Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation

    ทีฆ นิกาย ๑๘

    Long Discourses 18

    ชนวสภสุตฺต

    With Janavasabha

    ๑ฯ นาติกิยาทิพฺยากรณ

    1. Declaring the Rebirths of People From Ñātika and Elsewhere

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา นาติเก วิหรติ คิญฺชกาวสเถฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying at Ñātika in the brick house.

    เตน โข ปน สมเยน ภควา ปริโต ปริโต ชนปเทสุ ปริจารเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ พฺยากโรติ กาสิโกสเลสุ วชฺชิมเลฺลสุ เจติวํเสสุ กุรุปญฺจาเลสุ มชฺฌสูรเสเนสุ:

    Now at that time the Buddha was explaining the rebirths of devotees all over the nations; the Kāsis and Kosalans, Vajjis and Mallas, Cetīs and Vacchas, Kurus and Pañcālas, Macchas and Sūrasenas:

    “อสุ อมุตฺร อุปปนฺโน, อสุ อมุตฺร อุปปนฺโนฯ

    “This one was reborn here, while that one was reborn there.

    ปโรปญฺญาส นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติกา ตตฺถ ปรินิพฺพายิโน อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกาฯ

    Over fifty devotees in Ñātika have passed away having ended the five lower fetters. They’ve been reborn spontaneously, and will be extinguished there, not liable to return from that world.

    สาธิกา นวุติ นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามิโน, สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ

    More than ninety devotees in Ñātika have passed away having ended three fetters, and weakened greed, hate, and delusion. They’re once-returners, who will come back to this world once only, then make an end of suffering.

    สาติเรกานิ ปญฺจสตานิ นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สมฺโพธิปรายณา”ติฯ

    In excess of five hundred devotees in Ñātika have passed away having ended three fetters. They’re stream-enterers, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening.”

    อโสฺสสุํ โข นาติกิยา ปริจารกา: “ภควา กิร ปริโต ปริโต ชนปเทสุ ปริจารเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ พฺยากโรติ กาสิโกสเลสุ วชฺชิมเลฺลสุ เจติวํเสสุ กุรุปญฺจาเลสุ มชฺฌสูรเสเนสุ: ‘อสุ อมุตฺร อุปปนฺโน, อสุ อมุตฺร อุปปนฺโนฯ ปโรปญฺญาส นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติกา ตตฺถ ปรินิพฺพายิโน อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกาฯ สาธิกา นวุติ นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามิโน สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ สาติเรกานิ ปญฺจสตานิ นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สมฺโพธิปรายณา'”ติฯ เตน จ นาติกิยา ปริจารกา อตฺตมนา อเหสุํ ปมุทิตา ปีติโสมนสฺสชาตา ภควโต ปญฺหเวยฺยากรณํ สุตฺวาฯ

    When the devotees of Ñātika heard about the Buddha’s answers to those questions, they became uplifted and overjoyed, full of rapture and happiness.

    อโสฺสสิ โข อายสฺมา อานนฺโท: “ภควา กิร ปริโต ปริโต ชนปเทสุ ปริจารเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ พฺยากโรติ กาสิโกสเลสุ วชฺชิมเลฺลสุ เจติวํเสสุ กุรุปญฺจาเลสุ มชฺฌสูรเสเนสุ: ‘อสุ อมุตฺร อุปปนฺโน, อสุ อมุตฺร อุปปนฺโนฯ ปโรปญฺญาส นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติกา ตตฺถ ปรินิพฺพายิโน อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกาฯ สาธิกา นวุติ นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามิโน สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ สาติเรกานิ ปญฺจสตานิ นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สมฺโพธิปรายณา'ติฯ เตน จ นาติกิยา ปริจารกา อตฺตมนา อเหสุํ ปมุทิตา ปีติโสมนสฺสชาตา ภควโต ปญฺหเวยฺยากรณํ สุตฺวา”ติฯ

    Venerable Ānanda heard of the Buddha’s statements and the Ñātikans’ happiness.

    ๒ฯ อานนฺทปริกถา

    2. Ānanda’s Suggestion

    อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ: “อิเม โข ปนาปิ อเหสุํ มาคธกา ปริจารกา พหู เจว รตฺตญฺญู จ อพฺภตีตา กาลงฺกตาฯ สุญฺญา มญฺเญ องฺคมคธา องฺคมาคธเกหิ ปริจารเกหิ อพฺภตีเตหิ กาลงฺกเตหิฯ เต โข ปนาปิ อเหสุํ พุทฺเธ ปสนฺนา ธมฺเม ปสนฺนา สงฺเฆ ปสนฺนา สีเลสุ ปริปูรการิโนฯ เต อพฺภตีตา กาลงฺกตา ภควตา อพฺยากตา; เตสมฺปิสฺส สาธุ เวยฺยากรณํ, พหุชโน ปสีเทยฺย, ตโต คจฺเฉยฺย สุคตึฯ

    Then Venerable Ānanda thought, “But there were also Magadhan devotees—many, and of long standing too—who have passed away. You’d think that Aṅga and Magadha were empty of devotees who have passed away! But they too had confidence in the Buddha, the teaching, and the Saṅgha, and had fulfilled their ethics. The Buddha hasn’t declared their passing. It would be good to do so, for many people would gain confidence, and so be reborn in a good place.

    อยํ โข ปนาปิ อโหสิ ราชา มาคโธ เสนิโย พิมฺพิสาโร ธมฺมิโก ธมฺมราชา หิโต พฺราหฺมณคหปติกานํ เนคมานญฺเจว ชานปทานญฺจฯ อปิสฺสุทํ มนุสฺสา กิตฺตยมานรูปา วิหรนฺติ: ‘เอวํ โน โส ธมฺมิโก ธมฺมราชา สุขาเปตฺวา กาลงฺกโต, เอวํ มยํ ตสฺส ธมฺมิกสฺส ธมฺมรญฺโญ วิชิเต ผาสุ วิหริมฺหา'ติฯ โส โข ปนาปิ อโหสิ พุทฺเธ ปสนฺโน ธมฺเม ปสนฺโน สงฺเฆ ปสนฺโน สีเลสุ ปริปูรการีฯ อปิสฺสุทํ มนุสฺสา เอวมาหํสุ: ‘ยาว มรณกาลาปิ ราชา มาคโธ เสนิโย พิมฺพิสาโร ภควนฺตํ กิตฺตยมานรูโป กาลงฺกโต'ติฯ โส อพฺภตีโต กาลงฺกโต ภควตา อพฺยากโตฯ ตสฺสปิสฺส สาธุ เวยฺยากรณํ พหุชโน ปสีเทยฺย, ตโต คจฺเฉยฺย สุคตึฯ

    That King Seniya Bimbisāra of Magadha was a just and principled king who benefited the brahmins and householders of town and country. People still sing his praises: ‘That just and principled king, who made us so happy, has passed away. Life was good under his dominion.’ He too had confidence in the Buddha, the teaching, and the Saṅgha, and had fulfilled his ethics. People say: ‘Until his dying day, King Bimbisāra sang the Buddha’s praises!’ The Buddha hasn’t declared his passing. It would be good to do so, for many people would gain confidence, and so be reborn in a good place.

    ภควโต โข ปน สมฺโพธิ มคเธสุฯ ยตฺถ โข ปน ภควโต สมฺโพธิ มคเธสุ, กถํ ตตฺร ภควา มาคธเก ปริจารเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ น พฺยากเรยฺยฯ ภควา เจ โข ปน มาคธเก ปริจารเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ น พฺยากเรยฺย, ทีนมนา เตนสฺสุ มาคธกา ปริจารกา; เยน โข ปนสฺสุ ทีนมนา มาคธกา ปริจารกา กถํ เต ภควา น พฺยากเรยฺยา”ติ?

    Besides, the Buddha was awakened in Magadha; so why hasn’t he declared the rebirth of the Magadhan devotees? If he fails to do so, they will be dejected.”

    อิทมายสฺมา อานนฺโท มาคธเก ปริจารเก อารพฺภ เอโก รโห อนุวิจินฺเตตฺวา รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฏฺฐาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สุตํ เมตํ, ภนฺเต: ‘ภควา กิร ปริโต ปริโต ชนปเทสุ ปริจารเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ พฺยากโรติ กาสิโกสเลสุ วชฺชิมเลฺลสุ เจติวํเสสุ กุรุปญฺจาเลสุ มชฺฌสูรเสเนสุ: “อสุ อมุตฺร อุปปนฺโน, อสุ อมุตฺร อุปปนฺโนฯ ปโรปญฺญาส นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติกา ตตฺถ ปรินิพฺพายิโน อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกาฯ สาธิกา นวุติ นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามิโน, สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ สาติเรกานิ ปญฺจสตานิ นาติกิยา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สมฺโพธิปรายณาติฯ เตน จ นาติกิยา ปริจารกา อตฺตมนา อเหสุํ ปมุทิตา ปีติโสมนสฺสชาตา ภควโต ปญฺหเวยฺยากรณํ สุตฺวา”'ติฯ อิเม โข ปนาปิ, ภนฺเต, อเหสุํ มาคธกา ปริจารกา พหู เจว รตฺตญฺญู จ อพฺภตีตา กาลงฺกตาฯ สุญฺญา มญฺเญ องฺคมคธา องฺคมาคธเกหิ ปริจารเกหิ อพฺภตีเตหิ กาลงฺกเตหิฯ เต โข ปนาปิ, ภนฺเต, อเหสุํ พุทฺเธ ปสนฺนา ธมฺเม ปสนฺนา สงฺเฆ ปสนฺนา สีเลสุ ปริปูรการิโน, เต อพฺภตีตา กาลงฺกตา ภควตา อพฺยากตาฯ เตสมฺปิสฺส สาธุ เวยฺยากรณํ, พหุชโน ปสีเทยฺย, ตโต คจฺเฉยฺย สุคตึฯ อยํ โข ปนาปิ, ภนฺเต, อโหสิ ราชา มาคโธ เสนิโย พิมฺพิสาโร ธมฺมิโก ธมฺมราชา หิโต พฺราหฺมณคหปติกานํ เนคมานญฺเจว ชานปทานญฺจฯ อปิสฺสุทํ มนุสฺสา กิตฺตยมานรูปา วิหรนฺติ: ‘เอวํ โน โส ธมฺมิโก ธมฺมราชา สุขาเปตฺวา กาลงฺกโตฯ เอวํ มยํ ตสฺส ธมฺมิกสฺส ธมฺมรญฺโญ วิชิเต ผาสุ วิหริมฺหา'ติฯ โส โข ปนาปิ, ภนฺเต, อโหสิ พุทฺเธ ปสนฺโน ธมฺเม ปสนฺโน สงฺเฆ ปสนฺโน สีเลสุ ปริปูรการีฯ อปิสฺสุทํ มนุสฺสา เอวมาหํสุ: ‘ยาว มรณกาลาปิ ราชา มาคโธ เสนิโย พิมฺพิสาโร ภควนฺตํ กิตฺตยมานรูโป กาลงฺกโต'ติฯ โส อพฺภตีโต กาลงฺกโต ภควตา อพฺยากโต; ตสฺสปิสฺส สาธุ เวยฺยากรณํ, พหุชโน ปสีเทยฺย, ตโต คจฺเฉยฺย สุคตึฯ ภควโต โข ปน, ภนฺเต, สมฺโพธิ มคเธสุฯ ยตฺถ โข ปน, ภนฺเต, ภควโต สมฺโพธิ มคเธสุ, กถํ ตตฺร ภควา มาคธเก ปริจารเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ น พฺยากเรยฺย? ภควา เจ โข ปน, ภนฺเต, มาคธเก ปริจารเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ น พฺยากเรยฺย, ทีนมนา เตนสฺสุ มาคธกา ปริจารกา; เยน โข ปนสฺสุ ทีนมนา มาคธกา ปริจารกา กถํ เต ภควา น พฺยากเรยฺยา”ติฯ อิทมายสฺมา อานนฺโท มาคธเก ปริจารเก อารพฺภ ภควโต สมฺมุขา ปริกถํ กตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    After pondering the fate of the Magadhan devotees alone in private, Ānanda rose at the crack of dawn and went to see the Buddha. He bowed, sat down to one side, and told the Buddha of his concerns, finishing by saying, “Why hasn’t the Buddha declared the rebirth of the Magadhan devotees? If he fails to do so, they will be dejected.” Then Ānanda, after making this suggestion regarding the Magadhan devotees, got up from his seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right, before leaving.

    อถ โข ภควา อจิรปกฺกนฺเต อายสฺมนฺเต อานนฺเท ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย นาติกํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ นาติเก ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต ปาเท ปกฺขาเลตฺวา คิญฺชกาวสถํ ปวิสิตฺวา มาคธเก ปริจารเก อารพฺภ อฏฺฐึ กตฺวา มนสิกตฺวา สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิ: “คตึ เนสํ ชานิสฺสามิ อภิสมฺปรายํ, ยงฺคติกา เต ภวนฺโต ยํอภิสมฺปรายา”ติฯ อทฺทสา โข ภควา มาคธเก ปริจารเก: “ยงฺคติกา เต ภวนฺโต ยํอภิสมฺปรายา”ติฯ

    Soon after Ānanda had left, the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Ñātika for alms. He wandered for alms in Ñātika. After the meal, on his return from almsround, he washed his feet and entered the brick house. He paid attention, applied the mind, and concentrated wholeheartedly on the fate of Magadhan devotees, and sat on the seat spread out, thinking, “I shall know their destiny, where they are reborn in the next life.” And he saw where they had been reborn.

    อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต คิญฺชกาวสถา นิกฺขมิตฺวา วิหารปจฺฉายายํ ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ

    Then in the late afternoon, the Buddha came out of retreat. Emerging from the brick house, he sat on the seat spread out in the shade of the porch.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อุปสนฺตปทิโสฺส, ภนฺเต, ภควา ภาติริว ภควโต มุขวณฺโณ วิปฺปสนฺนตฺตา อินฺทฺริยานํฯ สนฺเตน นูนชฺช, ภนฺเต, ภควา วิหาเรน วิหาสี”ติ?

    Then Venerable Ānanda went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, you look so serene; your face seems to shine owing to the clarity of your faculties. Have you been abiding in a peaceful meditation today, sir?”

    “ยเทว โข เม ตฺวํ, อานนฺท, มาคธเก ปริจารเก อารพฺภ สมฺมุขา ปริกถํ กตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกนฺโต, ตเทวาหํ นาติเก ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต ปาเท ปกฺขาเลตฺวา คิญฺชกาวสถํ ปวิสิตฺวา มาคธเก ปริจารเก อารพฺภ อฏฺฐึ กตฺวา มนสิกตฺวา สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทึ: ‘คตึ เนสํ ชานิสฺสามิ อภิสมฺปรายํ, ยงฺคติกา เต ภวนฺโต ยํอภิสมฺปรายา'ติฯ อทฺทสํ โข อหํ, อานนฺท, มาคธเก ปริจารเก ‘ยงฺคติกา เต ภวนฺโต ยํอภิสมฺปรายา'ติฯ

    The Buddha then recounted what had happened since speaking to Ānanda, revealing that he had seen the destiny of the Magadhan devotees. He continued:

    ๓ฯ ชนวสภยกฺข

    3. Janavasabha the Spirit

    อถ โข, อานนฺท, อนฺตรหิโต ยกฺโข สทฺทมนุสฺสาเวสิ: ‘ชนวสโภ อหํ, ภควา; ชนวสโภ อหํ, สุคตา'ติฯ อภิชานาสิ โน ตฺวํ, อานนฺท, อิโต ปุพฺเพ เอวรูปํ นามเธยฺยํ สุตํ ยทิทํ ชนวสโภ”ติ?

    “Then, Ānanda, an invisible spirit called out: ‘I am Janavasabha, Blessed One! I am Janavasabha, Holy One!’ Ānanda, do you recall having previously heard such a name as Janavasabha?”

    “น โข อหํ, ภนฺเต, อภิชานามิ อิโต ปุพฺเพ เอวรูปํ นามเธยฺยํ สุตํ ยทิทํ ชนวสโภติ, อปิ จ เม, ภนฺเต, โลมานิ หฏฺฐานิ ‘ชนวสโภ'ติ นามเธยฺยํ สุตฺวาฯ ตสฺส มยฺหํ, ภนฺเต, เอตทโหสิ: ‘น หิ นูน โส โอรโก ยกฺโข ภวิสฺสติ ยทิทํ เอวรูปํ นามเธยฺยํ สุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ชนวสโภ'”ติฯ

    “No, sir. But when I heard the word, I got goosebumps! I thought, ‘This must be no ordinary spirit to bear such an exalted name as Janavasabha.’”

    “อนนฺตรา โข, อานนฺท, สทฺทปาตุภาวา อุฬารวณฺโณ เม ยกฺโข สมฺมุเข ปาตุรโหสิฯ ทุติยกมฺปิ สทฺทมนุสฺสาเวสิ: ‘พิมฺพิสาโร อหํ, ภควา; พิมฺพิสาโร อหํ, สุคตาติฯ อิทํ สตฺตมํ โข อหํ, ภนฺเต, เวสฺสวณสฺส มหาราชสฺส สหพฺยตํ อุปปชฺชามิ, โส ตโต จุโต มนุสฺสราชา ภวิตุํ ปโหมิฯ

    “After making himself heard while invisible, Ānanda, a very beautiful spirit appeared in front of me. And for a second time he called out: ‘I am Bimbisāra, Blessed One! I am Bimbisāra, Holy One! This is the seventh time I am reborn in the company of the Great King Vessavaṇa. When I pass away from here, I can become a king of men.

    อิโต สตฺต ตโต สตฺต, สํสารานิ จตุทฺทส; นิวาสมภิชานามิ, ยตฺถ เม วุสิตํ ปุเรฯ

    Seven from here, seven from there—fourteen transmigrations in all. I remember these lives where I lived before.

    ทีฆรตฺตํ โข อหํ, ภนฺเต, อวินิปาโต อวินิปาตํ สญฺชานามิ, อาสา จ ปน เม สนฺติฏฺฐติ สกทาคามิตายา'”ติฯ

    For a long time I’ve known that I won’t be reborn in the underworld, but that I still hope to become a once-returner.’

    “อจฺฉริยมิทํ อายสฺมโต ชนวสภสฺส ยกฺขสฺส, อพฺภุตมิทํ อายสฺมโต ชนวสภสฺส ยกฺขสฺสฯ

    ‘It’s incredible and amazing that you, the venerable spirit Janavasabha, should say:

    ‘ทีฆรตฺตํ โข อหํ, ภนฺเต, อวินิปาโต อวินิปาตํ สญฺชานามี'ติ จ วเทสิ, ‘อาสา จ ปน เม สนฺติฏฺฐติ สกทาคามิตายา'ติ จ วเทสิ, กุโตนิทานํ ปนายสฺมา ชนวสโภ ยกฺโข เอวรูปํ อุฬารํ วิเสสาธิคมํ สญฺชานาตี”ติ?

    “For a long time I’ve been aware that I won’t be reborn in the underworld” and also “But I still hope to become a once-returner.” But from what source do you know that you’ve achieved such a high distinction?’

    “‘น อญฺญตฺร, ภควา, ตว สาสนา, น อญฺญตฺร, สุคต, ตว สาสนา; ยทคฺเค อหํ, ภนฺเต, ภควติ เอกนฺติกโต อภิปฺปสนฺโน, ตทคฺเค อหํ, ภนฺเต, ทีฆรตฺตํ อวินิปาโต อวินิปาตํ สญฺชานามิ, อาสา จ ปน เม สนฺติฏฺฐติ สกทาคามิตายฯ อิธาหํ, ภนฺเต, เวสฺสวเณน มหาราเชน เปสิโต วิรูฬฺหกสฺส มหาราชสฺส สนฺติเก เกนจิเทว กรณีเยน อทฺทสํ ภควนฺตํ อนฺตรามคฺเค คิญฺชกาวสถํ ปวิสิตฺวา มาคธเก ปริจารเก อารพฺภ อฏฺฐึ กตฺวา มนสิกตฺวา สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา นิสินฺนํ: “คตึ เนสํ ชานิสฺสามิ อภิสมฺปรายํ, ยงฺคติกา เต ภวนฺโต ยํอภิสมฺปรายา”ติฯ อนจฺฉริยํ โข ปเนตํ, ภนฺเต, ยํ เวสฺสวณสฺส มหาราชสฺส ตสฺสํ ปริสายํ ภาสโต สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ: “ยงฺคติกา เต ภวนฺโต ยํอภิสมฺปรายา”ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภนฺเต, เอตทโหสิ: “ภควนฺตญฺจ ทกฺขามิ, อิทญฺจ ภควโต อาโรเจสฺสามี”ติฯ อิเม โข เม, ภนฺเต, เทฺวปจฺจยา ภควนฺตํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมิตุํฯ

    ‘None other than the Blessed One’s instruction! None other than the Holy One’s instruction! From the day I had absolute devotion to the Buddha I have known that I won’t be reborn in the underworld, but that I still hope to become a once-returner. Just now, sir, I had been sent out by the great king Vessavaṇa to the great king Virūḷhaka’s presence on some business, and on the way I saw the Buddha giving his attention to the fate of the Magadhan devotees. But it comes as no surprise that I have heard and learned the fate of the Magadhan devotees in the presence of the great king Vessavaṇa as he was speaking to his assembly. It occurred to me, “I shall see the Buddha and inform him of this.” These are the two reasons I’ve come to see the Buddha.

    ๔ฯ เทวสภา

    4. The Council of the Gods

    ปุริมานิ, ภนฺเต, ทิวสานิ ปุริมตรานิ ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส วสฺสูปนายิกาย ปุณฺณาย ปุณฺณมาย รตฺติยา เกวลกปฺปา จ เทวา ตาวตึสา สุธมฺมายํ สภายํ สนฺนิสินฺนา โหนฺติ สนฺนิปติตาฯ มหตี จ ทิพฺพปริสา สมนฺตโต นิสินฺนา โหนฺติ, จตฺตาโร จ มหาราชาโน จตุทฺทิสา นิสินฺนา โหนฺติฯ

    Sir, it was more than a few days ago—on the Uposatha day of the fifteenth on the full moon day at the entry to the rainy season—when all the gods of the Thirty-Three were sitting together in the Hall of Justice. A large assembly of gods was sitting all around, and the Four Great Kings were seated at the four quarters.

    ปุรตฺถิมาย ทิสาย ธตรฏฺโฐ มหาราชา ปจฺฉิมาภิมุโข นิสินฺโน โหติ เทเว ปุรกฺขตฺวา; ทกฺขิณาย ทิสาย วิรูฬฺหโก มหาราชา อุตฺตราภิมุโข นิสินฺโน โหติ เทเว ปุรกฺขตฺวา; ปจฺฉิมาย ทิสาย วิรูปกฺโข มหาราชา ปุรตฺถาภิมุโข นิสินฺโน โหติ เทเว ปุรกฺขตฺวา; อุตฺตราย ทิสาย เวสฺสวโณ มหาราชา ทกฺขิณาภิมุโข นิสินฺโน โหติ เทเว ปุรกฺขตฺวาฯ ยทา, ภนฺเต, เกวลกปฺปา จ เทวา ตาวตึสา สุธมฺมายํ สภายํ สนฺนิสินฺนา โหนฺติ สนฺนิปติตา, มหตี จ ทิพฺพปริสา สมนฺตโต นิสินฺนา โหนฺติ, จตฺตาโร จ มหาราชาโน จตุทฺทิสา นิสินฺนา โหนฺติฯ อิทํ เนสํ โหติ อาสนสฺมึ; อถ ปจฺฉา อมฺหากํ อาสนํ โหติฯ

    The Great King Dhataraṭṭha was seated to the east, facing west, in front of his gods. The Great King Virūḷhaka was seated to the south, facing north, in front of his gods. The Great King Virūpakkha was seated to the west, facing east, in front of his gods. The Great King Vessavaṇa was seated to the north, facing south, in front of his gods. When the gods of the Thirty-Three have a gathering like this, that is how they are seated. After that come our seats.

    เย เต, ภนฺเต, เทวา ภควติ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา อธุนูปปนฺนา ตาวตึสกายํ, เต อญฺเญ เทเว อติโรจนฺติ วณฺเณน เจว ยสสา จฯ เตน สุทํ, ภนฺเต, เทวา ตาวตึสา อตฺตมนา โหนฺติ ปมุทิตา ปีติโสมนสฺสชาตา: “ทิพฺพา วต โภ กายา ปริปูเรนฺติ, หายนฺติ อสุรกายา”ติฯ

    Sir, those gods who had been recently reborn in the company of the Thirty-Three after leading the spiritual life under the Buddha outshone the other gods in beauty and glory. The gods of the Thirty-Three became uplifted and overjoyed at that, full of rapture and happiness, saying, “The heavenly hosts swell, while the demon hosts dwindle!”

    อถ โข, ภนฺเต, สกฺโก เทวานมินฺโท เทวานํ ตาวตึสานํ สมฺปสาทํ วิทิตฺวา อิมาหิ คาถาหิ อนุโมทิ:

    Seeing the joy of those gods, Sakka, lord of gods, celebrated with these verses:

    “โมทนฺติ วต โภ เทวา, ตาวตึสา สหินฺทกา; ตถาคตํ นมสฺสนฺตา, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมตํฯ

    “The gods rejoice—the Thirty-Three with their Lord—revering the Realized One, and the natural excellence of the teaching;

    นเว เทเว จ ปสฺสนฺตา, วณฺณวนฺเต ยสสฺสิเน; สุคตสฺมึ พฺรหฺมจริยํ, จริตฺวาน อิธาคเตฯ

    and seeing the new gods, so beautiful and glorious, who have come here after leading the spiritual life under the Buddha!

    เต อญฺเญ อติโรจนฺติ, วณฺเณน ยสสายุนา; สาวกา ภูริปญฺญสฺส, วิเสสูปคตา อิธฯ

    They outshine the others in beauty, glory, and lifespan. Here are the distinguished disciples of he whose wisdom is vast.

    อิทํ ทิสฺวาน นนฺทนฺติ, ตาวตึสา สหินฺทกา; ตถาคตํ นมสฺสนฺตา, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมตนฺ”ติฯ

    Seeing this, they delight—the Thirty-Three with their Lord—revering the Realized One, and the natural excellence of the teaching.”

    เตน สุทํ, ภนฺเต, เทวา ตาวตึสา ภิโยฺยโส มตฺตาย อตฺตมนา โหนฺติ ปมุทิตา ปีติโสมนสฺสชาตา “ทิพฺพา วต, โภ, กายา ปริปูเรนฺติ, หายนฺติ อสุรกายา”ติฯ

    The gods of the Thirty-Three became even more uplifted and overjoyed at that, saying: “The heavenly hosts swell, while the demon hosts dwindle!”

    อถ โข, ภนฺเต, เยนตฺเถน เทวา ตาวตึสา สุธมฺมายํ สภายํ สนฺนิสินฺนา โหนฺติ สนฺนิปติตา, ตํ อตฺถํ จินฺตยิตฺวา ตํ อตฺถํ มนฺตยิตฺวา วุตฺตวจนาปิ ตํ จตฺตาโร มหาราชาโน ตสฺมึ อตฺเถ โหนฺติฯ ปจฺจานุสิฏฺฐวจนาปิ ตํ จตฺตาโร มหาราชาโน ตสฺมึ อตฺเถ โหนฺติ, สเกสุ สเกสุ อาสเนสุ ฐิตา อวิปกฺกนฺตาฯ

    Then the gods of the Thirty-Three, having considered and deliberated on the matter for which they were seated together in the Hall of Justice, advised and instructed the Four Great Kings on the subject. Each one, having been advised, stood at his own seat without departing.

    เต วุตฺตวากฺยา ราชาโน, ปฏิคฺคยฺหานุสาสนึ; วิปฺปสนฺนมนา สนฺตา, อฏฺฐํสุ สมฺหิ อาสเนติฯ

    The Kings were instructed, and heeded good advice. With clear and peaceful minds, they stood by their own seats.

    อถ โข, ภนฺเต, อุตฺตราย ทิสาย อุฬาโร อาโลโก สญฺชายิ, โอภาโส ปาตุรโหสิ อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํฯ อถ โข, ภนฺเต, สกฺโก เทวานมินฺโท เทเว ตาวตึเส อามนฺเตสิ: “ยถา โข, มาริสา, นิมิตฺตานิ ทิสฺสนฺติ, อุฬาโร อาโลโก สญฺชายติ, โอภาโส ปาตุภวติ, พฺรหฺมา ปาตุภวิสฺสติฯ พฺรหฺมุโน เหตํ ปุพฺพนิมิตฺตํ ปาตุภาวาย ยทิทํ อาโลโก สญฺชายติ โอภาโส ปาตุภวตี”ติฯ

    Then in the northern quarter a magnificent light arose and radiance appeared, surpassing the glory of the gods. Then Sakka, lord of gods, addressed the gods of the Thirty-Three, “As indicated by the signs—light arising and radiance appearing—Brahmā will appear. For this is the precursor for the appearance of Brahmā, namely light arising and radiance appearing.”

    ยถา นิมิตฺตา ทิสฺสนฺติ, พฺรหฺมา ปาตุภวิสฺสติ; พฺรหฺมุโน เหตํ นิมิตฺตํ, โอภาโส วิปุโล มหาติฯ

    As indicated by the signs, Brahmā will appear. For this is the sign of Brahmā: a light vast and great.

    ๕ฯ สนงฺกุมารกถา

    5. On Sanaṅkumāra

    อถ โข, ภนฺเต, เทวา ตาวตึสา ยถาสเกสุ อาสเนสุ นิสีทึสุ: “โอภาสเมตํ ญสฺสาม, ยํวิปาโก ภวิสฺสติ, สจฺฉิกตฺวาว นํ คมิสฺสามา”ติฯ จตฺตาโรปิ มหาราชาโน ยถาสเกสุ อาสเนสุ นิสีทึสุ: “โอภาสเมตํ ญสฺสาม ยํวิปาโก ภวิสฺสติ, สจฺฉิกตฺวาว นํ คมิสฺสามา”ติฯ

    Then the gods of the Thirty-Three sat in their own seats, saying, “We shall find out what has caused that light, and only when we have realized it shall we go to it.” And the Four Great Kings did likewise.

    อิทํ สุตฺวา เทวา ตาวตึสา เอกคฺคา สมาปชฺชึสุ: “โอภาสเมตํ ญสฺสาม, ยํวิปาโก ภวิสฺสติ, สจฺฉิกตฺวาว นํ คมิสฺสามา”ติฯ

    Hearing that, the gods of the Thirty-Three agreed in unison, “We shall find out what has caused that light, and only when we have realized it shall we go to it.”

    ยทา, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เทวานํ ตาวตึสานํ ปาตุภวติ, โอฬาริกํ อตฺตภาวํ อภินิมฺมินิตฺวา ปาตุภวติฯ โย โข ปน, ภนฺเต, พฺรหฺมุโน ปกติวณฺโณ อนภิสมฺภวนีโย โส เทวานํ ตาวตึสานํ จกฺขุปถสฺมึฯ ยทา, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เทวานํ ตาวตึสานํ ปาตุภวติ, โส อญฺเญ เทเว อติโรจติ วณฺเณน เจว ยสสา จฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, โสวณฺโณ วิคฺคโห มานุสํ วิคฺคหํ อติโรจติ; เอวเมว โข, ภนฺเต, ยทา พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เทวานํ ตาวตึสานํ ปาตุภวติ, โส อญฺเญ เทเว อติโรจติ วณฺเณน เจว ยสสา จฯ

    When Brahmā Sanaṅkumāra appears to the gods of the Thirty-Three, he does so after manifesting in a solid corporeal form. For a Brahmā’s normal appearance is imperceptible in the visual range of the gods of the Thirty-Three. When Brahmā Sanaṅkumāra appears to the gods of the Thirty-Three, he outshines the other gods in beauty and glory, as a golden statue outshines the human form.

    ยทา, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เทวานํ ตาวตึสานํ ปาตุภวติ, น ตสฺสํ ปริสายํ โกจิ เทโว อภิวาเทติ วา ปจฺจุฏฺเฐติ วา อาสเนน วา นิมนฺเตติฯ สพฺเพว ตุณฺหีภูตา ปญฺชลิกา ปลฺลงฺเกน นิสีทนฺติ: “ยสฺสทานิ เทวสฺส ปลฺลงฺกํ อิจฺฉิสฺสติ พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร, ตสฺส เทวสฺส ปลฺลงฺเก นิสีทิสฺสตี”ติฯ ยสฺส โข ปน, ภนฺเต, เทวสฺส พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ปลฺลงฺเก นิสีทติ, อุฬารํ โส ลภติ เทโว เวทปฏิลาภํ; อุฬารํ โส ลภติ เทโว โสมนสฺสปฏิลาภํฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาวสิตฺโต อธุนาภิสิตฺโต รชฺเชน, อุฬารํ โส ลภติ เวทปฏิลาภํ, อุฬารํ โส ลภติ โสมนสฺสปฏิลาภํ; เอวเมว โข, ภนฺเต, ยสฺส เทวสฺส พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ปลฺลงฺเก นิสีทติ, อุฬารํ โส ลภติ เทโว เวทปฏิลาภํ, อุฬารํ โส ลภติ เทโว โสมนสฺสปฏิลาภํฯ

    When Brahmā Sanaṅkumāra appears to the gods of the Thirty-Three, not a single god in that assembly greets him by bowing down or rising up or inviting him to a seat. They all sit silently on their couches with their joined palms raised, thinking, “Now Brahmā Sanaṅkumāra will sit on the couch of whatever god he chooses.” And the god on whose couch Brahmā sits is overjoyed and brimming with happiness, like a king on the day of his coronation.

    อถ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร โอฬาริกํ อตฺตภาวํ อภินิมฺมินิตฺวา กุมารวณฺณี หุตฺวา ปญฺจสิโข เทวานํ ตาวตึสานํ ปาตุรโหสิฯ โส เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา อากาเส อนฺตลิกฺเข ปลฺลงฺเกน นิสีทิฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, พลวา ปุริโส สุปจฺจตฺถเต วา ปลฺลงฺเก สเม วา ภูมิภาเค ปลฺลงฺเกน นิสีเทยฺย; เอวเมว โข, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา อากาเส อนฺตลิกฺเข ปลฺลงฺเกน นิสีทิตฺวา เทวานํ ตาวตึสานํ สมฺปสาทํ วิทิตฺวา อิมาหิ คาถาหิ อนุโมทิ:

    Then Brahmā Sanaṅkumāra manifested in a solid corporeal form, taking on the appearance of the youth Pañcasikha, and appeared to the gods of the Thirty-Three. Rising into the air, he sat cross-legged in the sky, like a strong man might sit cross-legged on a well-appointed couch or on level ground. Seeing the joy of those gods, Brahmā Sanaṅkumāra celebrated with these verses:

    “โมทนฺติ วต โภ เทวา, ตาวตึสา สหินฺทกา; ตถาคตํ นมสฺสนฺตา, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมตํฯ

    “The gods rejoice—the Thirty-Three with their Lord—revering the Realized One, and the natural excellence of the teaching;

    นเว เทเว จ ปสฺสนฺตา, วณฺณวนฺเต ยสสฺสิเน; สุคตสฺมึ พฺรหฺมจริยํ, จริตฺวาน อิธาคเตฯ

    and seeing the new gods, so beautiful and glorious, who have come here after leading the spiritual life under the Buddha!

    เต อญฺเญ อติโรจนฺติ, วณฺเณน ยสสายุนา; สาวกา ภูริปญฺญสฺส, วิเสสูปคตา อิธฯ

    They outshine the others in beauty, glory, and lifespan. Here are the distinguished disciples of he whose wisdom is vast.

    อิทํ ทิสฺวาน นนฺทนฺติ, ตาวตึสา สหินฺทกา; ตถาคตํ นมสฺสนฺตา, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมตนฺ”ติฯ

    Seeing this, they delight—the Thirty-Three with their Lord—revering the Realized One, and the natural excellence of the teaching!”

    อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺถ; อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมุโน สนงฺกุมารสฺส ภาสโต อฏฺฐงฺคสมนฺนาคโต สโร โหติ วิสฺสฏฺโฐ จ วิญฺเญโยฺย จ มญฺชุ จ สวนีโย จ พินฺทุ จ อวิสารี จ คมฺภีโร จ นินฺนาที จฯ ยถาปริสํ โข ปน, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร สเรน วิญฺญาเปติ; น จสฺส พหิทฺธา ปริสาย โฆโส นิจฺฉรติฯ ยสฺส โข ปน, ภนฺเต, เอวํ อฏฺฐงฺคสมนฺนาคโต สโร โหติ, โส วุจฺจติ “พฺรหฺมสฺสโร”ติฯ

    That is the topic on which Brahmā Sanaṅkumāra spoke. And while he was speaking on that topic, his voice had eight qualities: it was clear, comprehensible, charming, audible, lucid, undistorted, deep, and resonant. He makes sure his voice is intelligible as far as the assembly goes, but it doesn’t extend outside the assembly. When someone has a voice like this, they’re said to have the voice of Brahmā.

    อถ โข, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เตตฺตึเส อตฺตภาเว อภินิมฺมินิตฺวา เทวานํ ตาวตึสานํ ปจฺเจกปลฺลงฺเกสุ ปลฺลงฺเกน นิสีทิตฺวา เทเว ตาวตึเส อามนฺเตสิ: “ตํ กึ มญฺญนฺติ, โภนฺโต เทวา ตาวตึสา, ยาวญฺจ โส ภควา พหุชนหิตาย ปฏิปนฺโน พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํฯ เย หิ เกจิ, โภ, พุทฺธํ สรณํ คตา ธมฺมํ สรณํ คตา สงฺฆํ สรณํ คตา สีเลสุ ปริปูรการิโน เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปฺเปกจฺเจ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชนฺติ, อปฺเปกจฺเจ นิมฺมานรตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชนฺติ, อปฺเปกจฺเจ ตุสิตานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชนฺติ, อปฺเปกจฺเจ ยามานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชนฺติ, อปฺเปกจฺเจ ตาวตึสานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชนฺติ, อปฺเปกจฺเจ จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชนฺติฯ เย สพฺพนิหีนํ กายํ ปริปูเรนฺติ, เต คนฺธพฺพกายํ ปริปูเรนฺตี”ติฯ

    Then Brahmā Sanaṅkumāra, having manifested thirty-three corporeal forms, sat down on the couches of each of the gods of the Thirty-Three and addressed them, “What do the good gods of the Thirty-Three think? How the Buddha has acted for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans! For consider those who have gone for refuge to the Buddha, the teaching, and the Saṅgha, and have fulfilled their ethics. When their bodies break up, after death, some are reborn in the company of the Gods Who Control the Creations of Others, some with the Gods Who Love to Create, some with the Joyful Gods, some with the Gods of Yama, some with the Gods of the Thirty-Three, and some with the Gods of the Four Great Kings. And at the very least they swell the hosts of the centaurs.”

    อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺถ; อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมุโน สนงฺกุมารสฺส ภาสโต โฆโสเยว เทวา มญฺญนฺติ: “ยฺวายํ มม ปลฺลงฺเก สฺวายํ เอโกว ภาสตี”ติฯ

    That is the topic on which Brahmā Sanaṅkumāra spoke. And while he was speaking on that topic, each of the gods fancied, “The one sitting on my couch is the only one speaking.”

    เอกสฺมึ ภาสมานสฺมึ, สพฺเพ ภาสนฺติ นิมฺมิตา; เอกสฺมึ ตุณฺหิมาสีเน, สพฺเพ ตุณฺหี ภวนฺติ เตฯ

    When one is speaking, all the forms speak. When one sits in silence, they all remain silent.

    ตทาสุ เทวา มญฺญนฺติ, ตาวตึสา สหินฺทกา; ยฺวายํ มม ปลฺลงฺกสฺมึ, สฺวายํ เอโกว ภาสตีติฯ

    But those gods imagine—the Thirty-Three with their Lord—that the one on their seat is the only one to speak.

    อถ โข, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เอกตฺเตน อตฺตานํ อุปสํหรติ, เอกตฺเตน อตฺตานํ อุปสํหริตฺวา สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปลฺลงฺเก ปลฺลงฺเกน นิสีทิตฺวา เทเว ตาวตึเส อามนฺเตสิ:

    Next Brahmā Sanaṅkumāra merged into one corporeal form. Then he sat on the couch of Sakka, lord of gods, and addressed the gods of the Thirty-Three:

    ๖ฯ ภาวิไตทฺธิปาท

    6. Developing the Bases of Psychic Power

    “ตํ กึ มญฺญนฺติ, โภนฺโต เทวา ตาวตึสา, ยาว สุปญฺญตฺตา จิเม เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ปญฺญตฺตา อิทฺธิปหุตาย อิทฺธิวิสวิตาย อิทฺธิวิกุพฺพนตายฯ กตเม จตฺตาโร? อิธ โภ ภิกฺขุ ฉนฺทสมาธิปฺปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติฯ วีริยสมาธิปฺปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติฯ จิตฺตสมาธิปฺปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติฯ วีมํสาสมาธิปฺปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติฯ อิเม โข, โภ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ปญฺญตฺตา อิทฺธิปหุตาย อิทฺธิวิสวิตาย อิทฺธิวิกุพฺพนตายฯ

    “What do the good gods of the Thirty-Three think? How well described by the Blessed One—who knows and sees, the perfected one, the fully awakened Buddha—are the four bases of psychic power! They are taught for the amplification, burgeoning, and transformation of psychic power. What four? It’s when a bhikkhu develops the basis of psychic power that has immersion due to enthusiasm, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to energy, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to mental development, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to inquiry, and active effort. These are the four bases of psychic power taught by the Buddha for the amplification, burgeoning, and transformation of psychic power.

    เย หิ เกจิ โภ อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภสุํ, สพฺเพ เต อิเมสํเยว จตุนฺนํ อิทฺธิปาทานํ ภาวิตตฺตา พหุลีกตตฺตาฯ เยปิ หิ เกจิ โภ อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภสฺสนฺติ, สพฺเพ เต อิเมสํเยว จตุนฺนํ อิทฺธิปาทานํ ภาวิตตฺตา พหุลีกตตฺตาฯ เยปิ หิ เกจิ โภ เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภนฺติ, สพฺเพ เต อิเมสํเยว จตุนฺนํ อิทฺธิปาทานํ ภาวิตตฺตา พหุลีกตตฺตาฯ ปสฺสนฺติ โน, โภนฺโต เทวา ตาวตึสา, มมปิมํ เอวรูปํ อิทฺธานุภาวนฺ”ติ?

    All the ascetics and brahmins in the past, future, or present who wield the many kinds of psychic power do so by developing and cultivating these four bases of psychic power. Gentlemen, do you see such psychic might and power in me?”

    “เอวํ, มหาพฺรเหฺม”ติฯ

    “Yes, Great Brahmā.”

    “อหมฺปิ โข โภ อิเมสํเยว จตุนฺนญฺจ อิทฺธิปาทานํ ภาวิตตฺตา พหุลีกตตฺตา เอวํ มหิทฺธิโก เอวํมหานุภาโว”ติฯ

    “I too became so mighty and powerful by developing and cultivating these four bases of psychic power.”

    อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺถฯ อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺวา เทเว ตาวตึเส อามนฺเตสิ:

    That is the topic on which Brahmā Sanaṅkumāra spoke. And having spoken about that, he addressed the gods of the Thirty-Three:

    ๗ฯ ติวิธโอกาสาธิคม

    7. The Three Openings

    “ตํ กึ มญฺญนฺติ, โภนฺโต เทวา ตาวตึสา, ยาวญฺจิทํ เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ตโย โอกาสาธิคมา อนุพุทฺธา สุขสฺสาธิคมายฯ กตเม ตโย?

    “What do the good gods of the Thirty-Three think? How well understood by the Buddha are the three opportunities for achieving happiness! What three?

    อิธ โภ เอกจฺโจ สํสฏฺโฐ วิหรติ กาเมหิ สํสฏฺโฐ อกุสเลหิ ธมฺเมหิฯ โส อปเรน สมเยน อริยธมฺมํ สุณาติ, โยนิโส มนสิ กโรติ, ธมฺมานุธมฺมํ ปฏิปชฺชติฯ โส อริยธมฺมสฺสวนํ อาคมฺม โยนิโสมนสิการํ ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปตฺตึ อสํสฏฺโฐ วิหรติ กาเมหิ อสํสฏฺโฐ อกุสเลหิ ธมฺเมหิฯ ตสฺส อสํสฏฺฐสฺส กาเมหิ อสํสฏฺฐสฺส อกุสเลหิ ธมฺเมหิ อุปฺปชฺชติ สุขํ, สุขา ภิโยฺย โสมนสฺสํฯ เสยฺยถาปิ, โภ, ปมุทา ปาโมชฺชํ ชาเยถ; เอวเมว โข, โภ, อสํสฏฺฐสฺส กาเมหิ อสํสฏฺฐสฺส อกุสเลหิ ธมฺเมหิ อุปฺปชฺชติ สุขํ, สุขา ภิโยฺย โสมนสฺสํฯ อยํ โข, โภ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ปฐโม โอกาสาธิคโม อนุพุทฺโธ สุขสฺสาธิคมายฯ

    First, take someone who lives mixed up with sensual pleasures and unskillful qualities. After some time they hear the teaching of the noble ones, rationally apply the mind to how it applies to them, and practice accordingly. They live aloof from sensual pleasures and unskillful qualities. That gives rise to pleasure, and more than pleasure, happiness, like the joy that’s born from gladness. This is the first opportunity for achieving happiness.

    ปุน จปรํ, โภ, อิเธกจฺจสฺส โอฬาริกา กายสงฺขารา อปฺปฏิปฺปสฺสทฺธา โหนฺติ, โอฬาริกา วจีสงฺขารา อปฺปฏิปฺปสฺสทฺธา โหนฺติ, โอฬาริกา จิตฺตสงฺขารา อปฺปฏิปฺปสฺสทฺธา โหนฺติฯ โส อปเรน สมเยน อริยธมฺมํ สุณาติ, โยนิโส มนสิ กโรติ, ธมฺมานุธมฺมํ ปฏิปชฺชติฯ ตสฺส อริยธมฺมสฺสวนํ อาคมฺม โยนิโสมนสิการํ ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปตฺตึ โอฬาริกา กายสงฺขารา ปฏิปฺปสฺสมฺภนฺติ, โอฬาริกา วจีสงฺขารา ปฏิปฺปสฺสมฺภนฺติ, โอฬาริกา จิตฺตสงฺขารา ปฏิปฺปสฺสมฺภนฺติฯ ตสฺส โอฬาริกานํ กายสงฺขารานํ ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา โอฬาริกานํ วจีสงฺขารานํ ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา โอฬาริกานํ จิตฺตสงฺขารานํ ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา อุปฺปชฺชติ สุขํ, สุขา ภิโยฺย โสมนสฺสํฯ เสยฺยถาปิ, โภ, ปมุทา ปาโมชฺชํ ชาเยถ; เอวเมว โข โภ โอฬาริกานํ กายสงฺขารานํ ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา โอฬาริกานํ วจีสงฺขารานํ ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา โอฬาริกานํ จิตฺตสงฺขารานํ ปฏิปฺปสฺสทฺธิยา อุปฺปชฺชติ สุขํ, สุขา ภิโยฺย โสมนสฺสํฯ อยํ โข, โภ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ทุติโย โอกาสาธิคโม อนุพุทฺโธ สุขสฺสาธิคมายฯ

    Next, take someone whose coarse physical, verbal, and mental processes have not died down. After some time they hear the teaching of the noble ones, rationally apply the mind to how it applies to them, and practice accordingly. Their coarse physical, verbal, and mental processes die down. That gives rise to pleasure, and more than pleasure, happiness, like the joy that’s born from gladness. This is the second opportunity for achieving happiness.

    ปุน จปรํ, โภ, อิเธกจฺโจ ‘อิทํ กุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, ‘อิทํ อกุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ ‘อิทํ สาวชฺชํ อิทํ อนวชฺชํ, อิทํ เสวิตพฺพํ อิทํ น เสวิตพฺพํ, อิทํ หีนํ อิทํ ปณีตํ, อิทํ กณฺหสุกฺกสปฺปฏิภาคนฺ'ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ โส อปเรน สมเยน อริยธมฺมํ สุณาติ, โยนิโส มนสิ กโรติ, ธมฺมานุธมฺมํ ปฏิปชฺชติฯ โส อริยธมฺมสฺสวนํ อาคมฺม โยนิโสมนสิการํ ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปตฺตึ, ‘อิทํ กุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อิทํ อกุสลนฺ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ‘อิทํ สาวชฺชํ อิทํ อนวชฺชํ, อิทํ เสวิตพฺพํ อิทํ น เสวิตพฺพํ, อิทํ หีนํ อิทํ ปณีตํ, อิทํ กณฺหสุกฺกสปฺปฏิภาคนฺ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต อวิชฺชา ปหียติ, วิชฺชา อุปฺปชฺชติฯ ตสฺส อวิชฺชาวิราคา วิชฺชุปฺปาทา อุปฺปชฺชติ สุขํ, สุขา ภิโยฺย โสมนสฺสํฯ เสยฺยถาปิ, โภ, ปมุทา ปาโมชฺชํ ชาเยถ; เอวเมว โข, โภ, อวิชฺชาวิราคา วิชฺชุปฺปาทา อุปฺปชฺชติ สุขํ, สุขา ภิโยฺย โสมนสฺสํฯ อยํ โข, โภ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ตติโย โอกาสาธิคโม อนุพุทฺโธ สุขสฺสาธิคมายฯ

    Next, take someone who doesn’t truly understand what is skillful and what is unskillful, what is blameworthy and what is blameless, what should be cultivated and what should not be cultivated, what is inferior and what is superior, and what is on the side of dark and the side of bright. After some time they hear the teaching of the noble ones, rationally apply the mind to how it applies to them, and practice accordingly. They truly understand what is skillful and what is unskillful, and so on. Knowing and seeing like this, ignorance is given up and knowledge arises. That gives rise to pleasure, and more than pleasure, happiness, like the joy that’s born from gladness. This is the third opportunity for achieving happiness.

    อิเม โข, โภ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ตโย โอกาสาธิคมา อนุพุทฺธา สุขสฺสาธิคมายา”ติฯ

    These are the three opportunities for achieving happiness that have been understood by the Buddha.”

    อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺถ, อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺวา เทเว ตาวตึเส อามนฺเตสิ:

    That is the topic on which Brahmā Sanaṅkumāra spoke. And having spoken about that, he addressed the gods of the Thirty-Three:

    ๘ฯ จตุสติปฏฺฐาน

    8. Mindfulness Meditation

    “ตํ กึ มญฺญนฺติ, โภนฺโต เทวา ตาวตึสา, ยาว สุปญฺญตฺตา จิเม เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ปญฺญตฺตา กุสลสฺสาธิคมายฯ กตเม จตฺตาโร?

    “What do the good gods of the Thirty-Three think? How well described by the Buddha are the four kinds of mindfulness meditation! They are taught for achieving what is skillful. What four?

    อิธ, โภ, ภิกฺขุ อชฺฌตฺตํ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ อชฺฌตฺตํ กาเย กายานุปสฺสี วิหรนฺโต ตตฺถ สมฺมา สมาธิยติ, สมฺมา วิปฺปสีทติฯ โส ตตฺถ สมฺมา สมาหิโต สมฺมา วิปฺปสนฺโน พหิทฺธา ปรกาเย ญาณทสฺสนํ อภินิพฺพตฺเตติฯ

    It’s when a bhikkhu meditates by observing an aspect of the body internally—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. As they meditate in this way, they become rightly immersed in that, and rightly serene. Then they give rise to knowledge and vision of other people’s bodies externally.

    อชฺฌตฺตํ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ …เป… พหิทฺธา ปรเวทนาสุ ญาณทสฺสนํ อภินิพฺพตฺเตติฯ

    They meditate observing an aspect of feelings internally … Then they give rise to knowledge and vision of other people’s feelings externally.

    อชฺฌตฺตํ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ …เป… พหิทฺธา ปรจิตฺเต ญาณทสฺสนํ อภินิพฺพตฺเตติฯ

    They meditate observing an aspect of the mind internally … Then they give rise to knowledge and vision of other people’s minds externally.

    อชฺฌตฺตํ ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ อชฺฌตฺตํ ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรนฺโต ตตฺถ สมฺมา สมาธิยติ, สมฺมา วิปฺปสีทติฯ โส ตตฺถ สมฺมา สมาหิโต สมฺมา วิปฺปสนฺโน พหิทฺธา ปรธมฺเมสุ ญาณทสฺสนํ อภินิพฺพตฺเตติฯ

    They meditate observing an aspect of principles internally—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. As they meditate in this way, they become rightly immersed in that, and rightly serene. Then they give rise to knowledge and vision of other people’s principles externally.

    อิเม โข, โภ, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ปญฺญตฺตา กุสลสฺสาธิคมายา”ติฯ

    These are the four kinds of mindfulness meditation taught by the Buddha for achieving what is skillful.”

    อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺถฯ อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺวา เทเว ตาวตึเส อามนฺเตสิ:

    That is the topic on which Brahmā Sanaṅkumāra spoke. And having spoken about that, he addressed the gods of the Thirty-Three:

    ๙ฯ สตฺตสมาธิปริกฺขาร

    9. Seven Prerequisites of Immersion

    “ตํ กึ มญฺญนฺติ, โภนฺโต เทวา ตาวตึสา, ยาว สุปญฺญตฺตา จิเม เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน สตฺต สมาธิปริกฺขารา สมฺมาสมาธิสฺส ปริภาวนาย สมฺมาสมาธิสฺส ปาริปูริยาฯ กตเม สตฺต? สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติฯ ยา โข, โภ, อิเมหิ สตฺตหงฺเคหิ จิตฺตสฺส เอกคฺคตา ปริกฺขตา, อยํ วุจฺจติ, โภ, อริโย สมฺมาสมาธิ เสาปนิโส อิติปิ สปริกฺขาโร อิติปิฯ

    “What do the good gods of the Thirty-Three think? How well described by the Buddha are the seven prerequisites of immersion for the development and fulfillment of right immersion! What seven? Right view, right thought, right speech, right action, right livelihood, right effort, and right mindfulness. Unification of mind with these seven factors as prerequisites is called noble right immersion ‘with its vital conditions’ and ‘with its prerequisites’.

    สมฺมาทิฏฺฐิสฺส, โภ, สมฺมาสงฺกปฺโป ปโหติ, สมฺมาสงฺกปฺปสฺส สมฺมาวาจา ปโหติ, สมฺมาวาจสฺส สมฺมากมฺมนฺโต ปโหติฯ สมฺมากมฺมนฺตสฺส สมฺมาอาชีโว ปโหติ, สมฺมาอาชีวสฺส สมฺมาวายาโม ปโหติ, สมฺมาวายามสฺส สมฺมาสติ ปโหติ, สมฺมาสติสฺส สมฺมาสมาธิ ปโหติ, สมฺมาสมาธิสฺส สมฺมาญาณํ ปโหติ, สมฺมาญาณสฺส สมฺมาวิมุตฺติ ปโหติฯ

    Right view gives rise to right thought. Right thought gives rise to right speech. Right speech gives rise to right action. Right action gives rise to right livelihood. Right livelihood gives rise to right effort. Right effort gives rise to right mindfulness. Right mindfulness gives rise to right immersion. Right immersion gives rise to right knowledge. Right knowledge gives rise to right freedom.

    ยญฺหิ ตํ, โภ, สมฺมา วทมาโน วเทยฺย: ‘สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฺฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปเนยฺยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ อปารุตา อมตสฺส ทฺวารา'ติ อิทเมว ตํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺยฯ สฺวากฺขาโต หิ, โภ, ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฺฐิโก, อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปเนยฺยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ อปารุตา อมตสฺส ทฺวาราฯ

    If anything should be rightly described as ‘a teaching that’s well explained by the Buddha, apparent in the present life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves; and the doors to the deathless are flung open,’ it’s this. For the teaching is well explained by the Buddha—apparent in the present life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves—and the doors of the deathless are flung open.

    เย หิ เกจิ, โภ, พุทฺเธ อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคตา, ธมฺเม อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคตา, สงฺเฆ อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคตา, อริยกนฺเตหิ สีเลหิ สมนฺนาคตา, เย จิเม โอปปาติกา ธมฺมวินีตา สาติเรกานิ จตุวีสติสตสหสฺสานิ มาคธกา ปริจารกา อพฺภตีตา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สมฺโพธิปรายณาฯ อตฺถิ เจเวตฺถ สกทาคามิโนฯ

    Whoever has experiential confidence in the Buddha, the teaching, and the Saṅgha, and has the ethical conduct loved by the noble ones; and whoever is spontaneously reborn, and is trained in the teaching; in excess of 2,400,000 such Magadhan devotees have passed away having ended three fetters. They’re stream-enterers, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening. And there are once-returners here, too.

    อตฺถายํ อิตรา ปชา, ปุญฺญาภาคาติ เม มโน; สงฺขาตุํ โนปิ สกฺโกมิ, มุสาวาทสฺส โอตฺตปฺปนฺ”ติฯ

    And as for the rest of folk, who I think have shared in merit—I couldn’t even number them, for fear of speaking falsely.”

    อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ภาสิตฺถ, อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมุโน สนงฺกุมารสฺส ภาสโต เวสฺสวณสฺส มหาราชสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ: “อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, เอวรูโปปิ นาม อุฬาโร สตฺถา ภวิสฺสติ, เอวรูปํ อุฬารํ ธมฺมกฺขานํ, เอวรูปา อุฬารา วิเสสาธิคมา ปญฺญายิสฺสนฺตี”ติฯ

    That is the topic on which Brahmā Sanaṅkumāra spoke. And while he was speaking on that topic, this thought came to the great king Vessavaṇa, “Oh, how incredible, how amazing! That there should be such a magnificent Teacher, and such a magnificent exposition of the teaching! And that such achievements of high distinction should be made known!”

    อถ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เวสฺสวณสฺส มหาราชสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เวสฺสวณํ มหาราชานํ เอตทโวจ: “ตํ กึ มญฺญติ ภวํ เวสฺสวโณ มหาราชา อตีตมฺปิ อทฺธานํ เอวรูโป อุฬาโร สตฺถา อโหสิ, เอวรูปํ อุฬารํ ธมฺมกฺขานํ, เอวรูปา อุฬารา วิเสสาธิคมา ปญฺญายึสุฯ อนาคตมฺปิ อทฺธานํ เอวรูโป อุฬาโร สตฺถา ภวิสฺสติ, เอวรูปํ อุฬารํ ธมฺมกฺขานํ, เอวรูปา อุฬารา วิเสสาธิคมา ปญฺญายิสฺสนฺตี”ติฯ

    And then Brahmā Sanaṅkumāra, knowing what the great king Vessavaṇa was thinking, said to him, “What does Great King Vessavaṇa think? In the past, too, there was such a magnificent Teacher, and such a magnificent exposition of the teaching! And such achievements of high distinction were made known! In the future, too, there will be such a magnificent Teacher, and such a magnificent exposition of the teaching! And such achievements of high distinction will be made known!”

    อิมมตฺถํ, ภนฺเต, พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร เทวานํ ตาวตึสานํ อภาสิ, อิมมตฺถํ เวสฺสวโณ มหาราชา พฺรหฺมุโน สนงฺกุมารสฺส เทวานํ ตาวตึสานํ ภาสโต สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ สยํ ปริสายํ อาโรเจสิ'”ฯ

    That, sir, is the topic on which Brahmā Sanaṅkumāra spoke to the gods of the Thirty-Three. And the great king Vessavaṇa, having heard and learned it in the presence of Brahmā as he was speaking on that topic, informed his own assembly.’”

    อิมมตฺถํ ชนวสโภ ยกฺโข เวสฺสวณสฺส มหาราชสฺส สยํ ปริสายํ ภาสโต สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ ภควโต อาโรเจสิฯ อิมมตฺถํ ภควา ชนวสภสฺส ยกฺขสฺส สมฺมุขา สุตฺวา สมฺมุขา ปฏิคฺคเหตฺวา สามญฺจ อภิญฺญาย อายสฺมโต อานนฺทสฺส อาโรเจสิ, อิมมตฺถมายสฺมา อานนฺโท ภควโต สมฺมุขา สุตฺวา สมฺมุขา ปฏิคฺคเหตฺวา อาโรเจสิ ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนํ อุปาสกานํ อุปาสิกานํฯ ตยิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธญฺเจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตนฺติฯ

    And the spirit Janavasabha, having heard and learned it in the presence of the great king Vessavaṇa as he was speaking on that topic to his own assembly, informed the Buddha. And the Buddha, having heard and learned it in the presence of the spirit Janavasabha, and also from his own direct knowledge, informed Venerable Ānanda. And Venerable Ānanda, having heard and learned it in the presence of the Buddha, informed the monks, nuns, laymen, and laywomen. And that’s how this spiritual life has become successful and prosperous, extensive, popular, widespread, and well proclaimed wherever there are gods and humans.

    ชนวสภสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปญฺจมํฯ





    The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact