare bhaddiyaseṭṭhino dhītā. Pitari kālaṅkate pitu sahāyakassa kosambiyaṃ ghositaseṭṭhino ghare pañcasataitthiparivāravaḍḍhitaṃ vayappattaṃ rājā disvā sañjātasineho saparivāramattano gharaṃ netvā abhisekaṭṭhānaṃ adāsi. Caṇḍapajjotassa rañño dhītā vāsuladattā nāma ekā mahesī. Māgaṇḍiyabrāhmaṇassa dhītā bhagavato pādaparicārikaṃ katvā pitarā diyyamānā –
‘‘ทิสฺวาน ตณฺหํ อรติํ รคญฺจ, นาโหสิ ฉโนฺท อปิ เมถุนสฺมิํ;
‘‘Disvāna taṇhaṃ aratiṃ ragañca, nāhosi chando api methunasmiṃ;
กิเมวิทํ มุตฺตกรีสปุณฺณํ, ปาทาปิ นํ สมฺผุสิตุํ น อิเจฺฉ’’ติฯ (สุ. นิ. ๘๔๑) –
Kimevidaṃ muttakarīsapuṇṇaṃ, pādāpi naṃ samphusituṃ na icche’’ti. (su. ni. 841) –
ภควตา ภาสิตํ คาถํ สุตฺวา ภควติ อาฆาตํ พนฺธิฯ ตสฺสา มาตาปิตโร มาคณฺฑิยสุตฺตเทสนาวสาเน อนาคามิผลํ ปตฺวา ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ ตสฺสา จูฬปิตา มาคณฺฑิโย ตํ โกสมฺพิํ เนตฺวา รโญฺญ อทาสิฯ สา รโญฺญ เอกา มเหสีฯ
Bhagavatā bhāsitaṃ gāthaṃ sutvā bhagavati āghātaṃ bandhi. Tassā mātāpitaro māgaṇḍiyasuttadesanāvasāne anāgāmiphalaṃ patvā pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Tassā cūḷapitā māgaṇḍiyo taṃ kosambiṃ netvā rañño adāsi. Sā rañño ekā mahesī.
อถ โข โฆสิตเสฎฺฐิ กุกฺกุฎเสฎฺฐิ ปาวาริกเสฎฺฐีติ ตโย เสฎฺฐิโน โลเก ตถาคตุปฺปาทํ สุตฺวา เชตวนํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา โสตาปตฺติผลํ ปตฺวา อฑฺฒมาสํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา สตฺถุ โกสมฺพิคมนํ อายาจิตฺวา โกสมฺพิํ คนฺตฺวา โฆสิตาราโม กุกฺกุฎาราโม ปาวาริการาโมติ ตโย ชนา ตโย อาราเม การาเปตฺวา อนุปุเพฺพน ตตฺถ อาคตํ สตฺถารํ ปฎิปาฎิยา เอเกกสฺมิํ ทิวเส เอเกกสฺมิํ วิหาเร วสาเปตฺวา เอเกโก สสงฺฆสฺส ภควโต มหาทานมทาสิฯ อเถกทิวสํ เตสํ อุปฎฺฐาโก สุมโน นาม มาลากาโร เสฎฺฐิโน อายาจิตฺวา สสงฺฆํ สตฺถารํ โภเชตุํ อตฺตโน ฆเร นิสีทาเปสิฯ ตสฺมิํ ขเณ สามาวติยา ปริจาริกา ขุชฺชุตฺตรา นาม ทาสี อฎฺฐ กหาปเณ คเหตฺวา ตสฺส ฆรํ อคมาสิฯ โส ‘‘สสงฺฆสฺส ตาว สตฺถุโน ปริเวสนสหายา โหหี’’ติ อาหฯ สา ตถา กตฺวา สตฺถุ ภตฺตกิจฺจาวสาเน ธมฺมเทสนํ สุตฺวา โสตาปนฺนา หุตฺวา อญฺญทา จตฺตาโร กหาปเณ อตฺตโน อาทิยนฺตี อทินฺนํ อาทิยิตุํ อภพฺพตฺตา อฎฺฐหิ กหาปเณหิ ปุปฺผานิ อาทาย สามาวติยา อุปนาเมสิฯ ตาย ปุปฺผานํ พหุภาวการณํ ปุฎฺฐา มุสา ภณิตุํ อภพฺพตฺตา ยถาสภาวํ อาหฯ ‘‘อชฺช กสฺมา น คณฺหี’’ติ วุตฺตา ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ธมฺมํ สุตฺวา อมตํ สจฺฉากาสิ’’นฺติ อาหฯ ‘‘อมฺม อุตฺตเร, ตํ ธมฺมํ อมฺหากมฺปิ กเถหี’’ติฯ ‘‘เตน หิ มํ นฺหาเปตฺวา สุทฺธํ วตฺถยุคํ ทตฺวา อุเจฺจ อาสเน นิสีทาเปตฺวา สพฺพา นีจาสเนสุ นิสีทถา’’ติ อาหฯ ตา สพฺพาปิ ตถา กริํสุฯ สา เสขปฎิสมฺภิทปฺปตฺตา อริยสาวิกา เอกํ วตฺถํ นิวาเสตฺวา เอกํ อุตฺตราสงฺคํ กตฺวา พีชนิํ คเหตฺวา ตาสํ ธมฺมํ เทเสสิฯ สามาวตี จ ปญฺจสตา จ อิตฺถิโย โสตาปตฺติผลํ ปาปุณิํสุฯ ตา สพฺพาปิ ขุชฺชุตฺตรํ วนฺทิตฺวา ‘‘อมฺม, อชฺชโต ปฎฺฐาย เวยฺยาวจฺจํ อกตฺวา อมฺหากํ มาตุฎฺฐาเน อาจริยฎฺฐาเน จ ฐตฺวา สตฺถารา เทสิตเทสิตํ ธมฺมํ สุตฺวา อมฺหากํ กเถหี’’ติ อาหํสุฯ สา ตถา กโรนฺตี อปรภาเค ติปิฎกธรา หุตฺวา สตฺถารา พหุสฺสุตานํ อุปาสิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐปิตา อคฺคฎฺฐานํ ลภิฯ สามาวติมิสฺสิกา พุทฺธสฺส ทสฺสนํ ปิเหนฺติ, ทสพเล อนฺตรวีถิํ ปฎิปเนฺน วาตปาเนสุ อปฺปโหเนฺตสุ ภิตฺติํ ภินฺทิตฺวา สตฺถารํ โอโลเกนฺติ, วนฺทนปูชนญฺจ กโรนฺติฯ
Atha kho ghositaseṭṭhi kukkuṭaseṭṭhi pāvārikaseṭṭhīti tayo seṭṭhino loke tathāgatuppādaṃ sutvā jetavanaṃ satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ sutvā sotāpattiphalaṃ patvā aḍḍhamāsaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā satthu kosambigamanaṃ āyācitvā kosambiṃ gantvā ghositārāmo kukkuṭārāmo pāvārikārāmoti tayo janā tayo ārāme kārāpetvā anupubbena tattha āgataṃ satthāraṃ paṭipāṭiyā ekekasmiṃ divase ekekasmiṃ vihāre vasāpetvā ekeko sasaṅghassa bhagavato mahādānamadāsi. Athekadivasaṃ tesaṃ upaṭṭhāko sumano nāma mālākāro seṭṭhino āyācitvā sasaṅghaṃ satthāraṃ bhojetuṃ attano ghare nisīdāpesi. Tasmiṃ khaṇe sāmāvatiyā paricārikā khujjuttarā nāma dāsī aṭṭha kahāpaṇe gahetvā tassa gharaṃ agamāsi. So ‘‘sasaṅghassa tāva satthuno parivesanasahāyā hohī’’ti āha. Sā tathā katvā satthu bhattakiccāvasāne dhammadesanaṃ sutvā sotāpannā hutvā aññadā cattāro kahāpaṇe attano ādiyantī adinnaṃ ādiyituṃ abhabbattā aṭṭhahi kahāpaṇehi pupphāni ādāya sāmāvatiyā upanāmesi. Tāya pupphānaṃ bahubhāvakāraṇaṃ puṭṭhā musā bhaṇituṃ abhabbattā yathāsabhāvaṃ āha. ‘‘Ajja kasmā na gaṇhī’’ti vuttā ‘‘sammāsambuddhassa dhammaṃ sutvā amataṃ sacchākāsi’’nti āha. ‘‘Amma uttare, taṃ dhammaṃ amhākampi kathehī’’ti. ‘‘Tena hi maṃ nhāpetvā suddhaṃ vatthayugaṃ datvā ucce āsane nisīdāpetvā sabbā nīcāsanesu nisīdathā’’ti āha. Tā sabbāpi tathā kariṃsu. Sā sekhapaṭisambhidappattā ariyasāvikā ekaṃ vatthaṃ nivāsetvā ekaṃ uttarāsaṅgaṃ katvā bījaniṃ gahetvā tāsaṃ dhammaṃ desesi. Sāmāvatī ca pañcasatā ca itthiyo sotāpattiphalaṃ pāpuṇiṃsu. Tā sabbāpi khujjuttaraṃ vanditvā ‘‘amma, ajjato paṭṭhāya veyyāvaccaṃ akatvā amhākaṃ mātuṭṭhāne ācariyaṭṭhāne ca ṭhatvā satthārā desitadesitaṃ dhammaṃ sutvā amhākaṃ kathehī’’ti āhaṃsu. Sā tathā karontī aparabhāge tipiṭakadharā hutvā satthārā bahussutānaṃ upāsikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapitā aggaṭṭhānaṃ labhi. Sāmāvatimissikā buddhassa dassanaṃ pihenti, dasabale antaravīthiṃ paṭipanne vātapānesu appahontesu bhittiṃ bhinditvā satthāraṃ olokenti, vandanapūjanañca karonti.
มาคณฺฑิยา ตตฺถ คตา ตานิ ฉิทฺทานิ ทิสฺวา ตตฺถ การณํ ปุจฺฉนฺตี สตฺถุ อาคตภาวํ ญตฺวา ภควติ อาฆาเตน ตาสมฺปิ กุชฺฌิตฺวา ‘‘มหาราช, สามาวติมิสฺสิกานํ พหิทฺธา ปตฺถนา อตฺถิ, ภิตฺติํ ภินฺทิตฺวา สมณํ โคตมํ โอโลเกนฺติ, กติปาเหน ตํ มาเรสฺสนฺตี’’ติ ราชานํ อาหฯ ราชา ฉิทฺทานิ ทิสฺวาปิ ตสฺสา วจนํ น สทฺทหิ, อุทฺธจฺฉิทฺทกวาตปานานิ การาเปสิฯ ปุน มาคณฺฑิยา ราชานํ ตาสุ ภินฺทิตุกามา อฎฺฐ สชีวกุกฺกุเฎ อาหราเปตฺวา ‘‘มหาราช, ตาสํ วีมํสนตฺถํ อิเม กุกฺกุเฎ มาเรตฺวา ‘มมตฺถาย ปจาหี’ติ เปเสหี’’ติ อาหฯ ราชา ตถา เปเสสิฯ ตาย ‘‘ปาณาติปาตํ น กโรมา’’ติ วุเตฺต ปุน ‘‘ตสฺส สมณสฺส โคตมสฺส ปจิตฺวา เปเสหี’’ติ อาหฯ รญฺญา ตถา เปสิเต มาคณฺฑิยา อฎฺฐ มาริตกุกฺกุเฎ ตถา วตฺวา เปเสสิฯ สามาวตี ปจิตฺวา ทสพลสฺส ปาเหสิฯ มาคณฺฑิยา เตนปิ ราชานํ โกเปตุํ นาสกฺขิฯ
Māgaṇḍiyā tattha gatā tāni chiddāni disvā tattha kāraṇaṃ pucchantī satthu āgatabhāvaṃ ñatvā bhagavati āghātena tāsampi kujjhitvā ‘‘mahārāja, sāmāvatimissikānaṃ bahiddhā patthanā atthi, bhittiṃ bhinditvā samaṇaṃ gotamaṃ olokenti, katipāhena taṃ māressantī’’ti rājānaṃ āha. Rājā chiddāni disvāpi tassā vacanaṃ na saddahi, uddhacchiddakavātapānāni kārāpesi. Puna māgaṇḍiyā rājānaṃ tāsu bhinditukāmā aṭṭha sajīvakukkuṭe āharāpetvā ‘‘mahārāja, tāsaṃ vīmaṃsanatthaṃ ime kukkuṭe māretvā ‘mamatthāya pacāhī’ti pesehī’’ti āha. Rājā tathā pesesi. Tāya ‘‘pāṇātipātaṃ na karomā’’ti vutte puna ‘‘tassa samaṇassa gotamassa pacitvā pesehī’’ti āha. Raññā tathā pesite māgaṇḍiyā aṭṭha māritakukkuṭe tathā vatvā pesesi. Sāmāvatī pacitvā dasabalassa pāhesi. Māgaṇḍiyā tenapi rājānaṃ kopetuṃ nāsakkhi.
ราชา ปน ตีสุ มเหสีสุ เอเกกิสฺสา วสนฎฺฐาเน สตฺต สตฺต ทิวสานิ วสติฯ ราชา อตฺตโน คมนฎฺฐานํ หตฺถิกนฺตวีณํ อาทาย คจฺฉติฯ มาคณฺฑิยา รโญฺญ สามาวติยา ปาสาทคมนกาเล ทาฐา อคเทน โธวาเปตฺวา เวฬุปเพฺพ ปกฺขิปาเปตฺวา เอกํ กณฺหสปฺปโปตกํ อาหราเปตฺวา อโนฺตวีณาย ปกฺขิปิตฺวา มาลาคุฬเกน ฉิทฺทํ ปิทหิฯ ตํ รโญฺญ ตตฺถ คตกาเล อปราปรํ วิจรนฺตี วิย หุตฺวา วีณาฉิทฺทโต มาลาคุฬกํ อปเนสิฯ สโปฺป นิกฺขมิตฺวา ปสฺสสโนฺต ผณํ กตฺวา สยนปิเฎฺฐ นิปชฺชิฯ สา อาห – ‘‘ธี สโปฺป’’ติ มหาสทฺทมกาสิฯ ราชา สปฺปํ ทิสฺวา กุชฺฌิฯ สามาวตี รโญฺญ กุทฺธภาวํ ญตฺวา ปญฺจนฺนํ อิตฺถิสตานํ สญฺญมทาสิ ‘‘อชฺช โอธิสกเมตฺตาผรเณน ราชานํ ผรถา’’ติฯ สยมฺปิ ตถา อกาสิฯ ราชา สหสฺสถามธนุํ อาทาย ชิยํ โปเฐตฺวา สามาวติํ ธุเร กตฺวา สพฺพา ตา อิตฺถิโย ปฎิปาฎิยา ฐปาเปตฺวา วิสปีตํ ขุรปฺปํ สนฺนยฺหิตฺวา ธนุํ ปูเรตฺวา อฎฺฐาสิฯ ขุรปฺปํ เนว ขิปิตุํ , น โอโรปิตุํ สโกฺกติ, คเตฺตหิ เสทา มุจฺจนฺติ, สรีรํ เวธติ, มุขโต เขโฬ ปตติ, คณฺหิตพฺพคหณํ น ปสฺสติ, อถ นํ สามาวตี ‘‘กิํ, มหาราช, กิลมสี’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, เทวิ, กิลมามิ, อวสฺสโย เม โหหี’’ติฯ ‘‘สาธุ, มหาราช, ขุรปฺปํ ปถวีมุขํ กโรหี’’ติฯ ราชา ตถา อกาสิฯ สา ‘‘รโญฺญ หตฺถโต ขุรปฺปํ มุจฺจตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ขุรปฺปํ มุจฺจิฯ ราชา ตํขณเญฺญว อุทเก นิมุชฺชิตฺวา อลฺลวโตฺถ อลฺลเกโส สามาวติยา ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘ขม, เทวิ, มยฺหํ –
Rājā pana tīsu mahesīsu ekekissā vasanaṭṭhāne satta satta divasāni vasati. Rājā attano gamanaṭṭhānaṃ hatthikantavīṇaṃ ādāya gacchati. Māgaṇḍiyā rañño sāmāvatiyā pāsādagamanakāle dāṭhā agadena dhovāpetvā veḷupabbe pakkhipāpetvā ekaṃ kaṇhasappapotakaṃ āharāpetvā antovīṇāya pakkhipitvā mālāguḷakena chiddaṃ pidahi. Taṃ rañño tattha gatakāle aparāparaṃ vicarantī viya hutvā vīṇāchiddato mālāguḷakaṃ apanesi. Sappo nikkhamitvā passasanto phaṇaṃ katvā sayanapiṭṭhe nipajji. Sā āha – ‘‘dhī sappo’’ti mahāsaddamakāsi. Rājā sappaṃ disvā kujjhi. Sāmāvatī rañño kuddhabhāvaṃ ñatvā pañcannaṃ itthisatānaṃ saññamadāsi ‘‘ajja odhisakamettāpharaṇena rājānaṃ pharathā’’ti. Sayampi tathā akāsi. Rājā sahassathāmadhanuṃ ādāya jiyaṃ poṭhetvā sāmāvatiṃ dhure katvā sabbā tā itthiyo paṭipāṭiyā ṭhapāpetvā visapītaṃ khurappaṃ sannayhitvā dhanuṃ pūretvā aṭṭhāsi. Khurappaṃ neva khipituṃ , na oropituṃ sakkoti, gattehi sedā muccanti, sarīraṃ vedhati, mukhato kheḷo patati, gaṇhitabbagahaṇaṃ na passati, atha naṃ sāmāvatī ‘‘kiṃ, mahārāja, kilamasī’’ti āha. ‘‘Āma, devi, kilamāmi, avassayo me hohī’’ti. ‘‘Sādhu, mahārāja, khurappaṃ pathavīmukhaṃ karohī’’ti. Rājā tathā akāsi. Sā ‘‘rañño hatthato khurappaṃ muccatū’’ti adhiṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe khurappaṃ mucci. Rājā taṃkhaṇaññeva udake nimujjitvā allavattho allakeso sāmāvatiyā pādesu nipatitvā ‘‘khama, devi, mayhaṃ –
‘สมฺมุยฺหามิ ปมุยฺหามิ, สพฺพา มุยฺหนฺติ เม ทิสา;
‘Sammuyhāmi pamuyhāmi, sabbā muyhanti me disā;
สามาวตี มํ ตายสฺสุ, ตฺวญฺจ เม สรณํ ภวา’’’ติฯ – อาห;
Sāmāvatī maṃ tāyassu, tvañca me saraṇaṃ bhavā’’’ti. – āha;
สามาวตี –
Sāmāvatī –
‘‘มา มํ ตฺวํ สรณํ คจฺฉ, ยมหํ สรณํ คตา;
‘‘Mā maṃ tvaṃ saraṇaṃ gaccha, yamahaṃ saraṇaṃ gatā;
สรณํ คจฺฉ ตํ พุทฺธํ, ตฺวญฺจ เม สรณํ ภวา’’ติฯ –
Saraṇaṃ gaccha taṃ buddhaṃ, tvañca me saraṇaṃ bhavā’’ti. –
อาหฯ ราชา ‘‘เตน หิ ตํ สรณํ คจฺฉามิ สตฺถารญฺจ, วรญฺจ เต ทมฺมี’’ติ อาหฯ สา ‘‘วโร คหิโต โหตุ, มหาราชา’’ติ อาหฯ ราชา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา สรณํ คนฺตฺวา นิมเนฺตตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา ‘‘สามาวติํ วรํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ, มหาราช, อิมํ เม วรํ เทหิ, สตฺถา ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ อิธาคจฺฉตุ, ธมฺมํ โสสฺสามี’’ติ อาหฯ ราชา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ นิพทฺธํ อิธาคจฺฉถ, สามาวติมิสฺสิกา ‘ธมฺมํ โสสฺสามา’ติ วทนฺตี’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘มหาราช, พุทฺธานํ นาม เอกฎฺฐานํ นิพทฺธํ คนฺตุํ น วฎฺฎติ, มหาชโนปิ ปจฺจาสีสตี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, ภิกฺขู อาณาเปถา’’ติฯ สตฺถา อานนฺทเตฺถรํ อาณาเปสิฯ เถโร ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ อาทาย นิพทฺธํ ราชกุลํ คจฺฉติฯ ตาปิ เทวีปมุขา อิตฺถิโย เถรํ โภเชตฺวา ธมฺมํ สุณิํสุฯ สามาวติญฺจ สตฺถา เมตฺตาวิหารีนํ อุปาสิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ เอวํ รโญฺญ ขุรปฺปํ มุญฺจิตุํ อวิสหนภาโว สามาวติยา อุปาสิกาย สมาธิวิปฺผารา อิทฺธีติ ฯ เอตฺถ จ อเวจฺจปฺปสาเทน วา โอกปฺปนปสาเทน วา รตนตฺตยสรณคมเนน วา รตนตฺตยํ อุปาสตีติ อุปาสิกาติ วุจฺจตีติฯ
Āha. Rājā ‘‘tena hi taṃ saraṇaṃ gacchāmi satthārañca, varañca te dammī’’ti āha. Sā ‘‘varo gahito hotu, mahārājā’’ti āha. Rājā satthāraṃ upasaṅkamitvā saraṇaṃ gantvā nimantetvā buddhappamukhassa saṅghassa sattāhaṃ mahādānaṃ datvā ‘‘sāmāvatiṃ varaṃ gaṇhāhī’’ti āha. ‘‘Sādhu, mahārāja, imaṃ me varaṃ dehi, satthā pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ idhāgacchatu, dhammaṃ sossāmī’’ti āha. Rājā satthāraṃ vanditvā ‘‘bhante, pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ nibaddhaṃ idhāgacchatha, sāmāvatimissikā ‘dhammaṃ sossāmā’ti vadantī’’ti āha. Satthā ‘‘mahārāja, buddhānaṃ nāma ekaṭṭhānaṃ nibaddhaṃ gantuṃ na vaṭṭati, mahājanopi paccāsīsatī’’ti āha. ‘‘Tena hi, bhante, bhikkhū āṇāpethā’’ti. Satthā ānandattheraṃ āṇāpesi. Thero pañca bhikkhusatāni ādāya nibaddhaṃ rājakulaṃ gacchati. Tāpi devīpamukhā itthiyo theraṃ bhojetvā dhammaṃ suṇiṃsu. Sāmāvatiñca satthā mettāvihārīnaṃ upāsikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti. Evaṃ rañño khurappaṃ muñcituṃ avisahanabhāvo sāmāvatiyā upāsikāya samādhivipphārā iddhīti . Ettha ca aveccappasādena vā okappanapasādena vā ratanattayasaraṇagamanena vā ratanattayaṃ upāsatīti upāsikāti vuccatīti.
๑๗. อริยิทฺธินิเทฺทเส อริยา อิทฺธีติ เจโตวสิปฺปตฺตานํ ขีณาสวอริยานํเยว สมฺภวโต อริยา อิทฺธีติ วุจฺจตีติฯ อิธ ภิกฺขูติ อิมสฺมิํ สาสเน ขีณาสโว ภิกฺขุฯ อนิเฎฺฐ วตฺถุสฺมินฺติ อารมฺมณปกติยา อมนาเป วตฺถุสฺมิํ สเตฺต วา สงฺขาเร วาฯ เมตฺตาย วา ผรตีติ สโตฺต เจ โหติ, เมตฺตาภาวนาย ผรติฯ ธาตุโต วา อุปสํหรตีติ สงฺขาโร เจ โหติ, ‘‘ธาตุมตฺต’’นฺติ ธาตุมนสิการํ อุปสํหรติฯ สเตฺตปิ ธาตูปสํหาโร วฎฺฎติฯ อสุภาย วา ผรตีติ สโตฺต เจ, อสุภภาวนาย ผรติฯ อนิจฺจโต วา อุปสํหรตีติ สงฺขาโร เจ, ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ มนสิการํ อุปสํหรติฯ ตทุภยนฺติ ตํ อุภยํฯ อุเปกฺขโกติ ฉฬงฺคุเปกฺขาย อุเปกฺขโกฯ สโตติ สติเวปุลฺลปฺปตฺตตฺตาฯ สมฺปชาโนติ ปญฺญาย สมฺปชานการิตฺตาฯ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวาติ การณวเสน จกฺขูติ ลทฺธโวหาเรน รูปทสฺสนสมเตฺถน จกฺขุวิญฺญาเณน รูปํ ทิสฺวาฯ โปราณา ปนาหุ – ‘‘จกฺขุ รูปํ น ปสฺสติ อจิตฺตกตฺตา, จิตฺตํ น ปสฺสติ อจกฺขุกตฺตา, ทฺวารารมฺมณสงฺฆฎฺฎเน ปน ปสาทวตฺถุเกน จิเตฺตน ปสฺสติฯ อีทิสี ปเนสา ‘ธนุนา วิชฺฌตี’ติอาทีสุ วิย สสมฺภารกถา นาม โหติฯ ตสฺมา จกฺขุวิญฺญาเณน รูปํ ทิสฺวาติ อยเมตฺถ อโตฺถ’’ติ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๓๕๒)ฯ อถ วา จกฺขุนา กรณภูเตน รูปํ ทิสฺวาติ อโตฺถฯ เนว สุมโน โหตีติ เคหสิตโสมนสฺสปฎิเกฺขโป, น กิริยภูตาย โสมนสฺสเวทนายฯ น ทุมฺมโนติ สพฺพโทมนสฺสปฎิเกฺขโปฯ อุเปกฺขโก วิหรตีติ อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณาปาเถ ปริสุทฺธปกติภาวาวิชหนาการภูตาย ฉสุ ทฺวาเรสุ ปวตฺตนโต ‘‘ฉฬงฺคุเปกฺขา’’ติ ลทฺธนามาย ตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขาย อุเปกฺขโก วิหรติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
17. Ariyiddhiniddese ariyā iddhīti cetovasippattānaṃ khīṇāsavaariyānaṃyeva sambhavato ariyā iddhīti vuccatīti. Idha bhikkhūti imasmiṃ sāsane khīṇāsavo bhikkhu. Aniṭṭhe vatthusminti ārammaṇapakatiyā amanāpe vatthusmiṃ satte vā saṅkhāre vā. Mettāya vā pharatīti satto ce hoti, mettābhāvanāya pharati. Dhātuto vā upasaṃharatīti saṅkhāro ce hoti, ‘‘dhātumatta’’nti dhātumanasikāraṃ upasaṃharati. Sattepi dhātūpasaṃhāro vaṭṭati. Asubhāya vā pharatīti satto ce, asubhabhāvanāya pharati. Aniccato vā upasaṃharatīti saṅkhāro ce, ‘‘anicca’’nti manasikāraṃ upasaṃharati. Tadubhayanti taṃ ubhayaṃ. Upekkhakoti chaḷaṅgupekkhāya upekkhako. Satoti sativepullappattattā. Sampajānoti paññāya sampajānakārittā. Cakkhunā rūpaṃ disvāti kāraṇavasena cakkhūti laddhavohārena rūpadassanasamatthena cakkhuviññāṇena rūpaṃ disvā. Porāṇā panāhu – ‘‘cakkhu rūpaṃ na passati acittakattā, cittaṃ na passati acakkhukattā, dvārārammaṇasaṅghaṭṭane pana pasādavatthukena cittena passati. Īdisī panesā ‘dhanunā vijjhatī’tiādīsu viya sasambhārakathā nāma hoti. Tasmā cakkhuviññāṇena rūpaṃ disvāti ayamettha attho’’ti (dha. sa. aṭṭha. 1352). Atha vā cakkhunā karaṇabhūtena rūpaṃ disvāti attho. Neva sumano hotīti gehasitasomanassapaṭikkhepo, na kiriyabhūtāya somanassavedanāya. Na dummanoti sabbadomanassapaṭikkhepo. Upekkhako viharatīti iṭṭhāniṭṭhārammaṇāpāthe parisuddhapakatibhāvāvijahanākārabhūtāya chasu dvāresu pavattanato ‘‘chaḷaṅgupekkhā’’ti laddhanāmāya tatramajjhattupekkhāya upekkhako viharati. Sotena saddaṃ sutvātiādīsupi eseva nayo.
๑๘. กมฺมวิปากชิทฺธินิเทฺทเส สเพฺพสํ ปกฺขีนนฺติ สเพฺพสํ ปกฺขิชาตานํ ฌานาภิญฺญา วินาเยว อากาเสน คมนํฯ ตถา สเพฺพสํ เทวานํ อากาสคมนํ ทสฺสนาทีนิ จฯ เอกจฺจานํ มนุสฺสานนฺติ ปฐมกปฺปิกานํ มนุสฺสานํฯ เอกจฺจานํ วินิปาติกานนฺติ ปิยงฺกรมาตา ปุนพฺพสุมาตา ผุสฺสมิตฺตา ธมฺมคุตฺตาติเอวมาทีนํ สุขสมุสฺสยโต วินิปติตตฺตา วินิปาติกานํ อเญฺญสญฺจ เปตานํ นาคสุปณฺณานญฺจ อากาสคมนาทิกํ กมฺมวิปากชา อิทฺธิฯ
18. Kammavipākajiddhiniddese sabbesaṃ pakkhīnanti sabbesaṃ pakkhijātānaṃ jhānābhiññā vināyeva ākāsena gamanaṃ. Tathā sabbesaṃ devānaṃ ākāsagamanaṃ dassanādīni ca. Ekaccānaṃ manussānanti paṭhamakappikānaṃ manussānaṃ. Ekaccānaṃ vinipātikānanti piyaṅkaramātā punabbasumātā phussamittā dhammaguttātievamādīnaṃ sukhasamussayato vinipatitattā vinipātikānaṃ aññesañca petānaṃ nāgasupaṇṇānañca ākāsagamanādikaṃ kammavipākajā iddhi.
ปุญฺญวโต อิทฺธินิเทฺทเส ราชาติ ธเมฺมน ปเรสํ รญฺชนโต ราชาฯ รตนจกฺกํ วเตฺตตีติ จกฺกวตฺตีฯ เวหาสํ คจฺฉตีติ อจฺจนฺตสํโยคเตฺถ อุปโยควจนํฯ จตุรงฺคินิยาติ หตฺถิอสฺสรถปตฺติสงฺขาตจตุองฺควติยาฯ เสนาติ เตสํ สมูหมตฺตเมวฯ อนฺตมโสติ เหฎฺฐิมนฺตโตฯ อสฺสพนฺธา นาม อสฺสานํ รกฺขกาฯ โคปุริสา นาม คุนฺนํ รกฺขกาฯ อุปาทายาติ อวิสฺสเชฺชตฺวาฯ เอวํ เตสํ เวหาสคมนญฺจ ปุญฺญวโต อิทฺธีติ อโตฺถฯ
Puññavato iddhiniddese rājāti dhammena paresaṃ rañjanato rājā. Ratanacakkaṃ vattetīti cakkavattī. Vehāsaṃ gacchatīti accantasaṃyogatthe upayogavacanaṃ. Caturaṅginiyāti hatthiassarathapattisaṅkhātacatuaṅgavatiyā. Senāti tesaṃ samūhamattameva. Antamasoti heṭṭhimantato. Assabandhā nāma assānaṃ rakkhakā. Gopurisā nāma gunnaṃ rakkhakā. Upādāyāti avissajjetvā. Evaṃ tesaṃ vehāsagamanañca puññavato iddhīti attho.
โชติกสฺส คหปติสฺส ปุญฺญวโต อิทฺธีติ โชติโก นาม ปุเพฺพ ปเจฺจกพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ราชคหนคเร เสฎฺฐิฯ ตสฺส กิร ชาตทิวเส สกลนคเร สพฺพาวุธานิ ชลิํสุ, สเพฺพสํ กายารุฬฺหานิ อาภรณานิปิ ปชฺชลิตานิ วิย โอภาสํ มุญฺจิํสุ, นครํ เอกปโชฺชตํ อโหสิฯ อถสฺส นามคฺคหณทิวเส สกลนครสฺส เอกโชติภูตตฺตา โชติโกติ นามํ กริํสุฯ อถสฺส วยปฺปตฺตกาเล เคหกรณตฺถาย ภูมิตเล โสธิยมาเน สโกฺก เทวราชา อาคนฺตฺวา โสฬสกรีสมเตฺต ฐาเน ปถวิํ ภินฺทิตฺวา สตฺตรตนมยํ สตฺตภูมิกํ ปาสาทํ อุฎฺฐาเปสิ, ปาสาทํ ปริกฺขิปิตฺวา สตฺตรตนมเย สตฺตทฺวารโกฎฺฐกยุเตฺต สตฺตปากาเร อุฎฺฐาเปสิ, ปาการปริยเนฺต จตุสฎฺฐิ กปฺปรุเกฺข อุฎฺฐาเปสิ, ปาสาทสฺส จตูสุ กเณฺณสุ โยชนิกติคาวุติกทฺวิคาวุติกเอกคาวุติกา จตโสฺส นิธิกุมฺภิโย อุฎฺฐาเปสิฯ ปาสาทสฺส จตูสุ กเณฺณสุ ตรุณตาลกฺขนฺธปฺปมาณา จตโสฺส สุวณฺณมยา อุจฺฉุยฎฺฐิโย นิพฺพตฺติํสุฯ ตาสํ มณิมยานิ ปตฺตานิ สุวณฺณมยานิ ปพฺพานิ อเหสุํฯ สตฺตสุ ทฺวารโกฎฺฐเกสุ เอเกกสฺมิํ เอกทฺวิติจตุปญฺจฉสตฺตยกฺขสหสฺสปริวารา สตฺต ยกฺขา อารกฺขํ คณฺหิํสุฯ
Jotikassagahapatissa puññavato iddhīti jotiko nāma pubbe paccekabuddhesu katādhikāro rājagahanagare seṭṭhi. Tassa kira jātadivase sakalanagare sabbāvudhāni jaliṃsu, sabbesaṃ kāyāruḷhāni ābharaṇānipi pajjalitāni viya obhāsaṃ muñciṃsu, nagaraṃ ekapajjotaṃ ahosi. Athassa nāmaggahaṇadivase sakalanagarassa ekajotibhūtattā jotikoti nāmaṃ kariṃsu. Athassa vayappattakāle gehakaraṇatthāya bhūmitale sodhiyamāne sakko devarājā āgantvā soḷasakarīsamatte ṭhāne pathaviṃ bhinditvā sattaratanamayaṃ sattabhūmikaṃ pāsādaṃ uṭṭhāpesi, pāsādaṃ parikkhipitvā sattaratanamaye sattadvārakoṭṭhakayutte sattapākāre uṭṭhāpesi, pākārapariyante catusaṭṭhi kapparukkhe uṭṭhāpesi, pāsādassa catūsu kaṇṇesu yojanikatigāvutikadvigāvutikaekagāvutikā catasso nidhikumbhiyo uṭṭhāpesi. Pāsādassa catūsu kaṇṇesu taruṇatālakkhandhappamāṇā catasso suvaṇṇamayā ucchuyaṭṭhiyo nibbattiṃsu. Tāsaṃ maṇimayāni pattāni suvaṇṇamayāni pabbāni ahesuṃ. Sattasu dvārakoṭṭhakesu ekekasmiṃ ekadviticatupañcachasattayakkhasahassaparivārā satta yakkhā ārakkhaṃ gaṇhiṃsu.
พิมฺพิสารมหาราชา ปาสาทาทีนํ อุฎฺฐานํ สุตฺวา เสฎฺฐิฉตฺตํ ปหิณิฯ โส โชติกเสฎฺฐีติ สกลชมฺพุทีเป ปากโฎ หุตฺวา อุตฺตรกุรุโต เทวตาหิ อาเนตฺวา สิริคเพฺภ นิสีทาปิตาย เอกญฺจ ตณฺฑุลนาฬิํ ตโย จ โชติปาสาเณ คเหตฺวา อาคตาย ภริยาย สทฺธิํ ตสฺมิํ ปาสาเท มหาสมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต วสิฯ เตสํ ยาวชีวํ ตาย เอกตณฺฑุลนาฬิยา ภตฺตํ ปโหสิฯ สเจ กิร เต สกฎสตมฺปิ ตณฺฑุลานํ ปูเรตุกามา โหนฺติ, สา ตณฺฑุลนาฬิเยว หุตฺวา ติฎฺฐติฯ ภตฺตปจนกาเล ตณฺฑุเล อุกฺขลิยํ ปกฺขิปิตฺวา เตสํ ปาสาณานํ อุปริ ฐเปนฺติฯ ปาสาณา ตาวเทว ปชฺชลิตฺวา ภเตฺต ปกฺกมเตฺต นิพฺพายนฺติฯ เตเนว สญฺญาเณน ภตฺตสฺส ปกฺกภาวํ ชานนฺติฯ สูเปยฺยาทิปจนกาเลปิ เอเสว นโยฯ เอวํ เตสํ โชติปาสาเณหิ อาหาโร ปจฺจติ, มณิอาโลเกน วสนฺติฯ อคฺคิสฺส วา ทีปสฺส วา โอภาสเมว น ชานิํสุฯ โชติกสฺส กิร เอวรูปา สมฺปตฺตีติ สกลชมฺพุทีเป ปากโฎ อโหสิฯ มหาชโน ยานาทีหิ ทสฺสนตฺถาย อาคจฺฉติฯ โชติกเสฎฺฐิ อาคตาคตานํ อุตฺตรกุรุตณฺฑุลานํ ภตฺตํ ทาเปติ, ‘‘กปฺปรุเกฺขหิ วตฺถาภรณานิ คณฺหนฺตู’’ติ อาณาเปติ, ‘‘คาวุติกนิธิกุมฺภิยา มุขํ วิวราเปตฺวา ยาปนมตฺตํ คณฺหนฺตู’’ติ อาณาเปติฯ สกลชมฺพุทีปวาสิเกสุ ธนํ คเหตฺวา คจฺฉเนฺตสุ นิธิกุมฺภิยา องฺคุลมตฺตมฺปิ อูนํ นาโหสีติ อยมสฺส ปุญฺญวโต อิทฺธิฯ
Bimbisāramahārājā pāsādādīnaṃ uṭṭhānaṃ sutvā seṭṭhichattaṃ pahiṇi. So jotikaseṭṭhīti sakalajambudīpe pākaṭo hutvā uttarakuruto devatāhi ānetvā sirigabbhe nisīdāpitāya ekañca taṇḍulanāḷiṃ tayo ca jotipāsāṇe gahetvā āgatāya bhariyāya saddhiṃ tasmiṃ pāsāde mahāsampattiṃ anubhavanto vasi. Tesaṃ yāvajīvaṃ tāya ekataṇḍulanāḷiyā bhattaṃ pahosi. Sace kira te sakaṭasatampi taṇḍulānaṃ pūretukāmā honti, sā taṇḍulanāḷiyeva hutvā tiṭṭhati. Bhattapacanakāle taṇḍule ukkhaliyaṃ pakkhipitvā tesaṃ pāsāṇānaṃ upari ṭhapenti. Pāsāṇā tāvadeva pajjalitvā bhatte pakkamatte nibbāyanti. Teneva saññāṇena bhattassa pakkabhāvaṃ jānanti. Sūpeyyādipacanakālepi eseva nayo. Evaṃ tesaṃ jotipāsāṇehi āhāro paccati, maṇiālokena vasanti. Aggissa vā dīpassa vā obhāsameva na jāniṃsu. Jotikassa kira evarūpā sampattīti sakalajambudīpe pākaṭo ahosi. Mahājano yānādīhi dassanatthāya āgacchati. Jotikaseṭṭhi āgatāgatānaṃ uttarakurutaṇḍulānaṃ bhattaṃ dāpeti, ‘‘kapparukkhehi vatthābharaṇāni gaṇhantū’’ti āṇāpeti, ‘‘gāvutikanidhikumbhiyā mukhaṃ vivarāpetvā yāpanamattaṃ gaṇhantū’’ti āṇāpeti. Sakalajambudīpavāsikesu dhanaṃ gahetvā gacchantesu nidhikumbhiyā aṅgulamattampi ūnaṃ nāhosīti ayamassa puññavato iddhi.
ชฎิลสฺส คหปติสฺส ปุญฺญวโต อิทฺธีติ ชฎิโล นาม กสฺสปสฺส ภควโต ธาตุเจติเย กตาธิกาโร ตกฺกสิลายํ เสฎฺฐิฯ ตสฺส กิร มาตา พาราณสิยํ เสฎฺฐิธีตา อภิรูปา อโหสิ ฯ ตํ ปนฺนรสโสฬสวสฺสุเทฺทสิกกาเล อารกฺขนตฺถาย สตฺตภูมิกสฺส ปาสาทสฺส อุปริตเล วาสยิํสุฯ ตํ เอกทิวสํ วาตปานํ วิวริตฺวา พหิ โอโลกิยมานํ อากาเสน คจฺฉโนฺต วิชฺชาธโร ทิสฺวา อุปฺปนฺนสิเนโห วาตปาเนน ปวิสิตฺวา ตาย สทฺธิํ สนฺถวมกาสิฯ สา เตน คพฺภํ คณฺหิฯ อถ นํ ทาสี ทิสฺวา ‘‘อมฺม, กิํ อิท’’นฺติ วตฺวา ‘‘โหตุ, กสฺสจิ มา อาจิกฺขี’’ติ วุตฺตา ภเยน ตุณฺหี อโหสิฯ สาปิ ทสเม มาเส ปุตฺตํ วิชายิตฺวา นวภาชนํ อาหราเปตฺวา ตตฺถ ตํ ทารกํ นิปชฺชาเปตฺวา ตํ ภาชนํ ปิทหิตฺวา อุปริ ปุปฺผทามานิ ฐเปตฺวา ‘‘อิมํ สีเสน อุกฺขิปิตฺวา คนฺตฺวา คงฺคาย วิสฺสเชฺชหิ, ‘กิํ อิท’นฺติ จ ปุฎฺฐา ‘อยฺยาย เม พลิกมฺม’นฺติ วเทยฺยาสี’’ติ ทาสิํ อาณาเปสิฯ สา ตถา อกาสิฯ เหฎฺฐาคงฺคายปิ เทฺว อิตฺถิโย นฺหายมานา ตํ ภาชนํ อุทเกน อาหริยมานํ ทิสฺวา เอกา ‘‘มเยฺหตํ ภาชน’’นฺติ อาหฯ เอกา ‘‘ยํ เอตสฺส อโนฺต, ตํ มยฺห’’นฺติ วตฺวา ภาชเน สมฺปเตฺต ตํ อาทาย ถเล ฐเปตฺวา วิวริตฺวา ทารกํ ทิสฺวา เอกา ‘‘มม ภาชน’’นฺติ วุตฺตตฺตา ‘‘ทารโก มเมว โหตี’’ติ อาหฯ เอกา ‘‘ยํ ภาชนสฺส อโนฺต, ตํ มมา’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘มม ทารโก’’ติ อาหฯ ตา วิวทมานา วินิจฺฉยํ คนฺตฺวา อมเจฺจสุ วินิจฺฉิตุํ อสโกฺกเนฺตสุ รโญฺญ สนฺติกํ อคมํสุฯ ราชา ตาสํ วจนํ สุตฺวา ‘‘ตฺวํ ทารกํ คณฺห, ตฺวํ ภาชน’’นฺติ อาหฯ ยาย ปน ทารโก ลโทฺธ, สา มหากจฺจายนเตฺถรสฺส อุปฎฺฐายิกา โหติฯ สา ตํ ทารกํ ‘‘เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพาเชสฺสามี’’ติ โปเสสิฯ ตสฺส ชาตทิวเส คพฺภมลสฺส โธวิตฺวา อนปนีตตฺตา เกสา ชฎิตา หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ เตนสฺส ชฎิโลเตว นามํ อกํสุฯ
Jaṭilassa gahapatissa puññavato iddhīti jaṭilo nāma kassapassa bhagavato dhātucetiye katādhikāro takkasilāyaṃ seṭṭhi. Tassa kira mātā bārāṇasiyaṃ seṭṭhidhītā abhirūpā ahosi . Taṃ pannarasasoḷasavassuddesikakāle ārakkhanatthāya sattabhūmikassa pāsādassa uparitale vāsayiṃsu. Taṃ ekadivasaṃ vātapānaṃ vivaritvā bahi olokiyamānaṃ ākāsena gacchanto vijjādharo disvā uppannasineho vātapānena pavisitvā tāya saddhiṃ santhavamakāsi. Sā tena gabbhaṃ gaṇhi. Atha naṃ dāsī disvā ‘‘amma, kiṃ ida’’nti vatvā ‘‘hotu, kassaci mā ācikkhī’’ti vuttā bhayena tuṇhī ahosi. Sāpi dasame māse puttaṃ vijāyitvā navabhājanaṃ āharāpetvā tattha taṃ dārakaṃ nipajjāpetvā taṃ bhājanaṃ pidahitvā upari pupphadāmāni ṭhapetvā ‘‘imaṃ sīsena ukkhipitvā gantvā gaṅgāya vissajjehi, ‘kiṃ ida’nti ca puṭṭhā ‘ayyāya me balikamma’nti vadeyyāsī’’ti dāsiṃ āṇāpesi. Sā tathā akāsi. Heṭṭhāgaṅgāyapi dve itthiyo nhāyamānā taṃ bhājanaṃ udakena āhariyamānaṃ disvā ekā ‘‘mayhetaṃ bhājana’’nti āha. Ekā ‘‘yaṃ etassa anto, taṃ mayha’’nti vatvā bhājane sampatte taṃ ādāya thale ṭhapetvā vivaritvā dārakaṃ disvā ekā ‘‘mama bhājana’’nti vuttattā ‘‘dārako mameva hotī’’ti āha. Ekā ‘‘yaṃ bhājanassa anto, taṃ mamā’’ti vuttattā ‘‘mama dārako’’ti āha. Tā vivadamānā vinicchayaṃ gantvā amaccesu vinicchituṃ asakkontesu rañño santikaṃ agamaṃsu. Rājā tāsaṃ vacanaṃ sutvā ‘‘tvaṃ dārakaṃ gaṇha, tvaṃ bhājana’’nti āha. Yāya pana dārako laddho, sā mahākaccāyanattherassa upaṭṭhāyikā hoti. Sā taṃ dārakaṃ ‘‘therassa santike pabbājessāmī’’ti posesi. Tassa jātadivase gabbhamalassa dhovitvā anapanītattā kesā jaṭitā hutvā aṭṭhaṃsu. Tenassa jaṭiloteva nāmaṃ akaṃsu.
ตสฺส ปทสา วิจรณกาเล เถโร ตํ เคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อุปาสิกา เถรํ นิสีทาเปตฺวา อาหารมทาสิฯ เถโร ทารกํ ทิสฺวา ‘‘อุปาสิเก, ทารโก เต ลโทฺธ’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, ภเนฺต, อิมาหํ ตุมฺหากํ สนฺติเก ปพฺพาเชสฺสนฺติ โปเสสิ’’นฺติ อาหฯ เถโร ‘‘สาธู’’ติ ตํ อาทาย คจฺฉโนฺต ‘‘อตฺถิ นุ โข อิมสฺส คิหิสมฺปตฺติํ อนุภวิตุํ ปุญฺญกมฺม’’นฺติ โอโลเกโนฺต ‘‘มหาปุโญฺญ สโตฺต มหาสมฺปตฺติํ อนุภวิสฺสติ, ทหโร เอว จ ตาว, ญาณมฺปิ ตาวสฺส ปริปากํ น คจฺฉตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ อาทาย ตกฺกสิลายํ เอกสฺส อุปฎฺฐากสฺส เคหํ อคมาสิฯ โส เถรํ วนฺทิตฺวา ฐิโต ทารกํ ทิสฺวา ‘‘ทารโก, ภเนฺต, ลโทฺธ’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, อุปาสก, ปพฺพชิสฺสติ, ทหโร ตาว ตว สนฺติเก โหตู’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ตํ ปุตฺตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปฎิชคฺคิฯ ตสฺส ปน เคเห ทฺวาทส วสฺสานิ ภณฺฑกํ อุสฺสนฺนํ โหติฯ โส คามนฺตรํ คจฺฉโนฺต สพฺพมฺปิ ตํ ภณฺฑกํ อาปณํ อาหริตฺวา ตสฺส ตสฺส ภณฺฑกสฺส มูลํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิทญฺจิทญฺจ เอตฺตกํ นาม ธนํ คเหตฺวา ทเทยฺยาสี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ
Tassa padasā vicaraṇakāle thero taṃ gehaṃ piṇḍāya pāvisi. Upāsikā theraṃ nisīdāpetvā āhāramadāsi. Thero dārakaṃ disvā ‘‘upāsike, dārako te laddho’’ti pucchi. ‘‘Āma, bhante, imāhaṃ tumhākaṃ santike pabbājessanti posesi’’nti āha. Thero ‘‘sādhū’’ti taṃ ādāya gacchanto ‘‘atthi nu kho imassa gihisampattiṃ anubhavituṃ puññakamma’’nti olokento ‘‘mahāpuñño satto mahāsampattiṃ anubhavissati, daharo eva ca tāva, ñāṇampi tāvassa paripākaṃ na gacchatī’’ti cintetvā taṃ ādāya takkasilāyaṃ ekassa upaṭṭhākassa gehaṃ agamāsi. So theraṃ vanditvā ṭhito dārakaṃ disvā ‘‘dārako, bhante, laddho’’ti pucchi. ‘‘Āma, upāsaka, pabbajissati, daharo tāva tava santike hotū’’ti. So ‘‘sādhu, bhante’’ti taṃ puttaṭṭhāne ṭhapetvā paṭijaggi. Tassa pana gehe dvādasa vassāni bhaṇḍakaṃ ussannaṃ hoti. So gāmantaraṃ gacchanto sabbampi taṃ bhaṇḍakaṃ āpaṇaṃ āharitvā tassa tassa bhaṇḍakassa mūlaṃ ācikkhitvā ‘‘idañcidañca ettakaṃ nāma dhanaṃ gahetvā dadeyyāsī’’ti vatvā pakkāmi.
ตํ ทิวสํ นครปริคฺคาหิกา เทวตา อนฺตมโส ชีรกมริจมตฺตเกนาปิ อตฺถิเก ตเสฺสว อาปณาภิมุเข กริํสุฯ โส ทฺวาทส วสฺสานิ อุสฺสนฺนภณฺฑกํ เอกทิวเสเนว วิกฺกิณิฯ กุฎุมฺพิโก อาคนฺตฺวา อาปเณ กิญฺจิ อทิสฺวา ‘‘สพฺพํ เต, ตาต, ภณฺฑกํ นาสิต’’นฺติ อาหฯ ‘‘น นาสิตํ, ตาต, สพฺพํ ตุเมฺหหิ วุตฺตนเยน วิกฺกิณิตํ, อิทํ อสุกสฺส มูลํ, อิทํ อสุกสฺส มูล’’นฺติ สพฺพมูลํ ตเสฺสว อเปฺปสิฯ กุฎุมฺพิโก ปสีทิตฺวา ‘‘อนโคฺฆ ปุริโส ยตฺถ กตฺถจิ ชีวิตุํ สมโตฺถ’’ติ อตฺตโน วยปฺปตฺตํ ธีตรํ ตสฺส ทตฺวา ‘‘เคหมสฺส กโรถา’’ติ ปุริเส อาณาเปตฺวา นิฎฺฐิเต เคเห ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห, อตฺตโน เคเห วสถา’’ติ อาหฯ อถสฺส เคหปวิสนกาเล เอเกน ปาเทน อุมฺมาเร อกฺกนฺตมเตฺต เคหสฺส ปจฺฉิมภาเค ภูมิฎฺฐาเน อสีติหโตฺถ สุวณฺณปพฺพโต อุฎฺฐหิฯ ราชา กิร ชฎิลสฺส เคเห ภูมิํ ภินฺทิตฺวา สุวณฺณปพฺพโต อุฎฺฐิโตติ สุตฺวา ตสฺส เสฎฺฐิฉตฺตํ เปเสสิฯ โส ชฎิลเสฎฺฐิ นาม อโหสีติ อยมสฺส ปุญฺญวโต อิทฺธิฯ
Taṃ divasaṃ nagarapariggāhikā devatā antamaso jīrakamaricamattakenāpi atthike tasseva āpaṇābhimukhe kariṃsu. So dvādasa vassāni ussannabhaṇḍakaṃ ekadivaseneva vikkiṇi. Kuṭumbiko āgantvā āpaṇe kiñci adisvā ‘‘sabbaṃ te, tāta, bhaṇḍakaṃ nāsita’’nti āha. ‘‘Na nāsitaṃ, tāta, sabbaṃ tumhehi vuttanayena vikkiṇitaṃ, idaṃ asukassa mūlaṃ, idaṃ asukassa mūla’’nti sabbamūlaṃ tasseva appesi. Kuṭumbiko pasīditvā ‘‘anaggho puriso yattha katthaci jīvituṃ samattho’’ti attano vayappattaṃ dhītaraṃ tassa datvā ‘‘gehamassa karothā’’ti purise āṇāpetvā niṭṭhite gehe ‘‘gacchatha tumhe, attano gehe vasathā’’ti āha. Athassa gehapavisanakāle ekena pādena ummāre akkantamatte gehassa pacchimabhāge bhūmiṭṭhāne asītihattho suvaṇṇapabbato uṭṭhahi. Rājā kira jaṭilassa gehe bhūmiṃ bhinditvā suvaṇṇapabbato uṭṭhitoti sutvā tassa seṭṭhichattaṃ pesesi. So jaṭilaseṭṭhi nāma ahosīti ayamassa puññavato iddhi.
เมณฺฑกสฺส เสฎฺฐิสฺส ปุญฺญวโต อิทฺธีติ (มหาว. ๒๙๖) เมณฺฑโก นาม วิปสฺสิมฺหิ ภควติ กตาธิกาโร มคธรเฎฺฐ ภทฺทิยนคเร เสฎฺฐิฯ ตสฺส กิร ปจฺฉิมเคเห อฎฺฐกรีสมเตฺต ฐาเน หตฺถิอสฺสอุสภปฺปมาณา สุวณฺณเมณฺฑกา ปถวิํ ภินฺทิตฺวา ปิฎฺฐิยา ปิฎฺฐิํ ปหรมานา อุฎฺฐหิํสุ, เตสํ มุเขสุ ปญฺจวณฺณานํ สุตฺตานํ เคณฺฑุกา ปกฺขิตฺตา โหนฺติฯ สปฺปิเตลมธุผาณิตาทีหิ จ วตฺถจฺฉาทนหิรญฺญสุวณฺณาทีหิ จ อเตฺถ สติ เตสํ มุขโต เคณฺฑุกํ อปเนนฺติฯ เอกสฺสปิ เมณฺฑกสฺส มุขโต สกลชมฺพุทีปวาสีนํ ปโหนกํ สปฺปิเตลมธุผาณิตวตฺถจฺฉาทนหิรญฺญสุวณฺณํ นิกฺขมติฯ ตโต ปฎฺฐาเยส เมณฺฑกเสฎฺฐีติ ปญฺญายีติ อยมสฺส ปุญฺญวโต อิทฺธิฯ
Meṇḍakassa seṭṭhissa puññavato iddhīti (mahāva. 296) meṇḍako nāma vipassimhi bhagavati katādhikāro magadharaṭṭhe bhaddiyanagare seṭṭhi. Tassa kira pacchimagehe aṭṭhakarīsamatte ṭhāne hatthiassausabhappamāṇā suvaṇṇameṇḍakā pathaviṃ bhinditvā piṭṭhiyā piṭṭhiṃ paharamānā uṭṭhahiṃsu, tesaṃ mukhesu pañcavaṇṇānaṃ suttānaṃ geṇḍukā pakkhittā honti. Sappitelamadhuphāṇitādīhi ca vatthacchādanahiraññasuvaṇṇādīhi ca atthe sati tesaṃ mukhato geṇḍukaṃ apanenti. Ekassapi meṇḍakassa mukhato sakalajambudīpavāsīnaṃ pahonakaṃ sappitelamadhuphāṇitavatthacchādanahiraññasuvaṇṇaṃ nikkhamati. Tato paṭṭhāyesa meṇḍakaseṭṭhīti paññāyīti ayamassa puññavato iddhi.
โฆสิตสฺส คหปติสฺส ปุญฺญวโต อิทฺธีติ โฆสิโต (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๖๐-๒๖๑) นาม ปเจฺจกสมฺพุเทฺธ กตาธิกาโร สกฺกรเฎฺฐ โกสมฺพิยํ เสฎฺฐิฯ โส กิร เทวโลกโต จวิตฺวา โกสมฺพิยํ นครโสภินิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติฯ สา ตํ วิชาตทิวเส สุเปฺป สยาเปตฺวา สงฺการกูเฎ ฉฑฺฑาเปสิฯ ทารกํ กากสุนขา ปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุฯ เอโก ปุริโส ตํ ทิสฺวาว ปุตฺตสญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘ปุโตฺต เม ลโทฺธ’’ติ เคหํ เนสิฯ ตทา โกสมฺพิกเสฎฺฐิ ปุโรหิตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ, อาจริย, อชฺช เต ติถิกรณนกฺขตฺตาทโย โอโลกิตา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, มหาเสฎฺฐี’’ติ วุเตฺต ‘‘ชนปทสฺส กิํ ภวิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อิมสฺมิํ นคเร อชฺช ชาตทารโก เชฎฺฐเสฎฺฐิ ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ ตทา เสฎฺฐิโน ภริยา ครุคพฺภา โหติ, ตสฺมา โส สีฆํ เคหํ เปเสสิ ‘‘คจฺฉ, ชานาหิ นํ วิชาตา วา, น วา’’ติฯ ‘‘น วิชาตา’’ติ สุตฺวา เคหํ คนฺตฺวา กาฬิํ นาม ทาสิํ ปโกฺกสิตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา ‘‘คจฺฉ, อิมสฺมิํ นคเร อุปธาเรตฺวา อชฺช ชาตทารกํ คณฺหิตฺวา เอหี’’ติ อาหฯ สา อุปธาเรนฺตี ตํ เคหํ คนฺตฺวา ตํ ทารกํ ตํ ทิวสํ ชาตํ ญตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา อาเนตฺวา เสฎฺฐิโน ทเสฺสสิฯ เสฎฺฐิ ‘‘สเจ เม ธีตา ชายิสฺสติ, ตาย นํ สทฺธิํ นิวาเสตฺวา เสฎฺฐิฎฺฐานสฺส สามิกํ กริสฺสามิฯ สเจ ปุโตฺต ชายิสฺสติ, ฆาเตสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตํ เคเห วฑฺฒาเปสิฯ
Ghositassagahapatissa puññavato iddhīti ghosito (a. ni. aṭṭha. 1.1.260-261) nāma paccekasambuddhe katādhikāro sakkaraṭṭhe kosambiyaṃ seṭṭhi. So kira devalokato cavitvā kosambiyaṃ nagarasobhiniyā kucchismiṃ nibbatti. Sā taṃ vijātadivase suppe sayāpetvā saṅkārakūṭe chaḍḍāpesi. Dārakaṃ kākasunakhā parivāretvā nisīdiṃsu. Eko puriso taṃ disvāva puttasaññaṃ paṭilabhitvā ‘‘putto me laddho’’ti gehaṃ nesi. Tadā kosambikaseṭṭhi purohitaṃ disvā ‘‘kiṃ, ācariya, ajja te tithikaraṇanakkhattādayo olokitā’’ti pucchitvā ‘‘āma, mahāseṭṭhī’’ti vutte ‘‘janapadassa kiṃ bhavissatī’’ti pucchi. ‘‘Imasmiṃ nagare ajja jātadārako jeṭṭhaseṭṭhi bhavissatī’’ti āha. Tadā seṭṭhino bhariyā garugabbhā hoti, tasmā so sīghaṃ gehaṃ pesesi ‘‘gaccha, jānāhi naṃ vijātā vā, na vā’’ti. ‘‘Na vijātā’’ti sutvā gehaṃ gantvā kāḷiṃ nāma dāsiṃ pakkositvā sahassaṃ datvā ‘‘gaccha, imasmiṃ nagare upadhāretvā ajja jātadārakaṃ gaṇhitvā ehī’’ti āha. Sā upadhārentī taṃ gehaṃ gantvā taṃ dārakaṃ taṃ divasaṃ jātaṃ ñatvā sahassaṃ datvā ānetvā seṭṭhino dassesi. Seṭṭhi ‘‘sace me dhītā jāyissati, tāya naṃ saddhiṃ nivāsetvā seṭṭhiṭṭhānassa sāmikaṃ karissāmi. Sace putto jāyissati, ghātessāmi na’’nti cintetvā taṃ gehe vaḍḍhāpesi.
อถสฺส ภริยา กติปาหจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิฯ เสฎฺฐิ ‘‘อิมสฺมิํ อสติ มม ปุโตฺต เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลภิสฺสติฯ อิทาเนว นํ มาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ กาฬิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘คจฺฉ เช, วชโต คุนฺนํ นิกฺขมนเวลาย วชทฺวารมเชฺฌ อิมํ ติริยํ นิปชฺชาเปหิ, คาวิโย นํ มทฺทิตฺวา มาเรสฺสนฺติ, มทฺทิตามทฺทิตภาวํ ปนสฺส ญตฺวา เอหี’’ติ อาหฯ สา คนฺตฺวา โคปาลเกน วชทฺวาเร วิวฎมเตฺตเยว ตํ ตถา นิปชฺชาเปสิฯ โคคณเชฎฺฐโก อุสโภ อญฺญสฺมิํ กาเล สพฺพปจฺฉา นิกฺขมโนฺตปิ ตํทิวสํ สพฺพปฐมํ นิกฺขมิตฺวา ทารกํ จตุนฺนํ ปาทานํ อนฺตเร กตฺวา อฎฺฐาสิฯ อเนกสตา คาโว อุสภสฺส เทฺว ปสฺสานิ ฆํสนฺติโย นิกฺขมิํสุฯ โคปาลโกปิ ‘‘อยํ อุสโภ ปุเพฺพ สพฺพปจฺฉา นิกฺขมติ, อชฺช ปน ปฐมํ นิกฺขมิตฺวา ทฺวารมเชฺฌ นิจฺจโลว ฐิโต, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ จิเนฺตตฺวา คนฺตฺวา ตสฺส เหฎฺฐา นิปนฺนํ ทารกํ ทิสฺวา ปุตฺตสิเนหํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘ปุโตฺต เม ลโทฺธ’’ติ เคหํ เนสิฯ
Athassa bhariyā katipāhaccayena puttaṃ vijāyi. Seṭṭhi ‘‘imasmiṃ asati mama putto seṭṭhiṭṭhānaṃ labhissati. Idāneva naṃ māretuṃ vaṭṭatī’’ti kāḷiṃ āmantetvā ‘‘gaccha je, vajato gunnaṃ nikkhamanavelāya vajadvāramajjhe imaṃ tiriyaṃ nipajjāpehi, gāviyo naṃ madditvā māressanti, madditāmadditabhāvaṃ panassa ñatvā ehī’’ti āha. Sā gantvā gopālakena vajadvāre vivaṭamatteyeva taṃ tathā nipajjāpesi. Gogaṇajeṭṭhako usabho aññasmiṃ kāle sabbapacchā nikkhamantopi taṃdivasaṃ sabbapaṭhamaṃ nikkhamitvā dārakaṃ catunnaṃ pādānaṃ antare katvā aṭṭhāsi. Anekasatā gāvo usabhassa dve passāni ghaṃsantiyo nikkhamiṃsu. Gopālakopi ‘‘ayaṃ usabho pubbe sabbapacchā nikkhamati, ajja pana paṭhamaṃ nikkhamitvā dvāramajjhe niccalova ṭhito, kiṃ nu kho eta’’nti cintetvā gantvā tassa heṭṭhā nipannaṃ dārakaṃ disvā puttasinehaṃ paṭilabhitvā ‘‘putto me laddho’’ti gehaṃ nesi.
กาฬี คนฺตฺวา เสฎฺฐินา ปุจฺฉิตา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘คจฺฉ, นํ ปุน อิมํ สหสฺสํ ทตฺวา อาเนหี’’ติ วุตฺตา ปุน อาเนตฺวา อทาสิฯ อถ นํ เสฎฺฐิ อาห – ‘‘อมฺม กาฬิ, อิมสฺมิํ นคเร ปญฺจสกฎสตานิ ปจฺจูสกาเล อุฎฺฐาย วาณิชฺชาย คจฺฉนฺติ, ตฺวํ อิมํ เนตฺวา จกฺกมเคฺค นิปชฺชาเปหิ, โคณา วา นํ มทฺทิสฺสนฺติ, จกฺกํ วา ฉินฺทิสฺสติ, ปวตฺติญฺจสฺส ญตฺวา อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติฯ สา คนฺตฺวา จกฺกมเคฺค นิปชฺชาเปสิฯ สากฎิกเชฎฺฐโก ปุรโต อโหสิฯ อถสฺส โคณา ตํ ฐานํ ปตฺวา ธุรํ ฉเฑฺฑสุํ, ปุนปฺปุนํ อาโรเปตฺวา ปาชิยมานาปิ ปุรโต น คจฺฉิํสุฯ เอวํ ตสฺส เตหิ สทฺธิํ วายมนฺตเสฺสว อรุณํ อุฎฺฐหิฯ โส ‘‘กิํ นาม โคณา กริํสู’’ติ มคฺคํ โอโลเกโนฺต ทารกํ ทิสฺวา ‘‘ภาริยํ วต กมฺม’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ปุโตฺต เม ลโทฺธ’’ติ ตุฎฺฐมานโส ตํ เคหํ เนสิฯ
Kāḷī gantvā seṭṭhinā pucchitā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘gaccha, naṃ puna imaṃ sahassaṃ datvā ānehī’’ti vuttā puna ānetvā adāsi. Atha naṃ seṭṭhi āha – ‘‘amma kāḷi, imasmiṃ nagare pañcasakaṭasatāni paccūsakāle uṭṭhāya vāṇijjāya gacchanti, tvaṃ imaṃ netvā cakkamagge nipajjāpehi, goṇā vā naṃ maddissanti, cakkaṃ vā chindissati, pavattiñcassa ñatvā āgaccheyyāsī’’ti. Sā gantvā cakkamagge nipajjāpesi. Sākaṭikajeṭṭhako purato ahosi. Athassa goṇā taṃ ṭhānaṃ patvā dhuraṃ chaḍḍesuṃ, punappunaṃ āropetvā pājiyamānāpi purato na gacchiṃsu. Evaṃ tassa tehi saddhiṃ vāyamantasseva aruṇaṃ uṭṭhahi. So ‘‘kiṃ nāma goṇā kariṃsū’’ti maggaṃ olokento dārakaṃ disvā ‘‘bhāriyaṃ vata kamma’’nti cintetvā ‘‘putto me laddho’’ti tuṭṭhamānaso taṃ gehaṃ nesi.
กาฬีปิ คนฺตฺวา เสฎฺฐินา ปุจฺฉิตา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘คจฺฉ, นํ ปุน สหสฺสํ ทตฺวา อาเนหี’’ติ วุตฺตา ตถา อกาสิฯ อถ นํ เสฎฺฐิ อาห – ‘‘อิทานิ นํ อามกสุสานํ เนตฺวา คจฺฉนฺตเร นิปชฺชาเปหิ, ตตฺถ สุนขาทีหิ ขาทิโต, อมนุเสฺสน วา ปหโฎ มริสฺสติ, มตามตภาวญฺจสฺส ชานิตฺวา อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติฯ สา ตํ เนตฺวา ตตฺถ นิปชฺชาเปตฺวา เอกมเนฺต อฎฺฐาสิฯ ตํ สุนขาทโย วา อมนุโสฺส วา อุปสงฺกมิตุํ นาสกฺขิํสุฯ อเถโก อชปาโล อชา โคจรํ เนโนฺต สุสานปเสฺสน คจฺฉติฯ เอกา อชา ปณฺณานิ ขาทมานา คจฺฉนฺตรํ ปวิสิตฺวา ทารกํ ทิสฺวา ชณฺณุเกหิ ฐตฺวา ทารกสฺส ถนํ อทาสิฯ อชปาลเกน ‘‘เห เห’’ติ สเทฺท กเตปิ น นิกฺขมิฯ โส ‘‘ยฎฺฐิยา นํ ปหริตฺวา นีหริสฺสามี’’ติ คจฺฉนฺตรํ ปวิโฎฺฐ ชณฺณุเกหิ ฐตฺวา ทารกํ ขีรํ ปายนฺติํ ทิสฺวา ทารเก ปุตฺตสิเนหํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘ปุโตฺต เม ลโทฺธ’’ติ อาทาย ปกฺกามิฯ
Kāḷīpi gantvā seṭṭhinā pucchitā taṃ pavattiṃ ācikkhitvā ‘‘gaccha, naṃ puna sahassaṃ datvā ānehī’’ti vuttā tathā akāsi. Atha naṃ seṭṭhi āha – ‘‘idāni naṃ āmakasusānaṃ netvā gacchantare nipajjāpehi, tattha sunakhādīhi khādito, amanussena vā pahaṭo marissati, matāmatabhāvañcassa jānitvā āgaccheyyāsī’’ti. Sā taṃ netvā tattha nipajjāpetvā ekamante aṭṭhāsi. Taṃ sunakhādayo vā amanusso vā upasaṅkamituṃ nāsakkhiṃsu. Atheko ajapālo ajā gocaraṃ nento susānapassena gacchati. Ekā ajā paṇṇāni khādamānā gacchantaraṃ pavisitvā dārakaṃ disvā jaṇṇukehi ṭhatvā dārakassa thanaṃ adāsi. Ajapālakena ‘‘he he’’ti sadde katepi na nikkhami. So ‘‘yaṭṭhiyā naṃ paharitvā nīharissāmī’’ti gacchantaraṃ paviṭṭho jaṇṇukehi ṭhatvā dārakaṃ khīraṃ pāyantiṃ disvā dārake puttasinehaṃ paṭilabhitvā ‘‘putto me laddho’’ti ādāya pakkāmi.
กาฬี คนฺตฺวา เสฎฺฐินา ปุจฺฉิตา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘คจฺฉ, นํ ปุน สหสฺสํ ทตฺวา อาเนหี’’ติ วุตฺตา ตถา อกาสิฯ อย นํ เสฎฺฐิ อาห – ‘‘อมฺม, อิมํ อาทาย โจรปปาตปพฺพตํ อภิรุหิตฺวา ปปาเต ขิป, ปพฺพตกุจฺฉิยํ ปฎิหญฺญมาโน ขณฺฑาขณฺฑิโก หุตฺวา ภูมิยํ ปติสฺสติ, มตามตภาวญฺจสฺส ญตฺวา อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติฯ สา ตํ ตถา เนตฺวา ปพฺพตมตฺถเก ฐตฺวา ขิปิฯ ตํ โข ปน ปพฺพตกุจฺฉิํ นิสฺสาย มหาเวฬุคุโมฺพ ปพฺพตานุสาเรเนว วฑฺฒิ, ตสฺส มตฺถกํ ฆนชาโต ชิญฺชุกคุโมฺพ อวตฺถริฯ ทารโก ปตโนฺต โกชเว วิย ตสฺมิํ ปติฯ ตํ ทิวสญฺจ นฬการเชฎฺฐกสฺส เวณุพลิ ปโตฺต โหติฯ โส ปุเตฺตน สทฺธิํ คนฺตฺวา ตํ เวฬุคุมฺพํ ฉินฺทิตุํ อารภิฯ ตสฺมิํ จลิเต ทารโก สทฺทมกาสิฯ โส ทารกสโทฺท วิยาติ เอเกน ปเสฺสน อภิรุหิตฺวา ตํ ทิสฺวา ‘‘ปุโตฺต เม ลโทฺธ’’ติ ตุฎฺฐจิโตฺต อาทาย คโตฯ กาฬี คนฺตฺวา เสฎฺฐินา ปุจฺฉิตา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘คจฺฉ, นํ ปุน สหสฺสํ ทตฺวา อาเนหี’’ติ วุตฺตา ตถา อกาสิฯ
Kāḷī gantvā seṭṭhinā pucchitā taṃ pavattiṃ ācikkhitvā ‘‘gaccha, naṃ puna sahassaṃ datvā ānehī’’ti vuttā tathā akāsi. Aya naṃ seṭṭhi āha – ‘‘amma, imaṃ ādāya corapapātapabbataṃ abhiruhitvā papāte khipa, pabbatakucchiyaṃ paṭihaññamāno khaṇḍākhaṇḍiko hutvā bhūmiyaṃ patissati, matāmatabhāvañcassa ñatvā āgaccheyyāsī’’ti. Sā taṃ tathā netvā pabbatamatthake ṭhatvā khipi. Taṃ kho pana pabbatakucchiṃ nissāya mahāveḷugumbo pabbatānusāreneva vaḍḍhi, tassa matthakaṃ ghanajāto jiñjukagumbo avatthari. Dārako patanto kojave viya tasmiṃ pati. Taṃ divasañca naḷakārajeṭṭhakassa veṇubali patto hoti. So puttena saddhiṃ gantvā taṃ veḷugumbaṃ chindituṃ ārabhi. Tasmiṃ calite dārako saddamakāsi. So dārakasaddo viyāti ekena passena abhiruhitvā taṃ disvā ‘‘putto me laddho’’ti tuṭṭhacitto ādāya gato. Kāḷī gantvā seṭṭhinā pucchitā taṃ pavattiṃ ācikkhitvā ‘‘gaccha, naṃ puna sahassaṃ datvā ānehī’’ti vuttā tathā akāsi.
เสฎฺฐิโน อิทญฺจิทญฺจ กโรนฺตเสฺสว ทารโก วฑฺฒิโตฯ มหาโฆสวจนตฺตา จสฺส โฆสิโตเตว นามํ อโหสิฯ โส เสฎฺฐิโน อกฺขิมฺหิ กณฺฎโก วิย ขายิ, อุชุกํ โอโลเกตุมฺปิ น วิสหิฯ อถสฺส มรณูปายํ จิเนฺตโนฺต อตฺตโน กุมฺภการสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตสฺส ‘‘กทา อาวาปํ อาลิเมฺปสฺสสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เสฺว’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ อิทํ สหสฺสํ คณฺหิตฺวา มเมกํ กมฺมํ กโรหี’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ สามี’’ติ? ‘‘เอโก เม อวชาตปุโตฺต อตฺถิ, ตํ ตว สนฺติกํ เปสิสฺสามิ, อถ นํ คพฺภํ ปเวเสตฺวา ติณฺหาย วาสิยา ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทิตฺวา จาฎิยํ ปกฺขิปิตฺวา อาวาเป ปเวเสยฺยาสีติฯ อิทํ เต สหสฺสํ สจฺจการสทิสํ, อุตฺตริํ ปน เต กตฺตพฺพยุตฺตกํ ปจฺฉา กริสฺสามี’’ติฯ กุมฺภกาโร ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ
Seṭṭhino idañcidañca karontasseva dārako vaḍḍhito. Mahāghosavacanattā cassa ghositoteva nāmaṃ ahosi. So seṭṭhino akkhimhi kaṇṭako viya khāyi, ujukaṃ oloketumpi na visahi. Athassa maraṇūpāyaṃ cintento attano kumbhakārassa santikaṃ gantvā tassa ‘‘kadā āvāpaṃ ālimpessasī’’ti pucchitvā ‘‘sve’’ti vutte ‘‘tena hi idaṃ sahassaṃ gaṇhitvā mamekaṃ kammaṃ karohī’’ti āha. ‘‘Kiṃ sāmī’’ti? ‘‘Eko me avajātaputto atthi, taṃ tava santikaṃ pesissāmi, atha naṃ gabbhaṃ pavesetvā tiṇhāya vāsiyā khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinditvā cāṭiyaṃ pakkhipitvā āvāpe paveseyyāsīti. Idaṃ te sahassaṃ saccakārasadisaṃ, uttariṃ pana te kattabbayuttakaṃ pacchā karissāmī’’ti. Kumbhakāro ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.
เสฎฺฐิ ปุนทิวเส โฆสิตํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘หิโยฺย มยา กุมฺภกาโร เอกํ กมฺมํ อาณโตฺต, เอหิ , ตฺวํ ตาต, ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เอวํ วเทหิ ‘หิโยฺย กิร เม ปิตรา อาณตฺตํ กมฺมํ นิปฺผาเทหี’’’ติ ปหิณิฯ โส ‘‘สาธู’’ติ อคมาสิฯ ตํ ตตฺถ คจฺฉนฺตํ อิตโร เสฎฺฐิโน ปุโตฺต ทารเกหิ สทฺธิํ คุฬกกีฬํ กีฬโนฺต ทิสฺวา ปโกฺกสิตฺวา ‘‘กุหิํ คจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ปิตุ สาสนํ คเหตฺวา ‘‘กุมฺภการสฺส สนฺติก’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อหํ ตตฺถ คมิสฺสามิ, อิเม มํ ทารกา พหุลกฺขํ ชินิํสุ, ตํ เม ปฎิชินิตฺวา เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ ปิตุ ภายามี’’ติฯ ‘‘มา ภายิ, ภาติก, อหํ ตํ สาสนํ หริสฺสามี’’ติฯ ‘‘พหูหิ ชิโต ยาวาหํ อาคจฺฉามิ, ตาว เม ลกฺขํ ปฎิชินาหี’’ติฯ โฆสิโต กิร คุฬกกีฬายํ เฉโก, เตน นํ เอวํ นิพนฺธิฯ โสปิ ตํ ‘‘เตน หิ คนฺตฺวา กุมฺภการํ วเทหิ ‘ปิตรา กิร เม หิโยฺย เอกํ กมฺมํ อาณตฺตํ, ตํ นิปฺผาเทหี’’’ติ อุโยฺยเชสิฯ โส ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตถา อวจฯ อถ นํ กุมฺภกาโร เสฎฺฐินา วุตฺตนิยาเมน มาเรตฺวา อาวาเป ขิปิฯ โฆสิโตปิ ทิวสภาคํ กีฬิตฺวา สายนฺหสมเยว เคหํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ, ตาต, น คโตสี’’ติ วุเตฺต อตฺตโน อคตการณญฺจ กนิฎฺฐสฺส คตการณญฺจ อาโรเจสิฯ เสฎฺฐิ ‘‘ธี ธี’’ติ มหาวิรวํ วิรวิตฺวา สกลสรีเร ปกฺกุถิตโลหิโต วิย หุตฺวา ‘‘อโมฺภ กุมฺภการ, มา นาสยิ, มา นาสยี’’ติ พาหา ปคฺคยฺห กนฺทโนฺต ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ กุมฺภกาโร ตํ ตถา อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘สามิ, มา สทฺทํ กริ, กมฺมํ นิปฺผนฺน’’นฺติ อาหฯ โส ปพฺพเตน วิย มหเนฺตน โสเกน อวตฺถโฎ หุตฺวา อนปฺปกํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทสิฯ
Seṭṭhi punadivase ghositaṃ pakkositvā ‘‘hiyyo mayā kumbhakāro ekaṃ kammaṃ āṇatto, ehi , tvaṃ tāta, tassa santikaṃ gantvā evaṃ vadehi ‘hiyyo kira me pitarā āṇattaṃ kammaṃ nipphādehī’’’ti pahiṇi. So ‘‘sādhū’’ti agamāsi. Taṃ tattha gacchantaṃ itaro seṭṭhino putto dārakehi saddhiṃ guḷakakīḷaṃ kīḷanto disvā pakkositvā ‘‘kuhiṃ gacchasī’’ti pucchitvā pitu sāsanaṃ gahetvā ‘‘kumbhakārassa santika’’nti vutte ‘‘ahaṃ tattha gamissāmi, ime maṃ dārakā bahulakkhaṃ jiniṃsu, taṃ me paṭijinitvā dehī’’ti āha. ‘‘Ahaṃ pitu bhāyāmī’’ti. ‘‘Mā bhāyi, bhātika, ahaṃ taṃ sāsanaṃ harissāmī’’ti. ‘‘Bahūhi jito yāvāhaṃ āgacchāmi, tāva me lakkhaṃ paṭijināhī’’ti. Ghosito kira guḷakakīḷāyaṃ cheko, tena naṃ evaṃ nibandhi. Sopi taṃ ‘‘tena hi gantvā kumbhakāraṃ vadehi ‘pitarā kira me hiyyo ekaṃ kammaṃ āṇattaṃ, taṃ nipphādehī’’’ti uyyojesi. So tassa santikaṃ gantvā tathā avaca. Atha naṃ kumbhakāro seṭṭhinā vuttaniyāmena māretvā āvāpe khipi. Ghositopi divasabhāgaṃ kīḷitvā sāyanhasamayeva gehaṃ gantvā ‘‘kiṃ, tāta, na gatosī’’ti vutte attano agatakāraṇañca kaniṭṭhassa gatakāraṇañca ārocesi. Seṭṭhi ‘‘dhī dhī’’ti mahāviravaṃ viravitvā sakalasarīre pakkuthitalohito viya hutvā ‘‘ambho kumbhakāra, mā nāsayi, mā nāsayī’’ti bāhā paggayha kandanto tassa santikaṃ agamāsi. Kumbhakāro taṃ tathā āgacchantaṃ disvā ‘‘sāmi, mā saddaṃ kari, kammaṃ nipphanna’’nti āha. So pabbatena viya mahantena sokena avatthaṭo hutvā anappakaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedesi.
เอวํ สเนฺตปิ ปน เสฎฺฐิ ตํ อุชุกํ โอโลเกตุํ น สโกฺกติฯ ‘‘กินฺติ นํ มาเรยฺย’’นฺติ จิเนฺตโนฺต ‘‘มม คามสเต อายุตฺตกสฺส สนฺติกํ เปเสตฺวา มาราเปสฺสามี’’ติ อุปายํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เม อวชาตปุโตฺต, อิมํ มาเรตฺวา วจฺจกูเป ขิปตุ, เอวญฺจ กเต อหํ มาตุลสฺส กตฺตพฺพยุตฺตกํ ชานิสฺสามี’’ติ ตสฺส ปณฺณํ ลิขิตฺวา ‘‘ตาต โฆสิต, อมฺหากํ คามสเต อายุตฺตโก อตฺถิ, อิมํ ปณฺณํ หริตฺวา ตสฺส เทหี’’ติ วตฺวา ปณฺณํ ตสฺส ทุสฺสเนฺต พนฺธิฯ โส ปน อกฺขรสมยํ น ชานาติฯ ทหรกาลโต ปฎฺฐาย หิ ตํ มาราเปโนฺตว เสฎฺฐิ มาเรตุํ นาสกฺขิ, กิํ อกฺขรสมยํ สิกฺขาเปสฺสติฯ โส อตฺตโน มรณปณฺณเมว ทุสฺสเนฺต พนฺธิตฺวา นิกฺขมโนฺต อาห – ‘‘ปาเถยฺยํ เม, ตาต, นตฺถี’’ติฯ ‘‘ปาเถเยฺยน กมฺมํ นตฺถิ, อนฺตรามเคฺค อสุกคาเม นาม มม สหายโก เสฎฺฐิ อตฺถิ, ตสฺส ฆเร ปาตราสํ กตฺวา ปุรโต คจฺฉา’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปิตรํ วนฺทิตฺวา นิกฺขโนฺต ตํ คามํ ปตฺวา เสฎฺฐิฆรํ ปุจฺฉิตฺวา คนฺตฺวา เสฎฺฐิชายํ ปสฺสิฯ ‘‘กุโต อาคโตสี’’ติ จ วุเตฺต ‘‘อโนฺตนครโต’’ติ อาหฯ ‘‘กสฺส ปุโตฺตสี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ สหายเสฎฺฐิโน, อมฺมา’’ติฯ ‘‘ตฺวํสิ โฆสิโต นามา’’ติ? ‘‘อาม, อมฺมา’’ติฯ ตสฺสา สห ทสฺสเนเนว ตสฺมิํ ปุตฺตสิเนโห อุปฺปชฺชิฯ เสฎฺฐิโน ปเนกา ธีตา อตฺถิ ปนฺนรสโสฬสวสฺสุเทฺทสิกา อภิรูปา ปาสาทิกา, ตํ รกฺขิตุํ เอกเมว เปสนการิกํ ทาสิํ ทตฺวา สตฺตภูมิกสฺส ปาสาทสฺส อุปริมตเล สิริคเพฺภ วสาเปนฺติฯ เสฎฺฐิธีตา ตสฺมิํ ขเณ ตํ ทาสิํ อนฺตราปณํ เปเสสิฯ อถ นํ เสฎฺฐิชายา ทิสฺวา ‘‘กุหิํ คจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อยฺยธีตาย เปสเนนา’’ติ วุเตฺต ‘‘อิโต ตาว เอหิ, ติฎฺฐตุ เปสนํ, ปุตฺตสฺส เม ปีฐกํ อตฺถริตฺวา อุทกํ อาหริตฺวา ปาเท โธวิตฺวา เตลํ มกฺขิตฺวา สยนํ อตฺถริตฺวา เทหิ, ปจฺฉา เปสนํ กริสฺสสี’’ติ อาหฯ สา ตถา อกาสิฯ
Evaṃ santepi pana seṭṭhi taṃ ujukaṃ oloketuṃ na sakkoti. ‘‘Kinti naṃ māreyya’’nti cintento ‘‘mama gāmasate āyuttakassa santikaṃ pesetvā mārāpessāmī’’ti upāyaṃ disvā ‘‘ayaṃ me avajātaputto, imaṃ māretvā vaccakūpe khipatu, evañca kate ahaṃ mātulassa kattabbayuttakaṃ jānissāmī’’ti tassa paṇṇaṃ likhitvā ‘‘tāta ghosita, amhākaṃ gāmasate āyuttako atthi, imaṃ paṇṇaṃ haritvā tassa dehī’’ti vatvā paṇṇaṃ tassa dussante bandhi. So pana akkharasamayaṃ na jānāti. Daharakālato paṭṭhāya hi taṃ mārāpentova seṭṭhi māretuṃ nāsakkhi, kiṃ akkharasamayaṃ sikkhāpessati. So attano maraṇapaṇṇameva dussante bandhitvā nikkhamanto āha – ‘‘pātheyyaṃ me, tāta, natthī’’ti. ‘‘Pātheyyena kammaṃ natthi, antarāmagge asukagāme nāma mama sahāyako seṭṭhi atthi, tassa ghare pātarāsaṃ katvā purato gacchā’’ti. So ‘‘sādhū’’ti pitaraṃ vanditvā nikkhanto taṃ gāmaṃ patvā seṭṭhigharaṃ pucchitvā gantvā seṭṭhijāyaṃ passi. ‘‘Kuto āgatosī’’ti ca vutte ‘‘antonagarato’’ti āha. ‘‘Kassa puttosī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ sahāyaseṭṭhino, ammā’’ti. ‘‘Tvaṃsi ghosito nāmā’’ti? ‘‘Āma, ammā’’ti. Tassā saha dassaneneva tasmiṃ puttasineho uppajji. Seṭṭhino panekā dhītā atthi pannarasasoḷasavassuddesikā abhirūpā pāsādikā, taṃ rakkhituṃ ekameva pesanakārikaṃ dāsiṃ datvā sattabhūmikassa pāsādassa uparimatale sirigabbhe vasāpenti. Seṭṭhidhītā tasmiṃ khaṇe taṃ dāsiṃ antarāpaṇaṃ pesesi. Atha naṃ seṭṭhijāyā disvā ‘‘kuhiṃ gacchasī’’ti pucchitvā ‘‘ayyadhītāya pesanenā’’ti vutte ‘‘ito tāva ehi, tiṭṭhatu pesanaṃ, puttassa me pīṭhakaṃ attharitvā udakaṃ āharitvā pāde dhovitvā telaṃ makkhitvā sayanaṃ attharitvā dehi, pacchā pesanaṃ karissasī’’ti āha. Sā tathā akāsi.
อถ นํ จิเรนาคตํ เสฎฺฐิธีตา สนฺตเชฺชสิฯ อถ นํ สา อาห – ‘‘มา เม กุชฺฌิ, เสฎฺฐิปุโตฺต โฆสิโต อาคโต, ตสฺส อิทญฺจิทญฺจ กตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา อาคตามฺหี’’ติฯ เสฎฺฐิธีตาย ‘‘เสฎฺฐิปุโตฺต โฆสิโต’’ติ นามํ สุตฺวาว ปุพฺพสนฺนิวาสวเสน เปมํ ฉวิอาทีนิ ฉินฺทิตฺวา อฎฺฐิมิญฺชํ อาหจฺจ ฐิตํฯ อถ นํ ปุจฺฉิ ‘‘กุหิํ โส อมฺมา’’ติ? ‘‘สยเน นิปโนฺน นิทฺทายตี’’ติ ฯ ‘‘อตฺถิ ปนสฺส หเตฺถ กิญฺจี’’ติ? ‘‘ทุสฺสเนฺต ปณฺณํ อตฺถี’’ติฯ สา ‘‘กิํ ปณฺณํ นุ โข เอต’’นฺติ ตสฺมิํ นิทฺทายเนฺต มาตาปิตูนํ อญฺญวิหิตตาย อปสฺสนฺตานํ โอตริตฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ ปณฺณํ โมเจตฺวา อาทาย อตฺตโน คพฺภํ ปวิสิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย วาตปานํ วิวริตฺวา อกฺขรสมเย กุสลตาย ตํ ปณฺณํ วาเจตฺวา ‘‘อโห วต พาโล อตฺตโน มรณปณฺณํ ทุสฺสเนฺต พนฺธิตฺวา วิจรติ, สเจ มยา น ทิฎฺฐํ อสฺส, นตฺถิ ตสฺส ชีวิต’’นฺติฯ ตํ ปณฺณํ ผาเลตฺวา นาเสตฺวา เสฎฺฐิสฺส วจเนน อปรํ ปณฺณํ ลิขิ – ‘‘อยํ มม ปุโตฺต โฆสิโต นาม, คามสตโต ปณฺณาการํ อาหราเปตฺวา อิมสฺส ชนปทเสฎฺฐิโน ธีตรา สทฺธิํ มงฺคลํ กตฺวา อตฺตโน วสนคามสฺส มเชฺฌ ทฺวิภูมิกํ เคหํ กาเรตฺวา ปาการปริเกฺขเปน เจว ปุริสคุตฺตีหิ จ สุสํวิหิตารกฺขํ กโรตุ, มยฺหํ อิทญฺจิทญฺจ มยา กตนฺติ สาสนํ เปเสตุฯ เอวํ กเต อหํ มาตุลสฺส กตฺตพฺพยุตฺตกํ ชานิสฺสามี’’ติ ลิขิตฺวา จ ปณฺณํ สงฺฆริตฺวา ทุสฺสเนฺตเยวสฺส พนฺธิฯ
Atha naṃ cirenāgataṃ seṭṭhidhītā santajjesi. Atha naṃ sā āha – ‘‘mā me kujjhi, seṭṭhiputto ghosito āgato, tassa idañcidañca katvā tattha gantvā āgatāmhī’’ti. Seṭṭhidhītāya ‘‘seṭṭhiputto ghosito’’ti nāmaṃ sutvāva pubbasannivāsavasena pemaṃ chaviādīni chinditvā aṭṭhimiñjaṃ āhacca ṭhitaṃ. Atha naṃ pucchi ‘‘kuhiṃ so ammā’’ti? ‘‘Sayane nipanno niddāyatī’’ti . ‘‘Atthi panassa hatthe kiñcī’’ti? ‘‘Dussante paṇṇaṃ atthī’’ti. Sā ‘‘kiṃ paṇṇaṃ nu kho eta’’nti tasmiṃ niddāyante mātāpitūnaṃ aññavihitatāya apassantānaṃ otaritvā tassa santikaṃ gantvā taṃ paṇṇaṃ mocetvā ādāya attano gabbhaṃ pavisitvā dvāraṃ pidhāya vātapānaṃ vivaritvā akkharasamaye kusalatāya taṃ paṇṇaṃ vācetvā ‘‘aho vata bālo attano maraṇapaṇṇaṃ dussante bandhitvā vicarati, sace mayā na diṭṭhaṃ assa, natthi tassa jīvita’’nti. Taṃ paṇṇaṃ phāletvā nāsetvā seṭṭhissa vacanena aparaṃ paṇṇaṃ likhi – ‘‘ayaṃ mama putto ghosito nāma, gāmasatato paṇṇākāraṃ āharāpetvā imassa janapadaseṭṭhino dhītarā saddhiṃ maṅgalaṃ katvā attano vasanagāmassa majjhe dvibhūmikaṃ gehaṃ kāretvā pākāraparikkhepena ceva purisaguttīhi ca susaṃvihitārakkhaṃ karotu, mayhaṃ idañcidañca mayā katanti sāsanaṃ pesetu. Evaṃ kate ahaṃ mātulassa kattabbayuttakaṃ jānissāmī’’ti likhitvā ca paṇṇaṃ saṅgharitvā dussanteyevassa bandhi.
โส ทิวสภาคํ นิทฺทายิตฺวา อุฎฺฐาย ภุญฺชิตฺวา ปกฺกามิ, ปุนทิวเส ปาโตว ตํ คามํ คนฺตฺวา อายุตฺตกํ คามกิจฺจํ กโรนฺตเมว ปสฺสิฯ โส ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ ตาตา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ปิตรา เม ตุมฺหากํ ปณฺณํ เปสิต’’นฺติ วุเตฺต ปณฺณํ คเหตฺวา วาเจตฺวา ตุฎฺฐมานโส ‘‘ปสฺสถ, โภ, มม สามิโน มยิ สิเนหํ กตฺวา เชฎฺฐปุตฺตสฺส มงฺคลํ กโรตู’’ติ มม สนฺติกํ ปหิณิฯ ‘‘สีฆํ ทารุอาทีนิ อาหรถา’’ติ คหปติเก อาณาเปตฺวา คามมเชฺฌ วุตฺตปฺปการํ เคหํ การาเปตฺวา คามสตโต ปณฺณาการํ อาหราเปตฺวา ชนปทเสฎฺฐิโน ธีตรํ อาเนตฺวา มงฺคลํ กตฺวา เสฎฺฐิสฺส สาสนํ ปหิณิ ‘‘อิทญฺจิทญฺจ มยา กต’’นฺติฯ
So divasabhāgaṃ niddāyitvā uṭṭhāya bhuñjitvā pakkāmi, punadivase pātova taṃ gāmaṃ gantvā āyuttakaṃ gāmakiccaṃ karontameva passi. So taṃ disvā ‘‘kiṃ tātā’’ti pucchitvā ‘‘pitarā me tumhākaṃ paṇṇaṃ pesita’’nti vutte paṇṇaṃ gahetvā vācetvā tuṭṭhamānaso ‘‘passatha, bho, mama sāmino mayi sinehaṃ katvā jeṭṭhaputtassa maṅgalaṃ karotū’’ti mama santikaṃ pahiṇi. ‘‘Sīghaṃ dāruādīni āharathā’’ti gahapatike āṇāpetvā gāmamajjhe vuttappakāraṃ gehaṃ kārāpetvā gāmasatato paṇṇākāraṃ āharāpetvā janapadaseṭṭhino dhītaraṃ ānetvā maṅgalaṃ katvā seṭṭhissa sāsanaṃ pahiṇi ‘‘idañcidañca mayā kata’’nti.
ตํ สุตฺวา เสฎฺฐิโน ‘‘ยํ กาเรมิ, ตํ น โหติฯ ยํ น กาเรมิ, ตํ โหตี’’ติ มหนฺตํ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชิฯ ปุตฺตโสเกน สทฺธิํ โส โสโก เอกโต หุตฺวา กุจฺฉิทาหํ อุปฺปาเทตฺวา อติสารํ ชเนสิฯ เสฎฺฐิธีตาปิ ‘‘สเจ โกจิ เสฎฺฐิโน สนฺติกา อาคจฺฉติ, มม อกเถตฺวา เสฎฺฐิปุตฺตสฺส ปฐมตรํ มา กเถถา’’ติ อาณาเปสิฯ เสฎฺฐิปิ โข ‘‘น ทานิ ทุฎฺฐปุตฺตํ มม สาปเตยฺยสฺส สามิกํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอกํ อายุตฺตกํ อาห – ‘‘มาตุล, ปุตฺตํ เม ทฎฺฐุกาโมมฺหิ, เอกํ ปาทมูลิกํ เปเสตฺวา เอกํ ปณฺณํ ลิขิตฺวา เปเสตฺวา มม ปุตฺตํ ปโกฺกสาเปหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปณฺณํ ทตฺวา เอกํ ปุริสํ เปเสสิฯ เสฎฺฐิธีตา เสฎฺฐิสฺส พลวคิลานกาเล โฆสิตกุมารํ อาทาย อคมาสิฯ เสฎฺฐิ กาลมกาสิฯ ราชา ปิตริ กาลงฺกเต ปิตรา ภุตฺตโภคํ ทตฺวา สพฺพสเตน เสฎฺฐิฎฺฐานํ อทาสิฯ โฆสิตเสฎฺฐิ นาม หุตฺวา มหาสมฺปตฺติยํ ฐิโต เสฎฺฐิธีตาย กาฬิยา วจเนน อาทิโต ปฎฺฐาย สตฺตสุ ฐาเนสุ อตฺตโน มรณมุตฺตภาวํ ญตฺวา เทวสิกํ สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา ทานํ ปฎฺฐเปสีติฯ เอวมสฺส สตฺตสุ ฐาเนสุ อโรคภาโว ปุญฺญวโต อิทฺธิฯ ตตฺถ คหนฺติ เคหํ วุจฺจติ, คเห ปติ คหปติฯ มหาสาลกุเล อธิปติเสฺสตํ นามํฯ เกสุจิ โปตฺถเกสุ โฆสิตานนฺตรํ เมณฺฑโก ลิขิโตฯ
Taṃ sutvā seṭṭhino ‘‘yaṃ kāremi, taṃ na hoti. Yaṃ na kāremi, taṃ hotī’’ti mahantaṃ domanassaṃ uppajji. Puttasokena saddhiṃ so soko ekato hutvā kucchidāhaṃ uppādetvā atisāraṃ janesi. Seṭṭhidhītāpi ‘‘sace koci seṭṭhino santikā āgacchati, mama akathetvā seṭṭhiputtassa paṭhamataraṃ mā kathethā’’ti āṇāpesi. Seṭṭhipi kho ‘‘na dāni duṭṭhaputtaṃ mama sāpateyyassa sāmikaṃ karissāmī’’ti cintetvā ekaṃ āyuttakaṃ āha – ‘‘mātula, puttaṃ me daṭṭhukāmomhi, ekaṃ pādamūlikaṃ pesetvā ekaṃ paṇṇaṃ likhitvā pesetvā mama puttaṃ pakkosāpehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti paṇṇaṃ datvā ekaṃ purisaṃ pesesi. Seṭṭhidhītā seṭṭhissa balavagilānakāle ghositakumāraṃ ādāya agamāsi. Seṭṭhi kālamakāsi. Rājā pitari kālaṅkate pitarā bhuttabhogaṃ datvā sabbasatena seṭṭhiṭṭhānaṃ adāsi. Ghositaseṭṭhi nāma hutvā mahāsampattiyaṃ ṭhito seṭṭhidhītāya kāḷiyā vacanena ādito paṭṭhāya sattasu ṭhānesu attano maraṇamuttabhāvaṃ ñatvā devasikaṃ satasahassaṃ vissajjetvā dānaṃ paṭṭhapesīti. Evamassa sattasu ṭhānesu arogabhāvo puññavato iddhi. Tattha gahanti gehaṃ vuccati, gahe pati gahapati. Mahāsālakule adhipatissetaṃ nāmaṃ. Kesuci potthakesu ghositānantaraṃ meṇḍako likhito.
ปญฺจนฺนํ มหาปุญฺญานํ ปุญฺญวโต อิทฺธีติ เอตฺถ ปุญฺญิทฺธิ ปญฺจนฺนํ มหาปุญฺญานํ ทฎฺฐพฺพาติ อโตฺถฯ ปญฺจ มหาปุญฺญา นาม เมณฺฑกเสฎฺฐิ, ตสฺส ภริยา จนฺทปทุมา, ปุโตฺต ธนญฺจยเสฎฺฐิ, สุณิสา สุมนเทวี, โทโส ปุโณฺณ นามาติ อิเม ปญฺจ ชนา ปเจฺจกสมฺพุเทฺธ กตาธิการาฯ เตสุ เมณฺฑกเสฎฺฐิ อฑฺฒเตรสานิ โกฎฺฐสตานิ โสธาเปตฺวา สีสํ นฺหาโต ทฺวาเร นิสีทิตฺวา อุทฺธํ อุโลฺลเกติ, อากาสโต รตฺตสาลิธารา โอปติตฺวา สพฺพโกเฎฺฐ ปูเรติฯ ตสฺส ภริยา ตณฺฑุลํ เอกนาฬิมตฺตํ คเหตฺวา ภตฺตํ ปจาเปตฺวา เอกสฺมิํ สูปพฺยญฺชนเก สูปํ กาเรตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา ทฺวารโกฎฺฐเก ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘สเพฺพ ภเตฺตน อตฺถิกา อาคจฺฉนฺตู’’ติ โฆสาเปตฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา สุวณฺณกฎจฺฉุํ อาทาย อาคตาคตานํ อุปนีตภาชนานิ ปูเรตฺวา เทติ, สกลทิวสมฺปิ เทนฺติยา กฎจฺฉุนา สกิํ คหิตฎฺฐานมตฺตเมว ปญฺญายติฯ ตสฺส ปุโตฺต สีสํ นฺหาโต สหสฺสตฺถวิกํ อาทาย ‘‘กหาปเณหิ อตฺถิกา อาคจฺฉนฺตู’’ติ โฆสาเปตฺวา อาคตาคตานํ คหิตภาชนานิ ปูเรตฺวา เทติฯ ถวิกาย กหาปณสหสฺสเมว โหติฯ ตสฺส สุณิสา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา จตุโทณิกํ วีหิปิฎกํ อาทาย อาสเน นิสินฺนา ‘‘พีชภเตฺตน อตฺถิกา อาคจฺฉนฺตู’’ติ โฆสาเปตฺวา อาคตาคตานํ คหิตภาชนานิ ปูเรตฺวา เทติ, ปิฎกํ ยถาปูริตเมว โหติฯ ตสฺส ทาโส สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต สุวณฺณยุเค สุวณฺณโยเตฺตหิ โคเณ โยเชตฺวา สุวณฺณปโตทยฎฺฐิํ อาทาย โคณานํ คนฺธปญฺจงฺคุลิกานิ ทตฺวา วิสาเณสุ สุวณฺณโกสเก ปฎิมุญฺจิตฺวา เขตฺตํ คนฺตฺวา ปาเชติ , อิโต ติโสฺส, อิโต ติโสฺส, มเชฺฌ เอกาติ สตฺต สีตาโย ภิชฺชิตฺวา คจฺฉนฺติฯ ชมฺพุทีปวาสิโน ภตฺตพีชหิรญฺญสุวณฺณาทีสุ ยถารุจิตํ เสฎฺฐิเคหโตเยว คณฺหิํสุฯ อนุกฺกเมน ปน ภทฺทิยนครํ อนุปฺปเตฺต ภควติ ภควโต ธมฺมเทสนาย ปญฺจ มหาปุญฺญา จ ธนญฺจยเสฎฺฐิสฺส ธีตา วิสาขา จ โสตาปตฺติผลํ ปาปุณิํสุฯ อยํ ปน เนสํ ปญฺจนฺนํ มหาปุญฺญานํ ปุญฺญวโต อิทฺธิฯ สเงฺขเปน ปน ปริปากคเต ปุญฺญสมฺภาเร อิชฺฌนกวิเสโส ปุญฺญวโต อิทฺธิฯ
Pañcannaṃ mahāpuññānaṃ puññavato iddhīti ettha puññiddhi pañcannaṃ mahāpuññānaṃ daṭṭhabbāti attho. Pañca mahāpuññā nāma meṇḍakaseṭṭhi, tassa bhariyā candapadumā, putto dhanañcayaseṭṭhi, suṇisā sumanadevī, doso puṇṇo nāmāti ime pañca janā paccekasambuddhe katādhikārā. Tesu meṇḍakaseṭṭhi aḍḍhaterasāni koṭṭhasatāni sodhāpetvā sīsaṃ nhāto dvāre nisīditvā uddhaṃ ulloketi, ākāsato rattasālidhārā opatitvā sabbakoṭṭhe pūreti. Tassa bhariyā taṇḍulaṃ ekanāḷimattaṃ gahetvā bhattaṃ pacāpetvā ekasmiṃ sūpabyañjanake sūpaṃ kāretvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā dvārakoṭṭhake paññattāsane nisīditvā ‘‘sabbe bhattena atthikā āgacchantū’’ti ghosāpetvā pakkosāpetvā suvaṇṇakaṭacchuṃ ādāya āgatāgatānaṃ upanītabhājanāni pūretvā deti, sakaladivasampi dentiyā kaṭacchunā sakiṃ gahitaṭṭhānamattameva paññāyati. Tassa putto sīsaṃ nhāto sahassatthavikaṃ ādāya ‘‘kahāpaṇehi atthikā āgacchantū’’ti ghosāpetvā āgatāgatānaṃ gahitabhājanāni pūretvā deti. Thavikāya kahāpaṇasahassameva hoti. Tassa suṇisā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā catudoṇikaṃ vīhipiṭakaṃ ādāya āsane nisinnā ‘‘bījabhattena atthikā āgacchantū’’ti ghosāpetvā āgatāgatānaṃ gahitabhājanāni pūretvā deti, piṭakaṃ yathāpūritameva hoti. Tassa dāso sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito suvaṇṇayuge suvaṇṇayottehi goṇe yojetvā suvaṇṇapatodayaṭṭhiṃ ādāya goṇānaṃ gandhapañcaṅgulikāni datvā visāṇesu suvaṇṇakosake paṭimuñcitvā khettaṃ gantvā pājeti , ito tisso, ito tisso, majjhe ekāti satta sītāyo bhijjitvā gacchanti. Jambudīpavāsino bhattabījahiraññasuvaṇṇādīsu yathārucitaṃ seṭṭhigehatoyeva gaṇhiṃsu. Anukkamena pana bhaddiyanagaraṃ anuppatte bhagavati bhagavato dhammadesanāya pañca mahāpuññā ca dhanañcayaseṭṭhissa dhītā visākhā ca sotāpattiphalaṃ pāpuṇiṃsu. Ayaṃ pana nesaṃ pañcannaṃ mahāpuññānaṃ puññavato iddhi. Saṅkhepena pana paripākagate puññasambhāre ijjhanakaviseso puññavato iddhi.
วิชฺชามยิทฺธินิเทฺทเส อิชฺฌนาการํ คนฺธาริวิชฺชํ วา อุปจารสิทฺธํ ปตฺถิตสิทฺธํ อญฺญํ วา วิชฺชํ ธาเรนฺตีติ วิชฺชาธราฯ วิชฺชํ ปริชเปฺปตฺวาติ ยโถปจารํ วิชฺชํ มุเขน ปริวเตฺตตฺวาฯ เสสํ วุตฺตตฺถเมวาติฯ
Vijjāmayiddhiniddese ijjhanākāraṃ gandhārivijjaṃ vā upacārasiddhaṃ patthitasiddhaṃ aññaṃ vā vijjaṃ dhārentīti vijjādharā. Vijjaṃ parijappetvāti yathopacāraṃ vijjaṃ mukhena parivattetvā. Sesaṃ vuttatthamevāti.
สมฺมาปโยคิทฺธินิเทฺทเส อิชฺฌนาการมตฺตํ ปุจฺฉิตฺวา อญฺญสฺส วิเสสสฺส อภาวโต ‘‘กตมา’’ติ อปุจฺฉิตฺวา ปการมตฺตเมว ปุจฺฉเนฺตน ‘‘กถ’’นฺติ ปุจฺฉา กตา, ตเถว ‘‘เอว’’นฺติ นิคมนํ กตํฯ เอตฺถ จ ปฎิปตฺติสงฺขาตเสฺสว สมฺมาปโยคสฺส ทีปนวเสน ปุริมปาฬิสทิสาว ปาฬิ อาคตาฯ อฎฺฐกถายํ ปน สกฎพฺยูหาทิกรณวเสน ยํกิญฺจิ สํวิทหนํ ยํกิญฺจิ สิปฺปกมฺมํ ยํกิญฺจิ เวชฺชกมฺมํ ติณฺณํ เวทานํ อุคฺคหณํ ติณฺณํ ปิฎกานํ อุคฺคหณํ, อนฺตมโส กสนวปนาทีนิ อุปาทาย ตํ ตํ กมฺมํ กตฺวา นิพฺพตฺตวิเสโส ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคปจฺจยา อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธีติ อาคตาติฯ
Sammāpayogiddhiniddese ijjhanākāramattaṃ pucchitvā aññassa visesassa abhāvato ‘‘katamā’’ti apucchitvā pakāramattameva pucchantena ‘‘katha’’nti pucchā katā, tatheva ‘‘eva’’nti nigamanaṃ kataṃ. Ettha ca paṭipattisaṅkhātasseva sammāpayogassa dīpanavasena purimapāḷisadisāva pāḷi āgatā. Aṭṭhakathāyaṃ pana sakaṭabyūhādikaraṇavasena yaṃkiñci saṃvidahanaṃ yaṃkiñci sippakammaṃ yaṃkiñci vejjakammaṃ tiṇṇaṃ vedānaṃ uggahaṇaṃ tiṇṇaṃ piṭakānaṃ uggahaṇaṃ, antamaso kasanavapanādīni upādāya taṃ taṃ kammaṃ katvā nibbattaviseso tattha tattha sammāpayogapaccayā ijjhanaṭṭhena iddhīti āgatāti.
อิทฺธิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Iddhikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๒. อิทฺธิกถา • 2. Iddhikathā