Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๑๐. อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตวณฺณนา
10. Indriyabhāvanāsuttavaṇṇanā
๔๕๓. เอวํนามเกติ ‘‘คชงฺคลา’’ติ เอวํ อิตฺถิลิงฺควเสน ลทฺธนามเก มชฺฌิมปเทสสฺส มริยาทฎฺฐานภูเต นิคเมฯ สุเวฬุ นาม นิจลรุโกฺขติ วทนฺติฯ ตโต อญฺญํ เอวาติ ปน อธิปฺปาเยน ‘‘เอกา รุกฺขชาตี’’ติ วุตฺตํฯ จกฺขุโสตานํ ยถาสกวิสยโต นิวารณํ ทมนํ อินฺทฺริยภาวนา, ตญฺจ โข สพฺพโส อทสฺสเนน อสวเนนาติ อาห – ‘‘จกฺขุนา รูปํ น ปสฺสติ, โสเตน สทฺทํ น สุณาตี’’ติฯ สติ หิ ทสฺสเน สวเน จ ตานิ อทนฺตานิ อภาวิตาเนวาติ อธิปฺปาโยฯ จกฺขุโสตานิ จ อสมฺปตฺตคฺคาหิตาย ทุรกฺขิตานีติ พฺราหฺมโณ เตสํเยว วิสยคฺคหณํ ปฎิกฺขิปิฯ อสทิสายาติ อญฺญติตฺถิยสมเยหิ อสาธารณายฯ อาลยนฺติ กเถตุกามตาการนฺติ อโตฺถฯ
453.Evaṃnāmaketi ‘‘gajaṅgalā’’ti evaṃ itthiliṅgavasena laddhanāmake majjhimapadesassa mariyādaṭṭhānabhūte nigame. Suveḷu nāma nicalarukkhoti vadanti. Tato aññaṃ evāti pana adhippāyena ‘‘ekā rukkhajātī’’ti vuttaṃ. Cakkhusotānaṃ yathāsakavisayato nivāraṇaṃ damanaṃ indriyabhāvanā, tañca kho sabbaso adassanena asavanenāti āha – ‘‘cakkhunā rūpaṃ na passati, sotena saddaṃ na suṇātī’’ti. Sati hi dassane savane ca tāni adantāni abhāvitānevāti adhippāyo. Cakkhusotāni ca asampattaggāhitāya durakkhitānīti brāhmaṇo tesaṃyeva visayaggahaṇaṃ paṭikkhipi. Asadisāyāti aññatitthiyasamayehi asādhāraṇāya. Ālayanti kathetukāmatākāranti attho.
๔๕๔. วิปสฺสนุเปกฺขาติ อารทฺธวิปสฺสกสฺส วิปสฺสนาญาเณน ลกฺขณตฺตเย ทิเฎฺฐ สงฺขารานํ อนิจฺจภาวาทิวิจินเน มชฺฌตฺตภูตา วิปสฺสนาสงฺขาตา อุเปกฺขาฯ สา ปน ยสฺมา ภาวนาวิเสสปฺปตฺติยา เหฎฺฐิเมหิ วิปสฺสนาวาเรหิ สนฺตา เจว ปณีตา จ, ปเคว จกฺขุวิญฺญาณาทิสหคตาหิ อุเปกฺขาหิ, ตสฺมา อาห – ‘‘เอสา สนฺตา เอสา ปณีตา’’ติฯ อตปฺปิกาติ สนฺตปณีตภาวนารสวเสน ติตฺติํ น ชเนติฯ เตเนวาห –
454.Vipassanupekkhāti āraddhavipassakassa vipassanāñāṇena lakkhaṇattaye diṭṭhe saṅkhārānaṃ aniccabhāvādivicinane majjhattabhūtā vipassanāsaṅkhātā upekkhā. Sā pana yasmā bhāvanāvisesappattiyā heṭṭhimehi vipassanāvārehi santā ceva paṇītā ca, pageva cakkhuviññāṇādisahagatāhi upekkhāhi, tasmā āha – ‘‘esā santā esā paṇītā’’ti. Atappikāti santapaṇītabhāvanārasavasena tittiṃ na janeti. Tenevāha –
‘‘สุญฺญาคารํ ปวิฎฺฐสฺส, สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน;
‘‘Suññāgāraṃ paviṭṭhassa, santacittassa bhikkhuno;
อมานุสี รตี โหติ, สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโต’’ติฯ (ธ. ป. ๓๗๓);
Amānusī ratī hoti, sammā dhammaṃ vipassato’’ti. (dha. pa. 373);
อิตีติ เอวํ วกฺขมานากาเรนาติ อโตฺถฯ อยํ ภิกฺขูติ อยํ อารทฺธวิปสฺสโก ภิกฺขูติ โยชนาฯ จกฺขุทฺวาเร รูปารมฺมณมฺหีติ จกฺขุทฺวาเร อาปาถคเต รูปารมฺมเณฯ มนาปนฺติ มนาปภาเวน ปวตฺตนกํฯ มชฺฌเตฺต มนาปามนาปนฺติ อิฎฺฐมชฺฌเตฺต มนาปภาเวน อมนาปภาเวน จ ปวตฺตนกํ มนาปามนาปํ นามาติฯ เตนาห (‘‘เนว มนาปํ น อมนาป’’นฺติ)ฯ อิมินา มนาปภาโว คหิโต, ‘‘เนว มนาป’’นฺติ อิมินา มนาปภาโว มชฺฌโตฺต จ อุภยํ เอกเทสโต ลพฺภตีติ, ‘‘มนาปามนาป’’นฺติ วุตฺตํฯ เอวํ อารมฺมเณ ลพฺภมานวิเสสวเสน ตทารมฺมณสฺส จิตฺตสฺส ปากติกํ ปวตฺติอาการํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตปฺปฎิเสเธน อริยสฺส วินเย อนุตฺตรํ อินฺทฺริยภาวนํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ตสฺส รชฺชิตุํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺรายํ โยชนา – ตสฺส จิตฺตํ อิเฎฺฐ อารมฺมเณ รชฺชิตุํ วา อนิเฎฺฐ อารมฺมเณ ทุสฺสิตุํ วา มชฺฌเตฺต อารมฺมเณ มุยฺหิตุํ วาฯ อทตฺวาติ นิเสเธตฺวาฯ ปริคฺคเหตฺวาติ ปริชานนวเสน ญาเณน คเหตฺวา ญาตตีรณปหานปริญฺญาหิ ปริชานิตฺวาฯ วิปสฺสนํ มชฺฌเตฺต ฐเปตีติ อนุกฺกเมน วิปสฺสนุเปกฺขํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตํ สงฺขารุเปกฺขํ ปาเปตฺวา ฐเปติฯ จกฺขุมาติ น ปสาทจกฺขุโน อตฺถิตามตฺตโชตนํ; อถ โข ตสฺส อติสเยน อตฺถิตาโชตนํ, ‘‘สีลวา’’ติอาทีสุ วิยาติ อาห – ‘‘จกฺขุมาติ สมฺปนฺนจกฺขุ วิสุทฺธเนโตฺต’’ติฯ
Itīti evaṃ vakkhamānākārenāti attho. Ayaṃ bhikkhūti ayaṃ āraddhavipassako bhikkhūti yojanā. Cakkhudvāre rūpārammaṇamhīti cakkhudvāre āpāthagate rūpārammaṇe. Manāpanti manāpabhāvena pavattanakaṃ. Majjhatte manāpāmanāpanti iṭṭhamajjhatte manāpabhāvena amanāpabhāvena ca pavattanakaṃ manāpāmanāpaṃ nāmāti. Tenāha (‘‘neva manāpaṃ na amanāpa’’nti). Iminā manāpabhāvo gahito, ‘‘neva manāpa’’nti iminā manāpabhāvo majjhatto ca ubhayaṃ ekadesato labbhatīti, ‘‘manāpāmanāpa’’nti vuttaṃ. Evaṃ ārammaṇe labbhamānavisesavasena tadārammaṇassa cittassa pākatikaṃ pavattiākāraṃ dassetvā idāni tappaṭisedhena ariyassa vinaye anuttaraṃ indriyabhāvanaṃ dassetuṃ, ‘‘tassa rajjituṃ vā’’tiādi vuttaṃ. Tatrāyaṃ yojanā – tassa cittaṃ iṭṭhe ārammaṇe rajjituṃ vā aniṭṭhe ārammaṇe dussituṃ vā majjhatte ārammaṇe muyhituṃ vā. Adatvāti nisedhetvā. Pariggahetvāti parijānanavasena ñāṇena gahetvā ñātatīraṇapahānapariññāhi parijānitvā. Vipassanaṃ majjhatte ṭhapetīti anukkamena vipassanupekkhaṃ nibbattetvā taṃ saṅkhārupekkhaṃ pāpetvā ṭhapeti. Cakkhumāti na pasādacakkhuno atthitāmattajotanaṃ; atha kho tassa atisayena atthitājotanaṃ, ‘‘sīlavā’’tiādīsu viyāti āha – ‘‘cakkhumāti sampannacakkhu visuddhanetto’’ti.
๔๕๖. อีสกํ โปเณติ มเชฺฌ อุจฺจํ หุตฺวา อีสกํ โปเณ, น อนฺตเนฺตน วเงฺกฯ เตนาห – ‘‘รถีสา วิย อุฎฺฐหิตฺวา ฐิเต’’ติฯ
456.Īsakaṃ poṇeti majjhe uccaṃ hutvā īsakaṃ poṇe, na antantena vaṅke. Tenāha – ‘‘rathīsā viya uṭṭhahitvā ṭhite’’ti.
๔๖๑. ปฎิกูเลติ อมนุเญฺญ อารมฺมเณฯ อปฺปฎิกูลสญฺญีติ น ปฎิกูลสญฺญีฯ ตํ ปน อปฺปฎิกูลสญฺญิตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘เมตฺตาผรเณน วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปฎิกูเล อนิเฎฺฐ วตฺถุสฺมิํ สตฺตสญฺญิเต เมตฺตาผรเณน วา ธาตุโส อุปสํหาเรน วา สงฺขารสญฺญิเต ปน ธาตุโส อุปสํหาเรน วาติ โยเชตพฺพํฯ อปฺปฎิกูลสญฺญี วิหรตีติ หิเตสิตาย ธมฺมสภาวจินฺตนาย จ นปฺปฎิกูลสญฺญี หุตฺวา อิริยาปถวิหาเรน วิหรติฯ อปฺปฎิกูเล อิเฎฺฐ วตฺถุสฺมิํ สตฺตสญฺญิเต เกสาทิอสุจิโกฎฺฐาสมตฺตเมวาติ อสุภผรเณน วาติ อสุภโต มนสิการวเสนฯ อิทํ รูปารูปมตฺตํ อนิจฺจํ สงฺขตนฺติ อนิจฺจโต อุปสํหาเรน วาฯ ตโต เอว, ‘‘ทุกฺขํ วิปริณามธมฺม’’นฺติ มนสิ กโรโนฺต ปฎิกูลสญฺญี วิหรติฯ เสสปเทสูติ, ‘‘ปฎิกูเล จ อปฺปฎิกูเล จา’’ติอาทินา อาคเตสุ เสเสสุ ทฺวีสุ ปเทสุฯ ตตฺถ หิ อิฎฺฐานิฎฺฐวตฺถูนิ เอกชฺฌํ คเหตฺวา วุตฺตํ ยถา สตฺตานํ ปฐมํ ปฎิกูลโต อุปฎฺฐิตเมว ปจฺฉา คหณาการวเสน อวตฺถนฺตเรน วา อปฺปฎิกูลโต อุปฎฺฐาติฯ ยญฺจ อปฺปฎิกูลโต อุปฎฺฐิตเมว ปจฺฉา ปฎิกูลโต อุปฎฺฐาติ, ตทุภเยปิ ขีณาสโว สเจ อากงฺขติ, วุตฺตนเยน อปฺปฎิกูลสญฺญี วิหเรยฺย ปฎิกูลสญฺญี วาติฯ
461.Paṭikūleti amanuññe ārammaṇe. Appaṭikūlasaññīti na paṭikūlasaññī. Taṃ pana appaṭikūlasaññitaṃ dassetuṃ, ‘‘mettāpharaṇena vā’’tiādi vuttaṃ. Tattha paṭikūle aniṭṭhe vatthusmiṃ sattasaññite mettāpharaṇena vā dhātuso upasaṃhārena vā saṅkhārasaññite pana dhātuso upasaṃhārena vāti yojetabbaṃ. Appaṭikūlasaññī viharatīti hitesitāya dhammasabhāvacintanāya ca nappaṭikūlasaññī hutvā iriyāpathavihārena viharati. Appaṭikūle iṭṭhe vatthusmiṃ sattasaññite kesādiasucikoṭṭhāsamattamevāti asubhapharaṇena vāti asubhato manasikāravasena. Idaṃ rūpārūpamattaṃ aniccaṃ saṅkhatanti aniccato upasaṃhārena vā. Tato eva, ‘‘dukkhaṃ vipariṇāmadhamma’’nti manasi karonto paṭikūlasaññī viharati. Sesapadesūti, ‘‘paṭikūle ca appaṭikūle cā’’tiādinā āgatesu sesesu dvīsu padesu. Tattha hi iṭṭhāniṭṭhavatthūni ekajjhaṃ gahetvā vuttaṃ yathā sattānaṃ paṭhamaṃ paṭikūlato upaṭṭhitameva pacchā gahaṇākāravasena avatthantarena vā appaṭikūlato upaṭṭhāti. Yañca appaṭikūlato upaṭṭhitameva pacchā paṭikūlato upaṭṭhāti, tadubhayepi khīṇāsavo sace ākaṅkhati, vuttanayena appaṭikūlasaññī vihareyya paṭikūlasaññī vāti.
ตทุภยํ อภินิวเชฺชตฺวาติ สภาวโต ภาวนานุภาวโต จ อุปฎฺฐิตํ อารมฺมณํ ปฎิกูลสภาวํ อปฺปฎิกูลสภาวํ วาติ ตํ อุภยํ ปหาย อคฺคเหตฺวาฯ สพฺพสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ปน, ‘‘มชฺฌโตฺต หุตฺวา วิหริตุกาโม กิํ กโรตี’’ติ, วตฺวา ตตฺถ ปฎิปชฺชนวิธิํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ…เป.… โทมนสฺสิโต โหตี’’ติ อาหฯ อิทานิ ยถาวุตฺตมตฺถํ ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิยา วิภาเวตุํ, ‘‘วุตฺตํ เหต’’นฺติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนโย เอวฯ สโตติ สติเวปุลฺลปฺปตฺติยา สติมาฯ สมฺปชาโนติ ปญฺญาเวปุลฺลปฺปตฺติยา สมฺปชานการีฯ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวาติ การณวเสน จกฺขูติ ลทฺธโวหาเรน รูปทสฺสนสมเตฺถน จกฺขุวิญฺญาเณน, จกฺขุนา วา กรณภูเตน รูปํ ปสฺสิตฺวาฯ เนว สุมโน โหติ เคหสฺสิตโสมนสฺสปฎิเกฺขเปน เนกฺขมฺมปกฺขิกาย กิริยาโสมนสฺสเวทนายฯ
Tadubhayaṃabhinivajjetvāti sabhāvato bhāvanānubhāvato ca upaṭṭhitaṃ ārammaṇaṃ paṭikūlasabhāvaṃ appaṭikūlasabhāvaṃ vāti taṃ ubhayaṃ pahāya aggahetvā. Sabbasmiṃ vatthusmiṃ pana, ‘‘majjhatto hutvā viharitukāmo kiṃ karotī’’ti, vatvā tattha paṭipajjanavidhiṃ dassento, ‘‘iṭṭhāniṭṭhesu…pe… domanassito hotī’’ti āha. Idāni yathāvuttamatthaṃ paṭisambhidāmaggapāḷiyā vibhāvetuṃ, ‘‘vuttaṃ heta’’ntiādimāha. Tassattho heṭṭhā vuttanayo eva. Satoti sativepullappattiyā satimā. Sampajānoti paññāvepullappattiyā sampajānakārī. Cakkhunārūpaṃ disvāti kāraṇavasena cakkhūti laddhavohārena rūpadassanasamatthena cakkhuviññāṇena, cakkhunā vā karaṇabhūtena rūpaṃ passitvā. Neva sumano hoti gehassitasomanassapaṭikkhepena nekkhammapakkhikāya kiriyāsomanassavedanāya.
อิเมสุ จาติ ‘‘อญฺญถา จ ปนานนฺท, อริยสฺส วินเย อนุตฺตรา อินฺทฺริยภาวนา โหตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๓.๔๕๓), – ‘‘กถญฺจานนฺท, เสโข โหติ ปฎิปโท’’ติอาทินา (ม. นิ. ๓.๔๖๐); – ‘‘กถญฺจานนฺท, อริโย โหติ ภาวิตินฺทฺริโย’’ติอาทินา (ม. นิ. ๓.๔๖๑) จ อาคเตสุ ติวิเธสุ นเยสุฯ มนาปํ อมนาปํ มนาปามนาปนฺติ เอตฺถ มนาปคฺคหเณน โสมนสฺสยุตฺตกุสลากุสลานํ, อมนาปคฺคหเณน โทมนสฺสยุตฺตอกุสลานํ, มนาปามนาปคฺคหเณน ตพฺพิธุรุเปกฺขายุตฺตานํ สงฺคหิตตฺตา ปฐมนเย ‘‘สํกิเลสํ วฎฺฎติ, นิกฺกิเลสํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ปฐมนเย หิ ปุถุชฺชนสฺส อธิเปฺปตตฺตา สํกิเลสกิเลสวิปฺปยุตฺตมฺปิ ยุชฺชติฯ ทุติยนเย ปน ‘‘โส…เป.… อฑฺฑียตี’’ติอาทิวจนโต ‘‘ปฐมํ สํกิเลสํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ เสกฺขสฺส อธิเปฺปตตฺตา จสฺส อปฺปหีนกิเลสวเสน, ‘‘สํกิเลสมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ตติยนเย อรหโต อธิเปฺปตตฺตา, ‘‘ตติยํ นิกฺกิเลสเมว วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ เสกฺขวาเร ปน ‘‘จกฺขุมา ปุริโส’’ติอาทิกา อุปมา เอกเมว อตฺถํ ญาเปตุํ อาหฯ ตสฺมา จกฺขุทฺวารสฺส อุปฺปเนฺน ราคาทิเก วิกฺขเมฺภตฺวา วิปสฺสนุเปกฺขาย ปติฎฺฐานํ อริยา อินฺทฺริยภาวนาติฯ ปฐมนโย วิปสฺสกวเสน อาคโต, ทุติโย เสกฺขสฺส วเสน, ปฐมทุติโย จ เสกฺขปุถุชฺชนานํ มูลกมฺมฎฺฐานวเสน, ตติโย ขีณาสวสฺส อริยวิหารวเสน อาคโตฯ ปฐมนเย จ ปุถุชฺชนสฺส วเสน, ทุติยนเย เสกฺขสฺส วเสน กุสลํ วุตฺตํ, ตติยนเย อเสกฺขสฺส วเสน กิริยาพฺยากตํ วุตฺตนฺติ อยํ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ
Imesu cāti ‘‘aññathā ca panānanda, ariyassa vinaye anuttarā indriyabhāvanā hotī’’tiādinā (ma. ni. 3.453), – ‘‘kathañcānanda, sekho hoti paṭipado’’tiādinā (ma. ni. 3.460); – ‘‘kathañcānanda, ariyo hoti bhāvitindriyo’’tiādinā (ma. ni. 3.461) ca āgatesu tividhesu nayesu. Manāpaṃ amanāpaṃ manāpāmanāpanti ettha manāpaggahaṇena somanassayuttakusalākusalānaṃ, amanāpaggahaṇena domanassayuttaakusalānaṃ, manāpāmanāpaggahaṇena tabbidhurupekkhāyuttānaṃ saṅgahitattā paṭhamanaye ‘‘saṃkilesaṃ vaṭṭati, nikkilesaṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Paṭhamanaye hi puthujjanassa adhippetattā saṃkilesakilesavippayuttampi yujjati. Dutiyanaye pana ‘‘so…pe… aḍḍīyatī’’tiādivacanato ‘‘paṭhamaṃ saṃkilesaṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Sekkhassa adhippetattā cassa appahīnakilesavasena, ‘‘saṃkilesampi vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Tatiyanaye arahato adhippetattā, ‘‘tatiyaṃ nikkilesameva vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Sekkhavāre pana ‘‘cakkhumā puriso’’tiādikā upamā ekameva atthaṃ ñāpetuṃ āha. Tasmā cakkhudvārassa uppanne rāgādike vikkhambhetvā vipassanupekkhāya patiṭṭhānaṃ ariyā indriyabhāvanāti. Paṭhamanayo vipassakavasena āgato, dutiyo sekkhassa vasena, paṭhamadutiyo ca sekkhaputhujjanānaṃ mūlakammaṭṭhānavasena, tatiyo khīṇāsavassa ariyavihāravasena āgato. Paṭhamanaye ca puthujjanassa vasena, dutiyanaye sekkhassa vasena kusalaṃ vuttaṃ, tatiyanaye asekkhassa vasena kiriyābyākataṃ vuttanti ayaṃ viseso veditabbo.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Indriyabhāvanāsuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
นิฎฺฐิตา จ สฬายตนวคฺควณฺณนาฯ
Niṭṭhitā ca saḷāyatanavaggavaṇṇanā.
อุปริปณฺณาสฎีกา สมตฺตาฯ
Uparipaṇṇāsaṭīkā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตํ • 10. Indriyabhāvanāsuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. อินฺทฺริยภาวนาสุตฺตวณฺณนา • 10. Indriyabhāvanāsuttavaṇṇanā