Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) |
๓. ชรามรณสุตฺตวณฺณนา
3. Jarāmaraṇasuttavaṇṇanā
๑๑๔. อญฺญตฺร ชรามรณาติ ชรามรเณน วินาฯ ชรามรณวิรหิโต ชาโต นาม อตฺถิ นุ โขติ ปุจฺฉติฯ ปาฬิยํ ชาตสฺสาติ ปจฺจเตฺต สามิวจนํฯ มหาสาลาติ อิมินา ร-การสฺส ล-การํ กตฺวา ‘‘มหาสาลา’’ติ วุตฺตนฺติ ทเสฺสติ ยถา ‘‘ปุรตฺถิโยติ ปุลตฺถิโย’’ติฯ มหาสารปฺปตฺตาติ มหนฺตํ วิภวสารํ ปตฺตาฯ โกฎิสตํ ธนํ, อยเมว วา ปาโฐฯ ‘‘กุมฺภํ นาม ทส อมฺพณานี’’ติ วทนฺติฯ อิสฺสราติ วิภวิสฺสริเยน อิสฺสราฯ สุวณฺณรชตภาชนาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน วตฺถเสยฺยาวสถาทิํ สงฺคณฺหาติฯ อสาธารณธนานํ นิธานคตตฺตา ‘‘อนิธานคตสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ ตุฎฺฐิกรณสฺสาติ ปาสาทสิวิกาทิสุขสาธนสฺสฯ
114.Aññatrajarāmaraṇāti jarāmaraṇena vinā. Jarāmaraṇavirahito jāto nāma atthi nu khoti pucchati. Pāḷiyaṃ jātassāti paccatte sāmivacanaṃ. Mahāsālāti iminā ra-kārassa la-kāraṃ katvā ‘‘mahāsālā’’ti vuttanti dasseti yathā ‘‘puratthiyoti pulatthiyo’’ti. Mahāsārappattāti mahantaṃ vibhavasāraṃ pattā. Koṭisataṃ dhanaṃ, ayameva vā pāṭho. ‘‘Kumbhaṃ nāma dasa ambaṇānī’’ti vadanti. Issarāti vibhavissariyena issarā. Suvaṇṇarajatabhājanādīnanti ādi-saddena vatthaseyyāvasathādiṃ saṅgaṇhāti. Asādhāraṇadhanānaṃ nidhānagatattā ‘‘anidhānagatassā’’ti vuttaṃ. Tuṭṭhikaraṇassāti pāsādasivikādisukhasādhanassa.
อารกา กิเลเสหีติ นิรุตฺตินเยน สทฺทสิทฺธิมาหฯ อารกาติ จ สพฺพโส สมุจฺฉินฺนตฺตา เตหิ ทูเรติ อโตฺถฯ ราคาทีนํ หตตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวโต, อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยตาทิปจฺจยา จ อรหํฯ กามญฺจายํ สํยุตฺตวณฺณนา, อภิธมฺมนโย เอว ปน นิปฺปริยาโยติ อาห ‘‘จตฺตาโร อาสวา’’ติ พฺรหฺมจริยวาสนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยวาสํฯ วุฎฺฐาติ วุฎฺฐวโนฺตฯ จตูหิ มเคฺคหิ กรณียนฺติ ปเจฺจกํ จตูหิ มเคฺคหิ กตฺตพฺพํ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยภาวนาภิสมยํฯ เอวํ คตํ โสฬสวิธํ โหติฯ โอสีทาปนเฎฺฐน ภารา วิยาติ ภาราฯ เตนาห ‘‘ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๓.๒๒)ฯ อตฺตปฎิพทฺธตาย อตฺตโน อวิชหนโต ปรมตฺถเทสนาย จ ปรมโตฺถ อรหตฺตํฯ กามญฺจายมโตฺถ สพฺพสมิทฺธิสสนฺตติปริยาปโนฺน อนวชฺชธโมฺม สมฺภวติ อกุปฺปสภาวา, อปริหานธเมฺมสุ ปน อคฺคภูเต อรหเตฺต สาติสโย, น อิตเรสูติ ‘‘อรหตฺตสงฺขาโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ โอรมฺภาคิยุทฺธมฺภาคิยวิภาคํ ทสวิธมฺปิ ภเวสุ สํโยชนํ กิเลสกมฺมวิปากวฎฺฎปจฺจโย หุตฺวา นิสฺสริตุํ อปฺปทานวเสน พนฺธตีติ ภวสํโยชนํฯ สติปิ หิ อเญฺญสํ ตปฺปกฺขิยภาเวน วินา สํโยชนานิ เตสํ ตปฺปจฺจยภาโว อตฺถิ, ภวนิยาโม โอรมฺภาคิยุทฺธมฺภาคิยสงฺคหิโตติ ตํตํภวนิพฺพตฺตกกมฺมนิยาโม จ โหติ, น จ อุปจฺฉินฺนสํโยชนสฺส กตานิปิ กมฺมานิ ภวํ นิพฺพเตฺตนฺตีติ เตสํเยว สํโยชนโฎฺฐ ทฎฺฐโพฺพฯ สมฺมา การเณหิ ชานิตฺวาติ ญาเยน ทุกฺขาทีสุ โส ยถา ชานิตโพฺพ; ตถา ชานิตฺวา, ปุพฺพกาลกิริยาวิมุตฺตา หิ อปรกาลกิริยา จ ยถา สมฺภวติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘มคฺคปญฺญายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Ārakā kilesehīti niruttinayena saddasiddhimāha. Ārakāti ca sabbaso samucchinnattā tehi dūreti attho. Rāgādīnaṃ hatattā, pāpakaraṇe rahābhāvato, anuttaradakkhiṇeyyatādipaccayā ca arahaṃ. Kāmañcāyaṃ saṃyuttavaṇṇanā, abhidhammanayo eva pana nippariyāyoti āha ‘‘cattāro āsavā’’ti brahmacariyavāsanti maggabrahmacariyavāsaṃ. Vuṭṭhāti vuṭṭhavanto. Catūhi maggehi karaṇīyanti paccekaṃ catūhi maggehi kattabbaṃ pariññāpahānasacchikiriyabhāvanābhisamayaṃ. Evaṃ gataṃ soḷasavidhaṃ hoti. Osīdāpanaṭṭhena bhārā viyāti bhārā. Tenāha ‘‘bhārā have pañcakkhandhā’’tiādi (saṃ. ni. 3.22). Attapaṭibaddhatāya attano avijahanato paramatthadesanāya ca paramattho arahattaṃ. Kāmañcāyamattho sabbasamiddhisasantatipariyāpanno anavajjadhammo sambhavati akuppasabhāvā, aparihānadhammesu pana aggabhūte arahatte sātisayo, na itaresūti ‘‘arahattasaṅkhāto’’tiādi vuttaṃ. Orambhāgiyuddhambhāgiyavibhāgaṃ dasavidhampi bhavesu saṃyojanaṃ kilesakammavipākavaṭṭapaccayo hutvā nissarituṃ appadānavasena bandhatīti bhavasaṃyojanaṃ. Satipi hi aññesaṃ tappakkhiyabhāvena vinā saṃyojanāni tesaṃ tappaccayabhāvo atthi, bhavaniyāmo orambhāgiyuddhambhāgiyasaṅgahitoti taṃtaṃbhavanibbattakakammaniyāmo ca hoti, na ca upacchinnasaṃyojanassa katānipi kammāni bhavaṃ nibbattentīti tesaṃyeva saṃyojanaṭṭho daṭṭhabbo. Sammākāraṇehi jānitvāti ñāyena dukkhādīsu so yathā jānitabbo; tathā jānitvā, pubbakālakiriyāvimuttā hi aparakālakiriyā ca yathā sambhavati, taṃ dassetuṃ ‘‘maggapaññāyā’’tiādi vuttaṃ.
ภิชฺชนสภาโว ขณายตฺตตฺตาฯ นิกฺขิปิตพฺพสภาโว มรณธมฺมตฺตาฯ อยํ กาโย อุสฺมายุวิญฺญาณาปคโม ฉฑฺฑนียธโมฺม, ยสฺมิํ ยํ ปติฎฺฐิตํ, ตํ ตสฺส สนฺตานคตวิปฺปยุตฺตนฺติ กตฺวา วตฺตพฺพตํ อรหตีติ อาห ‘‘ขีณาสวสฺส หิ อชีรณธโมฺมปิ อตฺถี’’ติอาทิฯ เตนาห ภควา ‘‘อิมสฺมิํเยว พฺยามมเตฺต กเฬวเร สสญฺญิมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญเปมิ โลกสมุทยญฺจ โลกนิโรธญฺจา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๑.๑๐๗; อ. นิ. ๔.๔๕)ฯ อสฺส ขีณาสวสฺส, ‘‘ชีรณธมฺม’’นฺติ ยถาวุตฺตํ อชีรณธมฺมํ ฐเปตฺวา ชีรณธมฺมํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เตสํปายํ กาโย เภทนธโมฺม’’ติ เอวมาหฯ ชรํ ปตฺตเสฺสว หิสฺส เภทนนิกฺขิปิตพฺพตานิยเต อเตฺถ สุตฺตเทสนา ปวตฺตาฯ อตฺถสฺส อุปฺปตฺติ อฎฺฐุปฺปตฺติ, สา เอตสฺส อตฺถีติ อฎฺฐุปฺปตฺติโกฯ กิร-สโทฺท อนุสฺสวโตฺถ, เตน อนุสฺสวาคโตยมโตฺถ, น อฎฺฐกถาคโตติ ทีเปติฯ เตนาห ‘‘วทนฺตี’’ติฯ เยนายํ อโตฺถ เหตุนา อฎฺฐุปฺปตฺติโก, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สิวิกสาลายํ นิสีทิตฺวา กถิต’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘วิหรติ เชตวเน’’ติ นิทานวจเนน ยถา น วิรุชฺฌติ, ตถา เวทิตพฺพํฯ นนุ อิมสฺส สุตฺตสฺส ปุจฺฉาวสิโก นิเกฺขโปติ? สจฺจเมตํ, สุเตฺตกเทสํ ปน สนฺธาย อฎฺฐุปฺปตฺติกตาวจนํฯ เกจิ ปน ‘‘ยานํ อารุหิตฺวา ราชา อาคโต, รโญฺญ อาโรหนียรถํ ทเสฺสตฺวา วุตฺต’’นฺติปิ วทนฺติฯ
Bhijjanasabhāvo khaṇāyattattā. Nikkhipitabbasabhāvo maraṇadhammattā. Ayaṃ kāyo usmāyuviññāṇāpagamo chaḍḍanīyadhammo, yasmiṃ yaṃ patiṭṭhitaṃ, taṃ tassa santānagatavippayuttanti katvā vattabbataṃ arahatīti āha ‘‘khīṇāsavassa hi ajīraṇadhammopi atthī’’tiādi. Tenāha bhagavā ‘‘imasmiṃyeva byāmamatte kaḷevare sasaññimhi samanake lokañca paññapemi lokasamudayañca lokanirodhañcā’’tiādi (saṃ. ni. 1.107; a. ni. 4.45). Assa khīṇāsavassa, ‘‘jīraṇadhamma’’nti yathāvuttaṃ ajīraṇadhammaṃ ṭhapetvā jīraṇadhammaṃ dassento ‘‘tesaṃpāyaṃ kāyo bhedanadhammo’’ti evamāha. Jaraṃ pattasseva hissa bhedananikkhipitabbatāniyate atthe suttadesanā pavattā. Atthassa uppatti aṭṭhuppatti, sā etassa atthīti aṭṭhuppattiko. Kira-saddo anussavattho, tena anussavāgatoyamattho, na aṭṭhakathāgatoti dīpeti. Tenāha ‘‘vadantī’’ti. Yenāyaṃ attho hetunā aṭṭhuppattiko, taṃ dassetuṃ ‘‘sivikasālāyaṃ nisīditvā kathita’’nti vuttaṃ. ‘‘Viharati jetavane’’ti nidānavacanena yathā na virujjhati, tathā veditabbaṃ. Nanu imassa suttassa pucchāvasiko nikkhepoti? Saccametaṃ, suttekadesaṃ pana sandhāya aṭṭhuppattikatāvacanaṃ. Keci pana ‘‘yānaṃ āruhitvā rājā āgato, rañño ārohanīyarathaṃ dassetvā vutta’’ntipi vadanti.
สรีเร เผณปิณฺฑสเม กิํ วตฺตพฺพํ? สพฺภิ สทฺธินฺติ สาธูหิ สห ปเวทยนฺติฯ น หิ กทาจิ สาธูนํ สาธูหิ สห กตฺตพฺพา โหนฺติ, ตสฺมา สีทนสภาวานํ กิเลสานํ ภิชฺชนปฺปตฺตตฺตา นิพฺพานํ สพฺภีติ วุจฺจติฯ ปุริมปทสฺสาติ ‘‘สตญฺจ ธโมฺม น ชรํ อุเปตี’’ติ ปทสฺสฯ การณํ ทเสฺสโนฺต พฺยติเรกวเสนฯ สตํ ธโมฺม นิพฺพานํ กิเลเสหิ สํสีทนภิชฺชนสภาโว น โหติ, ตสฺมา ตํ อาคมฺม ชรํ น อุเปติฯ กิเลสา ปน ตนฺนิมิตฺตกา, เอวมยํ วุตฺตการณโต ชรํ น อุเปตีติฯ เตนาห ‘‘อิท’’นฺติอาทิฯ สุนฺทราธิวจนํ วา เอตํ ‘‘สพฺภี’’ติ ปทํ อปาปตาทีปนโต, สพฺภิธมฺมภูตนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ (อิติวุ. ๙๐; อ. นิ. ๔.๓๔), น เตน ธเมฺมน สมตฺถิ กิญฺจี’’ติ (ขุ. ปา. ๖.๔; สุ. นิ. ๒๒๗) จฯ
Sarīre pheṇapiṇḍasame kiṃ vattabbaṃ? Sabbhi saddhinti sādhūhi saha pavedayanti. Na hi kadāci sādhūnaṃ sādhūhi saha kattabbā honti, tasmā sīdanasabhāvānaṃ kilesānaṃ bhijjanappattattā nibbānaṃ sabbhīti vuccati. Purimapadassāti ‘‘satañca dhammo na jaraṃ upetī’’ti padassa. Kāraṇaṃ dassento byatirekavasena. Sataṃ dhammo nibbānaṃ kilesehi saṃsīdanabhijjanasabhāvo na hoti, tasmā taṃ āgamma jaraṃ na upeti. Kilesā pana tannimittakā, evamayaṃ vuttakāraṇato jaraṃ na upetīti. Tenāha ‘‘ida’’ntiādi. Sundarādhivacanaṃ vā etaṃ ‘‘sabbhī’’ti padaṃ apāpatādīpanato, sabbhidhammabhūtanti attho. Tenāha ‘‘virāgo tesaṃ aggamakkhāyati (itivu. 90; a. ni. 4.34), na tena dhammena samatthi kiñcī’’ti (khu. pā. 6.4; su. ni. 227) ca.
ชรามรณสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Jarāmaraṇasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๓. ชรามรณสุตฺตํ • 3. Jarāmaraṇasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๓. ชรามรณสุตฺตวณฺณนา • 3. Jarāmaraṇasuttavaṇṇanā