Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā

    อินฺทฺริยราสิวณฺณนา

    Indriyarāsivaṇṇanā

    สทฺทหนฺติ เอตาย, สยํ วา สทฺทหติ, สทฺทหนมตฺตเมว วา เอสาติ สทฺธาฯ สาว อสฺสทฺธิยสฺส อภิภวนโต อธิปติยเฎฺฐน อินฺทฺริยํฯ อธิโมกฺขลกฺขเณ วา อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ สทฺธาว อินฺทฺริยํ สทฺธินฺทฺริยํฯ สา ปเนสา สมฺปสาทนลกฺขณา จ สทฺธา สมฺปกฺขนฺทนลกฺขณา จฯ

    Saddahanti etāya, sayaṃ vā saddahati, saddahanamattameva vā esāti saddhā. Sāva assaddhiyassa abhibhavanato adhipatiyaṭṭhena indriyaṃ. Adhimokkhalakkhaṇe vā indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Saddhāva indriyaṃ saddhindriyaṃ. Sā panesā sampasādanalakkhaṇā ca saddhā sampakkhandanalakkhaṇā ca.

    ยถา หิ รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส อุทกปฺปสาทโก มณิ อุทเก ปกฺขิโตฺต ปงฺกเสวาลปณกกทฺทมํ สนฺนิสีทาเปติ, อุทกํ อจฺฉํ กโรติ วิปฺปสนฺนํ อนาวิลํ, เอวเมว สทฺธา อุปฺปชฺชมานา นีวรเณ วิกฺขเมฺภติ, กิเลเส สนฺนิสีทาเปติ, จิตฺตํ ปสาเทติ, อนาวิลํ กโรติฯ ปสเนฺนน จิเตฺตน โยคาวจโร กุลปุโตฺต ทานํ เทติ, สีลํ สมาทิยติ, อุโปสถกมฺมํ กโรติ, ภาวนํ อารภติฯ เอวํ ตาว สทฺธา สมฺปสาทนลกฺขณาติ เวทิตพฺพาฯ เตนาห อายสฺมา นาคเสโน

    Yathā hi rañño cakkavattissa udakappasādako maṇi udake pakkhitto paṅkasevālapaṇakakaddamaṃ sannisīdāpeti, udakaṃ acchaṃ karoti vippasannaṃ anāvilaṃ, evameva saddhā uppajjamānā nīvaraṇe vikkhambheti, kilese sannisīdāpeti, cittaṃ pasādeti, anāvilaṃ karoti. Pasannena cittena yogāvacaro kulaputto dānaṃ deti, sīlaṃ samādiyati, uposathakammaṃ karoti, bhāvanaṃ ārabhati. Evaṃ tāva saddhā sampasādanalakkhaṇāti veditabbā. Tenāha āyasmā nāgaseno

    ‘‘ยถา, มหาราช, ราชา จกฺกวตฺติ จตุรงฺคินิยา เสนาย สทฺธิํ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน ปริตฺตํ อุทกํ ตเรยฺย, ตํ อุทกํ หตฺถีหิ จ อเสฺสหิ จ รเถหิ จ ปตฺตีหิ จ สงฺขุภิตํ ภเวยฺย อาวิลํ ลุลิตํ กลลีภูตํ, อุตฺติโณฺณ จ ราชา จกฺกวตฺติ มนุเสฺส อาณาเปยฺย ‘ปานียํ ภเณ อาหรถ, ตํ ปิวิสฺสามี’ติฯ รโญฺญ จ อุทกปฺปสาทโก มณิ ภเวยฺยฯ ‘เอวํ เทวา’ติ โข เต มนุสฺสา รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส ปฎิสฺสุตฺวา ตํ อุทกปฺปสาทกํ มณิํ อุทเก ปกฺขิเปยฺยุํฯ ตสฺมิํ อุทเก ปกฺขิตฺตมเตฺต ปงฺกเสวาลปณกํ วิคเจฺฉยฺย, กทฺทโม จ สนฺนิสีเทยฺย, อจฺฉํ ภเวยฺย อุทกํ วิปฺปสนฺนํ อนาวิลํ, ตโต รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส ปานียํ อุปนาเมยฺยุํ – ‘ปิวตุ เทโว ปานีย’นฺติฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, rājā cakkavatti caturaṅginiyā senāya saddhiṃ addhānamaggappaṭipanno parittaṃ udakaṃ tareyya, taṃ udakaṃ hatthīhi ca assehi ca rathehi ca pattīhi ca saṅkhubhitaṃ bhaveyya āvilaṃ lulitaṃ kalalībhūtaṃ, uttiṇṇo ca rājā cakkavatti manusse āṇāpeyya ‘pānīyaṃ bhaṇe āharatha, taṃ pivissāmī’ti. Rañño ca udakappasādako maṇi bhaveyya. ‘Evaṃ devā’ti kho te manussā rañño cakkavattissa paṭissutvā taṃ udakappasādakaṃ maṇiṃ udake pakkhipeyyuṃ. Tasmiṃ udake pakkhittamatte paṅkasevālapaṇakaṃ vigaccheyya, kaddamo ca sannisīdeyya, acchaṃ bhaveyya udakaṃ vippasannaṃ anāvilaṃ, tato rañño cakkavattissa pānīyaṃ upanāmeyyuṃ – ‘pivatu devo pānīya’nti.

    ‘‘ยถา , มหาราช, อุทกํ เอวํ จิตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถา เต มนุสฺสา เอวํ โยคาวจโร ทฎฺฐโพฺพฯ ยถา ปงฺกเสวาลปณกํ กทฺทโม จ เอวํ กิเลสา ทฎฺฐพฺพาฯ ยถา อุทกปฺปสาทโก มณิ เอวํ สทฺธา ทฎฺฐพฺพาฯ ยถา อุทกปฺปสาทเก มณิมฺหิ ปกฺขิตฺตมเตฺต ปงฺกเสวาลปณกํ วิคจฺฉติ กทฺทโม จ สนฺนิสีทติ, อจฺฉํ ภวติ อุทกํ วิปฺปสนฺนํ อนาวิลํ, เอวเมว โข, มหาราช, สทฺธา อุปฺปชฺชมานา นีวรเณ วิกฺขเมฺภติ, วินีวรณํ จิตฺตํ โหติ อจฺฉํ วิปฺปสนฺนํ อนาวิล’’นฺติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๐)ฯ

    ‘‘Yathā , mahārāja, udakaṃ evaṃ cittaṃ daṭṭhabbaṃ. Yathā te manussā evaṃ yogāvacaro daṭṭhabbo. Yathā paṅkasevālapaṇakaṃ kaddamo ca evaṃ kilesā daṭṭhabbā. Yathā udakappasādako maṇi evaṃ saddhā daṭṭhabbā. Yathā udakappasādake maṇimhi pakkhittamatte paṅkasevālapaṇakaṃ vigacchati kaddamo ca sannisīdati, acchaṃ bhavati udakaṃ vippasannaṃ anāvilaṃ, evameva kho, mahārāja, saddhā uppajjamānā nīvaraṇe vikkhambheti, vinīvaraṇaṃ cittaṃ hoti acchaṃ vippasannaṃ anāvila’’nti (mi. pa. 2.1.10).

    ยถา ปน กุมฺภิลมกรคาหรกฺขสาทิกิณฺณํ ปูรํ มหานทิํ อาคมฺม ภีรุกชโน อุโภสุ ตีเรสุ ติฎฺฐติฯ สงฺคามสูโร ปน มหาโยโธ อาคนฺตฺวา ‘กสฺมา ฐิตตฺถา’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘สปฺปฎิภยภาเวน โอตริตุํ น วิสหามา’ติ วุเตฺต สุนิสิตํ อสิํ คเหตฺวา ‘มม ปจฺฉโต เอถ, มา ภายิตฺถา’ติ วตฺวา นทิํ โอตริตฺวา อาคตาคเต กุมฺภิลาทโย ปฎิพาหิตฺวา โอริมตีรโต มนุสฺสานํ โสตฺถิภาวํ กโรโนฺต ปาริมตีรํ เนติฯ ปาริมตีรโตปิ โสตฺถินา โอริมตีรํ อาเนติฯ เอวเมว ทานํ ททโต สีลํ รกฺขโต อุโปสถกมฺมํ กโรโต ภาวนํ อารภโต สทฺธา ปุพฺพงฺคมา ปุเรจาริกา โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘สมฺปกฺขนฺทนลกฺขณา จ สทฺธา’ติฯ

    Yathā pana kumbhilamakaragāharakkhasādikiṇṇaṃ pūraṃ mahānadiṃ āgamma bhīrukajano ubhosu tīresu tiṭṭhati. Saṅgāmasūro pana mahāyodho āgantvā ‘kasmā ṭhitatthā’ti pucchitvā ‘sappaṭibhayabhāvena otarituṃ na visahāmā’ti vutte sunisitaṃ asiṃ gahetvā ‘mama pacchato etha, mā bhāyitthā’ti vatvā nadiṃ otaritvā āgatāgate kumbhilādayo paṭibāhitvā orimatīrato manussānaṃ sotthibhāvaṃ karonto pārimatīraṃ neti. Pārimatīratopi sotthinā orimatīraṃ āneti. Evameva dānaṃ dadato sīlaṃ rakkhato uposathakammaṃ karoto bhāvanaṃ ārabhato saddhā pubbaṅgamā purecārikā hoti. Tena vuttaṃ ‘sampakkhandanalakkhaṇā ca saddhā’ti.

    อปโร นโย – สทฺทหนลกฺขณา สทฺธา, โอกปฺปนลกฺขณา วาฯ ปสาทนรสา อุทกปฺปสาทกมณิ วิย, ปกฺขนฺทนรสา วา โอฆุตฺตรโณ วิยฯ อกาลุสิยปจฺจุปฎฺฐานา, อธิมุตฺติปจฺจุปฎฺฐานา วาฯ สเทฺธยฺยวตฺถุปทฎฺฐานา โสตาปตฺติยงฺคปทฎฺฐานา วา, สา หตฺถวิตฺตพีชานิ วิย ทฎฺฐพฺพาฯ

    Aparo nayo – saddahanalakkhaṇā saddhā, okappanalakkhaṇā vā. Pasādanarasā udakappasādakamaṇi viya, pakkhandanarasā vā oghuttaraṇo viya. Akālusiyapaccupaṭṭhānā, adhimuttipaccupaṭṭhānā vā. Saddheyyavatthupadaṭṭhānā sotāpattiyaṅgapadaṭṭhānā vā, sā hatthavittabījāni viya daṭṭhabbā.

    วีรสฺส ภาโว วีริยํ, วีรานํ วา กมฺมํ วีริยํฯ วิธินา วา นเยน อุปาเยน อีรยิตพฺพํ ปวตฺตยิตพฺพนฺติ วีริยํฯ ตเทว โกสชฺชสฺส อภิภวนโต อธิปติยเฎฺฐน อินฺทฺริยํฯ ปคฺคหณลกฺขเณ วา อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ วีริยเมว อินฺทฺริยํ วีริยินฺทฺริยํฯ ตํ ปเนตํ อุปตฺถมฺภนลกฺขณญฺจ วีริยํ ปคฺคหณลกฺขณญฺจฯ ยถา หิ ชิณฺณฆรํ อาคนฺตุเกน ถูณุปตฺถเมฺภน ติฎฺฐติ, เอวเมว โยคาวจโร วีริยุปตฺถเมฺภน อุปตฺถมฺภิโต หุตฺวา สพฺพกุสลธเมฺมหิ น หายติ, น ปริหายติฯ เอวํ ตาวสฺส อุปตฺถมฺภนลกฺขณตา เวทิตพฺพาฯ เตนาห เถโร นาคเสโน

    Vīrassa bhāvo vīriyaṃ, vīrānaṃ vā kammaṃ vīriyaṃ. Vidhinā vā nayena upāyena īrayitabbaṃ pavattayitabbanti vīriyaṃ. Tadeva kosajjassa abhibhavanato adhipatiyaṭṭhena indriyaṃ. Paggahaṇalakkhaṇe vā indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Vīriyameva indriyaṃ vīriyindriyaṃ. Taṃ panetaṃ upatthambhanalakkhaṇañca vīriyaṃ paggahaṇalakkhaṇañca. Yathā hi jiṇṇagharaṃ āgantukena thūṇupatthambhena tiṭṭhati, evameva yogāvacaro vīriyupatthambhena upatthambhito hutvā sabbakusaladhammehi na hāyati, na parihāyati. Evaṃ tāvassa upatthambhanalakkhaṇatā veditabbā. Tenāha thero nāgaseno

    ‘‘ยถา , มหาราช, ปุริโส เคเห ปตเนฺต ตมเญฺญน ทารุนา อุปตฺถเมฺภยฺย, อุปตฺถมฺภิตํ สนฺตํ เอวํ ตํ เคหํ น ปเตยฺย, เอวเมว โข มหาราช อุปตฺถมฺภนลกฺขณํ วีริยํ, วีริยุปตฺถมฺภิตา สเพฺพ กุสลา ธมฺมา น หายนฺติ น ปริหายนฺตี’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๒)ฯ

    ‘‘Yathā , mahārāja, puriso gehe patante tamaññena dārunā upatthambheyya, upatthambhitaṃ santaṃ evaṃ taṃ gehaṃ na pateyya, evameva kho mahārāja upatthambhanalakkhaṇaṃ vīriyaṃ, vīriyupatthambhitā sabbe kusalā dhammā na hāyanti na parihāyantī’’ti (mi. pa. 2.1.12).

    ยถา วา ปน ขุทฺทิกาย จ มหติกาย จ เสนาย สงฺคาเม ปวเตฺต ขุทฺทิกา เสนา โอลีเยยฺย, ตโต รโญฺญ อาโรเจยฺย, ราชา พลวาหนํ เปเสยฺย, เตน ปคฺคหิตา สกเสนา ปรเสนํ ปราเชยฺย, เอวเมว วีริยํ สหชาตสมฺปยุตฺตธมฺมานํ โอลียิตุํ โอสกฺกิตุํ น เทติ, อุกฺขิปติ, ปคฺคณฺหาติฯ เตน วุตฺตํ ‘ปคฺคหณลกฺขณญฺจ วีริย’นฺติฯ

    Yathā vā pana khuddikāya ca mahatikāya ca senāya saṅgāme pavatte khuddikā senā olīyeyya, tato rañño āroceyya, rājā balavāhanaṃ peseyya, tena paggahitā sakasenā parasenaṃ parājeyya, evameva vīriyaṃ sahajātasampayuttadhammānaṃ olīyituṃ osakkituṃ na deti, ukkhipati, paggaṇhāti. Tena vuttaṃ ‘paggahaṇalakkhaṇañca vīriya’nti.

    อปโร นโย – อุสฺสาหลกฺขณํ วีริยํ, สหชาตานํ อุปตฺถมฺภนรสํ, อสํสีทนภาวปจฺจุปฎฺฐานํ, ‘‘สํวิโคฺค โยนิโส ปทหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๑๓) วจนโต สํเวคปทฎฺฐานํ, วีริยารมฺภวตฺถุปทฎฺฐานํ วาฯ สมฺมา อารทฺธํ สพฺพาสํ สมฺปตฺตีนํ มูลํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Aparo nayo – ussāhalakkhaṇaṃ vīriyaṃ, sahajātānaṃ upatthambhanarasaṃ, asaṃsīdanabhāvapaccupaṭṭhānaṃ, ‘‘saṃviggo yoniso padahatī’’ti (a. ni. 4.113) vacanato saṃvegapadaṭṭhānaṃ, vīriyārambhavatthupadaṭṭhānaṃ vā. Sammā āraddhaṃ sabbāsaṃ sampattīnaṃ mūlaṃ hotīti daṭṭhabbaṃ.

    สรนฺติ เอตาย, สยํ วา สรติ, สรณมตฺตเมว วา เอสาติ สติฯ สาว มุฎฺฐสฺสจฺจสฺส อภิภวนโต อธิปติยเฎฺฐน อินฺทฺริยํ, อุปฎฺฐานลกฺขเณ วา อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ สติ เอว อินฺทฺริยํ สตินฺทฺริยํฯ สา ปเนสา อปิลาปนลกฺขณา จ สติ อุปคฺคณฺหนลกฺขณา จฯ ยถา หิ รโญฺญ ภณฺฑาคาริโก ทสวิธํ รตนํ โคปยโนฺต สายํปาตํ ราชานํ อิสฺสริยสมฺปตฺติํ สลฺลกฺขาเปติ สาเรติ, เอวเมว สติ กุสลํ ธมฺมํ สลฺลกฺขาเปติ สราเปติฯ เตนาห เถโร

    Saranti etāya, sayaṃ vā sarati, saraṇamattameva vā esāti sati. Sāva muṭṭhassaccassa abhibhavanato adhipatiyaṭṭhena indriyaṃ, upaṭṭhānalakkhaṇe vā indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Sati eva indriyaṃ satindriyaṃ. Sā panesā apilāpanalakkhaṇā ca sati upaggaṇhanalakkhaṇā ca. Yathā hi rañño bhaṇḍāgāriko dasavidhaṃ ratanaṃ gopayanto sāyaṃpātaṃ rājānaṃ issariyasampattiṃ sallakkhāpeti sāreti, evameva sati kusalaṃ dhammaṃ sallakkhāpeti sarāpeti. Tenāha thero

    ‘‘ยถา, มหาราช, รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส ภณฺฑาคาริโก ราชานํ จกฺกวตฺติํ สายํปาตํ ยสํ สราเปติ – ‘เอตฺตกา, เทว, หตฺถี, เอตฺตกา อสฺสา, เอตฺตกา รถา, เอตฺตกา ปตฺตี, เอตฺตกํ หิรญฺญํ, เอตฺตกํ สุวณฺณํ, เอตฺตกํ สพฺพํ สาปเตยฺยํ, ตํ เทโว สรตู’ติ, เอวเมว โข, มหาราช, สติ กุสเล ธเมฺม อปิลาเปติ – อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, อิเม จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, อิเม จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ, อิมานิ ปญฺจ พลานิ, อิเม สตฺต โพชฺฌงฺคา, อยํ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, อยํ สมโถ, อยํ วิปสฺสนา, อยํ วิชฺชา, อยํ วิมุตฺติ, อิเม โลกุตฺตรา ธมฺมาติฯ เอวํ โข, มหาราช, อปิลาปนลกฺขณา สตี’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๓)ฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, rañño cakkavattissa bhaṇḍāgāriko rājānaṃ cakkavattiṃ sāyaṃpātaṃ yasaṃ sarāpeti – ‘ettakā, deva, hatthī, ettakā assā, ettakā rathā, ettakā pattī, ettakaṃ hiraññaṃ, ettakaṃ suvaṇṇaṃ, ettakaṃ sabbaṃ sāpateyyaṃ, taṃ devo saratū’ti, evameva kho, mahārāja, sati kusale dhamme apilāpeti – ime cattāro satipaṭṭhānā, ime cattāro sammappadhānā, ime cattāro iddhipādā, imāni pañcindriyāni, imāni pañca balāni, ime satta bojjhaṅgā, ayaṃ ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, ayaṃ samatho, ayaṃ vipassanā, ayaṃ vijjā, ayaṃ vimutti, ime lokuttarā dhammāti. Evaṃ kho, mahārāja, apilāpanalakkhaṇā satī’’ti (mi. pa. 2.1.13).

    ยถา ปน รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส ปริณายกรตนํ รโญฺญ อหิเต จ หิเต จ ญตฺวา อหิเต อปยาเปติ, หิเต อุปยาเปติ, เอวเมว สติ หิตาหิตานํ ธมฺมานํ คติโย สมเนฺวสิตฺวา ‘อิเม กายทุจฺจริตาทโย ธมฺมา อหิตา’ติ อหิเต ธเมฺม อปนุเทติ , ‘อิเม กายสุจริตาทโย ธมฺมา หิตา’ติ หิเต ธเมฺม อุปคฺคณฺหาติฯ เตนาห เถโร –

    Yathā pana rañño cakkavattissa pariṇāyakaratanaṃ rañño ahite ca hite ca ñatvā ahite apayāpeti, hite upayāpeti, evameva sati hitāhitānaṃ dhammānaṃ gatiyo samanvesitvā ‘ime kāyaduccaritādayo dhammā ahitā’ti ahite dhamme apanudeti , ‘ime kāyasucaritādayo dhammā hitā’ti hite dhamme upaggaṇhāti. Tenāha thero –

    ‘‘ยถา, มหาราช, รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส ปริณายกรตนํ รโญฺญ หิตาหิเต ชานาติ ‘อิเม รโญฺญ หิตา อิเม อหิตา, อิเม อุปการา อิเม อนุปการา’ติ, ตโต อหิเต อปนุเทติ หิเต อุปคฺคณฺหาติ, เอวเมว โข, มหาราช, สติ อุปฺปชฺชมานา หิตาหิตานํ ธมฺมานํ คติโย สมเนฺวสติ ‘อิเม ธมฺมา หิตา อิเม ธมฺมา อหิตา, อิเม ธมฺมา อุปการา อิเม ธมฺมา อนุปการา’ติ , ตโต อหิเต ธเมฺม อปนุเทติ หิเต ธเมฺม อุปคฺคณฺหาติฯ เอวํ โข, มหาราช, อุปคฺคณฺหนลกฺขณา สตี’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๓)ฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, rañño cakkavattissa pariṇāyakaratanaṃ rañño hitāhite jānāti ‘ime rañño hitā ime ahitā, ime upakārā ime anupakārā’ti, tato ahite apanudeti hite upaggaṇhāti, evameva kho, mahārāja, sati uppajjamānā hitāhitānaṃ dhammānaṃ gatiyo samanvesati ‘ime dhammā hitā ime dhammā ahitā, ime dhammā upakārā ime dhammā anupakārā’ti , tato ahite dhamme apanudeti hite dhamme upaggaṇhāti. Evaṃ kho, mahārāja, upaggaṇhanalakkhaṇā satī’’ti (mi. pa. 2.1.13).

    อปโร นโย – อปิลาปนลกฺขณา สติ, อสโมฺมสนรสา, อารกฺขปจฺจุปฎฺฐานา วิสยาภิมุขีภาวปจฺจุปฎฺฐานา วา, ถิรสญฺญาปทฎฺฐานา, กายาทิสติปฎฺฐานปทฎฺฐานา วา, อารมฺมเณ ทฬฺหํ ปติฎฺฐิตตฺตา ปน เอสิกา วิย, จกฺขุทฺวาราทิรกฺขณโต โทวาริโก วิย จ ทฎฺฐพฺพาฯ

    Aparo nayo – apilāpanalakkhaṇā sati, asammosanarasā, ārakkhapaccupaṭṭhānā visayābhimukhībhāvapaccupaṭṭhānā vā, thirasaññāpadaṭṭhānā, kāyādisatipaṭṭhānapadaṭṭhānā vā, ārammaṇe daḷhaṃ patiṭṭhitattā pana esikā viya, cakkhudvārādirakkhaṇato dovāriko viya ca daṭṭhabbā.

    อารมฺมเณ จิตฺตํ สมฺมา อธิยติ ฐเปตีติ สมาธิฯ โสว วิเกฺขปสฺส อภิภวนโต อธิปติยเฎฺฐน อินฺทฺริยํฯ อวิเกฺขปลกฺขเณ วา อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ สมาธิเยว อินฺทฺริยํ สมาธินฺทฺริยํฯ ลกฺขณาทีนิ ปนสฺส เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ

    Ārammaṇe cittaṃ sammā adhiyati ṭhapetīti samādhi. Sova vikkhepassa abhibhavanato adhipatiyaṭṭhena indriyaṃ. Avikkhepalakkhaṇe vā indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Samādhiyeva indriyaṃ samādhindriyaṃ. Lakkhaṇādīni panassa heṭṭhā vuttanayeneva veditabbāni.

    ปชานาตีติ ปญฺญาฯ กิํ ปชานาติ? ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติอาทินา นเยน อริยสจฺจานิฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘ปญฺญาเปตีติ ปญฺญา’ติ วุตฺตํฯ กินฺติ ปญฺญาเปตีติ? อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ ปญฺญาเปติฯ สาว อวิชฺชาย อภิภวนโต อธิปติยเฎฺฐน อินฺทฺริยํฯ ทสฺสนลกฺขเณ วา อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ ปญฺญาว อินฺทฺริยํ ปญฺญินฺทฺริยํฯ สา ปเนสา โอภาสนลกฺขณา จ ปญฺญา ปชานนลกฺขณา จฯ ยถา หิ จตุภิตฺติเก เคเห รตฺติภาเค ทีเป ชลิเต อนฺธกาโร นิรุชฺฌติ อาโลโก ปาตุภวติ, เอวเมว โอภาสนลกฺขณา ปญฺญาฯ ปโญฺญภาสสโม โอภาโส นาม นตฺถิฯ ปญฺญวโต หิ เอกปลฺลเงฺกน นิสินฺนสฺส ทสสหสฺสิโลกธาตุ เอกาโลกา โหติฯ เตนาห เถโร

    Pajānātīti paññā. Kiṃ pajānāti? ‘Idaṃ dukkha’ntiādinā nayena ariyasaccāni. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘paññāpetīti paññā’ti vuttaṃ. Kinti paññāpetīti? Aniccaṃ dukkhaṃ anattāti paññāpeti. Sāva avijjāya abhibhavanato adhipatiyaṭṭhena indriyaṃ. Dassanalakkhaṇe vā indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Paññāva indriyaṃ paññindriyaṃ. Sā panesā obhāsanalakkhaṇā ca paññā pajānanalakkhaṇā ca. Yathā hi catubhittike gehe rattibhāge dīpe jalite andhakāro nirujjhati āloko pātubhavati, evameva obhāsanalakkhaṇā paññā. Paññobhāsasamo obhāso nāma natthi. Paññavato hi ekapallaṅkena nisinnassa dasasahassilokadhātu ekālokā hoti. Tenāha thero

    ‘‘ยถา, มหาราช, ปุริโส อนฺธกาเร เคเห ปทีปํ ปเวเสยฺย, ปวิโฎฺฐ ปทีโป อนฺธการํ วิทฺธํเสติ, โอภาสํ ชเนติ, อาโลกํ วิทํเสติ, ปากฎานิ จ รูปานิ กโรติ, เอวเมว โข, มหาราช, ปญฺญา อุปฺปชฺชมานา อวิชฺชนฺธการํ วิทฺธํเสติ, วิโชฺชภาสํ ชเนติ, ญาณาโลกํ วิทํเสติ, ปากฎานิ จ อริยสจฺจานิ กโรติฯ เอวํ โข, มหาราช, โอภาสนลกฺขณา ปญฺญา’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๕)ฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, puriso andhakāre gehe padīpaṃ paveseyya, paviṭṭho padīpo andhakāraṃ viddhaṃseti, obhāsaṃ janeti, ālokaṃ vidaṃseti, pākaṭāni ca rūpāni karoti, evameva kho, mahārāja, paññā uppajjamānā avijjandhakāraṃ viddhaṃseti, vijjobhāsaṃ janeti, ñāṇālokaṃ vidaṃseti, pākaṭāni ca ariyasaccāni karoti. Evaṃ kho, mahārāja, obhāsanalakkhaṇā paññā’’ti (mi. pa. 2.1.15).

    ยถา ปน เฉโก ภิสโกฺก อาตุรานํ สปฺปายาสปฺปายานิ โภชนานิ ชานาติ, เอวํ ปญฺญา อุปฺปชฺชมานา กุสลากุสเล เสวิตพฺพาเสวิตเพฺพ หีนปฺปณีตกณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาคอปฺปฎิภาเค ธเมฺม ปชานาติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ธมฺมเสนาปตินา – ‘‘ปชานาติ ปชานาตีติ โข, อาวุโส, ตสฺมา ปญฺญวาติ วุจฺจติฯ กิญฺจ ปชานาติ? อิทํ ทุกฺขนฺติ ปชานาตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๔๙) วิตฺถาเรตพฺพํฯ เอวมสฺสา ปชานนลกฺขณตา เวทิตพฺพาฯ

    Yathā pana cheko bhisakko āturānaṃ sappāyāsappāyāni bhojanāni jānāti, evaṃ paññā uppajjamānā kusalākusale sevitabbāsevitabbe hīnappaṇītakaṇhasukkasappaṭibhāgaappaṭibhāge dhamme pajānāti. Vuttampi cetaṃ dhammasenāpatinā – ‘‘pajānāti pajānātīti kho, āvuso, tasmā paññavāti vuccati. Kiñca pajānāti? Idaṃ dukkhanti pajānātī’’ti (ma. ni. 1.449) vitthāretabbaṃ. Evamassā pajānanalakkhaṇatā veditabbā.

    อปโร นโย – ยถาสภาวปฎิเวธลกฺขณา ปญฺญา; อกฺขลิตปฎิเวธลกฺขณา วา กุสลิสฺสาสขิตฺตอุสุปฎิเวโธ วิยฯ วิสโยภาสรสา ปทีโป วิยฯ อสโมฺมหปจฺจุปฎฺฐานา อรญฺญคตสุเทสโก วิยฯ

    Aparo nayo – yathāsabhāvapaṭivedhalakkhaṇā paññā; akkhalitapaṭivedhalakkhaṇā vā kusalissāsakhittausupaṭivedho viya. Visayobhāsarasā padīpo viya. Asammohapaccupaṭṭhānā araññagatasudesako viya.

    มนตีติ มโน; วิชานาตีติ อโตฺถฯ อฎฺฐกถาจริยา ปนาหุ – นาฬิยา มินมาโน วิย, มหาตุลาย ธารยมาโน วิย จ, อารมฺมณํ มินติ ปชานาตีติ มโนติฯ ตเทว มนนลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ มโนว อินฺทฺริยํ มนินฺทฺริยํฯ เหฎฺฐา วุตฺตจิตฺตเสฺสเวตํ เววจนํฯ

    Manatīti mano; vijānātīti attho. Aṭṭhakathācariyā panāhu – nāḷiyā minamāno viya, mahātulāya dhārayamāno viya ca, ārammaṇaṃ minati pajānātīti manoti. Tadeva mananalakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Manova indriyaṃ manindriyaṃ. Heṭṭhā vuttacittassevetaṃ vevacanaṃ.

    ปีติโสมนสฺสสมฺปโยคโต โสภนํ มโน อสฺสาติ สุมโนฯ สุมนสฺส ภาโว โสมนสฺสํฯ สาตลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ โสมนสฺสเมว อินฺทฺริยํ โสมนสฺสินฺทฺริยํฯ เหฎฺฐา วุตฺตเวทนาเยเวตํ เววจนํฯ

    Pītisomanassasampayogato sobhanaṃ mano assāti sumano. Sumanassa bhāvo somanassaṃ. Sātalakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Somanassameva indriyaṃ somanassindriyaṃ. Heṭṭhā vuttavedanāyevetaṃ vevacanaṃ.

    ชีวนฺติ เตน ตํสมฺปยุตฺตกา ธมฺมาติ ชีวิตํฯ อนุปาลนลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ ชีวิตเมว อินฺทฺริยํ ชีวิตินฺทฺริยํฯ ตํ ปวตฺตสนฺตตาธิปเตยฺยํ โหติฯ ลกฺขณาทีหิ ปน อตฺตนา อวินิภุตฺตานํ ธมฺมานํ อนุปาลนลกฺขณํ ชีวิตินฺทฺริยํ, เตสํ ปวตฺตนรสํ, เตสํเยว ฐปนปจฺจุปฎฺฐานํ, ยาปยิตพฺพธมฺมปทฎฺฐานํฯ สเนฺตปิ จ อนุปาลนลกฺขณาทิมฺหิ วิธาเน อตฺถิกฺขเณเยว ตํ เต ธเมฺม อนุปาเลติ อุทกํ วิย อุปฺปลาทีนิ, ยถาสกํปจฺจยุปฺปเนฺนปิ จ ธเมฺม ปาเลติ ธาตี วิย กุมารํ, สยํปวตฺติตธมฺมสมฺพเนฺธเนว จ ปวตฺตติ นิยามโก วิย, น ภงฺคโต อุทฺธํ ปวตฺตยติ อตฺตโน จ ปวตฺตยิตพฺพานญฺจ อภาวา, น ภงฺคกฺขเณ ฐเปติ สยํ ภิชฺชมานตฺตา ขียมาโน วิย วฎฺฎิสิเนโห ทีปสิขํฯ น จ อนุปาลนปวตฺตนฎฺฐปนานุภาววิรหิตํ ยถาวุตฺตกฺขเณ ตสฺส ตสฺส สาธนโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Jīvanti tena taṃsampayuttakā dhammāti jīvitaṃ. Anupālanalakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Jīvitameva indriyaṃ jīvitindriyaṃ. Taṃ pavattasantatādhipateyyaṃ hoti. Lakkhaṇādīhi pana attanā avinibhuttānaṃ dhammānaṃ anupālanalakkhaṇaṃ jīvitindriyaṃ, tesaṃ pavattanarasaṃ, tesaṃyeva ṭhapanapaccupaṭṭhānaṃ, yāpayitabbadhammapadaṭṭhānaṃ. Santepi ca anupālanalakkhaṇādimhi vidhāne atthikkhaṇeyeva taṃ te dhamme anupāleti udakaṃ viya uppalādīni, yathāsakaṃpaccayuppannepi ca dhamme pāleti dhātī viya kumāraṃ, sayaṃpavattitadhammasambandheneva ca pavattati niyāmako viya, na bhaṅgato uddhaṃ pavattayati attano ca pavattayitabbānañca abhāvā, na bhaṅgakkhaṇe ṭhapeti sayaṃ bhijjamānattā khīyamāno viya vaṭṭisineho dīpasikhaṃ. Na ca anupālanapavattanaṭṭhapanānubhāvavirahitaṃ yathāvuttakkhaṇe tassa tassa sādhanatoti daṭṭhabbaṃ.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact