Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๒๓] ๗. อินฺทฺริยชาตกวณฺณนา
[423] 7. Indriyajātakavaṇṇanā
โย อินฺทฺริยานนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปุราณทุติยิกาปโลภนํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิเรโก กุลปุโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ‘‘น สกฺกา อคารมเชฺฌ วสเนฺตน เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํ, นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสามี’’ติ ฆเร วิภวํ ปุตฺตทารสฺส นิยฺยาเทตฺวา นิกฺขมิตฺวา สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ สตฺถาปิสฺส ปพฺพชฺชํ ทาเปสิฯ ตสฺส อาจริยุปชฺฌาเยหิ สทฺธิํ ปิณฺฑาย จรโต นวกตฺตา เจว ภิกฺขูนํ พหุภาเวน จ กุลฆเร วา อาสนสาลาย วา อาสนํ น ปาปุณาติ, สงฺฆนวกานํ โกฎิยํ ปีฐกํ วา ผลกํ วา ปาปุณาติฯ อาหาโรปิ อุฬุงฺกปิเฎฺฐน ฆฎฺฎิตา ภินฺนสิตฺถกยาคุ วา ปูติสุกฺขขชฺชกํ วา ฌามสุกฺขกูโร วา ปาปุณาติ, ยาปนปมาณํ น โหติฯ โส อตฺตนา ลทฺธํ คเหตฺวา ปุราณทุติยิกาย สนฺติกํ คจฺฉติฯ อถสฺส สา ปตฺตํ คเหตฺวา วนฺทิตฺวา ปตฺตโต ภตฺตํ นีหริตฺวา สุสมฺปาทิตานิ ยาคุภตฺตสูปพฺยญฺชนานิ เทติฯ มหลฺลโก รสตณฺหาย พชฺฌิตฺวา ปุราณทุติยิกํ ชหิตุํ น สโกฺกติฯ สา จิเนฺตสิ ‘‘พโทฺธ นุ โข, โนติ วีมํสิสฺสามิ น’’นฺติฯ
Yoindriyānanti idaṃ satthā jetavane viharanto purāṇadutiyikāpalobhanaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kireko kulaputto satthu dhammadesanaṃ sutvā ‘‘na sakkā agāramajjhe vasantena ekantaparipuṇṇaṃ ekantaparisuddhaṃ brahmacariyaṃ carituṃ, niyyānikasāsane pabbajitvā dukkhassantaṃ karissāmī’’ti ghare vibhavaṃ puttadārassa niyyādetvā nikkhamitvā satthāraṃ pabbajjaṃ yāci. Satthāpissa pabbajjaṃ dāpesi. Tassa ācariyupajjhāyehi saddhiṃ piṇḍāya carato navakattā ceva bhikkhūnaṃ bahubhāvena ca kulaghare vā āsanasālāya vā āsanaṃ na pāpuṇāti, saṅghanavakānaṃ koṭiyaṃ pīṭhakaṃ vā phalakaṃ vā pāpuṇāti. Āhāropi uḷuṅkapiṭṭhena ghaṭṭitā bhinnasitthakayāgu vā pūtisukkhakhajjakaṃ vā jhāmasukkhakūro vā pāpuṇāti, yāpanapamāṇaṃ na hoti. So attanā laddhaṃ gahetvā purāṇadutiyikāya santikaṃ gacchati. Athassa sā pattaṃ gahetvā vanditvā pattato bhattaṃ nīharitvā susampāditāni yāgubhattasūpabyañjanāni deti. Mahallako rasataṇhāya bajjhitvā purāṇadutiyikaṃ jahituṃ na sakkoti. Sā cintesi ‘‘baddho nu kho, noti vīmaṃsissāmi na’’nti.
อเถกทิวสํ ชนปทมนุสฺสํ เสตมตฺติกาย นฺหาเปตฺวา เคเห นิสีทาเปตฺวา อเญฺญปิสฺส กติปเย ปริวารมนุเสฺส อาณาเปตฺวา โถกโถกํ ปานโภชนํ ทาเปสิฯ เต ขาทนฺตา ภุญฺชนฺตา นิสีทิํสุฯ เคหทฺวาเร จ จเกฺกสุ โคเณ พนฺธาเปตฺวา เอกํ สกฎมฺปิ ฐปาเปสิ, สยํ ปน ปิฎฺฐิคเพฺภ นิสีทิตฺวา ปูเว ปจิฯ มหลฺลโก อาคนฺตฺวา ทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิสฺวา เอโก มหลฺลกปุริโส ‘‘อเยฺย, เอโก เถโร ทฺวาเร ฐิโต’’ติ อาหฯ ‘‘วนฺทิตฺวา อติจฺฉาเปหี’’ติฯ โส ‘‘อติจฺฉถ, ภเนฺต’’ติ ปุนปฺปุนํ กเถตฺวาปิ ตํ อคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อเยฺย, เถโร น คจฺฉตี’’ติ อาหฯ สา อาคนฺตฺวา สาณิํ อุกฺขิปิตฺวา โอโลเกตฺวา ‘‘อโมฺภ อยํ มม ทารกปิตา’’ติ วตฺวา นิกฺขมิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา เคหํ ปเวเสตฺวา ปริวิสิตฺวา โภชนปริโยสาเน วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห อิเธว ปรินิพฺพายถ, มยํ เอตฺตกํ กาลํ อญฺญํ กุลํ น คณฺหิมฺห, อสามิเก ปน ฆเร ฆราวาโส น สณฺฐาติ, มยํ อญฺญํ กุลํ คณฺหาม, ทูรํ ชนปทํ คจฺฉิสฺสาม, ตุเมฺห อปฺปมตฺตา โหถ, สเจ เม โทโส อตฺถิ, ขมถา’’ติ อาหฯ มหลฺลกสฺส หทยผาลนกาโล วิย อโหสิฯ อถ นํ ‘‘อหํ ตํ ชหิตุํ น สโกฺกมิ, มา คจฺฉ, วิพฺภมิสฺสามิ, อสุกฎฺฐาเน เม สาฎกํ เปเสหิ, ปตฺตจีวรํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา อาคจฺฉิสฺสามี’’ติ อาหฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ มหลฺลโก วิหารํ คนฺตฺวา อาจริยุปชฺฌาเย ปตฺตจีวรํ ปฎิจฺฉาเปโนฺต ‘‘กสฺมา, อาวุโส, เอวํ กโรสี’’ติ วุโตฺต ‘‘ปุราณทุติยิกํ ชหิตุํ น สโกฺกมิ วิพฺภมิสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ เต อนิจฺฉนฺตเญฺญว สตฺถุ สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘กิํ, ภิกฺขเว, อิมํ อนิจฺฉนฺตเญฺญว อานยิตฺถา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภเนฺต, อยํ อุกฺกณฺฐิตฺวา วิพฺภมิตุกาโม’’ติ วทิํสุฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘โก ตํ อุกฺกณฺฐาเปสี’’ติ? ‘‘ปุราณทุติยิกา ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ น อิทาเนว สา อิตฺถี ตุยฺหํ อนตฺถการิกา, ปุเพฺพปิ ตฺวํ ตํ นิสฺสาย จตูหิ ฌาเนหิ ปริหีโน มหาทุกฺขํ ปตฺวา มํ นิสฺสาย ตมฺหา ทุกฺขา มุจฺจิตฺวา นฎฺฐชฺฌานํ ปฎิลภี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Athekadivasaṃ janapadamanussaṃ setamattikāya nhāpetvā gehe nisīdāpetvā aññepissa katipaye parivāramanusse āṇāpetvā thokathokaṃ pānabhojanaṃ dāpesi. Te khādantā bhuñjantā nisīdiṃsu. Gehadvāre ca cakkesu goṇe bandhāpetvā ekaṃ sakaṭampi ṭhapāpesi, sayaṃ pana piṭṭhigabbhe nisīditvā pūve paci. Mahallako āgantvā dvāre aṭṭhāsi. Taṃ disvā eko mahallakapuriso ‘‘ayye, eko thero dvāre ṭhito’’ti āha. ‘‘Vanditvā aticchāpehī’’ti. So ‘‘aticchatha, bhante’’ti punappunaṃ kathetvāpi taṃ agacchantaṃ disvā ‘‘ayye, thero na gacchatī’’ti āha. Sā āgantvā sāṇiṃ ukkhipitvā oloketvā ‘‘ambho ayaṃ mama dārakapitā’’ti vatvā nikkhamitvā pattaṃ gahetvā gehaṃ pavesetvā parivisitvā bhojanapariyosāne vanditvā ‘‘bhante, tumhe idheva parinibbāyatha, mayaṃ ettakaṃ kālaṃ aññaṃ kulaṃ na gaṇhimha, asāmike pana ghare gharāvāso na saṇṭhāti, mayaṃ aññaṃ kulaṃ gaṇhāma, dūraṃ janapadaṃ gacchissāma, tumhe appamattā hotha, sace me doso atthi, khamathā’’ti āha. Mahallakassa hadayaphālanakālo viya ahosi. Atha naṃ ‘‘ahaṃ taṃ jahituṃ na sakkomi, mā gaccha, vibbhamissāmi, asukaṭṭhāne me sāṭakaṃ pesehi, pattacīvaraṃ paṭicchāpetvā āgacchissāmī’’ti āha. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Mahallako vihāraṃ gantvā ācariyupajjhāye pattacīvaraṃ paṭicchāpento ‘‘kasmā, āvuso, evaṃ karosī’’ti vutto ‘‘purāṇadutiyikaṃ jahituṃ na sakkomi vibbhamissāmī’’ti āha. Atha naṃ te anicchantaññeva satthu santikaṃ netvā ‘‘kiṃ, bhikkhave, imaṃ anicchantaññeva ānayitthā’’ti vutte ‘‘bhante, ayaṃ ukkaṇṭhitvā vibbhamitukāmo’’ti vadiṃsu. Atha naṃ satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchi. ‘‘Saccaṃ, bhante’’ti. ‘‘Ko taṃ ukkaṇṭhāpesī’’ti? ‘‘Purāṇadutiyikā bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu na idāneva sā itthī tuyhaṃ anatthakārikā, pubbepi tvaṃ taṃ nissāya catūhi jhānehi parihīno mahādukkhaṃ patvā maṃ nissāya tamhā dukkhā muccitvā naṭṭhajjhānaṃ paṭilabhī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส ปุโรหิตํ ปฎิจฺจ ตสฺส พฺราหฺมณิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ ชาตทิวเส จสฺส สกลนคเร อาวุธานิ ปชฺชลิํสุ, เตนสฺส ‘‘โชติปาลกุมาโร’’ติ นามํ กริํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา รโญฺญ สิปฺปํ ทเสฺสตฺวา อิสฺสริยํ ปหาย กญฺจิ อชานาเปตฺวา อคฺคทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา สกฺกทตฺติเย กวิฎฺฐกอสฺสเม อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตสิฯ ตํ ตตฺถ วสนฺตํ อเนกานิ อิสิสตานิ ปริวาเรสุํ, มหาสมาคโม อโหสิฯ โส สรภงฺคสตฺถา นาม อโหสิ, ตสฺส สตฺต อเนฺตวาสิกเชฎฺฐกา อเหสุํฯ เตสุ สาลิสฺสโร นาม อิสิ กวิฎฺฐกอสฺสมา นิกฺขมิตฺวา สุรฎฺฐชนปเท ปุรตฺถิมชนปเท สาโตทิกาย นาม นทิยา ตีเร อเนกสหสฺสอิสิปริวาโร วสิฯ เมณฺฑิสฺสโร นาม อิสิ ปโชฺชตกปญฺจาลรโญฺญ วิชิเต กลพฺพจูฬกํ นาม นิคมํ นิสฺสาย อเนกสหสฺสอิสิปริวาโร วสิฯ ปพฺพโต นาม อิสิ เอกํ อฎวิชนปทํ นิสฺสาย อเนกสหสฺสอิสิปริวาโร วสิฯ กาฬเทวิโล นาม อิสิ อวนฺติทกฺขิณาปเถ เอกคฺฆนเสลํ นิสฺสาย อเนกสหสฺสอิสิปริวาโร วสิฯ กิสวโจฺฉ นาม อิสิ เอกโกว ทณฺฑกิรโญฺญ กุมฺภวตีนครํ นิสฺสาย อุยฺยาเน วสิฯ อนุปิยตาปโส ปน โพธิสตฺตสฺส อุปฎฺฐาโก ตสฺส สนฺติเก วสิฯ นารโท นาม อิสิ กาฬเทวิลสฺส กนิโฎฺฐ มชฺฌิมเทเส อารญฺชรคิริมฺหิ ปพฺพตชาลนฺตเร เอกโกว เอกสฺมิํ คุหาเลเณ วสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa purohitaṃ paṭicca tassa brāhmaṇiyā kucchimhi nibbatti. Jātadivase cassa sakalanagare āvudhāni pajjaliṃsu, tenassa ‘‘jotipālakumāro’’ti nāmaṃ kariṃsu. So vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā rañño sippaṃ dassetvā issariyaṃ pahāya kañci ajānāpetvā aggadvārena nikkhamitvā araññaṃ pavisitvā sakkadattiye kaviṭṭhakaassame isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññāyo nibbattesi. Taṃ tattha vasantaṃ anekāni isisatāni parivāresuṃ, mahāsamāgamo ahosi. So sarabhaṅgasatthā nāma ahosi, tassa satta antevāsikajeṭṭhakā ahesuṃ. Tesu sālissaro nāma isi kaviṭṭhakaassamā nikkhamitvā suraṭṭhajanapade puratthimajanapade sātodikāya nāma nadiyā tīre anekasahassaisiparivāro vasi. Meṇḍissaro nāma isi pajjotakapañcālarañño vijite kalabbacūḷakaṃ nāma nigamaṃ nissāya anekasahassaisiparivāro vasi. Pabbato nāma isi ekaṃ aṭavijanapadaṃ nissāya anekasahassaisiparivāro vasi. Kāḷadevilo nāma isi avantidakkhiṇāpathe ekagghanaselaṃ nissāya anekasahassaisiparivāro vasi. Kisavaccho nāma isi ekakova daṇḍakirañño kumbhavatīnagaraṃ nissāya uyyāne vasi. Anupiyatāpaso pana bodhisattassa upaṭṭhāko tassa santike vasi. Nārado nāma isi kāḷadevilassa kaniṭṭho majjhimadese ārañjaragirimhi pabbatajālantare ekakova ekasmiṃ guhāleṇe vasi.
อารญฺชรคิริโน นาม อวิทูเร เอโก อากิณฺณมนุโสฺส นิคโม อตฺถิ, เตสํ อนฺตเร มหตี นที อตฺถิ, ตํ นทิํ พหู มนุสฺสา โอตรนฺติฯ อุตฺตมรูปธรา วณฺณทาสิโยปิ ปุริเส ปโลภยมานา ตสฺสา นทิยา ตีเร นิสีทนฺติฯ นารทตาปโส ตาสุ เอกํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ฌานํ อนฺตรธาเปตฺวา นิราหาโร ปริสุสฺสโนฺต กิเลสวสํ คนฺตฺวา สตฺตาหํ วสิตฺวา นิปชฺชิฯ อถสฺส ภาตา กาฬเทวิโล อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา เลณํ ปาวิสิฯ นารโท ตํ ทิสฺวา ‘‘กสฺมา ภวํ อาคโตสี’’ติ อาหฯ ‘‘ภวํ ‘อกลฺลโก’ติ ภวนฺตํ ปฎิชคฺคิตุํ อาคโตมฺหี’’ติฯ อถ นํ โส ‘‘อภูตํ กถํ กเถสิ, อลิกํ ตุจฺฉํ กเถสี’’ติ มุสาวาเทน นิคฺคณฺหิฯ โส ‘‘เนตํ ปหาตุํ วฎฺฎตี’’ติ สาลิสฺสรํ อาเนสิ, เมณฺฑิสฺสรํ อาเนสิ, ปพฺพตมฺปิ อาเนสิฯ อิตโรปิ เต ตโย มุสาวาเทน นิคฺคณฺหิฯ กาฬเทวิโล ‘‘สรภงฺคสตฺถารํ อาเนสฺสามี’’ติ อากาเสนาคนฺตฺวา ตํ อาเนสิฯ โส อาคนฺตฺวา ตํ ทิสฺวา ‘‘อินฺทฺริยวสํ คโต’’ติ ญตฺวา ‘‘กจฺจิ นารท, อินฺทฺริยานํ วสํ คโต’’ติ ปุจฺฉิฯ อิตเรน ตํ สุตฺวาว อุฎฺฐาย วนฺทิตฺวา ‘‘อาม, อาจริยา’’ติ วุเตฺต ‘‘นารท, อินฺทฺริยวสํ คตา นาม อิมสฺมิํ อตฺตภาเว สุสฺสนฺตา ทุกฺขํ อนุภวิตฺวา ทุติเย อตฺตภาเว นิรเย นิพฺพตฺตนฺตี’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Ārañjaragirino nāma avidūre eko ākiṇṇamanusso nigamo atthi, tesaṃ antare mahatī nadī atthi, taṃ nadiṃ bahū manussā otaranti. Uttamarūpadharā vaṇṇadāsiyopi purise palobhayamānā tassā nadiyā tīre nisīdanti. Nāradatāpaso tāsu ekaṃ disvā paṭibaddhacitto hutvā jhānaṃ antaradhāpetvā nirāhāro parisussanto kilesavasaṃ gantvā sattāhaṃ vasitvā nipajji. Athassa bhātā kāḷadevilo āvajjento taṃ kāraṇaṃ ñatvā ākāsenāgantvā leṇaṃ pāvisi. Nārado taṃ disvā ‘‘kasmā bhavaṃ āgatosī’’ti āha. ‘‘Bhavaṃ ‘akallako’ti bhavantaṃ paṭijaggituṃ āgatomhī’’ti. Atha naṃ so ‘‘abhūtaṃ kathaṃ kathesi, alikaṃ tucchaṃ kathesī’’ti musāvādena niggaṇhi. So ‘‘netaṃ pahātuṃ vaṭṭatī’’ti sālissaraṃ ānesi, meṇḍissaraṃ ānesi, pabbatampi ānesi. Itaropi te tayo musāvādena niggaṇhi. Kāḷadevilo ‘‘sarabhaṅgasatthāraṃ ānessāmī’’ti ākāsenāgantvā taṃ ānesi. So āgantvā taṃ disvā ‘‘indriyavasaṃ gato’’ti ñatvā ‘‘kacci nārada, indriyānaṃ vasaṃ gato’’ti pucchi. Itarena taṃ sutvāva uṭṭhāya vanditvā ‘‘āma, ācariyā’’ti vutte ‘‘nārada, indriyavasaṃ gatā nāma imasmiṃ attabhāve sussantā dukkhaṃ anubhavitvā dutiye attabhāve niraye nibbattantī’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๖๐.
60.
‘‘โย อินฺทฺริยานํ กาเมน, วสํ นารท คจฺฉติ;
‘‘Yo indriyānaṃ kāmena, vasaṃ nārada gacchati;
โส ปริจฺจชฺชุโภ โลเก, ชีวโนฺตว วิสุสฺสตี’’ติฯ
So pariccajjubho loke, jīvantova visussatī’’ti.
ตตฺถ โย อินฺทฺริยานนฺติ นารท, โย ปุริโส รูปาทีสุ สุภาการํ คเหตฺวา กิเลสกามวเสน ฉนฺนํ อินฺทฺริยานํ วสํ คจฺฉติฯ ปริจฺจชฺชุโภ โลเกติ โส มนุสฺสโลกญฺจ เทวโลกญฺจาติ อุโภโลเก ปริจฺจชิตฺวา นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ ชีวโนฺตว วิสุสฺสตีติ ชีวโนฺตเยว อตฺตนา อิจฺฉิตํ กิเลสวตฺถุํ อลภโนฺต โสเกน วิสุสฺสติ, มหาทุกฺขํ ปาปุณาตีติฯ
Tattha yo indriyānanti nārada, yo puriso rūpādīsu subhākāraṃ gahetvā kilesakāmavasena channaṃ indriyānaṃ vasaṃ gacchati. Pariccajjubho loketi so manussalokañca devalokañcāti ubholoke pariccajitvā nirayādīsu nibbattantīti attho. Jīvantova visussatīti jīvantoyeva attanā icchitaṃ kilesavatthuṃ alabhanto sokena visussati, mahādukkhaṃ pāpuṇātīti.
ตํ สุตฺวา นารโท ‘‘อาจริย, กามเสวนํ นาม สุขํ, เอวรูปํ สุขํ กิํ สนฺธาย ทุกฺขนฺติ วทสี’’ติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส สรภโงฺค ‘‘เตน หิ สุณาหี’’ติ ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā nārado ‘‘ācariya, kāmasevanaṃ nāma sukhaṃ, evarūpaṃ sukhaṃ kiṃ sandhāya dukkhanti vadasī’’ti pucchi. Athassa sarabhaṅgo ‘‘tena hi suṇāhī’’ti dutiyaṃ gāthamāha –
๖๑.
61.
‘‘สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ, ทุกฺขสฺสานนฺตรํ สุขํ;
‘‘Sukhassānantaraṃ dukkhaṃ, dukkhassānantaraṃ sukhaṃ;
โสสิ ปโตฺต สุขา ทุกฺขํ, ปาฎิกงฺข วรํ สุข’’นฺติฯ
Sosi patto sukhā dukkhaṃ, pāṭikaṅkha varaṃ sukha’’nti.
ตตฺถ สุขสฺสานนฺตรนฺติ กามสุขสฺส อนนฺตรํ นิรยทุกฺขํฯ ทุกฺขสฺสาติ สีลรกฺขณทุกฺขสฺส อนนฺตรํ ทิพฺพมานุสกสุขเญฺจว นิพฺพานสุขญฺจฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – นารท, อิเม หิ สตฺตา กามเสวนสมเย กาลํ กตฺวา เอกนฺตทุเกฺข นิรเย นิพฺพตฺตนฺติ, สีลํ รกฺขนฺตา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรนฺตา จ ปน กิลมนฺติ, เต ทุเกฺขน สีลํ รกฺขิตฺวา สีลพเลน วุตฺตปฺปการํ สุขํ ลภนฺติ, อิทํ ทุกฺขํ สนฺธายาหํ เอวํ วทามีติฯ โสสิ ปโตฺตติ โส ตฺวํ นารท, อิทานิ ฌานสุขํ นาเสตฺวา ตโต สุขา มหนฺตํ กามนิสฺสิตํ เจตสิกทุกฺขํ ปโตฺตฯ ปาฎิกงฺขาติ อิทํ กิเลสทุกฺขํ ฉเฑฺฑตฺวา ปุน ตเทว วรํ อุตฺตมํ ฌานสุขํ อิจฺฉ ปเตฺถหีติฯ
Tattha sukhassānantaranti kāmasukhassa anantaraṃ nirayadukkhaṃ. Dukkhassāti sīlarakkhaṇadukkhassa anantaraṃ dibbamānusakasukhañceva nibbānasukhañca. Idaṃ vuttaṃ hoti – nārada, ime hi sattā kāmasevanasamaye kālaṃ katvā ekantadukkhe niraye nibbattanti, sīlaṃ rakkhantā vipassanāya kammaṃ karontā ca pana kilamanti, te dukkhena sīlaṃ rakkhitvā sīlabalena vuttappakāraṃ sukhaṃ labhanti, idaṃ dukkhaṃ sandhāyāhaṃ evaṃ vadāmīti. Sosi pattoti so tvaṃ nārada, idāni jhānasukhaṃ nāsetvā tato sukhā mahantaṃ kāmanissitaṃ cetasikadukkhaṃ patto. Pāṭikaṅkhāti idaṃ kilesadukkhaṃ chaḍḍetvā puna tadeva varaṃ uttamaṃ jhānasukhaṃ iccha patthehīti.
นารโท ‘‘อิทํ อาจริย, ทุกฺขํ ทุสฺสหํ, น ตํ อธิวาเสตุํ สโกฺกมี’’ติ อาหฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘นารท, ทุกฺขํ นาม อุปฺปนฺนํ อธิวาเสตพฺพเมวา’’ติ วตฺวา ตติยํ คาถมาห –
Nārado ‘‘idaṃ ācariya, dukkhaṃ dussahaṃ, na taṃ adhivāsetuṃ sakkomī’’ti āha. Atha naṃ mahāsatto ‘‘nārada, dukkhaṃ nāma uppannaṃ adhivāsetabbamevā’’ti vatvā tatiyaṃ gāthamāha –
๖๒.
62.
‘‘กิจฺฉกาเล กิจฺฉสโห, โย กิจฺฉํ นาติวตฺตติ;
‘‘Kicchakāle kicchasaho, yo kicchaṃ nātivattati;
ส กิจฺฉนฺตํ สุขํ ธีโร, โยคํ สมธิคจฺฉตี’’ติฯ
Sa kicchantaṃ sukhaṃ dhīro, yogaṃ samadhigacchatī’’ti.
ตตฺถ นาติวตฺตตีติ นานุวตฺตติ, อยเมว วา ปาโฐฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – นารท, โย กายิกเจตสิกทุกฺขสงฺขาตสฺส กิจฺฉสฺส อุปฺปนฺนกาเล อปฺปมโตฺต ตสฺส กิจฺฉสฺส หรณูปายํ กโรโนฺต กิจฺฉสโห หุตฺวา ตํ กิจฺฉํ นานุวตฺตติ, ตสฺส วเส อวตฺติตฺวา เตหิ เตหิ อุปาเยหิ ตํ กิจฺฉํ อภิภวติ วินาเสติ, โส ธีโร กิจฺฉสฺส อนฺติมสงฺขาตํ นิรามิสสุขสงฺขาตํ ฌานสุขํ อธิคจฺฉติ, ตํ วา กิจฺฉนฺตํ โยคสุขํ อธิคจฺฉติ, อกิลมโนฺตว ปาปุณาตีติฯ
Tattha nātivattatīti nānuvattati, ayameva vā pāṭho. Idaṃ vuttaṃ hoti – nārada, yo kāyikacetasikadukkhasaṅkhātassa kicchassa uppannakāle appamatto tassa kicchassa haraṇūpāyaṃ karonto kicchasaho hutvā taṃ kicchaṃ nānuvattati, tassa vase avattitvā tehi tehi upāyehi taṃ kicchaṃ abhibhavati vināseti, so dhīro kicchassa antimasaṅkhātaṃ nirāmisasukhasaṅkhātaṃ jhānasukhaṃ adhigacchati, taṃ vā kicchantaṃ yogasukhaṃ adhigacchati, akilamantova pāpuṇātīti.
โส ‘‘อาจริย, กามสุขํ นาม อุตฺตมสุขํ, น ตํ ชหิตุํ สโกฺกมี’’ติ อาหฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘นารท, ธโมฺม นาม น เกนจิ การเณน นาเสตโพฺพ’’ติ วตฺวา จตุตฺถํ คาถมาห –
So ‘‘ācariya, kāmasukhaṃ nāma uttamasukhaṃ, na taṃ jahituṃ sakkomī’’ti āha. Atha naṃ mahāsatto ‘‘nārada, dhammo nāma na kenaci kāraṇena nāsetabbo’’ti vatvā catutthaṃ gāthamāha –
๖๓.
63.
‘‘น เหว กามาน กามา, นานตฺถา นาตฺถการณา;
‘‘Na heva kāmāna kāmā, nānatthā nātthakāraṇā;
น กตญฺจ นิรงฺกตฺวา, ธมฺมา จวิตุมรหสี’’ติฯ
Na katañca niraṅkatvā, dhammā cavitumarahasī’’ti.
ตตฺถ กามาน กามาติ กามานํ กามา, วตฺถุกามานํ ปตฺถนายาติ อโตฺถฯ นานตฺถา นาตฺถการณาติ น อนตฺถโต น อตฺถการณาฯ น กตญฺจ นิรงฺกตฺวาติ กตญฺจ นิปฺผาทิตํ ฌานํ นิรํกตฺวาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – นารท, น เหว วตฺถุกามปตฺถนาย ธมฺมา จวิตุมรหสิ, เอกสฺมิํ อนเตฺถ อุปฺปเนฺน ตํ ปฎิหนิตุกาโม นานตฺถา น อเตฺถนปิ การณภูเตน ธมฺมา จวิตุมรหสิ, ‘‘อสุโก นาม เม อโตฺถ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ เอวมฺปิ อตฺถการณาปิ น ธมฺมา จวิตุมรหสิ, กตํ ปน นิปฺผาทิตํ ฌานสุขํ นิรํกตฺวา วินาเสตฺวา เนว ธมฺมา จวิตุมรหสีสิฯ
Tattha kāmāna kāmāti kāmānaṃ kāmā, vatthukāmānaṃ patthanāyāti attho. Nānatthā nātthakāraṇāti na anatthato na atthakāraṇā. Na katañca niraṅkatvāti katañca nipphāditaṃ jhānaṃ niraṃkatvā. Idaṃ vuttaṃ hoti – nārada, na heva vatthukāmapatthanāya dhammā cavitumarahasi, ekasmiṃ anatthe uppanne taṃ paṭihanitukāmo nānatthā na atthenapi kāraṇabhūtena dhammā cavitumarahasi, ‘‘asuko nāma me attho uppajjissatī’’ti evampi atthakāraṇāpi na dhammā cavitumarahasi, kataṃ pana nipphāditaṃ jhānasukhaṃ niraṃkatvā vināsetvā neva dhammā cavitumarahasīsi.
เอวํ สรภเงฺคน จตูหิ คาถาหิ ธเมฺม เทสิเต กาฬเทวิโล อตฺตโน กนิฎฺฐํ โอวทโนฺต ปญฺจมํ คาถมาห –
Evaṃ sarabhaṅgena catūhi gāthāhi dhamme desite kāḷadevilo attano kaniṭṭhaṃ ovadanto pañcamaṃ gāthamāha –
๖๔.
64.
‘‘ทกฺขํ คหปตี สาธุ, สํวิภชฺชญฺจ โภชนํ;
‘‘Dakkhaṃ gahapatī sādhu, saṃvibhajjañca bhojanaṃ;
อหาโส อตฺถลาเภสุ, อตฺถพฺยาปตฺติ อพฺยโถ’’ติฯ
Ahāso atthalābhesu, atthabyāpatti abyatho’’ti.
ตตฺถ ทกฺขํ คหปตีติ นารท ฆราวาสํ วสนฺตานํ คหปตีนํ โภคุปฺปาทนตฺถาย อนลสฺยเฉกกุสลภาวสงฺขาตํ ทกฺขํ นาม สาธุ, ทกฺขภาโว ภทฺทโกฯ สํวิภชฺชญฺจ โภชนนฺติ ทุเกฺขน อุปฺปาทิตโภคานํ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมเณหิ สทฺธิํ สํวิภชิตฺวา ปริโภคกรณํ ทุติยํ สาธุฯ อหาโส อตฺถลาเภสูติ มหเนฺต อิสฺสริเย อุปฺปเนฺน อปฺปมาทวเสน อหาโส อนุปฺปิลาวิตตฺตํ ตติยํ สาธุฯ อตฺถพฺยาปตฺตีติ ยทา ปน อตฺตโน อตฺถพฺยาปตฺติ ยสวินาโส โหติ, ตทา อพฺยโถ อกิลมนํ จตุตฺถํ สาธุ, ตสฺมา ตฺวํ, นารท, ‘‘ฌานํ เม อนฺตรหิต’’นฺติ มา โสจิ, สเจ อินฺทฺริยานํ วสํ น คมิสฺสสิ, นฎฺฐมฺปิ เต ฌานํ ปุน ปากติกเมว ภวิสฺสตีติฯ
Tattha dakkhaṃ gahapatīti nārada gharāvāsaṃ vasantānaṃ gahapatīnaṃ bhoguppādanatthāya analasyachekakusalabhāvasaṅkhātaṃ dakkhaṃ nāma sādhu, dakkhabhāvo bhaddako. Saṃvibhajjañca bhojananti dukkhena uppāditabhogānaṃ dhammikasamaṇabrāhmaṇehi saddhiṃ saṃvibhajitvā paribhogakaraṇaṃ dutiyaṃ sādhu. Ahāso atthalābhesūti mahante issariye uppanne appamādavasena ahāso anuppilāvitattaṃ tatiyaṃ sādhu. Atthabyāpattīti yadā pana attano atthabyāpatti yasavināso hoti, tadā abyatho akilamanaṃ catutthaṃ sādhu, tasmā tvaṃ, nārada, ‘‘jhānaṃ me antarahita’’nti mā soci, sace indriyānaṃ vasaṃ na gamissasi, naṭṭhampi te jhānaṃ puna pākatikameva bhavissatīti.
ตํ ปุน กาฬเทวิเลน นารทสฺส โอวทิตภาวํ ญตฺวา สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ฉฎฺฐํ คาถมาห –
Taṃ puna kāḷadevilena nāradassa ovaditabhāvaṃ ñatvā satthā abhisambuddho hutvā chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๖๕.
65.
‘‘เอตฺตาวเตตํ ปณฺฑิจฺจํ, อปิ โส เทวิโล พฺรวิ;
‘‘Ettāvatetaṃ paṇḍiccaṃ, api so devilo bravi;
น ยิโต กิญฺจิ ปาปิโย, โย อินฺทฺริยานํ วสํ วเช’’ติฯ
Na yito kiñci pāpiyo, yo indriyānaṃ vasaṃ vaje’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ภิกฺขเว, เอตฺตกํ เอตํ ปณฺฑิจฺจํ โสยํ เทวิโล อพฺรวิฯ โย ปน กิเลสวเสน อินฺทฺริยานํ วสํ วชติ, อิโต อโญฺญ ปาปิโย นตฺถีติฯ
Tassattho – bhikkhave, ettakaṃ etaṃ paṇḍiccaṃ soyaṃ devilo abravi. Yo pana kilesavasena indriyānaṃ vasaṃ vajati, ito añño pāpiyo natthīti.
อถ นํ สรภโงฺค อามเนฺตตฺวา ‘‘นารท, อิทํ ตาว สุณ, โย หิ ปฐมเมว กตฺตพฺพยุตฺตกํ น กโรติ, โส อรญฺญํ ปวิฎฺฐมาณวโก วิย โสจติ ปริเทวตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Atha naṃ sarabhaṅgo āmantetvā ‘‘nārada, idaṃ tāva suṇa, yo hi paṭhamameva kattabbayuttakaṃ na karoti, so araññaṃ paviṭṭhamāṇavako viya socati paridevatī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต เอกสฺมิํ กาสินิคเม เอโก พฺราหฺมณมาณโว อภิรูโป อโหสิ ถามสมฺปโนฺน นาคพโลฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ เม กสิกมฺมาทีนิ กตฺวา มาตาปิตูหิ ปุเฎฺฐหิ, กิํ ปุตฺตทาเรน, กิํ ทานาทีหิ ปุเญฺญหิ กเตหิ, กญฺจิ อโปเสตฺวา กิญฺจิ ปุญฺญํ อกตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มิเค มาเรตฺวา อตฺตานํเยว โปเสสฺสามี’’ติ? โส ปญฺจาวุธสนฺนโทฺธ หิมวนฺตํ คนฺตฺวา นานามิเค วธิตฺวา ขาทโนฺต อโนฺตหิมวเนฺต วิธวาย นาม นทิยา ตีเร คิริปริกฺขิตฺตํ มหนฺตํ ปพฺพตชาลํ ปตฺวา ตตฺถ มิเค วธิตฺวา องฺคาเร ปกฺกมํสํ ขาทโนฺต วาสํ กเปฺปสิฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘อหํ สพฺพทา ถามสมฺปโนฺน น ภวิสฺสามิ, ทุพฺพลกาเล อรเญฺญ จริตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อิทาเนว นานาวเณฺณ มิเค ปพฺพตชาลํ ปเวเสตฺวา ทฺวารํ โยเชตฺวา อรญฺญํ อนาหิณฺฑโนฺตว ยถารุจิยา มิเค วธิตฺวา ขาทิสฺสามี’’ติ ตถา อกาสิฯ อถสฺส กาเล อติกฺกเนฺต ตํ กมฺมํ มตฺถกปฺปตฺตํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ ชาตํ, อตฺตโน หตฺถปาเทหิ น ลภิ คนฺตุํ, อปราปรํ ปริวเตฺตตุํ นาสกฺขิ, เนว กิญฺจิ ขาทนียํ โภชนียํ, น ปานียํ ปสฺสิ, สรีรํ มิลายิ, มนุสฺสเปโต อโหสิ, คิมฺหกาเล ปถวี วิย สรีรํ ภิชฺชิตฺวา ราชิโย ทเสฺสสิ, โส ทุรูโป ทุสฺสณฺฐิโต มหาทุกฺขํ อนุภวิฯ
Atīte ekasmiṃ kāsinigame eko brāhmaṇamāṇavo abhirūpo ahosi thāmasampanno nāgabalo. So cintesi – ‘‘kiṃ me kasikammādīni katvā mātāpitūhi puṭṭhehi, kiṃ puttadārena, kiṃ dānādīhi puññehi katehi, kañci aposetvā kiñci puññaṃ akatvā araññaṃ pavisitvā mige māretvā attānaṃyeva posessāmī’’ti? So pañcāvudhasannaddho himavantaṃ gantvā nānāmige vadhitvā khādanto antohimavante vidhavāya nāma nadiyā tīre giriparikkhittaṃ mahantaṃ pabbatajālaṃ patvā tattha mige vadhitvā aṅgāre pakkamaṃsaṃ khādanto vāsaṃ kappesi. So cintesi ‘‘ahaṃ sabbadā thāmasampanno na bhavissāmi, dubbalakāle araññe carituṃ na sakkhissāmi, idāneva nānāvaṇṇe mige pabbatajālaṃ pavesetvā dvāraṃ yojetvā araññaṃ anāhiṇḍantova yathāruciyā mige vadhitvā khādissāmī’’ti tathā akāsi. Athassa kāle atikkante taṃ kammaṃ matthakappattaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ jātaṃ, attano hatthapādehi na labhi gantuṃ, aparāparaṃ parivattetuṃ nāsakkhi, neva kiñci khādanīyaṃ bhojanīyaṃ, na pānīyaṃ passi, sarīraṃ milāyi, manussapeto ahosi, gimhakāle pathavī viya sarīraṃ bhijjitvā rājiyo dassesi, so durūpo dussaṇṭhito mahādukkhaṃ anubhavi.
เอวํ อทฺธาเน คเต สิวิรเฎฺฐ สิวิราชา นาม ‘‘อรเญฺญ องฺคารปกฺกมํสํ ขาทิสฺสามี’’ติ อมจฺจานํ รชฺชํ นิยฺยาเทตฺวา ปญฺจาวุธสนฺนโทฺธ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มิเค วธิตฺวา มํสํ ขาทมาโน อนุปุเพฺพน ตํ ปเทสํ ปตฺวา ตํ ปุริสํ ทิสฺวา ภีโตปิ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา ‘‘โกสิ ตฺวํ อโมฺภ ปุริสา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สามิ, มนุสฺสเปโต อหํ, อตฺตโน กตกมฺมสฺส ผลํ อนุโภมิ, ตฺวํ ปน โกสี’’ติ? ‘‘สิวิราชาหมสฺมี’’ติฯ ‘‘อถ กสฺมา อิธาคโตสี’’ติ? ‘‘มิคมํสํ ขาทนตฺถายา’’ติฯ อถสฺส โส ‘‘อหมฺปิ มหาราช, อิมินาว การเณน อาคนฺตฺวา มนุสฺสเปโต ชาโต’’ติ สพฺพํ วิตฺถาเรน กเถตฺวา อตฺตโน ทุกฺขิตภาวํ รโญฺญ อาจิกฺขโนฺต เสสคาถา อาห –
Evaṃ addhāne gate siviraṭṭhe sivirājā nāma ‘‘araññe aṅgārapakkamaṃsaṃ khādissāmī’’ti amaccānaṃ rajjaṃ niyyādetvā pañcāvudhasannaddho araññaṃ pavisitvā mige vadhitvā maṃsaṃ khādamāno anupubbena taṃ padesaṃ patvā taṃ purisaṃ disvā bhītopi satiṃ upaṭṭhapetvā ‘‘kosi tvaṃ ambho purisā’’ti pucchi. ‘‘Sāmi, manussapeto ahaṃ, attano katakammassa phalaṃ anubhomi, tvaṃ pana kosī’’ti? ‘‘Sivirājāhamasmī’’ti. ‘‘Atha kasmā idhāgatosī’’ti? ‘‘Migamaṃsaṃ khādanatthāyā’’ti. Athassa so ‘‘ahampi mahārāja, imināva kāraṇena āgantvā manussapeto jāto’’ti sabbaṃ vitthārena kathetvā attano dukkhitabhāvaṃ rañño ācikkhanto sesagāthā āha –
๖๖.
66.
‘‘อมิตฺตานํว หตฺถตฺถํ, สิวิ ปโปฺปติ มามิว;
‘‘Amittānaṃva hatthatthaṃ, sivi pappoti māmiva;
กมฺมํ วิชฺชญฺจ ทเกฺขยฺยํ, วิวาหํ สีลมทฺทวํ;
Kammaṃ vijjañca dakkheyyaṃ, vivāhaṃ sīlamaddavaṃ;
เอเต จ ยเส หาเปตฺวา, นิพฺพโตฺต เสหิ กเมฺมหิฯ
Ete ca yase hāpetvā, nibbatto sehi kammehi.
๖๗.
67.
‘‘โสหํ สหสฺสชีโนว, อพนฺธุ อปรายโณ;
‘‘Sohaṃ sahassajīnova, abandhu aparāyaṇo;
อริยธมฺมา อปกฺกโนฺต, ยถา เปโต ตเถวหํฯ
Ariyadhammā apakkanto, yathā peto tathevahaṃ.
๖๘.
68.
‘‘สุขกาเม ทุกฺขาเปตฺวา, อาปโนฺนสฺมิ ปทํ อิมํ;
‘‘Sukhakāme dukkhāpetvā, āpannosmi padaṃ imaṃ;
โส สุขํ นาธิคจฺฉามิ, ฐิโต ภาณุมตามิวา’’ติฯ
So sukhaṃ nādhigacchāmi, ṭhito bhāṇumatāmivā’’ti.
ตตฺถ อมิตฺตานํว หตฺถตฺถนฺติ อมิตฺตานํ หเตฺถ อตฺถํ วินาสํ วิยฯ สิวีติ ราชานํ อาลปติฯ ปโปฺปติ มามิวาติ มาทิโส ปาปกเมฺมน ปาปุณาติ, อตฺตโนว กเมฺมน วินาสํ ปาปุณาตีติ วุตฺตํ โหติฯ กมฺมนฺติ กสิกมฺมาทิเภทํ อาชีวสาธกํ กิจฺจํฯ วิชฺชนฺติ นานปฺปการกํ หตฺถิสิปฺปาทิกํ สิปฺปํฯ ทเกฺขยฺยนฺติ นานปฺปกาเรน โภคุปฺปาทนโกสลฺลํฯ วิวาหนฺติ อาวาหวิวาหสมฺพนฺธํฯ สีลมทฺทวนฺติ ปญฺจวิธสีลเญฺจว มุทุวจนํ หิตกามํ ปาปนิวารณํ กลฺยาณมิตฺตตญฺจฯ โส หิ อิธ มทฺทโวติ อธิเปฺปโตฯ เอเต จ ยเส หาเปตฺวาติ เอเต เอตฺตเก ยสทายเก ธเมฺม หาเปตฺวา จฯ นิพฺพโตฺต เสหิ กเมฺมหีติ อตฺตโน กเมฺมหิ นิพฺพโตฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อหํ, มหาราช, อิมสฺมิํ โลเก อิสฺสริยทายกํ กตฺตพฺพยุตฺตกํ กมฺมํ อกตฺวา สิปฺปํ อสิกฺขิตฺวา อุปาเยน โภเค อนุปฺปาเทตฺวา อาวาหวิวาหํ อกตฺวา สีลํ อรกฺขิตฺวา มํ อกิจฺจํ กโรนฺตํ ปาปนิวารณสมเตฺถ กลฺยาณมิเตฺต อภชิตฺวา อิเม เอตฺตเก ยสทายกตฺตา ‘‘ยเส’’ติ สงฺขฺยํ คเต โลกปฺปวตฺติธเมฺม หาเปตฺวา ฉเฑฺฑตฺวา อิมํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา สยํ กเตหิ ปาปกเมฺมหิ อิทานิ มนุสฺสเปโต หุตฺวา นิพฺพโตฺตสฺมีติฯ
Tattha amittānaṃva hatthatthanti amittānaṃ hatthe atthaṃ vināsaṃ viya. Sivīti rājānaṃ ālapati. Pappoti māmivāti mādiso pāpakammena pāpuṇāti, attanova kammena vināsaṃ pāpuṇātīti vuttaṃ hoti. Kammanti kasikammādibhedaṃ ājīvasādhakaṃ kiccaṃ. Vijjanti nānappakārakaṃ hatthisippādikaṃ sippaṃ. Dakkheyyanti nānappakārena bhoguppādanakosallaṃ. Vivāhanti āvāhavivāhasambandhaṃ. Sīlamaddavanti pañcavidhasīlañceva muduvacanaṃ hitakāmaṃ pāpanivāraṇaṃ kalyāṇamittatañca. So hi idha maddavoti adhippeto. Ete ca yase hāpetvāti ete ettake yasadāyake dhamme hāpetvā ca. Nibbatto sehi kammehīti attano kammehi nibbatto. Idaṃ vuttaṃ hoti – ahaṃ, mahārāja, imasmiṃ loke issariyadāyakaṃ kattabbayuttakaṃ kammaṃ akatvā sippaṃ asikkhitvā upāyena bhoge anuppādetvā āvāhavivāhaṃ akatvā sīlaṃ arakkhitvā maṃ akiccaṃ karontaṃ pāpanivāraṇasamatthe kalyāṇamitte abhajitvā ime ettake yasadāyakattā ‘‘yase’’ti saṅkhyaṃ gate lokappavattidhamme hāpetvā chaḍḍetvā imaṃ araññaṃ pavisitvā sayaṃ katehi pāpakammehi idāni manussapeto hutvā nibbattosmīti.
สหสฺสชีโนวาติ สหสฺสชีนปุริโส วิยาติ อโตฺถฯ สฺวาหํ สมฺมา ปฎิปชฺชิตฺวา โภเค อุปฺปาเทยฺยํ, เตหิ อเนกสหเสฺสหิ โภเคหิ ชิโตติปิ อโตฺถฯ อปรายโณติ อสรโณ, นิปฺปติโฎฺฐติ อโตฺถฯ อริยธมฺมาติ สปฺปุริสธมฺมโตฯ ยถา เปโตติ ยถา มโต เปโต หุตฺวา อุปฺปเชฺชยฺย, ชีวมาโนเยว ตถา มนุสฺสเปโต ชาโตสฺมีติ อโตฺถฯ สุขกาเม ทุกฺขาเปตฺวาติ สุขกาเม สเตฺต ทุกฺขาเปตฺวาฯ ‘‘สุขกาโม’’ติปิ ปาโฐ, สยํ สุขกาโม ปรํ ทุกฺขาเปตฺวาติ อโตฺถฯ อาปโนฺนสฺมิ ปทํ อิมนฺติ เอวรูปํ โกฎฺฐาสํ ปโตฺตสฺมิฯ ปถนฺติปิ ปาโฐ, อิทํ ทุกฺขสฺส ปถภูตํ อตฺตภาวํ ปโตฺตสฺมีติ อโตฺถฯ ฐิโต ภาณุมตามิวาติ ภาณุมา วุจฺจติ อคฺคิ, วีตจฺจิกงฺคาเรหิ สมนฺตา ปริกิโณฺณ วิย สรีเร อุฎฺฐิเตน มหาทาเหน ทยฺหโนฺต กายิกเจตสิกสุขํ น วินฺทามีติ วทติฯ
Sahassajīnovāti sahassajīnapuriso viyāti attho. Svāhaṃ sammā paṭipajjitvā bhoge uppādeyyaṃ, tehi anekasahassehi bhogehi jitotipi attho. Aparāyaṇoti asaraṇo, nippatiṭṭhoti attho. Ariyadhammāti sappurisadhammato. Yathāpetoti yathā mato peto hutvā uppajjeyya, jīvamānoyeva tathā manussapeto jātosmīti attho. Sukhakāme dukkhāpetvāti sukhakāme satte dukkhāpetvā. ‘‘Sukhakāmo’’tipi pāṭho, sayaṃ sukhakāmo paraṃ dukkhāpetvāti attho. Āpannosmi padaṃ imanti evarūpaṃ koṭṭhāsaṃ pattosmi. Pathantipi pāṭho, idaṃ dukkhassa pathabhūtaṃ attabhāvaṃ pattosmīti attho. Ṭhito bhāṇumatāmivāti bhāṇumā vuccati aggi, vītaccikaṅgārehi samantā parikiṇṇo viya sarīre uṭṭhitena mahādāhena dayhanto kāyikacetasikasukhaṃ na vindāmīti vadati.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อหํ, มหาราช, สุขกาโม ปรํ ทุกฺขาเปตฺวา ทิเฎฺฐว ธเมฺม มนุสฺสเปโต ชาโต, ตสฺมา ตฺวํ ปาปํ มา กริ, อตฺตโน นครํ คนฺตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรหี’’ติ อาหฯ ราชา ตถา กตฺวา สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ สรภงฺคสตฺถา อิมํ การณํ อาหริตฺวา ตาปสํ สญฺญาเปสิฯ โส ตสฺส ธมฺมกถาย สํเวคํ ปฎิลภิตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา ขมาเปตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา นฎฺฐํ ฌานํ ปฎิปากติกํ อกาสิฯ สรภโงฺค ตสฺส ตตฺถ วสิตุํ อทตฺวา ตํ อาทาย อตฺตโน อสฺสมํ คโตฯ
Evañca pana vatvā ‘‘ahaṃ, mahārāja, sukhakāmo paraṃ dukkhāpetvā diṭṭheva dhamme manussapeto jāto, tasmā tvaṃ pāpaṃ mā kari, attano nagaraṃ gantvā dānādīni puññāni karohī’’ti āha. Rājā tathā katvā saggapuraṃ pūresi. Sarabhaṅgasatthā imaṃ kāraṇaṃ āharitvā tāpasaṃ saññāpesi. So tassa dhammakathāya saṃvegaṃ paṭilabhitvā taṃ vanditvā khamāpetvā kasiṇaparikammaṃ katvā naṭṭhaṃ jhānaṃ paṭipākatikaṃ akāsi. Sarabhaṅgo tassa tattha vasituṃ adatvā taṃ ādāya attano assamaṃ gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi.
ตทา นารโท อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ อโหสิ, นครโสภิณี ปุราณทุติยิกา, สาลิสฺสโร สาริปุโตฺต, เมณฺฑิสฺสโร กสฺสโป, ปพฺพโต อนุรุโทฺธ, กาฬเทวิโล กจฺจายโน, อนุปิโย อานโนฺท, กิสวโจฺฉ มหาโมคฺคลฺลาโน, สรภโงฺค ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā nārado ukkaṇṭhitabhikkhu ahosi, nagarasobhiṇī purāṇadutiyikā, sālissaro sāriputto, meṇḍissaro kassapo, pabbato anuruddho, kāḷadevilo kaccāyano, anupiyo ānando, kisavaccho mahāmoggallāno, sarabhaṅgo pana ahameva ahosinti.
อินฺทฺริยชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ
Indriyajātakavaṇṇanā sattamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๒๓. อินฺทฺริยชาตกํ • 423. Indriyajātakaṃ