Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตวณฺณนา
10. Indriyabhāvanāsuttavaṇṇanā
๔๕๓. เอวํ เม สุตนฺติ อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตํฯ ตตฺถ คชงฺคลายนฺติ เอวํนามเก นิคเมฯ สุเวฬุวเนติ สุเวฬุ นาม เอกา รุกฺขชาติ, เตหิ สญฺฉโนฺน มหาวนสโณฺฑ, ตตฺถ วิหรติฯ จกฺขุนา รูปํ น ปสฺสติ, โสเตน สทฺทํ น สุณาตีติ จกฺขุนา รูปํ น ปสฺสิตพฺพํ, โสเตน สโทฺท น โสตโพฺพติ เอวํ เทเสตีติ อธิปฺปาเยน วทติฯ
453.Evaṃme sutanti indriyabhāvanāsuttaṃ. Tattha gajaṅgalāyanti evaṃnāmake nigame. Suveḷuvaneti suveḷu nāma ekā rukkhajāti, tehi sañchanno mahāvanasaṇḍo, tattha viharati. Cakkhunā rūpaṃ na passati, sotena saddaṃ na suṇātīti cakkhunā rūpaṃ na passitabbaṃ, sotena saddo na sotabboti evaṃ desetīti adhippāyena vadati.
อญฺญถา อริยสฺส วินเยติ อิมินา ภควา อตฺตโน สาสเน อสทิสาย อินฺทฺริยภาวนาย กถนตฺถํ อาลยํ อกาสิฯ อถายสฺมา อานโนฺท – ‘‘สตฺถา อาลยํ ทเสฺสติ, หนฺทาหํ อิมิสฺสํ ปริสติ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อินฺทฺริยภาวนากถํ กาเรมี’’ติ สตฺถารํ ยาจโนฺต เอตสฺส ภควาติอาทิมาหฯ อถสฺส ภควา อินฺทฺริยภาวนํ กเถโนฺต เตน หานนฺทาติอาทิมาหฯ
Aññathā ariyassa vinayeti iminā bhagavā attano sāsane asadisāya indriyabhāvanāya kathanatthaṃ ālayaṃ akāsi. Athāyasmā ānando – ‘‘satthā ālayaṃ dasseti, handāhaṃ imissaṃ parisati bhikkhusaṅghassa indriyabhāvanākathaṃ kāremī’’ti satthāraṃ yācanto etassabhagavātiādimāha. Athassa bhagavā indriyabhāvanaṃ kathento tena hānandātiādimāha.
๔๕๔. ตถ ยทิทํ อุเปกฺขาติ ยา เอสา วิปสฺสนุเปกฺขา นาม, เอสา สนฺตา เอสา ปณีตา, อตปฺปิกาติ อโตฺถฯ อิติ อยํ ภิกฺขุ จกฺขุทฺวาเร รูปารมฺมณมฺปิ อิเฎฺฐ อารมฺมเณ มนาปํ, อนิเฎฺฐ อมนาปํ, มชฺฌเตฺต มนาปามนาปญฺจ จิตฺตํ, ตสฺส รชฺชิตุํ วา ทุสฺสิตุํ วา มุยฺหิตุํ วา อทตฺวาว ปริคฺคเหตฺวา วิปสฺสนํ มชฺฌเตฺต ฐเปติฯ จกฺขุมาติ สมฺปนฺนจกฺขุวิสุทฺธเนโตฺตฯ จกฺขาพาธิกสฺส หิ อุทฺธํ อุมฺมีลนนิมฺมีลนํ น โหติ, ตสฺมา โส น คหิโตฯ
454. Tatha yadidaṃ upekkhāti yā esā vipassanupekkhā nāma, esā santā esā paṇītā, atappikāti attho. Iti ayaṃ bhikkhu cakkhudvāre rūpārammaṇampi iṭṭhe ārammaṇe manāpaṃ, aniṭṭhe amanāpaṃ, majjhatte manāpāmanāpañca cittaṃ, tassa rajjituṃ vā dussituṃ vā muyhituṃ vā adatvāva pariggahetvā vipassanaṃ majjhatte ṭhapeti. Cakkhumāti sampannacakkhuvisuddhanetto. Cakkhābādhikassa hi uddhaṃ ummīlananimmīlanaṃ na hoti, tasmā so na gahito.
๔๕๖. อีสกํโปเณติ รถีสา วิย อุฎฺฐหิตฺวา ฐิเตฯ
456.Īsakaṃpoṇeti rathīsā viya uṭṭhahitvā ṭhite.
๔๖๑. ปฎิกูเล อปฺปฎิกูลสญฺญีติอาทีสุ ปฎิกูเล เมตฺตาผรเณน วา ธาตุโส อุปสํหาเรน วา อปฺปฎิกูลสญฺญี วิหรติฯ อปฺปฎิกูเล อสุภผรเณน วา อนิจฺจโต อุปสํหาเรน วา ปฎิกูลสญฺญี วิหรติฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ตทุภยํ อภินิวเชฺชตฺวาติ มชฺฌโตฺต หุตฺวา วิหริตุกาโม กิํ กโรตีติ? อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ อาปาถคเตสุ เนว โสมนสฺสิโก น โทมนสฺสิโก โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ –
461.Paṭikūle appaṭikūlasaññītiādīsu paṭikūle mettāpharaṇena vā dhātuso upasaṃhārena vā appaṭikūlasaññī viharati. Appaṭikūle asubhapharaṇena vā aniccato upasaṃhārena vā paṭikūlasaññī viharati. Sesapadesupi eseva nayo. Tadubhayaṃ abhinivajjetvāti majjhatto hutvā viharitukāmo kiṃ karotīti? Iṭṭhāniṭṭhesu āpāthagatesu neva somanassiko na domanassiko hoti. Vuttañhetaṃ –
‘‘กถํ ปฎิกูเล อปฺปฎิกูลสญฺญี วิหรติ? อนิฎฺฐสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ เมตฺตาย วา ผรติ, ธาตุโต วา อุปสํหรติ, เอวํ ปฎิกูเล อปฺปฎิกูลสญฺญี วิหรติฯ กถํ อปฺปฎิกูเล ปฎิกูลสญฺญี วิหรติ? อิฎฺฐสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ อสุภาย วา ผรติ, อนิจฺจโต วา อุปสํหรติ, เอวํ อปฺปฎิกูเล ปฎิกูลสญฺญี วิหรติฯ กถํ ปฎิกูเล จ อปฺปฎิกูเล จ อปฺปฎิกูลสญฺญี วิหรติ? อนิฎฺฐสฺมิญฺจ อิฎฺฐสฺมิญฺจ วตฺถุสฺมิํ เมตฺตาย วา ผรติ, ธาตุโต วา อุปสํหรติฯ เอวํ ปฎิกูเล จ อปฺปฎิกูเล จ อปฺปฎิกูลสญฺญี วิหรติฯ กถํ อปฺปฎิกูเล จ ปฎิกูเล จ ปฎิกูลสญฺญี วิหรติ? อิฎฺฐสฺมิญฺจ อนิฎฺฐสฺมิญฺจ วตฺถุสฺมิํ อสุภาย วา ผรติ, อนิจฺจโต วา อุปสํหรติ, เอวํ อปฺปฎิกูเล จ ปฎิกูเล จ ปฎิกูลสญฺญี วิหรติ ฯ กถํ ปฎิกูเล จ อปฺปฎิกูเล จ ตทุภยํ อภินิวเชฺชตฺวา อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมฺปชาโน? อิธ ภิกฺขุ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา เนว สุมโน โหติ น ทุมฺมโน, อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมฺปชาโน…เป.… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย เนว สุมโน โหติ น ทุมฺมโน, อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมฺปชาโนฯ เอวํ ปฎิกูเล จ อปฺปฎิกูเล จ ตทุภยํ อภินิวเชฺชตฺวา อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมฺปชาโน’’ติฯ
‘‘Kathaṃ paṭikūle appaṭikūlasaññī viharati? Aniṭṭhasmiṃ vatthusmiṃ mettāya vā pharati, dhātuto vā upasaṃharati, evaṃ paṭikūle appaṭikūlasaññī viharati. Kathaṃ appaṭikūle paṭikūlasaññī viharati? Iṭṭhasmiṃ vatthusmiṃ asubhāya vā pharati, aniccato vā upasaṃharati, evaṃ appaṭikūle paṭikūlasaññī viharati. Kathaṃ paṭikūle ca appaṭikūle ca appaṭikūlasaññī viharati? Aniṭṭhasmiñca iṭṭhasmiñca vatthusmiṃ mettāya vā pharati, dhātuto vā upasaṃharati. Evaṃ paṭikūle ca appaṭikūle ca appaṭikūlasaññī viharati. Kathaṃ appaṭikūle ca paṭikūle ca paṭikūlasaññī viharati? Iṭṭhasmiñca aniṭṭhasmiñca vatthusmiṃ asubhāya vā pharati, aniccato vā upasaṃharati, evaṃ appaṭikūle ca paṭikūle ca paṭikūlasaññī viharati . Kathaṃ paṭikūle ca appaṭikūle ca tadubhayaṃ abhinivajjetvā upekkhako viharati sato sampajāno? Idha bhikkhu cakkhunā rūpaṃ disvā neva sumano hoti na dummano, upekkhako viharati sato sampajāno…pe… manasā dhammaṃ viññāya neva sumano hoti na dummano, upekkhako viharati sato sampajāno. Evaṃ paṭikūle ca appaṭikūle ca tadubhayaṃ abhinivajjetvā upekkhako viharati sato sampajāno’’ti.
อิเมสุ จ ตีสุ นเยสุ ปฐมนเย มนาปํ อมนาปํ มนาปามนาปนฺติ สํกิเลสํ วฎฺฎติ, นิกฺกิเลสํ วฎฺฎติฯ ทุติยนเย สํกิเลสํ, ตติยนเย สํกิเลสนิกฺกิเลสํ วฎฺฎติฯ ปุน วุตฺตํ – ‘‘ปฐมํ สํกิเลสํ วฎฺฎติ, ทุติยํ สํกิเลสมฺปิ นิกฺกิเลสมฺปิ, ตติยํ นิกฺกิเลสเมว วฎฺฎตี’’ติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Imesu ca tīsu nayesu paṭhamanaye manāpaṃ amanāpaṃ manāpāmanāpanti saṃkilesaṃ vaṭṭati, nikkilesaṃ vaṭṭati. Dutiyanaye saṃkilesaṃ, tatiyanaye saṃkilesanikkilesaṃ vaṭṭati. Puna vuttaṃ – ‘‘paṭhamaṃ saṃkilesaṃ vaṭṭati, dutiyaṃ saṃkilesampi nikkilesampi, tatiyaṃ nikkilesameva vaṭṭatī’’ti. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Indriyabhāvanāsuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปญฺจมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcamavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
อุปริปณฺณาสฎฺฐกถา นิฎฺฐิตาฯ
Uparipaṇṇāsaṭṭhakathā niṭṭhitā.
โย จายํ ‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยายํ โว, ภิกฺขเว, เทสิสฺสามี’’ติ อารทฺธตฺตา อาทิกลฺยาโณ, มเชฺฌ ‘‘สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณํ คาถา อุทานํ อิติวุตฺตกํ ชาตกํ อพฺภุตธมฺมํ เวทลฺล’’นฺติ วจนโต มเชฺฌกลฺยาโณ, สนฺนิฎฺฐาเน ‘‘อริโย ภาวิตินฺทฺริโย’’ติ วจนโต ปริโยสานกลฺยาโณติ ติวิธกลฺยาโณ มชฺฌิมนิกาโย ‘‘มหาวิปสฺสนา นามาย’’นฺติ วุโตฺต, โส วณฺณนาวเสน สมโตฺต โหติฯ
Yo cāyaṃ ‘‘sabbadhammamūlapariyāyaṃ vo, bhikkhave, desissāmī’’ti āraddhattā ādikalyāṇo, majjhe ‘‘suttaṃ geyyaṃ veyyākaraṇaṃ gāthā udānaṃ itivuttakaṃ jātakaṃ abbhutadhammaṃ vedalla’’nti vacanato majjhekalyāṇo, sanniṭṭhāne ‘‘ariyo bhāvitindriyo’’ti vacanato pariyosānakalyāṇoti tividhakalyāṇo majjhimanikāyo ‘‘mahāvipassanā nāmāya’’nti vutto, so vaṇṇanāvasena samatto hoti.
นิคมนกถา
Nigamanakathā
เอตฺตาวตา จ –
Ettāvatā ca –
อายาจิโต สุมตินา เถเรน ภทนฺตพุทฺธมิเตฺตน,
Āyācito sumatinā therena bhadantabuddhamittena,
ปุเพฺพ มยูรทูตปฎฺฎนมฺหิ สทฺธิํ นิวสเนฺตนฯ
Pubbe mayūradūtapaṭṭanamhi saddhiṃ nivasantena.
ปรวาทวิธํสนสฺส มชฺฌิมนิกายเสฎฺฐสฺส,
Paravādavidhaṃsanassa majjhimanikāyaseṭṭhassa,
ยมหํ ปปญฺจสูทนิมฎฺฐกถํ กาตุมารภิํฯ
Yamahaṃ papañcasūdanimaṭṭhakathaṃ kātumārabhiṃ.
สา หิ มหาอฎฺฐกถาย สารมาทาย นิฎฺฐิตา เอสา,
Sā hi mahāaṭṭhakathāya sāramādāya niṭṭhitā esā,
สตฺตุตฺตรสตมตฺตาย ปาฬิยา ภาณวาเรหิฯ
Sattuttarasatamattāya pāḷiyā bhāṇavārehi.
เอกูนสฎฺฐิมโตฺต วิสุทฺธิมโคฺคปิ ภาณวาเรหิ,
Ekūnasaṭṭhimatto visuddhimaggopi bhāṇavārehi,
อตฺถปฺปกาสนตฺถาย อาคมานํ กโต ยสฺมาฯ
Atthappakāsanatthāya āgamānaṃ kato yasmā.
ตสฺมา เตน สหา’ยํ คาถาคณนานเยน อฎฺฐกถา,
Tasmā tena sahā’yaṃ gāthāgaṇanānayena aṭṭhakathā,
สมธิกฉสฎฺฐิสตมิติ วิเญฺญยฺยา ภาณวารานํฯ
Samadhikachasaṭṭhisatamiti viññeyyā bhāṇavārānaṃ.
สมธิกฉสฎฺฐิสตปมาณมิติ ภาณวารโต เอสา,
Samadhikachasaṭṭhisatapamāṇamiti bhāṇavārato esā,
สมยํ ปกาสยนฺตี มหาวิหาราธิวาสีนํฯ
Samayaṃ pakāsayantī mahāvihārādhivāsīnaṃ.
มูลฎฺฐกถาสารํ อาทาย มยา อิมํ กโรเนฺตน,
Mūlaṭṭhakathāsāraṃ ādāya mayā imaṃ karontena,
ยํ ปญฺญมุปจิตํ เตน โหตุ โลโก สทา สุขิโตติฯ
Yaṃ paññamupacitaṃ tena hotu loko sadā sukhitoti.
ปรมวิสุทฺธสทฺธาพุทฺธิวีริยปฺปฎิมณฺฑิเตน สีลาจารชฺชวมทฺทวาทิคุณสมุทยสมุทิเตน สกสมยสมยนฺตรคหนโชฺฌคาหนสมเตฺถน ปญฺญาเวยฺยตฺติยสมนฺนาคเตน ติปิฎกปริยตฺติปฺปเภเท สาฎฺฐกเถ สตฺถุ สาสเน อปฺปฎิหตญาณปฺปภาเวน มหาเวยฺยากรเณน กรณสมฺปตฺติชนิตสุขวินิคฺคตมธุโรทารวจนลาวณฺณยุเตฺตน ยุตฺตมุตฺตวาทินา วาทีวเรน มหากวินา ปภินฺนปฎิสมฺภิทาปริวาเร ฉฬภิญฺญาทิปฺปเภทคุณปฺปฎิมณฺฑิเต อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม สุปฺปติฎฺฐิตพุทฺธีนํ เถรวํสปฺปทีปานํ เถรานํ มหาวิหารวาสีนํ วํสาลงฺการภูเตน วิปุลวิสุทฺธพุทฺธินา พุทฺธโฆโสติ ครูหิ คหิตนามเธเยฺยน เถเรน กตา อยํ ปปญฺจสูทนี นาม มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถา –
Paramavisuddhasaddhābuddhivīriyappaṭimaṇḍitena sīlācārajjavamaddavādiguṇasamudayasamuditena sakasamayasamayantaragahanajjhogāhanasamatthena paññāveyyattiyasamannāgatena tipiṭakapariyattippabhede sāṭṭhakathe satthu sāsane appaṭihatañāṇappabhāvena mahāveyyākaraṇena karaṇasampattijanitasukhaviniggatamadhurodāravacanalāvaṇṇayuttena yuttamuttavādinā vādīvarena mahākavinā pabhinnapaṭisambhidāparivāre chaḷabhiññādippabhedaguṇappaṭimaṇḍite uttarimanussadhamme suppatiṭṭhitabuddhīnaṃ theravaṃsappadīpānaṃ therānaṃ mahāvihāravāsīnaṃ vaṃsālaṅkārabhūtena vipulavisuddhabuddhinā buddhaghosoti garūhi gahitanāmadheyyena therena katā ayaṃ papañcasūdanī nāma majjhimanikāyaṭṭhakathā –
ตาว ติฎฺฐตุ โลกสฺมิํ, โลกนิตฺถรเณสินํ;
Tāva tiṭṭhatu lokasmiṃ, lokanittharaṇesinaṃ;
ทเสฺสนฺตี กุลปุตฺตานํ, นยํ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิยาฯ
Dassentī kulaputtānaṃ, nayaṃ diṭṭhivisuddhiyā.
พุโทฺธติ นามมฺปิ, สุทฺธจิตฺตสฺส ตาทิโน;
Buddhoti nāmampi, suddhacittassa tādino;
โลกมฺหิ โลกเชฎฺฐสฺส, ปวตฺตติ มเหสิโนติฯ
Lokamhi lokajeṭṭhassa, pavattati mahesinoti.
ปปญฺจสูทนี นาม
Papañcasūdanī nāma
มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถา สพฺพากาเรน นิฎฺฐิตาฯ
Majjhimanikāyaṭṭhakathā sabbākārena niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตํ • 10. Indriyabhāvanāsuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตวณฺณนา • 10. Indriyabhāvanāsuttavaṇṇanā