Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๖. ชราสุตฺตวณฺณนา

    6. Jarāsuttavaṇṇanā

    ๘๑๑. อปฺปํ วต ชีวิตนฺติ ชราสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วสฺสํ วสิตฺวา ยานิ ตานิ พุทฺธานํ สรีราโรคฺยสมฺปาทนํ อนุปฺปนฺนสิกฺขาปทปญฺญาปนํ เวเนยฺยทมนํ ตถารูปาย อฎฺฐุปฺปตฺติยา ชาตกาทิกถนนฺติอาทีนิ ชนปทจาริกานิมิตฺตานิ, ตานิ สมเวกฺขิตฺวา ชนปทจาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน สายํ สาเกตํ อนุปฺปโตฺต อญฺชนวนํ ปาวิสิฯ สาเกตวาสิโน สุตฺวา ‘‘อกาโล อิทานิ ภควนฺตํ ทสฺสนายา’’ติ วิภาตาย รตฺติยา มาลาคนฺธาทีนิ คเหตฺวา ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา ปูชนวนฺทนสโมฺมทนาทีนิ กตฺวา ปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุ ยาว ภควโต คามปฺปเวสนเวลา, อถ ภควา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ ตํ อญฺญตโร สาเกตโก พฺราหฺมณมหาสาโล นครา นิกฺขโนฺต นครทฺวาเร อทฺทสฯ ทิสฺวา ปุตฺตสิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘จิรทิโฎฺฐสิ, ปุตฺต, มยา’’ติ ปริเทวยมาโน อภิมุโข อคมาสิฯ ภควา ภิกฺขู สญฺญาเปสิ – ‘‘อยํ, ภิกฺขเว, พฺราหฺมโณ ยํ อิจฺฉติ, ตํ กโรตุ, น วาเรตโพฺพ’’ติฯ

    811.Appaṃvata jīvitanti jarāsuttaṃ. Kā uppatti? Ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ vassaṃ vasitvā yāni tāni buddhānaṃ sarīrārogyasampādanaṃ anuppannasikkhāpadapaññāpanaṃ veneyyadamanaṃ tathārūpāya aṭṭhuppattiyā jātakādikathanantiādīni janapadacārikānimittāni, tāni samavekkhitvā janapadacārikaṃ pakkāmi. Anupubbena cārikaṃ caramāno sāyaṃ sāketaṃ anuppatto añjanavanaṃ pāvisi. Sāketavāsino sutvā ‘‘akālo idāni bhagavantaṃ dassanāyā’’ti vibhātāya rattiyā mālāgandhādīni gahetvā bhagavato santikaṃ gantvā pūjanavandanasammodanādīni katvā parivāretvā aṭṭhaṃsu yāva bhagavato gāmappavesanavelā, atha bhagavā bhikkhusaṅghaparivuto piṇḍāya pāvisi. Taṃ aññataro sāketako brāhmaṇamahāsālo nagarā nikkhanto nagaradvāre addasa. Disvā puttasinehaṃ uppādetvā ‘‘ciradiṭṭhosi, putta, mayā’’ti paridevayamāno abhimukho agamāsi. Bhagavā bhikkhū saññāpesi – ‘‘ayaṃ, bhikkhave, brāhmaṇo yaṃ icchati, taṃ karotu, na vāretabbo’’ti.

    พฺราหฺมโณปิ วจฺฉคิทฺธินีว คาวี อาคนฺตฺวา ภควโต กายํ ปุรโต จ ปจฺฉโต จ ทกฺขิณโต จ วามโต จาติ สมนฺตา อาลิงฺคิ ‘‘จิรทิโฎฺฐสิ, ปุตฺต, จิรํ วินา อโหสี’’ติ ภณโนฺตฯ ยทิ ปน โส ตถา กาตุํ น ลเภยฺย, หทยํ ผาเลตฺวา มเรยฺยฯ โส ภควนฺตํ อโวจ – ‘‘ภควา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ อาคตภิกฺขูนํ อหเมว ภิกฺขํ ทาตุํ สมโตฺถ, มเมว อนุคฺคหํ กโรถา’’ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ พฺราหฺมโณ ภควโต ปตฺตํ คเหตฺวา ปุรโต คจฺฉโนฺต พฺราหฺมณิยา เปเสสิ – ‘‘ปุโตฺต เม อาคโต, อาสนํ ปญฺญาเปตพฺพ’’นฺติฯ สา ตถา กตฺวา อาคมนํ ปสฺสนฺตี ฐิตา ภควนฺตํ อนฺตรวีถิยํเยว ทิสฺวา ปุตฺตสิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘จิรทิโฎฺฐสิ, ปุตฺต, มยา’’ติ ปาเทสุ คเหตฺวา โรทิตฺวา ฆรํ อติเนตฺวา สกฺกจฺจํ โภเชสิฯ ภุตฺตาวิโน พฺราหฺมโณ ปตฺตํ อปนาเมสิฯ ภควา เตสํ สปฺปายํ วิทิตฺวา ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน อุโภปิ โสตาปนฺนา อเหสุํฯ อถ ภควนฺตํ ยาจิํสุ – ‘‘ยาว, ภเนฺต, ภควา อิมํ นครํ อุปนิสฺสาย วิหรติ, อมฺหากํเยว ฆเร ภิกฺขา คเหตพฺพา’’ติฯ ภควา ‘‘น พุทฺธา เอวํ เอกํ นิพทฺธฎฺฐานํเยว คจฺฉนฺตี’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ เต อาหํสุ – ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปิณฺฑาย จริตฺวาปิ ตุเมฺห อิเธว ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา วิหารํ คจฺฉถา’’ติฯ ภควา เตสํ อนุคฺคหตฺถาย ตถา อกาสิฯ มนุสฺสา พฺราหฺมณญฺจ พฺราหฺมณิญฺจ ‘‘พุทฺธปิตา พุทฺธมาตา’’ เตฺวว โวหริํสุฯ ตมฺปิ กุลํ ‘‘พุทฺธกุล’’นฺติ นามํ ลภิฯ

    Brāhmaṇopi vacchagiddhinīva gāvī āgantvā bhagavato kāyaṃ purato ca pacchato ca dakkhiṇato ca vāmato cāti samantā āliṅgi ‘‘ciradiṭṭhosi, putta, ciraṃ vinā ahosī’’ti bhaṇanto. Yadi pana so tathā kātuṃ na labheyya, hadayaṃ phāletvā mareyya. So bhagavantaṃ avoca – ‘‘bhagavā tumhehi saddhiṃ āgatabhikkhūnaṃ ahameva bhikkhaṃ dātuṃ samattho, mameva anuggahaṃ karothā’’ti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena. Brāhmaṇo bhagavato pattaṃ gahetvā purato gacchanto brāhmaṇiyā pesesi – ‘‘putto me āgato, āsanaṃ paññāpetabba’’nti. Sā tathā katvā āgamanaṃ passantī ṭhitā bhagavantaṃ antaravīthiyaṃyeva disvā puttasinehaṃ uppādetvā ‘‘ciradiṭṭhosi, putta, mayā’’ti pādesu gahetvā roditvā gharaṃ atinetvā sakkaccaṃ bhojesi. Bhuttāvino brāhmaṇo pattaṃ apanāmesi. Bhagavā tesaṃ sappāyaṃ viditvā dhammaṃ desesi, desanāpariyosāne ubhopi sotāpannā ahesuṃ. Atha bhagavantaṃ yāciṃsu – ‘‘yāva, bhante, bhagavā imaṃ nagaraṃ upanissāya viharati, amhākaṃyeva ghare bhikkhā gahetabbā’’ti. Bhagavā ‘‘na buddhā evaṃ ekaṃ nibaddhaṭṭhānaṃyeva gacchantī’’ti paṭikkhipi. Te āhaṃsu – ‘‘tena hi, bhante, bhikkhusaṅghena saddhiṃ piṇḍāya caritvāpi tumhe idheva bhattakiccaṃ katvā dhammaṃ desetvā vihāraṃ gacchathā’’ti. Bhagavā tesaṃ anuggahatthāya tathā akāsi. Manussā brāhmaṇañca brāhmaṇiñca ‘‘buddhapitā buddhamātā’’ tveva vohariṃsu. Tampi kulaṃ ‘‘buddhakula’’nti nāmaṃ labhi.

    อานนฺทเตฺถโร ภควนฺตํ ปุจฺฉิ – ‘‘อหํ ภควโต มาตาปิตโร ชานามิ, อิเม ปน กสฺมา วทนฺติ ‘อหํ พุทฺธมาตา อหํ พุทฺธปิตา’’’ติฯ ภควา อาห – ‘‘นิรนฺตรํ เม, อานนฺท, พฺราหฺมณี จ พฺราหฺมโณ จ ปญฺจ ชาติสตานิ มาตาปิตโร อเหสุํ, ปญฺจ ชาติสตานิ มาตาปิตูนํ เชฎฺฐกา, ปญฺจ ชาติสตานิ กนิฎฺฐกาฯ เต ปุพฺพสิเนเหเนว กเถนฺตี’’ติ อิมญฺจ คาถมภาสิ –

    Ānandatthero bhagavantaṃ pucchi – ‘‘ahaṃ bhagavato mātāpitaro jānāmi, ime pana kasmā vadanti ‘ahaṃ buddhamātā ahaṃ buddhapitā’’’ti. Bhagavā āha – ‘‘nirantaraṃ me, ānanda, brāhmaṇī ca brāhmaṇo ca pañca jātisatāni mātāpitaro ahesuṃ, pañca jātisatāni mātāpitūnaṃ jeṭṭhakā, pañca jātisatāni kaniṭṭhakā. Te pubbasineheneva kathentī’’ti imañca gāthamabhāsi –

    ‘‘ปุเพฺพว สนฺนิวาเสน, ปจฺจุปฺปนฺนหิเตน วา;

    ‘‘Pubbeva sannivāsena, paccuppannahitena vā;

    เอวํ ตํ ชายเต เปมํ, อุปฺปลํว ยโถทเก’’ติฯ (ชา. ๑.๒.๑๗๔);

    Evaṃ taṃ jāyate pemaṃ, uppalaṃva yathodake’’ti. (jā. 1.2.174);

    ตโต ภควา สาเกเต ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา ปุน จาริกํ จรมาโน สาวตฺถิเมว อคมาสิฯ โสปิ พฺราหฺมโณ จ พฺราหฺมณี จ ภิกฺขู อุปสงฺกมิตฺวา ปติรูปํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เสสมเคฺค ปาปุณิตฺวา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิํสุฯ นคเร พฺราหฺมณา สนฺนิปติํสุ ‘‘อมฺหากํ ญาตเก สกฺกริสฺสามา’’ติฯ โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิโน อุปาสกาปิ สนฺนิปติํสุ อุปาสิกาโย จ ‘‘อมฺหากํ สหธมฺมิเก สกฺกริสฺสามา’’ติฯ เต สเพฺพปิ กมฺพลกูฎาคารํ อาโรเปตฺวา มาลาคนฺธาทีหิ ปูเชนฺตา นครา นิกฺขาเมสุํฯ

    Tato bhagavā sākete yathābhirantaṃ viharitvā puna cārikaṃ caramāno sāvatthimeva agamāsi. Sopi brāhmaṇo ca brāhmaṇī ca bhikkhū upasaṅkamitvā patirūpaṃ dhammadesanaṃ sutvā sesamagge pāpuṇitvā anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyiṃsu. Nagare brāhmaṇā sannipatiṃsu ‘‘amhākaṃ ñātake sakkarissāmā’’ti. Sotāpannasakadāgāmianāgāmino upāsakāpi sannipatiṃsu upāsikāyo ca ‘‘amhākaṃ sahadhammike sakkarissāmā’’ti. Te sabbepi kambalakūṭāgāraṃ āropetvā mālāgandhādīhi pūjentā nagarā nikkhāmesuṃ.

    ภควาปิ ตํ ทิวสํ ปจฺจูสสมเย พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต เตสํ ปรินิพฺพานภาวํ ญตฺวา ‘‘ตตฺถ มยิ คเต ธมฺมเทสนํ สุตฺวา พหุชนสฺส ธมฺมาภิสมโย ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สาวตฺถิโต อาคนฺตฺวา อาฬาหนเมว ปาวิสิฯ มนุสฺสา ทิสฺวา ‘‘มาตาปิตูนํ สรีรกิจฺจํ กาตุกาโม ภควา อาคโต’’ติ วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ นาคราปิ กูฎาคารํ ปูเชนฺตา อาฬาหนํ อาเนตฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘คหฎฺฐอริยสาวกา กถํ ปูเชตพฺพา’’ติฯ ภควา ‘‘ยถา อเสกฺขา ปูชิยนฺติ, ตถา ปูเชตพฺพา อิเม’’ติ อธิปฺปาเยน เตสํ อเสกฺขมุนิภาวํ ทีเปโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Bhagavāpi taṃ divasaṃ paccūsasamaye buddhacakkhunā lokaṃ volokento tesaṃ parinibbānabhāvaṃ ñatvā ‘‘tattha mayi gate dhammadesanaṃ sutvā bahujanassa dhammābhisamayo bhavissatī’’ti ñatvā pattacīvaramādāya sāvatthito āgantvā āḷāhanameva pāvisi. Manussā disvā ‘‘mātāpitūnaṃ sarīrakiccaṃ kātukāmo bhagavā āgato’’ti vanditvā aṭṭhaṃsu. Nāgarāpi kūṭāgāraṃ pūjentā āḷāhanaṃ ānetvā bhagavantaṃ pucchiṃsu – ‘‘gahaṭṭhaariyasāvakā kathaṃ pūjetabbā’’ti. Bhagavā ‘‘yathā asekkhā pūjiyanti, tathā pūjetabbā ime’’ti adhippāyena tesaṃ asekkhamunibhāvaṃ dīpento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อหิํสกา เย มุนโย, นิจฺจํ กาเยน สํวุตา;

    ‘‘Ahiṃsakā ye munayo, niccaṃ kāyena saṃvutā;

    เต ยนฺติ อจฺจุตํ ฐานํ, ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจเร’’ติฯ (ธ. ป. ๒๒๕);

    Te yanti accutaṃ ṭhānaṃ, yattha gantvā na socare’’ti. (dha. pa. 225);

    ตญฺจ ปริสํ โอโลเกตฺวา ตงฺขณานุรูปํ ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ สุตฺตมภาสิฯ

    Tañca parisaṃ oloketvā taṅkhaṇānurūpaṃ dhammaṃ desento imaṃ suttamabhāsi.

    ตตฺถ อปฺปํ วต ชีวิตํ อิทนฺติ ‘‘อิทํ วต มนุสฺสานํ ชีวิตํ อปฺปํ ปริตฺตํ ฐิติปริตฺตตาย สรสปริตฺตตายา’’ติ สลฺลสุเตฺตปิ วุตฺตนยเมตํฯ โอรํ วสฺสสตาปิ มิยฺยตีติ วสฺสสตา โอรํ กลลาทิกาเลปิ มิยฺยติฯ อติจฺจาติ วสฺสสตํ อติกฺกมิตฺวาฯ ชรสาปิ มิยฺยตีติ ชรายปิ มิยฺยติฯ

    Tattha appaṃ vata jīvitaṃ idanti ‘‘idaṃ vata manussānaṃ jīvitaṃ appaṃ parittaṃ ṭhitiparittatāya sarasaparittatāyā’’ti sallasuttepi vuttanayametaṃ. Oraṃ vassasatāpi miyyatīti vassasatā oraṃ kalalādikālepi miyyati. Aticcāti vassasataṃ atikkamitvā. Jarasāpi miyyatīti jarāyapi miyyati.

    ๘๑๒-๖. มมายิเตติ มมายิตวตฺถุการณาฯ วินาภาวสนฺตเมวิทนฺติ สนฺตวินาภาวํ วิชฺชมานวินาภาวเมว อิทํ, น สกฺกา อวินาภาเวน ภวิตุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ มามโกติ มม อุปาสโก ภิกฺขุ วาติ สงฺขํ คโต, พุทฺธาทีนิ วา วตฺถูนิ มมายมาโนฯ สงฺคตนฺติ สมาคตํ ทิฎฺฐปุพฺพํ วาฯ ปิยายิตนฺติ ปิยํ กตํฯ นามํเยวาวสิสฺสติ อเกฺขยฺยนฺติ สพฺพํ รูปาทิธมฺมชาตํ ปหียติ, นามมตฺตเมว ตุ อวสิสฺสติ ‘‘พุทฺธรกฺขิโต, ธมฺมรกฺขิโต’’ติ เอวํ สงฺขาตุํ กเถตุํฯ มุนโยติ ขีณาสวมุนโยฯ เขมทสฺสิโนติ นิพฺพานทสฺสิโนฯ

    812-6.Mamāyiteti mamāyitavatthukāraṇā. Vinābhāvasantamevidanti santavinābhāvaṃ vijjamānavinābhāvameva idaṃ, na sakkā avinābhāvena bhavitunti vuttaṃ hoti. Māmakoti mama upāsako bhikkhu vāti saṅkhaṃ gato, buddhādīni vā vatthūni mamāyamāno. Saṅgatanti samāgataṃ diṭṭhapubbaṃ vā. Piyāyitanti piyaṃ kataṃ. Nāmaṃyevāvasissati akkheyyanti sabbaṃ rūpādidhammajātaṃ pahīyati, nāmamattameva tu avasissati ‘‘buddharakkhito, dhammarakkhito’’ti evaṃ saṅkhātuṃ kathetuṃ. Munayoti khīṇāsavamunayo. Khemadassinoti nibbānadassino.

    ๘๑๗. สตฺตมคาถา เอวํ มรณพฺภาหเต โลเก อนุรูปปฎิปตฺติทสฺสนตฺถํ วุตฺตาฯ ตตฺถ ปติลีนจรสฺสาติ ตโต ตโต ปติลีนํ จิตฺตํ กตฺวา จรนฺตสฺสฯ ภิกฺขุโนติ กลฺยาณปุถุชฺชนสฺส เสกฺขสฺส วาฯ สามคฺคิยมาหุ ตสฺส ตํ, โย อตฺตานํ ภวเน น ทสฺสเยติ ตเสฺสตํ ปติรูปมาหุ, โย เอวํปฎิปโนฺน นิรยาทิเภเท ภวเน อตฺตานํ น ทเสฺสยฺยฯ เอวญฺหิ โส อิมมฺหา มรณา มุเจฺจยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ

    817. Sattamagāthā evaṃ maraṇabbhāhate loke anurūpapaṭipattidassanatthaṃ vuttā. Tattha patilīnacarassāti tato tato patilīnaṃ cittaṃ katvā carantassa. Bhikkhunoti kalyāṇaputhujjanassa sekkhassa vā. Sāmaggiyamāhu tassataṃ,yo attānaṃ bhavane na dassayeti tassetaṃ patirūpamāhu, yo evaṃpaṭipanno nirayādibhede bhavane attānaṃ na dasseyya. Evañhi so imamhā maraṇā mucceyyāti adhippāyo.

    ๘๑๘-๒๐. อิทานิ โย ‘‘อตฺตานํ ภวเน น ทสฺสเย’’ติ เอวํ ขีณาสโว วิภาวิโต, ตสฺส วณฺณภณนตฺถํ อิโต ปรา ติโสฺส คาถาโย อาหฯ ตตฺถ สพฺพตฺถาติ ทฺวาทสสุ อายตเนสุฯ ยทิทํ ทิฎฺฐสุตํ มุเตสุ วาติ เอตฺถ ปน ยทิทํ ทิฎฺฐสุตํ, เอตฺถ วา มุเตสุ วา ธเมฺมสุ เอวํ มุนิ น อุปลิมฺปตีติ เอวํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ โธโน น หิ เตน มญฺญติ, ยทิทํ ทิฎฺฐสุตํ มุเตสุ วาติ อตฺราปิ ยทิทํ ทิฎฺฐสุตฺตํ, เตน วตฺถุนา น มญฺญติ, มุเตสุ วา ธเมฺมสุ น มญฺญตีติ เอวเมว สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ น หิ โส รชฺชติ โน วิรชฺชตีติฯ พาลปุถุชฺชนา วิย น รชฺชติ, กลฺยาณปุถุชฺชนเสกฺขา วิย น วิรชฺชติ, ราคสฺส ปน ขีณตฺตา ‘‘วิราโค’’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติฯ เสสํ สพฺพตฺถ ปากฎเมวาติฯ เทสนาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสีติฯ

    818-20. Idāni yo ‘‘attānaṃ bhavane na dassaye’’ti evaṃ khīṇāsavo vibhāvito, tassa vaṇṇabhaṇanatthaṃ ito parā tisso gāthāyo āha. Tattha sabbatthāti dvādasasu āyatanesu. Yadidaṃ diṭṭhasutaṃ mutesu vāti ettha pana yadidaṃ diṭṭhasutaṃ, ettha vā mutesu vā dhammesu evaṃ muni na upalimpatīti evaṃ sambandho veditabbo. Dhono na hi tena maññati, yadidaṃ diṭṭhasutaṃ mutesu vāti atrāpi yadidaṃ diṭṭhasuttaṃ, tena vatthunā na maññati, mutesu vā dhammesu na maññatīti evameva sambandho veditabbo. Na hi so rajjati no virajjatīti. Bālaputhujjanā viya na rajjati, kalyāṇaputhujjanasekkhā viya na virajjati, rāgassa pana khīṇattā ‘‘virāgo’’tveva saṅkhaṃ gacchati. Sesaṃ sabbattha pākaṭamevāti. Desanāpariyosāne caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosīti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ชราสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya jarāsuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๖. ชราสุตฺตํ • 6. Jarāsuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact