Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๕๐. อิทฺธิวิธญาณนิเทฺทสวณฺณนา
50. Iddhividhañāṇaniddesavaṇṇanā
๑๐๑. อิทฺธิวิธญาณนิเทฺทสํ อิธ ภิกฺขูติ อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขุฯ ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตนฺติ เอตฺถ ฉนฺทเหตุโก สมาธิ, ฉนฺทาธิโก วา สมาธิ ฉนฺทสมาธิ, กตฺตุกมฺยตาฉนฺทํ อธิปติํ กริตฺวา ปฎิลทฺธสมาธิเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปธานภูตา สงฺขารา ปธานสงฺขารา, จตุกิจฺจสาธกสฺส สมฺมปฺปธานวีริยเสฺสตํ อธิวจนํฯ จตุกิจฺจสาธนวเสน พหุวจนํ กตํฯ สมนฺนาคตนฺติ ฉนฺทสมาธินา จ ปธานสงฺขาเรหิ จ อุเปตํฯ อิทฺธิปาทนฺติ นิปฺผตฺติปริยาเยน วา อิชฺฌนเฎฺฐน, อิชฺฌนฺติ เอตาย สตฺตา อิทฺธา วุทฺธา อุกฺกํสคตา โหนฺตีติ อิมินา วา ปริยาเยน อิทฺธีติ สงฺขํ คตานํ อุปจารชฺฌานาทิกุสลจิตฺตสมฺปยุตฺตานํ ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขารานํ อธิฎฺฐานเฎฺฐน ปาทภูตํ เสสจิตฺตเจตสิกราสินฺติ อโตฺถฯ วุตฺตญฺหิ อิทฺธิปาทวิภเงฺค สุตฺตนฺตภาชนีเย ‘‘อิทฺธิปาโทติ ตถาภูตสฺส เวทนากฺขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติ (วิภ. ๔๓๔)ฯ อภิธมฺมภาชนีเย จ ‘‘อิทฺธิปาโทติ ตถาภูตสฺส ผโสฺส เวทนา…เป.… ปคฺคาโห อวิเกฺขโป’’ติ (วิภ. ๔๔๗) วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘เสสจิตฺตเจตสิกราสิ’’นฺติ เอตฺถ? ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขาเรสุ เอเกกํ อิทฺธิํ กตฺวา ทฺวีหิ ทฺวีหิ สห เสสวจนํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวญฺหิ จตฺตาโร ขนฺธา สเพฺพ จ ผสฺสาทโย ธมฺมา สงฺคหิตา โหนฺติฯ อิมินา นเยน เสเสสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยเถว หิ ฉนฺทํ อธิปติํ กริตฺวา ปฎิลทฺธสมาธิ ฉนฺทสมาธีติ วุโตฺต, เอวํ วีริยํ จิตฺตํ วีมํสํ อธิปติํ กริตฺวา ปฎิลทฺธสมาธิ วีมํสาสมาธีติ วุจฺจติฯ เอวเมเกกสฺมิํ อิทฺธิปาเท ฉนฺทาทโย วีริยาทโย จิตฺตาทโย วีมํสาทโยติ ตโย ตโย ธมฺมา อิทฺธีปิ โหนฺติ อิทฺธิปาทาปิ, เสสา ปน สมฺปยุตฺตกา จตฺตาโร ขนฺธา อิทฺธิปาทาเยว ฯ ยสฺมา วา อิเม ตโย ตโย ธมฺมา สมฺปยุตฺตเกหิ จตูหิ ขเนฺธหิ สทฺธิํเยว อิชฺฌนฺติ, น วินา เตหิ, ตสฺมา เตน ปริยาเยน สเพฺพ จตฺตาโรปิ ขนฺธา อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธิ นาม โหนฺติ, ปติฎฺฐเฎฺฐน ปาทา นามาติปิ เวทิตพฺพํฯ
101. Iddhividhañāṇaniddesaṃ idha bhikkhūti imasmiṃ sāsane bhikkhu. Chandasamādhipadhānasaṅkhārasamannāgatanti ettha chandahetuko samādhi, chandādhiko vā samādhi chandasamādhi, kattukamyatāchandaṃ adhipatiṃ karitvā paṭiladdhasamādhissetaṃ adhivacanaṃ. Padhānabhūtā saṅkhārā padhānasaṅkhārā, catukiccasādhakassa sammappadhānavīriyassetaṃ adhivacanaṃ. Catukiccasādhanavasena bahuvacanaṃ kataṃ. Samannāgatanti chandasamādhinā ca padhānasaṅkhārehi ca upetaṃ. Iddhipādanti nipphattipariyāyena vā ijjhanaṭṭhena, ijjhanti etāya sattā iddhā vuddhā ukkaṃsagatā hontīti iminā vā pariyāyena iddhīti saṅkhaṃ gatānaṃ upacārajjhānādikusalacittasampayuttānaṃ chandasamādhipadhānasaṅkhārānaṃ adhiṭṭhānaṭṭhena pādabhūtaṃ sesacittacetasikarāsinti attho. Vuttañhi iddhipādavibhaṅge suttantabhājanīye ‘‘iddhipādoti tathābhūtassa vedanākkhandho…pe… viññāṇakkhandho’’ti (vibha. 434). Abhidhammabhājanīye ca ‘‘iddhipādoti tathābhūtassa phasso vedanā…pe… paggāho avikkhepo’’ti (vibha. 447) vuttaṃ. Tasmā ‘‘sesacittacetasikarāsi’’nti ettha? Chandasamādhipadhānasaṅkhāresu ekekaṃ iddhiṃ katvā dvīhi dvīhi saha sesavacanaṃ katanti veditabbaṃ. Evañhi cattāro khandhā sabbe ca phassādayo dhammā saṅgahitā honti. Iminā nayena sesesupi attho veditabbo. Yatheva hi chandaṃ adhipatiṃ karitvā paṭiladdhasamādhi chandasamādhīti vutto, evaṃ vīriyaṃ cittaṃ vīmaṃsaṃ adhipatiṃ karitvā paṭiladdhasamādhi vīmaṃsāsamādhīti vuccati. Evamekekasmiṃ iddhipāde chandādayo vīriyādayo cittādayo vīmaṃsādayoti tayo tayo dhammā iddhīpi honti iddhipādāpi, sesā pana sampayuttakā cattāro khandhā iddhipādāyeva . Yasmā vā ime tayo tayo dhammā sampayuttakehi catūhi khandhehi saddhiṃyeva ijjhanti, na vinā tehi, tasmā tena pariyāyena sabbe cattāropi khandhā ijjhanaṭṭhena iddhi nāma honti, patiṭṭhaṭṭhena pādā nāmātipi veditabbaṃ.
วีริยสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตนฺติ เอตฺถ ปน วีริยนฺติ จ ปธานสงฺขาโรติ จ เอโกเยวฯ กสฺมา ทฺวิธา วุตฺตนฺติ เจ? วีริยสฺส อธิปติภาวทสฺสนวเสเนตฺถ ปฐมํ วีริยคฺคหณํ กตํ, ตเสฺสว จตุกิจฺจสาธกตฺตทสฺสนตฺถํ ปธานสงฺขารวจนํ กตํฯ เอวํ ทฺวิธา วุตฺตตฺตา เอว เจตฺถาปิ ตโย ตโย ธมฺมาติ วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘วิภเงฺค ‘อิทฺธีติ ยา เตสํ เตสํ ธมฺมานํ อิทฺธิ สมิทฺธิ อิชฺฌนา สมิชฺฌนา’ติ (วิภ. ๔๓๔) วุตฺตตฺตา อิทฺธิ นาม อนิปฺผนฺนา, อิทฺธิปาโท นิปฺผโนฺน’’ติ วทนฺติฯ อิธ ปน อิทฺธิปิ อิทฺธิปาโทปิ นิปฺผโนฺน ลกฺขณพฺภาหโตติ สนฺนิฎฺฐานํ กตํฯ อิทฺธิ สมิทฺธีติอาทีหิ อิชฺฌนากาเรน ธมฺมา เอว วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ
Vīriyasamādhipadhānasaṅkhārasamannāgatanti ettha pana vīriyanti ca padhānasaṅkhāroti ca ekoyeva. Kasmā dvidhā vuttanti ce? Vīriyassa adhipatibhāvadassanavasenettha paṭhamaṃ vīriyaggahaṇaṃ kataṃ, tasseva catukiccasādhakattadassanatthaṃ padhānasaṅkhāravacanaṃ kataṃ. Evaṃ dvidhā vuttattā eva cetthāpi tayo tayo dhammāti vuttaṃ. Keci pana ‘‘vibhaṅge ‘iddhīti yā tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ iddhi samiddhi ijjhanā samijjhanā’ti (vibha. 434) vuttattā iddhi nāma anipphannā, iddhipādo nipphanno’’ti vadanti. Idha pana iddhipi iddhipādopi nipphanno lakkhaṇabbhāhatoti sanniṭṭhānaṃ kataṃ. Iddhi samiddhītiādīhi ijjhanākārena dhammā eva vuttāti veditabbaṃ.
ภาเวตีติ อาเสวติฯ สุตฺตนฺตภาชนีเย (วิภ. ๔๓๑ อาทโย) วิย อิธาปิ อิทฺธิปาทภาวนา โลกิยา เอวฯ ตสฺมา อิทฺธิวิธํ ตาว สมฺปาเทตุกาโม โลกิยํ อิทฺธิปาทํ ภาเวโนฺต ปถวีกสิณาทีสุ อฎฺฐสุ กสิเณสุ อธิกตวสิปฺปตฺตอฎฺฐสมาปตฺติโก กสิณานุโลมโต กสิณปฎิโลมโต กสิณานุโลมปฎิโลมโต ฌานานุโลมโต ฌานปฎิโลมโต ฌานานุโลมปฎิโลมโต ฌานุกฺกนฺติกโต กสิณุกฺกนฺติกโต ฌานกสิณุกฺกนฺติกโต องฺคสงฺกนฺติกโต อารมฺมณสงฺกนฺติกโต องฺคารมฺมณสงฺกนฺติกโต องฺคววตฺถานโต อารมฺมณววตฺถานโตติ อิเมหิ จุทฺทสหิ อากาเรหิ จิตฺตํ ปริทเมตฺวา ฉนฺทสีสวีริยสีสจิตฺตสีสวีมํสาสีสวเสน ปุนปฺปุนํ ฌานํ สมาปชฺชติฯ องฺคารมฺมณววตฺถานมฺปิ เกจิ อิจฺฉนฺติฯ ปุพฺพเหตุสมฺปเนฺนน ปน กสิเณสุ จตุกฺกชฺฌานมเตฺต จิณฺณวสินาปิ กาตุํ วฎฺฎตีติ ตํ ตํ อิทฺธิปาทํ สมาธิํ ภาเวโนฺต ‘‘อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทายา’’ติอาทิกํ (วิภ. ๔๓๒) จตุปฺปการํ วีริยํ อธิฎฺฐาติ, ตสฺส จ หานิวุทฺธิโย ญตฺวา วีริยสมตํ อธิฎฺฐาติฯ โส เอวํ จตูสุ อิทฺธิปาเทสุ จิตฺตํ ปริภาเวตฺวา อิทฺธิวิธํ สมฺปาเทติฯ
Bhāvetīti āsevati. Suttantabhājanīye (vibha. 431 ādayo) viya idhāpi iddhipādabhāvanā lokiyā eva. Tasmā iddhividhaṃ tāva sampādetukāmo lokiyaṃ iddhipādaṃ bhāvento pathavīkasiṇādīsu aṭṭhasu kasiṇesu adhikatavasippattaaṭṭhasamāpattiko kasiṇānulomato kasiṇapaṭilomato kasiṇānulomapaṭilomato jhānānulomato jhānapaṭilomato jhānānulomapaṭilomato jhānukkantikato kasiṇukkantikato jhānakasiṇukkantikato aṅgasaṅkantikato ārammaṇasaṅkantikato aṅgārammaṇasaṅkantikato aṅgavavatthānato ārammaṇavavatthānatoti imehi cuddasahi ākārehi cittaṃ paridametvā chandasīsavīriyasīsacittasīsavīmaṃsāsīsavasena punappunaṃ jhānaṃ samāpajjati. Aṅgārammaṇavavatthānampi keci icchanti. Pubbahetusampannena pana kasiṇesu catukkajjhānamatte ciṇṇavasināpi kātuṃ vaṭṭatīti taṃ taṃ iddhipādaṃ samādhiṃ bhāvento ‘‘anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāyā’’tiādikaṃ (vibha. 432) catuppakāraṃ vīriyaṃ adhiṭṭhāti, tassa ca hānivuddhiyo ñatvā vīriyasamataṃ adhiṭṭhāti. So evaṃ catūsu iddhipādesu cittaṃ paribhāvetvā iddhividhaṃ sampādeti.
โส อิเมสุ จตูสุ อิทฺธิปาเทสูติอาทีสุ โสติ โส ภาวิตจตุริทฺธิปาโท ภิกฺขุฯ จตูสุ อิทฺธิปาเทสุ จิตฺตํ ปริภาเวตีติ ปุนปฺปุนํ ฉนฺทาทีสุ เอเกกํ อธิปติํ กตฺวา ฌานสมาปชฺชนวเสน เตสุ จิตฺตํ ปริภาเวติ นาม, ฉนฺทาทิวาสนํ คาหาเปตีติ อโตฺถฯ ปริทเมตีติ นิพฺพิเสวนํ กโรติฯ ปุริมํ ปจฺฉิมสฺส การณวจนํฯ ปริภาวิตญฺหิ จิตฺตํ ปริทมิตํ โหตีติฯ มุทุํ กโรตีติ ตถา ทนฺตํ จิตฺตํ วสิปฺปตฺตํ กโรติฯ วเส วตฺตมานญฺหิ จิตฺตํ ‘‘มุทู’’ติ วุจฺจติฯ กมฺมนิยนฺติ กมฺมกฺขมํ กมฺมโยคฺคํ กโรติฯ มุทุ หิ จิตฺตํ กมฺมนิยํ โหติ สุธนฺตมิว สุวณฺณํ, อิธ ปน อิทฺธิวิธกมฺมกฺขมํฯ โสติ โส ปริภาวิตจิโตฺต ภิกฺขุฯ กายมฺปิ จิเตฺต สโมทหตีติอาทิ อิทฺธิกรณกาเล ยถาสุขํ จิตฺตจารสฺส อิชฺฌนตฺถํ โยควิธานํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ กายมฺปิ จิเตฺต สโมทหตีติ อตฺตโน กรชกายมฺปิ ปาทกชฺฌานจิเตฺต สโมทหติ ปเวเสติ อาโรเปติ, กายํ จิตฺตานุคติกํ กโรตีติ อโตฺถฯ เอวํ กรณํ อทิสฺสมาเนน กาเยน คมนสฺส อุปการาย โหติฯ จิตฺตมฺปิ กาเย สโมทหตีติ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ อตฺตโน กรชกาเย สโมทหติ อาโรเปติ , จิตฺตมฺปิ กายานุคติกํ กโรตีติ อโตฺถฯ เอวํ กรณํ ทิสฺสมาเนน กาเยน คมนสฺส อุปการาย โหติฯ สมาทหตีติปิ ปาโฐ, ปติฎฺฐาเปตีติ อโตฺถฯ กายวเสน จิตฺตํ ปริณาเมตีติ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ คเหตฺวา กรชกาเย อาโรเปติ กายานุคติกํ กโรติ, อิทํ จิตฺตํ กาเย สโมทหนสฺส เววจนํฯ จิตฺตวเสน กายํ ปริณาเมตีติ กรชกายํ คเหตฺวา ปาทกชฺฌานจิเตฺต อาโรเปติ, จิตฺตานุคติกํ กโรติ, อิทํ กายํ จิเตฺต สโมทหนสฺส เววจนํฯ อธิฎฺฐาตีติ ‘‘เอวํ โหตู’’ติ อธิฎฺฐาติฯ สโมทหนสฺส อตฺถวิวรณตฺถํ ปริณาโม วุโตฺต, ปริณามสฺส อตฺถวิวรณตฺถํ อธิฎฺฐานํ วุตฺตํฯ ยสฺมา สโมทหตีติ มูลปทํ, ปริณาเมติ อธิฎฺฐาตีติ ตสฺส อตฺถนิเทฺทสปทานิ , ตสฺมา เตสํ ทฺวินฺนํเยว ปทานํ วเสน ปริณาเมตฺวาติ อธิฎฺฐหิตฺวาติ วุตฺตํ, น วุตฺตํ สโมทหิตฺวาติฯ
Soimesu catūsu iddhipādesūtiādīsu soti so bhāvitacaturiddhipādo bhikkhu. Catūsu iddhipādesu cittaṃ paribhāvetīti punappunaṃ chandādīsu ekekaṃ adhipatiṃ katvā jhānasamāpajjanavasena tesu cittaṃ paribhāveti nāma, chandādivāsanaṃ gāhāpetīti attho. Paridametīti nibbisevanaṃ karoti. Purimaṃ pacchimassa kāraṇavacanaṃ. Paribhāvitañhi cittaṃ paridamitaṃ hotīti. Muduṃ karotīti tathā dantaṃ cittaṃ vasippattaṃ karoti. Vase vattamānañhi cittaṃ ‘‘mudū’’ti vuccati. Kammaniyanti kammakkhamaṃ kammayoggaṃ karoti. Mudu hi cittaṃ kammaniyaṃ hoti sudhantamiva suvaṇṇaṃ, idha pana iddhividhakammakkhamaṃ. Soti so paribhāvitacitto bhikkhu. Kāyampi citte samodahatītiādi iddhikaraṇakāle yathāsukhaṃ cittacārassa ijjhanatthaṃ yogavidhānaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tattha kāyampi citte samodahatīti attano karajakāyampi pādakajjhānacitte samodahati paveseti āropeti, kāyaṃ cittānugatikaṃ karotīti attho. Evaṃ karaṇaṃ adissamānena kāyena gamanassa upakārāya hoti. Cittampi kāye samodahatīti pādakajjhānacittaṃ attano karajakāye samodahati āropeti , cittampi kāyānugatikaṃ karotīti attho. Evaṃ karaṇaṃ dissamānena kāyena gamanassa upakārāya hoti. Samādahatītipi pāṭho, patiṭṭhāpetīti attho. Kāyavasena cittaṃ pariṇāmetīti pādakajjhānacittaṃ gahetvā karajakāye āropeti kāyānugatikaṃ karoti, idaṃ cittaṃ kāye samodahanassa vevacanaṃ. Cittavasena kāyaṃ pariṇāmetīti karajakāyaṃ gahetvā pādakajjhānacitte āropeti, cittānugatikaṃ karoti, idaṃ kāyaṃ citte samodahanassa vevacanaṃ. Adhiṭṭhātīti ‘‘evaṃ hotū’’ti adhiṭṭhāti. Samodahanassa atthavivaraṇatthaṃ pariṇāmo vutto, pariṇāmassa atthavivaraṇatthaṃ adhiṭṭhānaṃ vuttaṃ. Yasmā samodahatīti mūlapadaṃ, pariṇāmeti adhiṭṭhātīti tassa atthaniddesapadāni , tasmā tesaṃ dvinnaṃyeva padānaṃ vasena pariṇāmetvāti adhiṭṭhahitvāti vuttaṃ, na vuttaṃ samodahitvāti.
สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ กาเย โอกฺกมิตฺวา วิหรตีติ จตุตฺถชฺฌาเนน สหชาตสุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ สมาปชฺชนวเสน กรชกาเย โอกฺกมิตฺวา ปเวเสตฺวา วิหรติฯ ตาย สญฺญาย โอกฺกนฺตกายสฺส ปนสฺส กรชกาโยปิ ตูลปิจุ วิย ลหุโก โหติฯ โสติ โส กตโยควิธาโน ภิกฺขุฯ ตถาภาวิเตน จิเตฺตนาติ อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ กรณวจนํ, เหตุอเตฺถ วา, ตถาภาวิเตน จิเตฺตน เหตุภูเตนาติ อโตฺถฯ ปริสุเทฺธนาติ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิภาวโต ปริสุเทฺธนฯ ปริสุทฺธตฺตาเยว ปริโยทาเตน, ปภสฺสเรนาติ อโตฺถฯ อิทฺธิวิธญาณายาติ อิทฺธิโกฎฺฐาเส, อิทฺธิวิกเปฺป วา ญาณตฺถายฯ จิตฺตํ อภินีหรตีติ โส ภิกฺขุ วุตฺตปฺปการวเสน ตสฺมิํ จิเตฺต อภิญฺญาปาทเก ชาเต อิทฺธิวิธญาณาธิคมตฺถาย ปริกมฺมจิตฺตํ อภินีหรติ, กสิณารมฺมณโต อปเนตฺวา อิทฺธิวิธาภิมุขํ เปเสติฯ อภินินฺนาเมตีติ อธิคนฺตพฺพอิทฺธิโปณํ อิทฺธิปพฺภารํ กโรติฯ โสติ โส เอวํ กตจิตฺตาภินีหาโร ภิกฺขุฯ อเนกวิหิตนฺติ อเนกวิธํ นานปฺปการกํฯ อิทฺธิวิธนฺติ อิทฺธิโกฎฺฐาสํ, อิทฺธิวิกปฺปํ วาฯ ปจฺจนุโภตีติ ปจฺจนุภวติ, ผเสฺสติ สจฺฉิกโรติ ปาปุณาตีติ อโตฺถฯ
Sukhasaññañca lahusaññañca kāye okkamitvā viharatīti catutthajjhānena sahajātasukhasaññañca lahusaññañca samāpajjanavasena karajakāye okkamitvā pavesetvā viharati. Tāya saññāya okkantakāyassa panassa karajakāyopi tūlapicu viya lahuko hoti. Soti so katayogavidhāno bhikkhu. Tathābhāvitena cittenāti itthambhūtalakkhaṇe karaṇavacanaṃ, hetuatthe vā, tathābhāvitena cittena hetubhūtenāti attho. Parisuddhenāti upekkhāsatipārisuddhibhāvato parisuddhena. Parisuddhattāyeva pariyodātena, pabhassarenāti attho. Iddhividhañāṇāyāti iddhikoṭṭhāse, iddhivikappe vā ñāṇatthāya. Cittaṃ abhinīharatīti so bhikkhu vuttappakāravasena tasmiṃ citte abhiññāpādake jāte iddhividhañāṇādhigamatthāya parikammacittaṃ abhinīharati, kasiṇārammaṇato apanetvā iddhividhābhimukhaṃ peseti. Abhininnāmetīti adhigantabbaiddhipoṇaṃ iddhipabbhāraṃ karoti. Soti so evaṃ katacittābhinīhāro bhikkhu. Anekavihitanti anekavidhaṃ nānappakārakaṃ. Iddhividhanti iddhikoṭṭhāsaṃ, iddhivikappaṃ vā. Paccanubhotīti paccanubhavati, phasseti sacchikaroti pāpuṇātīti attho.
๑๐๒. อิทานิสฺส อเนกวิหิตภาวํ ทเสฺสโนฺต เอโกปิ หุตฺวาติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอโกปิ หุตฺวาติ อิทฺธิกรณโต ปุเพฺพ ปกติยา เอโกปิ หุตฺวาฯ พหุธา โหตีติ พหุนฺนํ สนฺติเก จงฺกมิตุกาโม วา, สชฺฌายํ วา กตฺตุกาโม, ปญฺหํ วา ปุจฺฉิตุกาโม หุตฺวา สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ โหติฯ กถํ ปนายเมวํ โหติ? อิทฺธิยา ภูมิปาทปทมูลภูเต ธเมฺม สมฺปาเทตฺวา อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย สเจ สตํ อิจฺฉติ, ‘‘สตํ โหมิ สตํ โหมี’’ติ ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อธิฎฺฐาติฯ อธิฎฺฐานจิเตฺตน สเหว สตํ โหติฯ สหสฺสาทีสุปิ เอเสว นโยฯ สเจ เอวํ น อิชฺฌติ, ปุน ปริกมฺมํ กตฺวา ทุติยมฺปิ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สํยุตฺตฎฺฐกถายญฺหิ ‘‘เอกวารํ เทฺววารํ สมาปชฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ นิมิตฺตารมฺมณํ, ปริกมฺมจิตฺตานิ สตารมฺมณานิ วา สหสฺสารมฺมณานิ วาฯ ตานิ จ โข วณฺณวเสเนว, โน ปณฺณตฺติวเสนฯ อธิฎฺฐานจิตฺตมฺปิ ตเถว สตารมฺมณํ วา สหสฺสารมฺมณํ วา, ตํ ปฐมปฺปนาจิตฺตมิว โคตฺรภุอนนฺตรํ เอกเมว อุปฺปชฺชติ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานิกํ ฯ ตตฺถ เย เต พหู นิมฺมิตา, เต อนิยเมตฺวา นิมฺมิตตฺตา อิทฺธิมตา สทิสาว โหนฺติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ วา ภาสิตตุณฺหีภาวาทีสุ วา ยํ ยํ อิทฺธิมา กโรติ, ตํตเทว กโรนฺติฯ สเจ ปน นานาวเณฺณ กาตุกาโม โหติ, เกจิ ปฐมวเย เกจิ มชฺฌิมวเย เกจิ ปจฺฉิมวเย, ตถา ทีฆเกเส อุปฑฺฒมุณฺฑมุเณฺฑ มิสฺสกเกเส อุปฑฺฒรตฺตจีวเร ปณฺฑุกจีวเร ปทภาณธมฺมกถาสรภญฺญปญฺหปุจฺฉนปญฺหวิสฺสชฺชนรชนปจนจีวรสิพฺพนโธวนาทีนิ กโรเนฺต, อปเรปิ วา นานปฺปการเก กาตุกาโม โหติ, เตน ปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐาย ‘‘เอตฺตกา ภิกฺขู ปฐมวยา โหนฺตู’’ติอาทินา นเยน ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อธิฎฺฐาตพฺพํฯ อธิฎฺฐานจิเตฺตน สทฺธิํ อิจฺฉิตปฺปการาเยว โหนฺตีติฯ เอส นโย ‘‘พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหตี’’ติอาทีสุฯ อยํ ปน วิเสโส – อิมินา หิ ภิกฺขุนา เอวํ พหุภาวํ นิมฺมินิตฺวา ปุน ‘‘เอโกว หุตฺวา จงฺกมิสฺสามิ, สชฺฌายํ กริสฺสามิ, ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา วา ‘‘อยํ วิหาโร อปฺปภิกฺขุโก, สเจ เกจิ อาคมิสฺสนฺติ, กุโต อิเม เอตฺตกา เอกสทิสา ภิกฺขู อทฺธา เถรสฺส เอสานุภาโวติ มํ ชานิสฺสนฺตี’’ติ อปฺปิจฺฉตาย วา อนฺตราว ‘‘เอโก โหมี’’ติ อิจฺฉเนฺตน ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ‘‘เอโก โหมี’’ติ ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ‘‘เอโก โหมี’’ติ อธิฎฺฐาตพฺพํ ฯ อธิฎฺฐานจิเตฺตน สทฺธิํเยว เอโก โหติฯ เอวํ อกโรโนฺต ปน ยถาปริจฺฉินฺนกาลวเสน สยเมว เอโก โหติฯ
102. Idānissa anekavihitabhāvaṃ dassento ekopi hutvātiādimāha. Tattha ekopi hutvāti iddhikaraṇato pubbe pakatiyā ekopi hutvā. Bahudhā hotīti bahunnaṃ santike caṅkamitukāmo vā, sajjhāyaṃ vā kattukāmo, pañhaṃ vā pucchitukāmo hutvā satampi sahassampi hoti. Kathaṃ panāyamevaṃ hoti? Iddhiyā bhūmipādapadamūlabhūte dhamme sampādetvā abhiññāpādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya sace sataṃ icchati, ‘‘sataṃ homi sataṃ homī’’ti parikammaṃ katvā puna pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya adhiṭṭhāti. Adhiṭṭhānacittena saheva sataṃ hoti. Sahassādīsupi eseva nayo. Sace evaṃ na ijjhati, puna parikammaṃ katvā dutiyampi samāpajjitvā vuṭṭhāya adhiṭṭhātabbaṃ. Saṃyuttaṭṭhakathāyañhi ‘‘ekavāraṃ dvevāraṃ samāpajjituṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Tattha pādakajjhānacittaṃ nimittārammaṇaṃ, parikammacittāni satārammaṇāni vā sahassārammaṇāni vā. Tāni ca kho vaṇṇavaseneva, no paṇṇattivasena. Adhiṭṭhānacittampi tatheva satārammaṇaṃ vā sahassārammaṇaṃ vā, taṃ paṭhamappanācittamiva gotrabhuanantaraṃ ekameva uppajjati rūpāvacaracatutthajjhānikaṃ . Tattha ye te bahū nimmitā, te aniyametvā nimmitattā iddhimatā sadisāva honti. Ṭhānanisajjādīsu vā bhāsitatuṇhībhāvādīsu vā yaṃ yaṃ iddhimā karoti, taṃtadeva karonti. Sace pana nānāvaṇṇe kātukāmo hoti, keci paṭhamavaye keci majjhimavaye keci pacchimavaye, tathā dīghakese upaḍḍhamuṇḍamuṇḍe missakakese upaḍḍharattacīvare paṇḍukacīvare padabhāṇadhammakathāsarabhaññapañhapucchanapañhavissajjanarajanapacanacīvarasibbanadhovanādīni karonte, aparepi vā nānappakārake kātukāmo hoti, tena pādakajjhānato vuṭṭhāya ‘‘ettakā bhikkhū paṭhamavayā hontū’’tiādinā nayena parikammaṃ katvā puna samāpajjitvā vuṭṭhāya adhiṭṭhātabbaṃ. Adhiṭṭhānacittena saddhiṃ icchitappakārāyeva hontīti. Esa nayo ‘‘bahudhāpi hutvā eko hotī’’tiādīsu. Ayaṃ pana viseso – iminā hi bhikkhunā evaṃ bahubhāvaṃ nimminitvā puna ‘‘ekova hutvā caṅkamissāmi, sajjhāyaṃ karissāmi, pañhaṃ pucchissāmī’’ti cintetvā vā ‘‘ayaṃ vihāro appabhikkhuko, sace keci āgamissanti, kuto ime ettakā ekasadisā bhikkhū addhā therassa esānubhāvoti maṃ jānissantī’’ti appicchatāya vā antarāva ‘‘eko homī’’ti icchantena pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya ‘‘eko homī’’ti parikammaṃ katvā puna samāpajjitvā vuṭṭhāya ‘‘eko homī’’ti adhiṭṭhātabbaṃ . Adhiṭṭhānacittena saddhiṃyeva eko hoti. Evaṃ akaronto pana yathāparicchinnakālavasena sayameva eko hoti.
อาวิภาวนฺติ ปากฎภาวํ กโรตีติ อโตฺถฯ ติโรภาวนฺติ ปฎิจฺฉนฺนภาวํ กโรตีติ อโตฺถฯ อาวิภาวํ ปจฺจนุโภติ, ติโรภาวํ ปจฺจนุโภตีติ ปุริเมน วา สมฺพโนฺธฯ ตตฺรายํ อิทฺธิมา อาวิภาวํ กตฺตุกาโม อนฺธการํ วา อาโลกํ กโรติ, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวฎํ กโรติ, อนาปาถํ วา อาปาถํ กโรติฯ กถํ? อยญฺหิ ยถา ปฎิจฺฉโนฺนปิ ทูเร ฐิโตปิ วา ทิสฺสติ, เอวํ อตฺตานํ วา ปรํ วา กตฺตุกาโม ปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐาย ‘‘อิทํ อนฺธการํ อาโลกชาตํ โหตู’’ติ วา, ‘‘อิทํ ปฎิจฺฉนฺนํ วิวฎํ โหตู’’ติ วา, ‘‘อิทํ อนาปาถํ อาปาถํ โหตู’’ติ วา อาวชฺชิตฺวา ปริกมฺมํ กตฺวา วุตฺตนเยเนว อธิฎฺฐาติฯ สห อธิฎฺฐานา ยถาธิฎฺฐิตเมว โหติฯ ปเร ทูเร ฐิตาปิ ปสฺสนฺติ, สยมฺปิ ปสฺสิตุกาโม ปสฺสติฯ ติโรภาวํ กตฺตุกาโม ปน อาโลกํ วา อนฺธการํ กโรติ, อปฺปฎิจฺฉนฺนํ วา ปฎิจฺฉนฺนํ, อาปาถํ วา อนาปาถํ กโรติฯ กถํ? อยญฺหิ ยถา อปฺปฎิจฺฉโนฺนปิ สมีเป ฐิโตปิ วา น ทิสฺสติ, เอวํ อตฺตานํ วา ปรํ วา กตฺตุกาโม ปาทกชฺฌานา วุฎฺฐหิตฺวา ‘‘อิทํ อาโลกฎฺฐานํ อนฺธการํ โหตู’’ติ วา, ‘‘อิทํ อปฺปฎิจฺฉนฺนํ ปฎิจฺฉนฺนํ โหตู’’ติ วา, ‘‘อิทํ อาปาถํ อนาปาถํ โหตู’’ติ วา อาวชฺชิตฺวา ปริกมฺมํ กตฺวา วุตฺตนเยเนว อธิฎฺฐาติฯ สห อธิฎฺฐานา ยถาธิฎฺฐิตเมว โหติฯ ปเร สมีเป ฐิตาปิ น ปสฺสนฺติ, สยมฺปิ อปสฺสิตุกาโม น ปสฺสติฯ อปิจ สพฺพมฺปิ ปากฎปาฎิหาริยํ อาวิภาโว นาม, อปากฎปาฎิหาริยํ ติโรภาโว นามฯ ตตฺถ ปากฎปาฎิหาริเย อิทฺธิปิ ปญฺญายติ อิทฺธิมาปิฯ ตํ ยมกปาฎิหาริเยน ทีเปตพฺพํฯ อปากฎปาฎิหาริเย อิทฺธิเยว ปญฺญายติ, น อิทฺธิมาฯ ตํ มหกสุเตฺตน (สํ. นิ. ๔.๓๔๖) จ พฺรหฺมนิมนฺตนิกสุเตฺตน (ม. นิ. ๑.๕๐๑ อาทโย) จ ทีเปตพฺพํฯ
Āvibhāvanti pākaṭabhāvaṃ karotīti attho. Tirobhāvanti paṭicchannabhāvaṃ karotīti attho. Āvibhāvaṃ paccanubhoti, tirobhāvaṃ paccanubhotīti purimena vā sambandho. Tatrāyaṃ iddhimā āvibhāvaṃ kattukāmo andhakāraṃ vā ālokaṃ karoti, paṭicchannaṃ vā vivaṭaṃ karoti, anāpāthaṃ vā āpāthaṃ karoti. Kathaṃ? Ayañhi yathā paṭicchannopi dūre ṭhitopi vā dissati, evaṃ attānaṃ vā paraṃ vā kattukāmo pādakajjhānato vuṭṭhāya ‘‘idaṃ andhakāraṃ ālokajātaṃ hotū’’ti vā, ‘‘idaṃ paṭicchannaṃ vivaṭaṃ hotū’’ti vā, ‘‘idaṃ anāpāthaṃ āpāthaṃ hotū’’ti vā āvajjitvā parikammaṃ katvā vuttanayeneva adhiṭṭhāti. Saha adhiṭṭhānā yathādhiṭṭhitameva hoti. Pare dūre ṭhitāpi passanti, sayampi passitukāmo passati. Tirobhāvaṃ kattukāmo pana ālokaṃ vā andhakāraṃ karoti, appaṭicchannaṃ vā paṭicchannaṃ, āpāthaṃ vā anāpāthaṃ karoti. Kathaṃ? Ayañhi yathā appaṭicchannopi samīpe ṭhitopi vā na dissati, evaṃ attānaṃ vā paraṃ vā kattukāmo pādakajjhānā vuṭṭhahitvā ‘‘idaṃ ālokaṭṭhānaṃ andhakāraṃ hotū’’ti vā, ‘‘idaṃ appaṭicchannaṃ paṭicchannaṃ hotū’’ti vā, ‘‘idaṃ āpāthaṃ anāpāthaṃ hotū’’ti vā āvajjitvā parikammaṃ katvā vuttanayeneva adhiṭṭhāti. Saha adhiṭṭhānā yathādhiṭṭhitameva hoti. Pare samīpe ṭhitāpi na passanti, sayampi apassitukāmo na passati. Apica sabbampi pākaṭapāṭihāriyaṃ āvibhāvo nāma, apākaṭapāṭihāriyaṃ tirobhāvo nāma. Tattha pākaṭapāṭihāriye iddhipi paññāyati iddhimāpi. Taṃ yamakapāṭihāriyena dīpetabbaṃ. Apākaṭapāṭihāriye iddhiyeva paññāyati, na iddhimā. Taṃ mahakasuttena (saṃ. ni. 4.346) ca brahmanimantanikasuttena (ma. ni. 1.501 ādayo) ca dīpetabbaṃ.
ติโรกุฎฺฎนฺติ ปรกุฎฺฎํ, กุฎฺฎสฺส ปรภาคนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอส นโย ติโรปาการติโรปพฺพเตสุฯ กุโฎฺฎติ จ เคหภิตฺติฯ ปากาโรติ เคหวิหารคามาทีนํ ปริเกฺขปปากาโรฯ ปพฺพโตติ ปํสุปพฺพโต วา ปาสาณปพฺพโต วาฯ อสชฺชมาโนติ อลคฺคมาโนฯ เสยฺยถาปิ อากาเสติ อากาเส วิยฯ เอวํ คนฺตุกาเมน ปน อากาสกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย กุฎฺฎํ วา ปาการํ วา ปพฺพตํ วา อาวชฺชิตฺวา กตปริกเมฺมน ‘‘อากาโส โหตู’’ติ อธิฎฺฐาตโพฺพ, อากาโสว โหติฯ อโธ โอตริตุกามสฺส, อุทฺธํ วา อาโรหิตุกามสฺส สุสิโร โหติ, วินิวิชฺฌิตฺวา คนฺตุกามสฺส ฉิโทฺทฯ โส ตตฺถ อสชฺชมาโน คจฺฉติฯ สเจ ปนสฺส ภิกฺขุโน อธิฎฺฐหิตฺวา คจฺฉนฺตสฺส อนฺตรา ปพฺพโต วา รุโกฺข วา อุเฎฺฐติ, กิํ ปุน สมาปชฺชิตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพนฺติ? โทโส นตฺถิฯ ปุน สมาปชฺชิตฺวา อธิฎฺฐานญฺหิ อุปชฺฌายสฺส สนฺติเก นิสฺสยคฺคหณสทิสํ โหติฯ อิมินา ปน ภิกฺขุนา ‘‘อากาโส โหตู’’ติ อธิฎฺฐิตตฺตา อากาโส โหติเยวฯ ปุริมาธิฎฺฐานพเลเนว จสฺส อนฺตรา อโญฺญ ปพฺพโต วา รุโกฺข วา อุตุมโย อุฎฺฐหิสฺสตีติ อฎฺฐานเมตํฯ อเญฺญน อิทฺธิมตา นิมฺมิเต ปน ปฐมํ นิมฺมานํ พลวํ โหติฯ อิตเรน ตสฺส อุทฺธํ วา อโธ วา คนฺตพฺพํฯ
Tirokuṭṭanti parakuṭṭaṃ, kuṭṭassa parabhāganti vuttaṃ hoti. Esa nayo tiropākāratiropabbatesu. Kuṭṭoti ca gehabhitti. Pākāroti gehavihāragāmādīnaṃ parikkhepapākāro. Pabbatoti paṃsupabbato vā pāsāṇapabbato vā. Asajjamānoti alaggamāno. Seyyathāpi ākāseti ākāse viya. Evaṃ gantukāmena pana ākāsakasiṇaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya kuṭṭaṃ vā pākāraṃ vā pabbataṃ vā āvajjitvā kataparikammena ‘‘ākāso hotū’’ti adhiṭṭhātabbo, ākāsova hoti. Adho otaritukāmassa, uddhaṃ vā ārohitukāmassa susiro hoti, vinivijjhitvā gantukāmassa chiddo. So tattha asajjamāno gacchati. Sace panassa bhikkhuno adhiṭṭhahitvā gacchantassa antarā pabbato vā rukkho vā uṭṭheti, kiṃ puna samāpajjitvā adhiṭṭhātabbanti? Doso natthi. Puna samāpajjitvā adhiṭṭhānañhi upajjhāyassa santike nissayaggahaṇasadisaṃ hoti. Iminā pana bhikkhunā ‘‘ākāso hotū’’ti adhiṭṭhitattā ākāso hotiyeva. Purimādhiṭṭhānabaleneva cassa antarā añño pabbato vā rukkho vā utumayo uṭṭhahissatīti aṭṭhānametaṃ. Aññena iddhimatā nimmite pana paṭhamaṃ nimmānaṃ balavaṃ hoti. Itarena tassa uddhaṃ vā adho vā gantabbaṃ.
ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชนฺติ เอตฺถ อุมฺมุชฺชนฺติ อุฎฺฐานํ, นิมุชฺชนฺติ สํสีทนํ, อุมฺมุชฺชญฺจ นิมุชฺชญฺจ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํฯ เอวํ กตฺตุกาเมน ปน อาโปกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา อุฎฺฐาย ‘‘เอตฺตเก ฐาเน ปถวี อุทกํ โหตู’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปริกมฺมํ กตฺวา วุตฺตนเยเนว อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สห อธิฎฺฐานา ยถาปริจฺฉิเนฺน ฐาเน ปถวี อุทกเมว โหติฯ โส ตตฺถ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรติ เสยฺยถาปิ อุทเกฯ น เกวลญฺจ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชเมว, นฺหานปานมุขโธวนภณฺฑกโธวนาทีสุ ยํ ยํ อิจฺฉติ, ตํ ตํ กโรติฯ น เกวลญฺจ อุทกเมว กโรติ, สปฺปิเตลมธุผาณิตาทีสุปิ ยํ ยํ อิจฺฉติ, ตํ ตํ ‘‘อิทญฺจิทญฺจ เอตฺตกํ โหตู’’ติ อาวชฺชิตฺวา ปริกมฺมํ กตฺวา อธิฎฺฐหนฺตสฺส ยถาธิฎฺฐิตเมว โหติฯ อุทฺธริตฺวา ภาชนคตํ กโรนฺตสฺส สปฺปิ สปฺปิเยว โหติ, เตลาทีนิ เตลาทีนิเยว, อุทกํ อุทกเมวฯ โส ตตฺถ เตมิตุกาโมว เตเมติ, น เตมิตุกาโม น เตเมติฯ ตเสฺสว จ สา ปถวี อุทกํ โหติ, เสสชนสฺส ปถวีเยวฯ ตตฺถ มนุสฺสา ปตฺติกาปิ คจฺฉนฺติ, ยานาทีหิปิ คจฺฉนฺติ, กสิกมฺมาทีนิปิ กโรนฺติเยวฯ สเจ ปนายํ ‘‘เตสมฺปิ อุทกํ โหตู’’ติ อิจฺฉติ, โหติเยวฯ ปริจฺฉินฺนกาลํ ปน อติกฺกมิตฺวา ยํ ปกติยา ฆฎตฬากาทีสุ อุทกํ, ตํ ฐเปตฺวา อวเสสํ ปริจฺฉินฺนฎฺฐานํ ปถวีเยว โหติฯ
Pathaviyāpi ummujjanimujjanti ettha ummujjanti uṭṭhānaṃ, nimujjanti saṃsīdanaṃ, ummujjañca nimujjañca ummujjanimujjaṃ. Evaṃ kattukāmena pana āpokasiṇaṃ samāpajjitvā uṭṭhāya ‘‘ettake ṭhāne pathavī udakaṃ hotū’’ti paricchinditvā parikammaṃ katvā vuttanayeneva adhiṭṭhātabbaṃ. Saha adhiṭṭhānā yathāparicchinne ṭhāne pathavī udakameva hoti. So tattha ummujjanimujjaṃ karoti seyyathāpi udake. Na kevalañca ummujjanimujjameva, nhānapānamukhadhovanabhaṇḍakadhovanādīsu yaṃ yaṃ icchati, taṃ taṃ karoti. Na kevalañca udakameva karoti, sappitelamadhuphāṇitādīsupi yaṃ yaṃ icchati, taṃ taṃ ‘‘idañcidañca ettakaṃ hotū’’ti āvajjitvā parikammaṃ katvā adhiṭṭhahantassa yathādhiṭṭhitameva hoti. Uddharitvā bhājanagataṃ karontassa sappi sappiyeva hoti, telādīni telādīniyeva, udakaṃ udakameva. So tattha temitukāmova temeti, na temitukāmo na temeti. Tasseva ca sā pathavī udakaṃ hoti, sesajanassa pathavīyeva. Tattha manussā pattikāpi gacchanti, yānādīhipi gacchanti, kasikammādīnipi karontiyeva. Sace panāyaṃ ‘‘tesampi udakaṃ hotū’’ti icchati, hotiyeva. Paricchinnakālaṃ pana atikkamitvā yaṃ pakatiyā ghaṭataḷākādīsu udakaṃ, taṃ ṭhapetvā avasesaṃ paricchinnaṭṭhānaṃ pathavīyeva hoti.
อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉตีติ เอตฺถ ยํ อุทกํ อกฺกมิตฺวา สํสีทติ, ตํ ภิชฺชมานนฺติ วุจฺจติ, วิปรีตํ อภิชฺชมานํฯ เอวํ คนฺตุกาเมน ปน ปถวีกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ‘‘เอตฺตเก ฐาเน อุทกํ ปถวี โหตู’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปริกมฺมํ กตฺวา วุตฺตนเยเนว อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สห อธิฎฺฐานา ยถาปริจฺฉินฺนฎฺฐาเน อุทกํ ปถวีเยว โหติฯ โส ตตฺถ คจฺฉติ เสยฺยถาปิ ปถวิยํฯ น เกวลญฺจ คจฺฉติ, ยํ ยํ อิริยาปถํ อิจฺฉติ, ตํ ตํ กเปฺปติฯ น เกวลญฺจ ปถวิเมว กโรติ, มณิสุวณฺณปพฺพตรุกฺขาทีสุปิ ยํ ยํ อิจฺฉติ, ตํ ตํ วุตฺตนเยเนว อาวชฺชิตฺวา อธิฎฺฐาติ, ยถาธิฎฺฐิตเมว โหติฯ ตเสฺสว จ ตํ อุทกํ ปถวี โหติ, เสสชนสฺส อุทกเมว ฯ มจฺฉกจฺฉปา จ อุทกกากาทโย จ ยถารุจิ วิจรนฺติฯ สเจ ปนายํ อเญฺญสมฺปิ มนุสฺสานํ ตํ ปถวิํ กาตุํ อิจฺฉติ, กโรติเยวฯ ยถาปริจฺฉินฺนกาลาติกฺกเมน ปน อุทกเมว โหติฯ
Udakepi abhijjamāne gacchatīti ettha yaṃ udakaṃ akkamitvā saṃsīdati, taṃ bhijjamānanti vuccati, viparītaṃ abhijjamānaṃ. Evaṃ gantukāmena pana pathavīkasiṇaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya ‘‘ettake ṭhāne udakaṃ pathavī hotū’’ti paricchinditvā parikammaṃ katvā vuttanayeneva adhiṭṭhātabbaṃ. Saha adhiṭṭhānā yathāparicchinnaṭṭhāne udakaṃ pathavīyeva hoti. So tattha gacchati seyyathāpi pathaviyaṃ. Na kevalañca gacchati, yaṃ yaṃ iriyāpathaṃ icchati, taṃ taṃ kappeti. Na kevalañca pathavimeva karoti, maṇisuvaṇṇapabbatarukkhādīsupi yaṃ yaṃ icchati, taṃ taṃ vuttanayeneva āvajjitvā adhiṭṭhāti, yathādhiṭṭhitameva hoti. Tasseva ca taṃ udakaṃ pathavī hoti, sesajanassa udakameva . Macchakacchapā ca udakakākādayo ca yathāruci vicaranti. Sace panāyaṃ aññesampi manussānaṃ taṃ pathaviṃ kātuṃ icchati, karotiyeva. Yathāparicchinnakālātikkamena pana udakameva hoti.
อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมตีติ อนฺตลิเกฺข สมนฺตโต อูรุพทฺธาสเนน คจฺฉติฯ ปกฺขี สกุโณติ ปเกฺขหิ ยุโตฺต สกุโณ, น อปริปุณฺณปโกฺข ลูนปโกฺข วาฯ ตาทิโส หิ อากาเส คนฺตุํ น สโกฺกติฯ เอวมากาเส คนฺตุกาเมน ปน ปถวีกสิณํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย สเจ นิสิโนฺน คนฺตุมิจฺฉติ, ปลฺลงฺกปฺปมาณํ ฐานํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปริกมฺมํ กตฺวา วุตฺตนเยเนว อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สเจ นิปโนฺน คนฺตุกาโม โหติ, มญฺจปฺปมาณํ, สเจ ปทสา คนฺตุกาโม โหติ, มคฺคปฺปมาณนฺติ เอวํ ยถานุรูปํ ฐานํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา วุตฺตนเยเนว ‘‘ปถวี โหตู’’ติ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สห อธิฎฺฐานา ปถวีเยว โหติฯ อากาเส คนฺตุกาเมน จ ภิกฺขุนา ทิพฺพจกฺขุลาภินาปิ ภวิตพฺพํฯ กสฺมา? ยสฺมา อนฺตรา อุตุสมุฎฺฐานา วา ปพฺพตรุกฺขาทโย โหนฺติ, นาคสุปณฺณาทโย วา อุสูยนฺตา มาเปนฺติ, เตสํ ทสฺสนตฺถํฯ เต ปน ทิสฺวา กิํ กาตพฺพนฺติ? ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ‘‘อากาโส โหตู’’ติ ปริกมฺมํ กตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพํฯ อปิจ โอกาเส โอโรหณตฺถมฺปิ อิมินา ทิพฺพจกฺขุลาภินา ภวิตพฺพํฯ อยญฺหิ สเจ อโนกาเส นฺหานติเตฺถ วา คามทฺวาเร วา โอโรหติ, มหาชนสฺส ปากโฎ โหติ, ตสฺมา ทิพฺพจกฺขุนา ปสฺสิตฺวา อโนกาสํ วเชฺชตฺวา โอกาเส โอตรตีติฯ
Ākāsepi pallaṅkena kamatīti antalikkhe samantato ūrubaddhāsanena gacchati. Pakkhī sakuṇoti pakkhehi yutto sakuṇo, na aparipuṇṇapakkho lūnapakkho vā. Tādiso hi ākāse gantuṃ na sakkoti. Evamākāse gantukāmena pana pathavīkasiṇaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya sace nisinno gantumicchati, pallaṅkappamāṇaṃ ṭhānaṃ paricchinditvā parikammaṃ katvā vuttanayeneva adhiṭṭhātabbaṃ. Sace nipanno gantukāmo hoti, mañcappamāṇaṃ, sace padasā gantukāmo hoti, maggappamāṇanti evaṃ yathānurūpaṃ ṭhānaṃ paricchinditvā vuttanayeneva ‘‘pathavī hotū’’ti adhiṭṭhātabbaṃ. Saha adhiṭṭhānā pathavīyeva hoti. Ākāse gantukāmena ca bhikkhunā dibbacakkhulābhināpi bhavitabbaṃ. Kasmā? Yasmā antarā utusamuṭṭhānā vā pabbatarukkhādayo honti, nāgasupaṇṇādayo vā usūyantā māpenti, tesaṃ dassanatthaṃ. Te pana disvā kiṃ kātabbanti? Pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya ‘‘ākāso hotū’’ti parikammaṃ katvā adhiṭṭhātabbaṃ. Apica okāse orohaṇatthampi iminā dibbacakkhulābhinā bhavitabbaṃ. Ayañhi sace anokāse nhānatitthe vā gāmadvāre vā orohati, mahājanassa pākaṭo hoti, tasmā dibbacakkhunā passitvā anokāsaṃ vajjetvā okāse otaratīti.
อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเวติ เอตฺถ จนฺทิมสูริยานํ ทฺวาจตฺตาลีสโยชนสหโสฺสปริจรเณน มหิทฺธิกตา, ตีสุ ทีเปสุ เอกกฺขเณ อาโลกกรเณน มหานุภาวตา เวทิตพฺพา, เอวํ อุปริจรณอาโลกผรเณหิ วา มหิทฺธิเก, เตเนว มหิทฺธิกเตฺตน มหานุภาเว ฯ ปรามสตีติ ปริคฺคณฺหาติ, เอกเทเส วา ผุสติฯ ปริมชฺชตีติ สมนฺตโต อาทาสตลํ วิย ปริมชฺชติฯ อยํ ปนสฺส อิทฺธิ อภิญฺญาปาทกชฺฌานวเสเนว อิชฺฌติ, นเตฺถตฺถ กสิณสมาปตฺตินิยโมฯ สฺวายํ ยทิ อิจฺฉติ คนฺตฺวา ปรามสิตุํ, คนฺตฺวา ปรามสติฯ สเจ ปน อิเธว นิสินฺนโก วา นิปนฺนโก วา ปรามสิตุกาโม โหติ, ‘‘หตฺถปาเส โหตู’’ติ อธิฎฺฐาติฯ อธิฎฺฐานพเลน วณฺฎา มุตฺตตาลผลํ วิย อาคนฺตฺวา หตฺถปาเส ฐิเต วา ปรามสติ, หตฺถํ วา วเฑฺฒตฺวา ปรามสติฯ หตฺถํ วเฑฺฒนฺตสฺส ปน กิํ อุปาทินฺนกํ วฑฺฒติ อนุปาทินฺนกํ วาติ? อุปาทินฺนกํ นิสฺสาย อนุปาทินฺนกํ วฑฺฒติฯ โย เอวํ กตฺวา น เกวลํ จนฺทิมสูริเย ปรามสติ, สเจ อิจฺฉติ, ปาทกถลิกํ กตฺวา ปาเท ฐเปติ, ปีฐํ กตฺวา นิสีทติ, มญฺจํ กตฺวา นิปชฺชติ, อปเสฺสนผลกํ กตฺวา อปสฺสยติฯ ยถา เอโก, เอวํ อปโรปิฯ อเนเกสุปิ หิ ภิกฺขุสตสหเสฺสสุ เอวํ กโรเนฺตสุ เตสญฺจ เอกเมกสฺส ตเถว อิชฺฌติฯ จนฺทิมสูริยานญฺจ คมนมฺปิ อาโลกกรณมฺปิ ตเถว โหติฯ ยถา หิ ปาติสหเสฺสสุ อุทกปูเรสุ สพฺพปาตีสุ จนฺทมณฺฑลานิ ทิสฺสนฺติ, ปากติกเมว จนฺทสฺส คมนํ อาโลกกรณญฺจ โหติ, ตถูปมเมตํ ปาฎิหาริยํฯ ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตตีติ พฺรหฺมโลกํ ปริเจฺฉทํ กตฺวา เอตฺถนฺตเร อเนกวิธํ อภิญฺญํ กโรโนฺต อตฺตโน กาเยน วสํ อิสฺสริยํ วเตฺตติฯ วิตฺถาโร ปเนตฺถ อิทฺธิกถายํ อาวิภวิสฺสตีติฯ
Imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāveti ettha candimasūriyānaṃ dvācattālīsayojanasahassoparicaraṇena mahiddhikatā, tīsu dīpesu ekakkhaṇe ālokakaraṇena mahānubhāvatā veditabbā, evaṃ uparicaraṇaālokapharaṇehi vā mahiddhike, teneva mahiddhikattena mahānubhāve . Parāmasatīti pariggaṇhāti, ekadese vā phusati. Parimajjatīti samantato ādāsatalaṃ viya parimajjati. Ayaṃ panassa iddhi abhiññāpādakajjhānavaseneva ijjhati, natthettha kasiṇasamāpattiniyamo. Svāyaṃ yadi icchati gantvā parāmasituṃ, gantvā parāmasati. Sace pana idheva nisinnako vā nipannako vā parāmasitukāmo hoti, ‘‘hatthapāse hotū’’ti adhiṭṭhāti. Adhiṭṭhānabalena vaṇṭā muttatālaphalaṃ viya āgantvā hatthapāse ṭhite vā parāmasati, hatthaṃ vā vaḍḍhetvā parāmasati. Hatthaṃ vaḍḍhentassa pana kiṃ upādinnakaṃ vaḍḍhati anupādinnakaṃ vāti? Upādinnakaṃ nissāya anupādinnakaṃ vaḍḍhati. Yo evaṃ katvā na kevalaṃ candimasūriye parāmasati, sace icchati, pādakathalikaṃ katvā pāde ṭhapeti, pīṭhaṃ katvā nisīdati, mañcaṃ katvā nipajjati, apassenaphalakaṃ katvā apassayati. Yathā eko, evaṃ aparopi. Anekesupi hi bhikkhusatasahassesu evaṃ karontesu tesañca ekamekassa tatheva ijjhati. Candimasūriyānañca gamanampi ālokakaraṇampi tatheva hoti. Yathā hi pātisahassesu udakapūresu sabbapātīsu candamaṇḍalāni dissanti, pākatikameva candassa gamanaṃ ālokakaraṇañca hoti, tathūpamametaṃ pāṭihāriyaṃ. Yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vattetīti brahmalokaṃ paricchedaṃ katvā etthantare anekavidhaṃ abhiññaṃ karonto attano kāyena vasaṃ issariyaṃ vatteti. Vitthāro panettha iddhikathāyaṃ āvibhavissatīti.
อิทฺธิวิธญาณนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Iddhividhañāṇaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๕๐. อิทฺธิวิธญาณนิเทฺทโส • 50. Iddhividhañāṇaniddeso