Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๕๑๓] ๓. ชยทฺทิสชาตกวณฺณนา
[513] 3. Jayaddisajātakavaṇṇanā
จิรสฺสํ วต เมติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ มาตุโปสกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ สามชาตกสทิสํ (ชา. ๒.๒๒.๒๙๖ อาทโย)ฯ ตทา ปน สตฺถา ‘‘โปราณกปณฺฑิตา กญฺจนมาลํ เสตจฺฉตฺตํ ปหาย มาตาปิตโร โปเสสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Cirassaṃvata meti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ mātuposakabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu sāmajātakasadisaṃ (jā. 2.22.296 ādayo). Tadā pana satthā ‘‘porāṇakapaṇḍitā kañcanamālaṃ setacchattaṃ pahāya mātāpitaro posesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต กปิลรเฎฺฐ อุตฺตรปญฺจาลนคเร ปญฺจาโล นาม ราชา อโหสิฯ ตสฺส อคฺคมเหสี คพฺภํ ปฎิลภิตฺวา ปุตฺตํ วิชายิฯ ตสฺสา ปุริมภเว เอกา สปตฺติกา กุชฺฌิตฺวา ‘‘ตุยฺหํ ชาตํ ชาตํ ปชํ ขาทิตุํ สมตฺถา ภวิสฺสามี’’ติ ปตฺถนํ ฐเปตฺวา ยกฺขินี อโหสิฯ สา ตทา โอกาสํ ลภิตฺวา ตสฺสา ปสฺสนฺติยาว ตํ อลฺลมํสเปสิวณฺณํ กุมารกํ คเหตฺวา มุรุมุรายนฺตี ขาทิตฺวา ปกฺกามิฯ ทุติยวาเรปิ ตเถว อกาสิฯ ตติยวาเร ปน ตสฺสา ปสูติฆรํ ปวิฎฺฐกาเล เคหํ ปริวาเรตฺวา คาฬฺหํ อารกฺขํ อกํสุฯ วิชาตทิวเส ยกฺขินี อาคนฺตฺวา ปุน ทารกํ อคฺคเหสิฯ เทวี ‘‘ยกฺขินี’’ติ มหาสทฺทมกาสิฯ อาวุธหตฺถา ปุริสา อาคนฺตฺวา เทวิยา ทินฺนสญฺญาย ยกฺขินิํ อนุพนฺธิํสุฯ สา ขาทิตุํ โอกาสํ อลภนฺตี ตโต ปลายิตฺวา อุทกนิทฺธมนํ ปาวิสิฯ ทารโก มาตุสญฺญาย ตสฺสา ถนํ มุเขน คณฺหิฯ สา ปุตฺตสิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา ตโต ปลายิตฺวา สุสานํ คนฺตฺวา ทารกํ ปาสาณเลเณ ฐเปตฺวา ปฎิชคฺคิฯ อถสฺส อนุกฺกเมน วฑฺฒมานสฺส มนุสฺสมํสํ อาหริตฺวา อทาสิฯ อุโภปิ มนุสฺสมํสํ ขาทิตฺวา ตตฺถ วสิํสุฯ ทารโก อตฺตโน มนุสฺสภาวํ น ชานาติ ‘‘ยกฺขินิปุโตฺตสฺมี’’ติ สญฺญายฯ โส อตฺตภาวํ ชหิตฺวา อนฺตรธายิตุํ น สโกฺกติฯ อถสฺส สา อนฺตรธานตฺถาย เอกํ มูลํ อทาสิฯ โส มูลานุภาเวน อนฺตรธายิตฺวา มนุสฺสมํสํ ขาทโนฺต วิจรติฯ ยกฺขินี เวสฺสวณสฺส มหาราชสฺส เวยฺยาวจฺจตฺถาย คตา ตเตฺถว กาลมกาสิฯ เทวีปิ จตุตฺถวาเร อญฺญํ ปุตฺตํ วิชายิฯ โส ยกฺขินิยา มุตฺตตฺตา อโรโค อโหสิฯ ปจฺจามิตฺตํ ยกฺขินิํ ชินิตฺวา ชาตตฺตา ‘‘ชยทฺทิสกุมาโร’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต สพฺพสิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ ปตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา รชฺชมนุสาสิฯ
Atīte kapilaraṭṭhe uttarapañcālanagare pañcālo nāma rājā ahosi. Tassa aggamahesī gabbhaṃ paṭilabhitvā puttaṃ vijāyi. Tassā purimabhave ekā sapattikā kujjhitvā ‘‘tuyhaṃ jātaṃ jātaṃ pajaṃ khādituṃ samatthā bhavissāmī’’ti patthanaṃ ṭhapetvā yakkhinī ahosi. Sā tadā okāsaṃ labhitvā tassā passantiyāva taṃ allamaṃsapesivaṇṇaṃ kumārakaṃ gahetvā murumurāyantī khāditvā pakkāmi. Dutiyavārepi tatheva akāsi. Tatiyavāre pana tassā pasūtigharaṃ paviṭṭhakāle gehaṃ parivāretvā gāḷhaṃ ārakkhaṃ akaṃsu. Vijātadivase yakkhinī āgantvā puna dārakaṃ aggahesi. Devī ‘‘yakkhinī’’ti mahāsaddamakāsi. Āvudhahatthā purisā āgantvā deviyā dinnasaññāya yakkhiniṃ anubandhiṃsu. Sā khādituṃ okāsaṃ alabhantī tato palāyitvā udakaniddhamanaṃ pāvisi. Dārako mātusaññāya tassā thanaṃ mukhena gaṇhi. Sā puttasinehaṃ uppādetvā tato palāyitvā susānaṃ gantvā dārakaṃ pāsāṇaleṇe ṭhapetvā paṭijaggi. Athassa anukkamena vaḍḍhamānassa manussamaṃsaṃ āharitvā adāsi. Ubhopi manussamaṃsaṃ khāditvā tattha vasiṃsu. Dārako attano manussabhāvaṃ na jānāti ‘‘yakkhiniputtosmī’’ti saññāya. So attabhāvaṃ jahitvā antaradhāyituṃ na sakkoti. Athassa sā antaradhānatthāya ekaṃ mūlaṃ adāsi. So mūlānubhāvena antaradhāyitvā manussamaṃsaṃ khādanto vicarati. Yakkhinī vessavaṇassa mahārājassa veyyāvaccatthāya gatā tattheva kālamakāsi. Devīpi catutthavāre aññaṃ puttaṃ vijāyi. So yakkhiniyā muttattā arogo ahosi. Paccāmittaṃ yakkhiniṃ jinitvā jātattā ‘‘jayaddisakumāro’’tissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto sabbasippesu nipphattiṃ patvā chattaṃ ussāpetvā rajjamanusāsi.
ตทา โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, ‘‘อลีนสตฺตุกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ โส วยปฺปโตฺต อุคฺคหิตสพฺพสิโปฺป อุปราชา อโหสิฯ โสปิ ยกฺขินิปุโตฺต อปรภาเค ปมาเทน ตํ มูลํ นาเสตฺวา อนฺตรธายิตุํ อสโกฺกโนฺต ทิสฺสมานรูโปว สุสาเน มนุสฺสมํสํ ขาทิฯ มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา ภีตา อาคนฺตฺวา รโญฺญ อุปโกฺกสิํสุ ‘‘เทว เอโก ยโกฺข ทิสฺสมานรูโป สุสาเน มนุสฺสมํสํ ขาทติ, โส อนุกฺกเมน นครํ ปวิสิตฺวา มนุเสฺส มาเรตฺวา ขาทิสฺสติ, ตํ คาหาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ‘‘คณฺหถ น’’นฺติ อาณาเปสิฯ พลกาโย คนฺตฺวา สุสานํ ปริวาเรตฺวา อฎฺฐาสิฯ ยกฺขินิปุโตฺต นโคฺค อุพฺพิคฺครูโป มรณภยภีโต วิรวโนฺต มนุสฺสานํ อนฺตรํ ปกฺขนฺทิฯ มนุสฺสา ‘‘ยโกฺข’’ติ มรณภยภีตา ทฺวิธา ภิชฺชิํสุฯ โสปิ ตโต ปลายิตฺวา อรญฺญํ ปาวิสิ, น ปุน มนุสฺสปถํ อาคจฺฉิฯ โส เอกํ มหาวตฺตนิอฎวิํ นิสฺสาย มคฺคปฎิปเนฺนสุ มนุเสฺสสุ เอเกกํ คเหตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มาเรตฺวา ขาทโนฺต เอกสฺมิํ นิโคฺรธมูเล วาสํ กเปฺปสิฯ
Tadā bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbatti, ‘‘alīnasattukumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. So vayappatto uggahitasabbasippo uparājā ahosi. Sopi yakkhiniputto aparabhāge pamādena taṃ mūlaṃ nāsetvā antaradhāyituṃ asakkonto dissamānarūpova susāne manussamaṃsaṃ khādi. Manussā taṃ disvā bhītā āgantvā rañño upakkosiṃsu ‘‘deva eko yakkho dissamānarūpo susāne manussamaṃsaṃ khādati, so anukkamena nagaraṃ pavisitvā manusse māretvā khādissati, taṃ gāhāpetuṃ vaṭṭatī’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā ‘‘gaṇhatha na’’nti āṇāpesi. Balakāyo gantvā susānaṃ parivāretvā aṭṭhāsi. Yakkhiniputto naggo ubbiggarūpo maraṇabhayabhīto viravanto manussānaṃ antaraṃ pakkhandi. Manussā ‘‘yakkho’’ti maraṇabhayabhītā dvidhā bhijjiṃsu. Sopi tato palāyitvā araññaṃ pāvisi, na puna manussapathaṃ āgacchi. So ekaṃ mahāvattaniaṭaviṃ nissāya maggapaṭipannesu manussesu ekekaṃ gahetvā araññaṃ pavisitvā māretvā khādanto ekasmiṃ nigrodhamūle vāsaṃ kappesi.
อเถโก สตฺถวาหพฺราหฺมโณ อฎวิปาลานํ สหสฺสํ ทตฺวา ปญฺจหิ สกฎสเตหิ ตํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ มนุสฺสยโกฺข วิรวโนฺต ปกฺขนฺทิ, ภีตา มนุสฺสา อุเรน นิปชฺชิํสุฯ โส พฺราหฺมณํ คเหตฺวา ปลายโนฺต ขาณุนา ปาเท วิโทฺธ อฎวิปาเลสุ อนุพนฺธเนฺตสุ พฺราหฺมณํ ฉเฑฺฑตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานรุกฺขมูเล นิปชฺชิฯ ตสฺส ตตฺถ นิปนฺนสฺส สตฺตเม ทิวเส ชยทฺทิสราชา มิควธํ อาณาเปตฺวา นครา นิกฺขมิฯ ตํ นครา นิกฺขนฺตมตฺตเมว ตกฺกสิลวาสี นโนฺท นาม มาตุโปสกพฺราหฺมโณ จตโสฺส สตารหคาถาโย อาทาย อาคนฺตฺวา ราชานํ อทฺทสฯ ราชา ‘‘นิวตฺติตฺวา สุณิสฺสามี’’ติ ตสฺส นิวาสเคหํ ทาเปตฺวา มิควํ คนฺตฺวา ‘‘ยสฺส ปเสฺสน มิโค ปลายติ, ตเสฺสว คีวา’’ติ อาหฯ อเถโก ปสทมิโค อุฎฺฐหิตฺวา รโญฺญ อภิมุโข คนฺตฺวา ปลายิฯ อมจฺจา ปริหาสํ กริํสุฯ ราชา ขคฺคํ คเหตฺวา ตํ อนุพนฺธิตฺวา ติโยชนมตฺถเก ปตฺวา ขเคฺคน ปหริตฺวา เทฺว ขณฺฑานิ กริตฺวา กาเชนาทาย อาคจฺฉโนฺต มนุสฺสยกฺขสฺส นิปนฺนฎฺฐานํ ปตฺวา ทพฺพติเณสุ นิสีทิตฺวา โถกํ วิสฺสมิตฺวา คนฺตุํ อารภิฯ อถ นํ โส อุฎฺฐาย ‘‘ติฎฺฐ กุหิํ คจฺฉสิ, ภโกฺขสิ เม’’ติ หเตฺถ คเหตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Atheko satthavāhabrāhmaṇo aṭavipālānaṃ sahassaṃ datvā pañcahi sakaṭasatehi taṃ maggaṃ paṭipajji. Manussayakkho viravanto pakkhandi, bhītā manussā urena nipajjiṃsu. So brāhmaṇaṃ gahetvā palāyanto khāṇunā pāde viddho aṭavipālesu anubandhantesu brāhmaṇaṃ chaḍḍetvā attano vasanaṭṭhānarukkhamūle nipajji. Tassa tattha nipannassa sattame divase jayaddisarājā migavadhaṃ āṇāpetvā nagarā nikkhami. Taṃ nagarā nikkhantamattameva takkasilavāsī nando nāma mātuposakabrāhmaṇo catasso satārahagāthāyo ādāya āgantvā rājānaṃ addasa. Rājā ‘‘nivattitvā suṇissāmī’’ti tassa nivāsagehaṃ dāpetvā migavaṃ gantvā ‘‘yassa passena migo palāyati, tasseva gīvā’’ti āha. Atheko pasadamigo uṭṭhahitvā rañño abhimukho gantvā palāyi. Amaccā parihāsaṃ kariṃsu. Rājā khaggaṃ gahetvā taṃ anubandhitvā tiyojanamatthake patvā khaggena paharitvā dve khaṇḍāni karitvā kājenādāya āgacchanto manussayakkhassa nipannaṭṭhānaṃ patvā dabbatiṇesu nisīditvā thokaṃ vissamitvā gantuṃ ārabhi. Atha naṃ so uṭṭhāya ‘‘tiṭṭha kuhiṃ gacchasi, bhakkhosi me’’ti hatthe gahetvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๖๔.
64.
‘‘จิรสฺสํ วต เม อุทปาทิ อชฺช, ภโกฺข มหา สตฺตมิภตฺตกาเล;
‘‘Cirassaṃ vata me udapādi ajja, bhakkho mahā sattamibhattakāle;
กุโตสิ โกวาสิ ตทิงฺฆ พฺรูหิ, อาจิกฺข ชาติํ วิทิโต ยถาสี’’ติฯ
Kutosi kovāsi tadiṅgha brūhi, ācikkha jātiṃ vidito yathāsī’’ti.
ตตฺถ ภโกฺข มหาติ มหาภโกฺขฯ สตฺตมิภตฺตกาเลติ ปาฎิปทโต ปฎฺฐาย นิราหารสฺส สตฺตมิยํ ภตฺตกาเลฯ กุโตสีติ กุโต อาคโตสีติฯ
Tattha bhakkho mahāti mahābhakkho. Sattamibhattakāleti pāṭipadato paṭṭhāya nirāhārassa sattamiyaṃ bhattakāle. Kutosīti kuto āgatosīti.
ราชา ยกฺขํ ทิสฺวา ภีโต อูรุตฺถมฺภํ ปตฺวา ปลายิตุํ นาสกฺขิ, สติํ ปน ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Rājā yakkhaṃ disvā bhīto ūrutthambhaṃ patvā palāyituṃ nāsakkhi, satiṃ pana paccupaṭṭhāpetvā dutiyaṃ gāthamāha –
๖๕.
65.
‘‘ปญฺจาลราชา มิควํ ปวิโฎฺฐ, ชยทฺทิโส นาม ยทิสฺสุโต เต;
‘‘Pañcālarājā migavaṃ paviṭṭho, jayaddiso nāma yadissuto te;
จรามิ กจฺฉานิ วนานิ จาหํ, ปสทํ อิมํ ขาท มมชฺช มุญฺจา’’ติฯ
Carāmi kacchāni vanāni cāhaṃ, pasadaṃ imaṃ khāda mamajja muñcā’’ti.
ตตฺถ มิควํ ปวิโฎฺฐติ มิควธาย รฎฺฐา นิกฺขโนฺตฯ กจฺฉานีติ ปพฺพตปสฺสานิฯ ปสทนฺติ ปสทมิคํฯ
Tattha migavaṃ paviṭṭhoti migavadhāya raṭṭhā nikkhanto. Kacchānīti pabbatapassāni. Pasadanti pasadamigaṃ.
ตํ สุตฺวา ยโกฺข ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā yakkho tatiyaṃ gāthamāha –
๖๖.
66.
‘‘เสเนว ตฺวํ ปณสิ สสฺสมาโน, มเมส ภโกฺข ปสโท ยํ วเทสิ;
‘‘Seneva tvaṃ paṇasi sassamāno, mamesa bhakkho pasado yaṃ vadesi;
ตํ ขาทิยาน ปสทํ ชิฆญฺญํ, ขาทิสฺสํ ปจฺฉา น วิลาปกาโล’’ติฯ
Taṃ khādiyāna pasadaṃ jighaññaṃ, khādissaṃ pacchā na vilāpakālo’’ti.
ตตฺถ เสเนวาติ มม สนฺตเกเนวฯ ปณสีติ โวหรสิ อตฺตานํ วิกฺกิณาสิฯ สสฺสมาโนติ วิหิํสยมาโนฯ ตํ ขาทิยานาติ ตํ ปฐมํ ขาทิตฺวาฯ ชิฆญฺญนฺติ ฆสิตุกาโมฯ ขาทิสฺสนฺติ เอตํ ปจฺฉา ขาทิสฺสามิฯ น วิลาปกาโลติ มา วิลปิฯ นายํ วิลาปกาโลติ วทติฯ
Tattha senevāti mama santakeneva. Paṇasīti voharasi attānaṃ vikkiṇāsi. Sassamānoti vihiṃsayamāno. Taṃ khādiyānāti taṃ paṭhamaṃ khāditvā. Jighaññanti ghasitukāmo. Khādissanti etaṃ pacchā khādissāmi. Na vilāpakāloti mā vilapi. Nāyaṃ vilāpakāloti vadati.
ตํ สุตฺวา ราชา นนฺทพฺราหฺมณํ สริตฺวา จตุตฺถํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā nandabrāhmaṇaṃ saritvā catutthaṃ gāthamāha –
๖๗.
67.
‘‘น จตฺถิ โมโกฺข มม นิกฺกเยน, คนฺตฺวาน ปจฺฉาคมนาย ปเณฺห;
‘‘Na catthi mokkho mama nikkayena, gantvāna pacchāgamanāya paṇhe;
ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสฺสปฺปทาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชิสฺส’’นฺติฯ
Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇassappadāya, saccānurakkhī punarāvajissa’’nti.
ตตฺถ น จตฺถีติ น เจ มยฺหํ นิกฺกเยน วิโมโกฺข อตฺถิฯ คนฺตฺวานาติ เอวํ สเนฺต อชฺช อิมํ มิคมํสํ ขาทิตฺวา มม นครํ คนฺตฺวาฯ ปเณฺหติ ปเคเยว, เสฺวว ปาตราสกาเล ปจฺจาคมนตฺถาย ปฎิญฺญํ คณฺหาหีติ อธิปฺปาโยฯ ตํ สงฺครนฺติ มยา ‘‘ธนํ เต ทสฺสามี’’ติ พฺราหฺมณสฺส สงฺคโร กโต, ตํ ตสฺส ทตฺวา อิมํ มยา วุตฺตํ สจฺจํ อนุรกฺขโนฺต อหํ ปุน อาคมิสฺสามีติ อโตฺถฯ
Tattha na catthīti na ce mayhaṃ nikkayena vimokkho atthi. Gantvānāti evaṃ sante ajja imaṃ migamaṃsaṃ khāditvā mama nagaraṃ gantvā. Paṇheti pageyeva, sveva pātarāsakāle paccāgamanatthāya paṭiññaṃ gaṇhāhīti adhippāyo. Taṃ saṅgaranti mayā ‘‘dhanaṃ te dassāmī’’ti brāhmaṇassa saṅgaro kato, taṃ tassa datvā imaṃ mayā vuttaṃ saccaṃ anurakkhanto ahaṃ puna āgamissāmīti attho.
ตํ สุตฺวา ยโกฺข ปญฺจมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā yakkho pañcamaṃ gāthamāha –
๖๘.
68.
‘‘กิํ กมฺมชาตํ อนุตปฺปเต ตฺวํ, ปตฺตํ สมีปํ มรณสฺส ราช;
‘‘Kiṃ kammajātaṃ anutappate tvaṃ, pattaṃ samīpaṃ maraṇassa rāja;
อาจิกฺข เม ตํ อปิ สกฺกุเณมุ, อนุชานิตุํ อาคมนาย ปเณฺห’’ติฯ
Ācikkha me taṃ api sakkuṇemu, anujānituṃ āgamanāya paṇhe’’ti.
ตตฺถ กมฺมเมว กมฺมชาตํฯ อนุตปฺปเตติ ตํ อนุตปฺปติฯ ปตฺตนฺติ อุปคตํฯ อปิ สกฺกุเณมูติ อปิ นาม ตํ ตว โสกการณํ สุตฺวา ปาโตว อาคมนาย ตํ อนุชานิตุํ สกฺกุเณยฺยามาติ อโตฺถฯ
Tattha kammameva kammajātaṃ. Anutappateti taṃ anutappati. Pattanti upagataṃ. Api sakkuṇemūti api nāma taṃ tava sokakāraṇaṃ sutvā pātova āgamanāya taṃ anujānituṃ sakkuṇeyyāmāti attho.
ราชา ตํ การณํ กเถโนฺต ฉฎฺฐํ คาถมาห –
Rājā taṃ kāraṇaṃ kathento chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๖๙.
69.
‘‘กตา มยา พฺราหฺมณสฺส ธนาสา, ตํ สงฺครํ ปฎิมุกฺกํ น มุตฺตํ;
‘‘Katā mayā brāhmaṇassa dhanāsā, taṃ saṅgaraṃ paṭimukkaṃ na muttaṃ;
ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสฺสปฺปทาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชิสฺส’’นฺติฯ
Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇassappadāya, saccānurakkhī punarāvajissa’’nti.
ตตฺถ ปฎิมุกฺกํ น มุตฺตนฺติ จตโสฺส สตารหา คาถา สุตฺวา ‘‘ธนํ เต ทสฺสามี’’ติ ปฎิญฺญาย มยา อตฺตนิ ปฎิมุญฺจิตฺวา ฐปิตํ, น ปน ตํ มุตฺตํ ธนสฺส อทินฺนตฺตาฯ
Tattha paṭimukkaṃ na muttanti catasso satārahā gāthā sutvā ‘‘dhanaṃ te dassāmī’’ti paṭiññāya mayā attani paṭimuñcitvā ṭhapitaṃ, na pana taṃ muttaṃ dhanassa adinnattā.
ตํ สุตฺวา ยโกฺข สตฺตมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā yakkho sattamaṃ gāthamāha –
๗๐.
70.
‘‘ยา เต กตา พฺราหฺมณสฺส ธนาสา, ตํ สงฺครํ ปฎิมุกฺกํ น มุตฺตํ;
‘‘Yā te katā brāhmaṇassa dhanāsā, taṃ saṅgaraṃ paṭimukkaṃ na muttaṃ;
ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสฺสปฺปทาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชสฺสู’’ติฯ
Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇassappadāya, saccānurakkhī punarāvajassū’’ti.
ตตฺถ ปุนราวชสฺสูติ ปุน อาคจฺฉสฺสุฯ
Tattha punarāvajassūti puna āgacchassu.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ราชานํ วิสฺสเชฺชสิฯ โส เตน วิสฺสโฎฺฐ ‘‘ตฺวํ มา จินฺตยิ, อหํ ปาโตว อาคมิสฺสามี’’ติ วตฺวา มคฺคนิมิตฺตานิ สลฺลเกฺขโนฺต อตฺตโน พลกายํ อุปคนฺตฺวา พลกายปริวุโต นครํ ปวิสิตฺวา นนฺทพฺราหฺมณํ ปโกฺกสาเปตฺวา มหารเห อาสเน นิสีทาเปตฺวา ตา คาถา สุตฺวา จตฺตาริ สหสฺสานิ ทตฺวา ยานํ อาโรเปตฺวา ‘‘อิมํ ตกฺกสิลเมว เนถา’’ติ มนุเสฺส ทตฺวา พฺราหฺมณํ อุโยฺยเชตฺวา ทุติยทิวเส ปฎิคนฺตุกาโม หุตฺวา ปุตฺตํ อามเนฺตตฺวา อนุสาสิฯ ตมตฺถํ ทีเปโนฺต สตฺถา เทฺว คาถา อภาสิ –
Evañca pana vatvā rājānaṃ vissajjesi. So tena vissaṭṭho ‘‘tvaṃ mā cintayi, ahaṃ pātova āgamissāmī’’ti vatvā magganimittāni sallakkhento attano balakāyaṃ upagantvā balakāyaparivuto nagaraṃ pavisitvā nandabrāhmaṇaṃ pakkosāpetvā mahārahe āsane nisīdāpetvā tā gāthā sutvā cattāri sahassāni datvā yānaṃ āropetvā ‘‘imaṃ takkasilameva nethā’’ti manusse datvā brāhmaṇaṃ uyyojetvā dutiyadivase paṭigantukāmo hutvā puttaṃ āmantetvā anusāsi. Tamatthaṃ dīpento satthā dve gāthā abhāsi –
๗๑.
71.
‘‘มุโตฺตจ โส โปริสาทสฺส หตฺถา, คนฺตฺวา สกํ มนฺทิรํ กามกามี;
‘‘Muttoca so porisādassa hatthā, gantvā sakaṃ mandiraṃ kāmakāmī;
ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสฺสปฺปทาย, อามนฺตยี ปุตฺตมลีนสตฺตุํฯ
Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇassappadāya, āmantayī puttamalīnasattuṃ.
๗๒.
72.
‘‘อเชฺชว รชฺชํ อภิสิญฺจยสฺสุ, ธมฺมํ จร เสสุ ปเรสุ จาปิ;
‘‘Ajjeva rajjaṃ abhisiñcayassu, dhammaṃ cara sesu paresu cāpi;
อธมฺมกาโร จ เต มาหุ รเฎฺฐ, คจฺฉามหํ โปริสาทสฺส ญเตฺต’’ติฯ
Adhammakāro ca te māhu raṭṭhe, gacchāmahaṃ porisādassa ñatte’’ti.
ตตฺถ อลีนสตฺตุนฺติ เอวํนามกํ กุมารํฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘อรินสตฺตุ’’นฺติ ลิขิตํฯ อเชฺชว รชฺชนฺติ ปุตฺต รชฺชํ เต ทมฺมิ, ตฺวํ อเชฺชว มุทฺธนิ อภิเสกํ อภิสิญฺจยสฺสุฯ ญเตฺตติ อภฺยาเส, สนฺติเกติ อโตฺถฯ
Tattha alīnasattunti evaṃnāmakaṃ kumāraṃ. Pāḷiyaṃ pana ‘‘arinasattu’’nti likhitaṃ. Ajjeva rajjanti putta rajjaṃ te dammi, tvaṃ ajjeva muddhani abhisekaṃ abhisiñcayassu. Ñatteti abhyāse, santiketi attho.
ตํ สุตฺวา กุมาโร ทสมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā kumāro dasamaṃ gāthamāha –
๗๓.
73.
‘‘กิํ กมฺม กฺรุพฺพํ ตว เทว ปาว, นาราธยี ตํ ตทิจฺฉามิ โสตุํ;
‘‘Kiṃ kamma krubbaṃ tava deva pāva, nārādhayī taṃ tadicchāmi sotuṃ;
ยมชฺช รชฺชมฺหิ อุทสฺสเย ตุวํ, รชฺชมฺปิ นิเจฺฉยฺยํ, ตยา วินาห’’นฺติฯ
Yamajja rajjamhi udassaye tuvaṃ, rajjampi niccheyyaṃ, tayā vināha’’nti.
ตตฺถ กฺรุพฺพนฺติ กโรโนฺตฯ ยมชฺชาติ เยน อนาราธกเมฺมน อชฺช มํ รชฺชมฺหิ ตฺวํ อุทสฺสเย อุสฺสาเปสิ ปติฎฺฐาเปสิ, ตํ เม อาจิกฺข, อหญฺหิ ตยา วินา รชฺชมฺปิ น อิจฺฉามีติ อโตฺถฯ
Tattha krubbanti karonto. Yamajjāti yena anārādhakammena ajja maṃ rajjamhi tvaṃ udassaye ussāpesi patiṭṭhāpesi, taṃ me ācikkha, ahañhi tayā vinā rajjampi na icchāmīti attho.
ตํ สุตฺวา ราชา อนนฺตรํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā anantaraṃ gāthamāha –
๗๔.
74.
‘‘น กมฺมุนา วา วจสาว ตาต, อปราธิโตหํ ตุวิยํ สรามิ;
‘‘Na kammunā vā vacasāva tāta, aparādhitohaṃ tuviyaṃ sarāmi;
สนฺธิญฺจ กตฺวา ปุริสาทเกน, สจฺจานุรกฺขี ปุนาหํ คมิสฺส’’นฺติฯ
Sandhiñca katvā purisādakena, saccānurakkhī punāhaṃ gamissa’’nti.
ตตฺถ อปราธิโตติ อปราธํ อิโตฯ ตุวิยนฺติ ตว สนฺตกํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตาต, อหํ อิโต ตว กมฺมโต วา ตว วจนโต วา กิญฺจิ มม อปฺปิยํ อปราธํ น สรามีติฯ สนฺธิญฺจ กตฺวาติ มํ ปน มิควํ คตํ เอโก ยโกฺข ‘‘ขาทิสฺสามี’’ติ คณฺหิฯ อถาหํ พฺราหฺมณสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ตสฺส สกฺการํ กตฺวา ‘‘เสฺว ตว ปาตราสกาเล อาคมิสฺสามี’’ติ เตน ปุริสาทเกน สนฺธิํ สจฺจํ กตฺวา อาคโต, ตสฺมา ตํ สจฺจํ อนุรกฺขโนฺต ปุน ตตฺถ คมิสฺสามิ, ตฺวํ รชฺชํ กาเรหีติ วทติฯ
Tattha aparādhitoti aparādhaṃ ito. Tuviyanti tava santakaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – tāta, ahaṃ ito tava kammato vā tava vacanato vā kiñci mama appiyaṃ aparādhaṃ na sarāmīti. Sandhiñca katvāti maṃ pana migavaṃ gataṃ eko yakkho ‘‘khādissāmī’’ti gaṇhi. Athāhaṃ brāhmaṇassa dhammakathaṃ sutvā tassa sakkāraṃ katvā ‘‘sve tava pātarāsakāle āgamissāmī’’ti tena purisādakena sandhiṃ saccaṃ katvā āgato, tasmā taṃ saccaṃ anurakkhanto puna tattha gamissāmi, tvaṃ rajjaṃ kārehīti vadati.
ตํ สุตฺวา กุมาโร คาถมาห –
Taṃ sutvā kumāro gāthamāha –
๗๕.
75.
‘‘อหํ คมิสฺสามิ อิเธว โหหิ, นตฺถิ ตโต ชีวโต วิปฺปโมโกฺข;
‘‘Ahaṃ gamissāmi idheva hohi, natthi tato jīvato vippamokkho;
สเจ ตุวํ คจฺฉสิเยว ราช, อหมฺปิ คจฺฉามิ อุโภ น โหมา’’ติฯ
Sace tuvaṃ gacchasiyeva rāja, ahampi gacchāmi ubho na homā’’ti.
ตตฺถ อิเธวาติ ตฺวํ อิเธว โหติฯ ตโตติ ตสฺส สนฺติกา ชีวนฺตสฺส โมโกฺข นาม นตฺถิฯ อุโภติ เอวํ สเนฺต อุโภปิ น ภวิสฺสามฯ
Tattha idhevāti tvaṃ idheva hoti. Tatoti tassa santikā jīvantassa mokkho nāma natthi. Ubhoti evaṃ sante ubhopi na bhavissāma.
ตํ สุตฺวา ราชา คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā gāthamāha –
๗๖.
76.
‘‘อทฺธา หิ ตาต สตาเนส ธโมฺม, มรณา จ เม ทุกฺขตรํ ตทสฺส;
‘‘Addhā hi tāta satānesa dhammo, maraṇā ca me dukkhataraṃ tadassa;
กมฺมาสปาโท ตํ ยทา ปจิตฺวา, ปสยฺห ขาเท ภิทา รุกฺขสูเล’’ติฯ
Kammāsapādo taṃ yadā pacitvā, pasayha khāde bhidā rukkhasūle’’ti.
ตสฺสโตฺถ – อทฺธา เอกํเสน เอส, ตาต, สตานํ ปณฺฑิตานํ ธโมฺม สภาโว, ยุตฺตํ ตฺวํ วทสิ, อปิ จ โข ปน มยฺหํ มรณโตเปตํ ทุกฺขตรํ อสฺส, ยทา ตํ โส กมฺมาสปาโทฯ ภิทา รุกฺขสูเลติ ติขิณรุกฺขสูเล ภิตฺวา ปจิตฺวา ปสยฺห พลกฺกาเรน ขาเทยฺยาติฯ
Tassattho – addhā ekaṃsena esa, tāta, satānaṃ paṇḍitānaṃ dhammo sabhāvo, yuttaṃ tvaṃ vadasi, api ca kho pana mayhaṃ maraṇatopetaṃ dukkhataraṃ assa, yadā taṃ so kammāsapādo. Bhidā rukkhasūleti tikhiṇarukkhasūle bhitvā pacitvā pasayha balakkārena khādeyyāti.
ตํ สุตฺวา กุมาโร คาถมาห –
Taṃ sutvā kumāro gāthamāha –
๗๗.
77.
‘‘ปาเณน เต ปาณมหํ นิมิสฺสํ, มา ตฺวํ อคา โปริสาทสฺส ญเตฺต;
‘‘Pāṇena te pāṇamahaṃ nimissaṃ, mā tvaṃ agā porisādassa ñatte;
เอวญฺจ เต ปาณมหํ นิมิสฺสํ, ตสฺมา มตํ ชีวิตสฺส วเณฺณมี’’ติฯ
Evañca te pāṇamahaṃ nimissaṃ, tasmā mataṃ jīvitassa vaṇṇemī’’ti.
ตตฺถ นิมิสฺสนฺติ อหํ อิเธว ตว ปาเณน มม ปาณํ ปริวเตฺตสฺสํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา เอตํ ปาณํ ตว ปาเณนาหํ นิมิสฺสํ, ตสฺมา ตว ชีวิตสฺสตฺถาย มม มรณํ วเณฺณมิ มรณเมว วเรมิ, อิจฺฉามีติ อโตฺถฯ
Tattha nimissanti ahaṃ idheva tava pāṇena mama pāṇaṃ parivattessaṃ. Tasmāti yasmā etaṃ pāṇaṃ tava pāṇenāhaṃ nimissaṃ, tasmā tava jīvitassatthāya mama maraṇaṃ vaṇṇemi maraṇameva varemi, icchāmīti attho.
ตํ สุตฺวา ราชา ปุตฺตสฺส พลํ ชานโนฺต ‘‘สาธุ ตาต, คจฺฉาหี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ โส มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา นครมฺหา นิกฺขมิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อุปฑฺฒคาถมาห –
Taṃ sutvā rājā puttassa balaṃ jānanto ‘‘sādhu tāta, gacchāhī’’ti sampaṭicchi. So mātāpitaro vanditvā nagaramhā nikkhami. Tamatthaṃ pakāsento satthā upaḍḍhagāthamāha –
๗๘.
78.
‘‘ตโต หเว ธิติมา ราชปุโตฺต, วนฺทิตฺวา มาตุ จ ปิตุ จ ปาเท’’ติฯ
‘‘Tato have dhitimā rājaputto, vanditvā mātu ca pitu ca pāde’’ti.
ตตฺถ ปาเทติ ปาเท วนฺทิตฺวา นิกฺขโนฺตติ อโตฺถ;
Tattha pādeti pāde vanditvā nikkhantoti attho;
อถสฺส มาตาปิตโรปิ ภคินีปิ ภริยาปิ อมจฺจปริชเนหิ สทฺธิํเยว นิกฺขมิํสุฯ โส นครา นิกฺขมิตฺวา ปิตรํ มคฺคํ ปุจฺฉิตฺวา สุฎฺฐุ ววตฺถเปตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา เสสานํ โอวาทํ ทตฺวา อจฺฉมฺภิโต เกสรสีโห วิย มคฺคํ อารุยฺห ยกฺขาวาสํ ปายาสิฯ ตํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา มาตา สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตี ปถวิยํ ปติฯ ปิตา พาหา ปคฺคยฺห มหเนฺตน สเทฺทน กนฺทิฯ ตมฺปิ อตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา –
Athassa mātāpitaropi bhaginīpi bhariyāpi amaccaparijanehi saddhiṃyeva nikkhamiṃsu. So nagarā nikkhamitvā pitaraṃ maggaṃ pucchitvā suṭṭhu vavatthapetvā mātāpitaro vanditvā sesānaṃ ovādaṃ datvā acchambhito kesarasīho viya maggaṃ āruyha yakkhāvāsaṃ pāyāsi. Taṃ gacchantaṃ disvā mātā sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkontī pathaviyaṃ pati. Pitā bāhā paggayha mahantena saddena kandi. Tampi atthaṃ pakāsento satthā –
‘‘ทุขินิสฺส มาตา นิปตา ปถพฺยา, ปิตาสฺส ปคฺคยฺห ภุชานิ กนฺทตี’’ติฯ –
‘‘Dukhinissa mātā nipatā pathabyā, pitāssa paggayha bhujāni kandatī’’ti. –
อุปฑฺฒคาถํ วตฺวา ตสฺส ปิตรา ปยุตฺตํ อาสีสวาทํ อภิวาทนวาทํ มาตรา ภคินีภริยาหิ จ กตํ สจฺจกิริยํ ปกาเสโนฺต อปราปิ จตโสฺส คาถา อภาสิ –
Upaḍḍhagāthaṃ vatvā tassa pitarā payuttaṃ āsīsavādaṃ abhivādanavādaṃ mātarā bhaginībhariyāhi ca kataṃ saccakiriyaṃ pakāsento aparāpi catasso gāthā abhāsi –
๗๙.
79.
‘‘ตํ คจฺฉนฺตํ ตาว ปิตา วิทิตฺวา, ปรมฺมุโข วนฺทติ ปญฺชลีโก;
‘‘Taṃ gacchantaṃ tāva pitā viditvā, parammukho vandati pañjalīko;
โสโม จ ราชา วรุโณ จ ราชา, ปชาปตี จนฺทิมา สูริโย จ;
Somo ca rājā varuṇo ca rājā, pajāpatī candimā sūriyo ca;
เอเตหิ คุโตฺต ปุริสาทกมฺหา, อนุญฺญาโต โสตฺถิ ปเจฺจหิ ตาตฯ
Etehi gutto purisādakamhā, anuññāto sotthi paccehi tāta.
๘๐.
80.
‘‘ยํ ทณฺฑกิรโญฺญ คตสฺส มาตา, รามสฺสกาสิ โสตฺถานํ สุคุตฺตา;
‘‘Yaṃ daṇḍakirañño gatassa mātā, rāmassakāsi sotthānaṃ suguttā;
ตํ เต อหํ โสตฺถานํ กโรมิ, เอเตน สเจฺจน สรนฺตุ เทวา;
Taṃ te ahaṃ sotthānaṃ karomi, etena saccena sarantu devā;
อนุญฺญาโต โสตฺถิ ปเจฺจหิ ปุตฺตฯ
Anuññāto sotthi paccehi putta.
๘๑.
81.
‘‘อาวี รโห วาปิ มโนปโทสํ, นาหํ สเร ชาตุ มลีนสเตฺต;
‘‘Āvī raho vāpi manopadosaṃ, nāhaṃ sare jātu malīnasatte;
เอเตน สเจฺจน สรนฺตุ เทวา, อนุญฺญาโต โสตฺถิ ปเจฺจหิ ภาติกฯ
Etena saccena sarantu devā, anuññāto sotthi paccehi bhātika.
๘๒.
82.
‘‘ยสฺมา จ เม อนธิมโนสิ สามิ, น จาปิ เม มนสา อปฺปิโยสิ;
‘‘Yasmā ca me anadhimanosi sāmi, na cāpi me manasā appiyosi;
เอเตน สเจฺจน สรนฺตุ เทวา, อนุญฺญาโต โสตฺถิ ปเจฺจหิ สามี’’ติฯ
Etena saccena sarantu devā, anuññāto sotthi paccehi sāmī’’ti.
ตตฺถ ปรมฺมุโขติ อยํ เม ปุโตฺต ปรมฺมุโข มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา คจฺฉติ, อิติ เอตํ ปรมฺมุขํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา วิทิตฺวาฯ ปญฺชลีโกติ ตสฺมิํ กาเล สิรสิ อญฺชลิํ ฐเปตฺวา วนฺทติ เทวตา นมสฺสติฯ ปุริสาทกมฺหาติ ปุริสาทสฺส สนฺติกา เตน อนุญฺญาโต โสตฺถินา ปเจฺจหิฯ
Tattha parammukhoti ayaṃ me putto parammukho mātāpitaro vanditvā gacchati, iti etaṃ parammukhaṃ gacchantaṃ disvā viditvā. Pañjalīkoti tasmiṃ kāle sirasi añjaliṃ ṭhapetvā vandati devatā namassati. Purisādakamhāti purisādassa santikā tena anuññāto sotthinā paccehi.
รามสฺสกาสีติ รามสฺส อกาสิฯ เอโก กิร พาราณสิวาสี ราโม นาม มาตุโปสโก มาตาปิตโร ปฎิชคฺคโนฺต โวหารตฺถาย คโต ทณฺฑกิรโญฺญ วิชิเต กุมฺภวตีนครํ คนฺตฺวา นววิเธน วเสฺสน สกลรเฎฺฐ วินาสิยมาเน มาตาปิตูนํ คุณํ สริฯ อถ นํ มาตุปฎฺฐานกมฺมสฺส ผเลน เทวตา โสตฺถินา อานยิตฺวา มาตุ อทํสุฯ ตํ การณํ สุตวเสนาหริตฺวา เอวมาหฯ โสตฺถานนฺติ โสตฺถิภาวํฯ ตํ ปน กิญฺจาปิ เทวตา กริํสุ, มาตุปฎฺฐานํ นิสฺสาย นิพฺพตฺตตฺตา ปน มาตา อกาสีติ วุตฺตํฯ ตํ เต อหนฺติ อหมฺปิ เต ตเมว โสตฺถานํ กโรมิ, มํ นิสฺสาย ตเถว ตว โสตฺถิภาโว โหตูติ อโตฺถฯ อถ วา กโรมีติ อิจฺฉามิฯ เอเตน สเจฺจนาติ สเจ เทวตาหิ ตสฺส โสตฺถินา อานีตภาโว สโจฺจ, เอเตน สเจฺจน มมปิ ปุตฺตํ สรนฺตุ เทวา , รามํ วิย ตมฺปิ อาหริตฺวา มม ทสฺสนฺตูติ อโตฺถฯ อนุญฺญาโตติ โปริสาเทน ‘‘คจฺฉา’’ติ อนุญฺญาโต เทวตานํ อานุภาเวน โสตฺถิ ปฎิอาคจฺฉ ปุตฺตาติ วทติฯ
Rāmassakāsīti rāmassa akāsi. Eko kira bārāṇasivāsī rāmo nāma mātuposako mātāpitaro paṭijagganto vohāratthāya gato daṇḍakirañño vijite kumbhavatīnagaraṃ gantvā navavidhena vassena sakalaraṭṭhe vināsiyamāne mātāpitūnaṃ guṇaṃ sari. Atha naṃ mātupaṭṭhānakammassa phalena devatā sotthinā ānayitvā mātu adaṃsu. Taṃ kāraṇaṃ sutavasenāharitvā evamāha. Sotthānanti sotthibhāvaṃ. Taṃ pana kiñcāpi devatā kariṃsu, mātupaṭṭhānaṃ nissāya nibbattattā pana mātā akāsīti vuttaṃ. Taṃ te ahanti ahampi te tameva sotthānaṃ karomi, maṃ nissāya tatheva tava sotthibhāvo hotūti attho. Atha vā karomīti icchāmi. Etena saccenāti sace devatāhi tassa sotthinā ānītabhāvo sacco, etena saccena mamapi puttaṃ sarantu devā , rāmaṃ viya tampi āharitvā mama dassantūti attho. Anuññātoti porisādena ‘‘gacchā’’ti anuññāto devatānaṃ ānubhāvena sotthi paṭiāgaccha puttāti vadati.
ชาตุ มลีนสเตฺตติ ชาตุ เอกํเสน อลีนสเตฺต มม ภาติเก อหํ สมฺมุขา วา ปรมฺมุขา วา มโนปโทสํ น สรามิ, น มยา ตมฺหิ มโนปโทโส กตปุโพฺพติ เอวมสฺส กนิฎฺฐา สจฺจมกาสิฯ ยสฺมา จ เม อนธิมโนสิ , สามีติ มม, สามิ อลีนสตฺตุ ยสฺมา ตฺวํ อนธิมโนสิ, มํ อภิภวิตฺวา อติกฺกมิตฺวา อญฺญํ มเนน น ปเตฺถสิฯ น จาปิ เม มนสา อปฺปิโยสีติ มยฺหมฺปิ จ มนสา ตฺวํ อปฺปิโย น โหสิ, อญฺญมญฺญํ ปิยสํวาสาว มยนฺติ เอวมสฺส อคฺคมเหสี สจฺจมกาสิฯ
Jātu malīnasatteti jātu ekaṃsena alīnasatte mama bhātike ahaṃ sammukhā vā parammukhā vā manopadosaṃ na sarāmi, na mayā tamhi manopadoso katapubboti evamassa kaniṭṭhā saccamakāsi. Yasmā ca me anadhimanosi, sāmīti mama, sāmi alīnasattu yasmā tvaṃ anadhimanosi, maṃ abhibhavitvā atikkamitvā aññaṃ manena na patthesi. Na cāpi me manasā appiyosīti mayhampi ca manasā tvaṃ appiyo na hosi, aññamaññaṃ piyasaṃvāsāva mayanti evamassa aggamahesī saccamakāsi.
กุมาโรปิ ปิตรา อกฺขาตนเยน รกฺขาวาสมคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ยโกฺขปิ ‘‘ขตฺติยา นาม พหุมายา โหนฺติ, โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ รุกฺขํ อภิรุหิตฺวา รโญฺญ อาคมนํ โอโลเกโนฺต นิสีทิฯ โส กุมารํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘ปิตรํ นิวเตฺตตฺวา ปุโตฺต อาคโต ภวิสฺสติ, นตฺถิ เม ภย’’นฺติ โอตริตฺวา ตสฺส ปิฎฺฐิํ ทเสฺสโนฺต นิสีทิฯ โส อาคนฺตฺวา ตสฺส ปุรโต อฎฺฐาสิฯ อถ ยโกฺข คาถมาห –
Kumāropi pitarā akkhātanayena rakkhāvāsamaggaṃ paṭipajji. Yakkhopi ‘‘khattiyā nāma bahumāyā honti, ko jānāti, kiṃ bhavissatī’’ti rukkhaṃ abhiruhitvā rañño āgamanaṃ olokento nisīdi. So kumāraṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘pitaraṃ nivattetvā putto āgato bhavissati, natthi me bhaya’’nti otaritvā tassa piṭṭhiṃ dassento nisīdi. So āgantvā tassa purato aṭṭhāsi. Atha yakkho gāthamāha –
๘๓.
83.
‘‘พฺรหา อุชู จารุมุโข กุโตสิ, น มํ ปชานาสิ วเน วสนฺตํ;
‘‘Brahā ujū cārumukho kutosi, na maṃ pajānāsi vane vasantaṃ;
ลุทฺทํ มํ ญตฺวา ‘ปุริสาทโก’สิ, โก โสตฺถิมาชานมิธาวเชยฺยา’’ติฯ
Luddaṃ maṃ ñatvā ‘purisādako’si, ko sotthimājānamidhāvajeyyā’’ti.
ตตฺถ โก โสตฺถิมาชานมิธาวเชยฺยาติ กุมาร โก นาม ปุริโส อตฺตโน โสตฺถิภาวํ ชานโนฺต อิจฺฉโนฺต อิธาคเจฺฉยฺย, ตฺวํ อชานโนฺต อาคโต มเญฺญติฯ
Tattha ko sotthimājānamidhāvajeyyāti kumāra ko nāma puriso attano sotthibhāvaṃ jānanto icchanto idhāgaccheyya, tvaṃ ajānanto āgato maññeti.
ตํ สุตฺวา กุมาโร คาถมาห –
Taṃ sutvā kumāro gāthamāha –
๘๔.
84.
‘‘ชานามิ ลุทฺท ปุริสาทโก ตฺวํ, น ตํ น ชานามิ วเน วสนฺตํ;
‘‘Jānāmi ludda purisādako tvaṃ, na taṃ na jānāmi vane vasantaṃ;
อหญฺจ ปุโตฺตสฺมิ ชยทฺทิสสฺส, มมชฺช ขาท ปิตุโน ปโมกฺขา’’ติฯ
Ahañca puttosmi jayaddisassa, mamajja khāda pituno pamokkhā’’ti.
ตตฺถ ปโมกฺขาติ ปโมกฺขเหตุ อหํ ปิตุ ชีวิตํ ทตฺวา อิธาคโต, ตสฺมา ตํ มุญฺจ, มํ ขาทาหีติ อโตฺถฯ
Tattha pamokkhāti pamokkhahetu ahaṃ pitu jīvitaṃ datvā idhāgato, tasmā taṃ muñca, maṃ khādāhīti attho.
ตโต ยโกฺข คาถมาห –
Tato yakkho gāthamāha –
๘๕.
85.
‘‘ชานามิ ปุโตฺตติ ชยทฺทิสสฺส, ตถา หิ โว มุขวโณฺณ อุภินฺนํ;
‘‘Jānāmi puttoti jayaddisassa, tathā hi vo mukhavaṇṇo ubhinnaṃ;
สุทุกฺกรเญฺญว กตํ ตเวทํ, โย มตฺตุมิเจฺฉ ปิตุโน ปโมกฺขา’’ติฯ
Sudukkaraññeva kataṃ tavedaṃ, yo mattumicche pituno pamokkhā’’ti.
ตตฺถ ตถา หิ โวติ ตาทิโส โว ตุมฺหากํฯ อุภินฺนมฺปิ สทิโสว มุขวโณฺณ โหตีติ อโตฺถฯ กตํ ตเวทนฺติ อิทํ ตว กมฺมํ สุทุกฺกรํฯ
Tattha tathā hi voti tādiso vo tumhākaṃ. Ubhinnampi sadisova mukhavaṇṇo hotīti attho. Kataṃ tavedanti idaṃ tava kammaṃ sudukkaraṃ.
ตโต กุมาโร คาถมาห –
Tato kumāro gāthamāha –
๘๖.
86.
‘‘น ทุกฺกรํ กิญฺจิ มเหตฺถ มเญฺญ, โย มตฺตุมิเจฺฉ ปิตุโน ปโมกฺขา;
‘‘Na dukkaraṃ kiñci mahettha maññe, yo mattumicche pituno pamokkhā;
มาตุ จ เหตุ ปรโลก คนฺตฺวา, สุเขน สเคฺคน จ สมฺปยุโตฺต’’ติฯ
Mātu ca hetu paraloka gantvā, sukhena saggena ca sampayutto’’ti.
ตตฺถ กิญฺจิ มเหตฺถ มเญฺญติ กิญฺจิ อหํ เอตฺถ น มญฺญามิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยกฺข โย ปุคฺคโล ปิตุ วา ปโมกฺขตฺถาย มาตุ วา เหตุ ปรโลกํ คนฺตฺวา สุเขน สเคฺค นิพฺพตฺตนกสุเขน สมฺปยุโตฺต ภวิตุํ มตฺตุมิเจฺฉ มริตุํ อิจฺฉติ, ตสฺมา อหํ เอตฺถ มาตาปิตูนํ อตฺถาย ชีวิตปริจฺจาเค กิญฺจิ ทุกฺกรํ น มญฺญามีติฯ
Tattha kiñci mahettha maññeti kiñci ahaṃ ettha na maññāmi. Idaṃ vuttaṃ hoti – yakkha yo puggalo pitu vā pamokkhatthāya mātu vā hetu paralokaṃ gantvā sukhena sagge nibbattanakasukhena sampayutto bhavituṃ mattumicche marituṃ icchati, tasmā ahaṃ ettha mātāpitūnaṃ atthāya jīvitapariccāge kiñci dukkaraṃ na maññāmīti.
ตํ สุตฺวา ยโกฺข ‘‘กุมาร, มรณสฺส อภยานกสโตฺต นาม นตฺถิ, ตฺวํ กสฺมา น ภายสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตสฺส กเถโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Taṃ sutvā yakkho ‘‘kumāra, maraṇassa abhayānakasatto nāma natthi, tvaṃ kasmā na bhāyasī’’ti pucchi. So tassa kathento dve gāthā abhāsi –
๘๗.
87.
‘‘อหญฺจ โข อตฺตโน ปาปกิริยํ, อาวี รโห วาปิ สเร น ชาตุ;
‘‘Ahañca kho attano pāpakiriyaṃ, āvī raho vāpi sare na jātu;
สงฺขาตชาตีมรโณหมสฺมิ, ยเถว เม อิธ ตถา ปรตฺถฯ
Saṅkhātajātīmaraṇohamasmi, yatheva me idha tathā parattha.
๘๘.
88.
‘‘ขาทชฺช มํ ทานิ มหานุภาว, กรสฺสุ กิจฺจานิ อิมํ สรีรํ;
‘‘Khādajja maṃ dāni mahānubhāva, karassu kiccāni imaṃ sarīraṃ;
รุกฺขสฺส วา เต ปปตามิ อคฺคา, ฉาทยมาโน มยฺหํ ตฺวมเทสิ มํส’’นฺติฯ
Rukkhassa vā te papatāmi aggā, chādayamāno mayhaṃ tvamadesi maṃsa’’nti.
ตตฺถ สเร น ชาตูติ เอกํเสเนว น สรามิฯ สงฺขาตชาตีมรโณหมสฺมีติ อหํ ญาเณน สุปริจฺฉินฺนชาติมรโณ, ชาตสโตฺต อมรณธโมฺม นาม นตฺถีติ ชานามิฯ ยเถว เม อิธาติ ยเถว มม อิธ , ตถา ปรโลเก, ยถา จ ปรโลเก, ตถา อิธาปิ มรณโต มุตฺติ นาม นตฺถีติ อิทมฺปิ มม ญาเณน สุปริจฺฉินฺนํฯ กรสฺสุ กิจฺจานีติ อิมินา สรีเรน กตฺตพฺพกิจฺจานิ กร, อิมํ เต มยา นิสฺสฎฺฐํ สรีรํฯ ฉาทยมาโน มยฺหํ ตฺวมเทสิ มํสนฺติ มยิ รุกฺขคฺคา ปติตฺวา มเต มม สรีรโต ตฺวํ ฉาทยมาโน โรจยมาโน ยํ ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ตํ มํสํ อเทสิ, ขาเทยฺยาสีติ อโตฺถฯ
Tattha sare na jātūti ekaṃseneva na sarāmi. Saṅkhātajātīmaraṇohamasmīti ahaṃ ñāṇena suparicchinnajātimaraṇo, jātasatto amaraṇadhammo nāma natthīti jānāmi. Yatheva me idhāti yatheva mama idha , tathā paraloke, yathā ca paraloke, tathā idhāpi maraṇato mutti nāma natthīti idampi mama ñāṇena suparicchinnaṃ. Karassu kiccānīti iminā sarīrena kattabbakiccāni kara, imaṃ te mayā nissaṭṭhaṃ sarīraṃ. Chādayamāno mayhaṃ tvamadesi maṃsanti mayi rukkhaggā patitvā mate mama sarīrato tvaṃ chādayamāno rocayamāno yaṃ yaṃ icchasi, taṃ taṃ maṃsaṃ adesi, khādeyyāsīti attho.
ยโกฺข ตสฺส วจนํ สุตฺวา ภีโต หุตฺวา ‘‘น สกฺกา อิมสฺส มํสํ ขาทิตุํ, อุปาเยน นํ ปลาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมํ คาถมาห –
Yakkho tassa vacanaṃ sutvā bhīto hutvā ‘‘na sakkā imassa maṃsaṃ khādituṃ, upāyena naṃ palāpessāmī’’ti cintetvā imaṃ gāthamāha –
๘๙.
89.
‘‘อิทญฺจ เต รุจฺจติ ราชปุตฺต, จเชสิ ปาณํ ปิตุโน ปโมกฺขา;
‘‘Idañca te ruccati rājaputta, cajesi pāṇaṃ pituno pamokkhā;
ตสฺมา หิ โส ตฺวํ ตรมานรูโป, สมฺภญฺช กฎฺฐานิ ชเลหิ อคฺคิ’’นฺติฯ
Tasmā hi so tvaṃ taramānarūpo, sambhañja kaṭṭhāni jalehi aggi’’nti.
ตตฺถ ชเลหีติ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา สารทารูนิ อาหริตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา นิทฺธูเม องฺคาเร กร, ตตฺถ เต มํสํ ปจิตฺวา ขาทิสฺสามีติ ทีเปติฯ
Tattha jalehīti araññaṃ pavisitvā sāradārūni āharitvā aggiṃ jāletvā niddhūme aṅgāre kara, tattha te maṃsaṃ pacitvā khādissāmīti dīpeti.
โส ตถา กตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ ตํ การณํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิตรํ คาถมาห –
So tathā katvā tassa santikaṃ agamāsi. Taṃ kāraṇaṃ pakāsento satthā itaraṃ gāthamāha –
๙๐.
90.
‘‘ตโต หเว ธิติมา ราชปุโตฺต, ทารุํ สมาหริตฺวา มหนฺตมคฺคิํ;
‘‘Tato have dhitimā rājaputto, dāruṃ samāharitvā mahantamaggiṃ;
สนฺตีปยิตฺวา ปฎิเวทยิตฺถ, อาทีปิโต ทานิ มหายมคฺคี’’ติฯ
Santīpayitvā paṭivedayittha, ādīpito dāni mahāyamaggī’’ti.
ยโกฺข อคฺคิํ กตฺวา อาคตํ กุมารํ โอโลเกตฺวา ‘‘อยํ ปุริสสีโห, มรณาปิสฺส ภยํ นตฺถิ, มยา เอตฺตกํ กาลํ เอวํ นิพฺภโย นาม น ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติ โลมหํสชาโต กุมารํ ปุนปฺปุนํ โอโลเกโนฺต นิสีทิฯ กุมาโร ตสฺส กิริยํ ทิสฺวา คาถมาห –
Yakkho aggiṃ katvā āgataṃ kumāraṃ oloketvā ‘‘ayaṃ purisasīho, maraṇāpissa bhayaṃ natthi, mayā ettakaṃ kālaṃ evaṃ nibbhayo nāma na diṭṭhapubbo’’ti lomahaṃsajāto kumāraṃ punappunaṃ olokento nisīdi. Kumāro tassa kiriyaṃ disvā gāthamāha –
๙๑.
91.
‘‘ขาทชฺช มํ ทานิ ปสยฺหการิ, กิํ มํ มุหุํ เปกฺขสิ หฎฺฐโลโม;
‘‘Khādajja maṃ dāni pasayhakāri, kiṃ maṃ muhuṃ pekkhasi haṭṭhalomo;
ตถา ตถา ตุยฺหมหํ กโรมิ, ยถา ยถา มํ ฉาทยมาโน อเทสี’’ติฯ
Tathā tathā tuyhamahaṃ karomi, yathā yathā maṃ chādayamāno adesī’’ti.
ตตฺถ มุหุนฺติ ปุนปฺปุนํฯ ตถา ตถา ตุยฺหมหนฺติ อหํ ตุยฺหํ ตถา ตถา วจนํ กโรมิ, อิทานิ กิํ กริสฺสามิ, ยถา ยถา มํ ฉาทยมาโน โรจยมาโน อเทสิ ขาทิสฺสสิ, ตสฺมา ขาทชฺช มนฺติฯ
Tattha muhunti punappunaṃ. Tathā tathā tuyhamahanti ahaṃ tuyhaṃ tathā tathā vacanaṃ karomi, idāni kiṃ karissāmi, yathā yathā maṃ chādayamāno rocayamāno adesi khādissasi, tasmā khādajja manti.
อถสฺส วจนํ สุตฺวา ยโกฺข คาถมาห –
Athassa vacanaṃ sutvā yakkho gāthamāha –
๙๒.
92.
‘‘โก ตาทิสํ อรหติ ขาทิตาเย, ธเมฺม ฐิตํ สจฺจวาทิํ วทญฺญุํ;
‘‘Ko tādisaṃ arahati khāditāye, dhamme ṭhitaṃ saccavādiṃ vadaññuṃ;
มุทฺธาปิ ตสฺส วิผเลยฺย สตฺตธา, โย ตาทิสํ สจฺจวาทิํ อเทยฺยา’’ติฯ
Muddhāpi tassa viphaleyya sattadhā, yo tādisaṃ saccavādiṃ adeyyā’’ti.
ตํ สุตฺวา กุมาโร ‘‘สเจ มํ น ขาทิตุกาโมสิ, อถ กสฺมา ทารูนิ ภญฺชาเปตฺวา อคฺคิํ กาเรสี’’ติ วตฺวา ‘‘ปลายิสฺสติ นุ โข, โนติ ตว ปริคฺคณฺหนตฺถายา’’ติ วุเตฺต ‘‘ตฺวํ อิทานิ มํ กถํ ปริคฺคณฺหิสฺสสิ, โยหํ ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพโตฺต สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อตฺตานํ ปริคฺคณฺหิตุํ นาทาสิ’’นฺติ วตฺวา อาห –
Taṃ sutvā kumāro ‘‘sace maṃ na khāditukāmosi, atha kasmā dārūni bhañjāpetvā aggiṃ kāresī’’ti vatvā ‘‘palāyissati nu kho, noti tava pariggaṇhanatthāyā’’ti vutte ‘‘tvaṃ idāni maṃ kathaṃ pariggaṇhissasi, yohaṃ tiracchānayoniyaṃ nibbatto sakkassa devarañño attānaṃ pariggaṇhituṃ nādāsi’’nti vatvā āha –
๙๓.
93.
‘‘อิทญฺหิ โส พฺราหฺมณํ มญฺญมาโน, สโส อวาเสสิ สเก สรีเร;
‘‘Idañhi so brāhmaṇaṃ maññamāno, saso avāsesi sake sarīre;
เตเนว โส จนฺทิมา เทวปุโตฺต, สสตฺถุโต กามทุหชฺช ยกฺขา’’ติฯ
Teneva so candimā devaputto, sasatthuto kāmaduhajja yakkhā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – อิทญฺหิ โส สสปณฺฑิโต ‘‘พฺราหฺมโณ เอโส’’ติ พฺราหฺมณํ มญฺญมาโน ‘‘อชฺช อิมํ สรีรํ ขาทิตฺวา อิเธว วสา’’ติ เอวํ สเก สรีเร อตฺตโน สรีรํ ทาตุํ อวาเสสิ, วสาเปสีติ อโตฺถฯ สรีรญฺจสฺส ภกฺขตฺถาย อทาสิฯ สโกฺก ปพฺพตรสํ ปีเฬตฺวา อาทาย จนฺทมณฺฑเล สสลกฺขณํ อกาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย เตเนว สสลกฺขเณน โส จนฺทิมา เทวปุโตฺต ‘‘สสี สสี’’ติ เอวํ สสตฺถุโต โลกสฺส กามทุโห เปมวฑฺฒโน อชฺช ยกฺข วิโรจติฯ กปฺปฎฺฐิยเญฺหตํ ปาฎิหาริยนฺติฯ
Tassattho – idañhi so sasapaṇḍito ‘‘brāhmaṇo eso’’ti brāhmaṇaṃ maññamāno ‘‘ajja imaṃ sarīraṃ khāditvā idheva vasā’’ti evaṃ sake sarīre attano sarīraṃ dātuṃ avāsesi, vasāpesīti attho. Sarīrañcassa bhakkhatthāya adāsi. Sakko pabbatarasaṃ pīḷetvā ādāya candamaṇḍale sasalakkhaṇaṃ akāsi. Tato paṭṭhāya teneva sasalakkhaṇena so candimā devaputto ‘‘sasī sasī’’ti evaṃ sasatthuto lokassa kāmaduho pemavaḍḍhano ajja yakkha virocati. Kappaṭṭhiyañhetaṃ pāṭihāriyanti.
ตํ สุตฺวา ยโกฺข กุมารํ วิสฺสเชฺชโนฺต คาถมาห –
Taṃ sutvā yakkho kumāraṃ vissajjento gāthamāha –
๙๔.
94.
‘‘จโนฺท ยถา ราหุมุขา ปมุโตฺต, วิโรจเต ปนฺนรเสว ภาณุมา;
‘‘Cando yathā rāhumukhā pamutto, virocate pannaraseva bhāṇumā;
เอวํ ตุวํ โปริสาทา ปมุโตฺต, วิโรจ กปฺปิเล มหานุภาว;
Evaṃ tuvaṃ porisādā pamutto, viroca kappile mahānubhāva;
อาโมทยํ ปิตรํ มาตรญฺจ, สโพฺพ จ เต นนฺทตุ ญาติปโกฺข’’ติฯ
Āmodayaṃ pitaraṃ mātarañca, sabbo ca te nandatu ñātipakkho’’ti.
ตตฺถ ภาณุมาติ สูริโยฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา ปนฺนรเส ราหุมุขา มุโตฺต จโนฺท วา ภาณุมา วา วิโรจติ, เอวํ ตฺวมฺปิ มม สนฺติกา มุโตฺต กปิลรเฎฺฐ วิโรจ มหานุภาวาติฯ นนฺทตูติ ตุสฺสตุฯ
Tattha bhāṇumāti sūriyo. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā pannarase rāhumukhā mutto cando vā bhāṇumā vā virocati, evaṃ tvampi mama santikā mutto kapilaraṭṭhe viroca mahānubhāvāti. Nandatūti tussatu.
คจฺฉ มหาวีราติ มหาสตฺตํ อุโยฺยเชสิฯ โสปิ ตํ นิพฺพิเสวนํ กตฺวา ปญฺจ สีลานิ ทตฺวา ‘‘ยโกฺข นุ โข เอส, โน’’ติ ปริคฺคณฺหโนฺต ‘‘ยกฺขานํ อกฺขีนิ รตฺตานิ โหนฺติ อนิมฺมิสานิ จ, ฉายา น ปญฺญายติ, อจฺฉมฺภิตา โหนฺติฯ นายํ ยโกฺข, มนุโสฺส เอโสฯ มยฺหํ ปิตุ กิร ตโย ภาตโร ยกฺขินิยา คหิตาฯ เตสุ เอตาย เทฺว ขาทิตา ภวิสฺสนฺติ, เอโก ปุตฺตสิเนเหน ปฎิชคฺคิโต ภวิสฺสติ, อิมินา เตน ภวิตพฺพํ, อิมํ เนตฺวา มยฺหํ ปิตุ อาจิกฺขิตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘เอหิ อโมฺภ, น ตฺวํ ยโกฺข, ปิตุ เม เชฎฺฐภาติโกสิ, เอหิ มยา สทฺธิํ คนฺตฺวา กุลสนฺตเก รเชฺช ฉตฺตํ อุสฺสาเปหี’’ติ วตฺวา อิตเรน ‘‘นาหํ มนุโสฺส’’ติ วุเตฺต ‘‘น ตฺวํ มยฺหํ สทฺทหสิ, อตฺถิ ปน โส, ยสฺส สทฺทหสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อตฺถิ อสุกฎฺฐาเน ทิพฺพจกฺขุกตาปโส’’ติ วุเตฺต ตํ อาทาย ตตฺถ อคมาสิฯ ตาปโส เต ทิสฺวาว ‘‘กิํ กโรนฺตา ปิตาปุตฺตา อรเญฺญ จรถา’’ติ วตฺวา เตสํ ญาติภาวํ กเถสิ ฯ โปริสาโท ตสฺส สทฺทหิตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ คจฺฉ, อหํ เอกสฺมิเญฺญว อตฺตภาเว ทฺวิธา ชาโต, น เม รเชฺชนโตฺถ, ปพฺพชิสฺสามห’’นฺติ ตาปสสฺส สนฺติเก อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ อถ นํ กุมาโร วนฺทิตฺวา นครํ อคมาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา –
Gaccha mahāvīrāti mahāsattaṃ uyyojesi. Sopi taṃ nibbisevanaṃ katvā pañca sīlāni datvā ‘‘yakkho nu kho esa, no’’ti pariggaṇhanto ‘‘yakkhānaṃ akkhīni rattāni honti animmisāni ca, chāyā na paññāyati, acchambhitā honti. Nāyaṃ yakkho, manusso eso. Mayhaṃ pitu kira tayo bhātaro yakkhiniyā gahitā. Tesu etāya dve khāditā bhavissanti, eko puttasinehena paṭijaggito bhavissati, iminā tena bhavitabbaṃ, imaṃ netvā mayhaṃ pitu ācikkhitvā rajje patiṭṭhāpessāmī’’ti cintetvā ‘‘ehi ambho, na tvaṃ yakkho, pitu me jeṭṭhabhātikosi, ehi mayā saddhiṃ gantvā kulasantake rajje chattaṃ ussāpehī’’ti vatvā itarena ‘‘nāhaṃ manusso’’ti vutte ‘‘na tvaṃ mayhaṃ saddahasi, atthi pana so, yassa saddahasī’’ti pucchitvā ‘‘atthi asukaṭṭhāne dibbacakkhukatāpaso’’ti vutte taṃ ādāya tattha agamāsi. Tāpaso te disvāva ‘‘kiṃ karontā pitāputtā araññe carathā’’ti vatvā tesaṃ ñātibhāvaṃ kathesi . Porisādo tassa saddahitvā ‘‘tāta, tvaṃ gaccha, ahaṃ ekasmiññeva attabhāve dvidhā jāto, na me rajjenattho, pabbajissāmaha’’nti tāpasassa santike isipabbajjaṃ pabbaji. Atha naṃ kumāro vanditvā nagaraṃ agamāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā –
๙๕.
95.
‘‘ตโต หเว ธิติมา ราชปุโตฺต, กตญฺชลี ปริยาย โปริสาทํ;
‘‘Tato have dhitimā rājaputto, katañjalī pariyāya porisādaṃ;
อนุญฺญาโต โสตฺถิ สุขี อโรโค, ปจฺจาคมา กปิลมลีนสตฺตา’’ติฯ –
Anuññāto sotthi sukhī arogo, paccāgamā kapilamalīnasattā’’ti. –
คาถํ วตฺวา ตสฺส นครํ คตสฺส เนคมาทีหิ กตกิริยํ ทเสฺสโนฺต โอสานคาถมาห –
Gāthaṃ vatvā tassa nagaraṃ gatassa negamādīhi katakiriyaṃ dassento osānagāthamāha –
๙๖.
96.
‘‘ตํ เนคมา ชานปทา จ สเพฺพ, หตฺถาโรหา รถิกา ปตฺติกา จ;
‘‘Taṃ negamā jānapadā ca sabbe, hatthārohā rathikā pattikā ca;
นมสฺสมานา ปญฺชลิกา อุปาคมุํ, นมตฺถุ เต ทุกฺกรการโกสี’’ติฯ
Namassamānā pañjalikā upāgamuṃ, namatthu te dukkarakārakosī’’ti.
ราชา ‘‘กุมาโร กิร อาคโต’’ติ สุตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ อกาสิฯ กุมาโร มหาชนปริวาโร คนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิฯ อถ นํ โส ปุจฺฉิ – ‘‘ตาต, กถํ ตาทิสา โปริสาทา มุโตฺตสี’’ติฯ ‘‘ตาต, นายํ ยโกฺข, ตุมฺหากํ เชฎฺฐภาติโก, เอส มยฺหํ เปเตฺตโยฺย’’ติ สพฺพํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ มม เปเตฺตยฺยํ ทฎฺฐุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ราชา ตงฺขณเญฺญว เภริํ จราเปตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ตาปสานํ สนฺติกํ อคมาสิฯ มหาตาปโส ตสฺส ยกฺขินิยา อาเนตฺวา อขาทิตฺวา โปสิตการณญฺจ ยกฺขาภาวการณญฺจ เตสํ ญาติภาวญฺจ สพฺพํ วิตฺถารโต กเถสิฯ ราชา ‘‘เอหิ, ภาติก, รชฺชํ กาเรหี’’ติ อาหฯ ‘‘อลํ มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ เอถ อุยฺยาเน วสิสฺสถ, อหํ โว จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ? ‘‘น อาคจฺฉามิ มหาราชา’’ติฯ ราชา เตสํ อสฺสมปทโต อวิทูเร เอกํ ปพฺพตนฺตรํ พนฺธิตฺวา มหนฺตํ ตฬากํ กาเรตฺวา เกทาเร สมฺปาเทตฺวา มหฑฺฒกุลสหสฺสํ อาเนตฺวา มหาคามํ นิวาเสตฺวา ตาปสานํ ภิกฺขาจารํ ปฎฺฐเปสิฯ โส คาโม จูฬกมฺมาสทมฺมนิคโม นาม ชาโตฯ สุตโสมมหาสเตฺตน โปริสาทสฺส ทมิตปเทโส ปน มหากมฺมาสทมฺมนิคโมติ เวทิตโพฺพฯ
Rājā ‘‘kumāro kira āgato’’ti sutvā paccuggamanaṃ akāsi. Kumāro mahājanaparivāro gantvā rājānaṃ vandi. Atha naṃ so pucchi – ‘‘tāta, kathaṃ tādisā porisādā muttosī’’ti. ‘‘Tāta, nāyaṃ yakkho, tumhākaṃ jeṭṭhabhātiko, esa mayhaṃ petteyyo’’ti sabbaṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘tumhehi mama petteyyaṃ daṭṭhuṃ vaṭṭatī’’ti āha. Rājā taṅkhaṇaññeva bheriṃ carāpetvā mahantena parivārena tāpasānaṃ santikaṃ agamāsi. Mahātāpaso tassa yakkhiniyā ānetvā akhāditvā positakāraṇañca yakkhābhāvakāraṇañca tesaṃ ñātibhāvañca sabbaṃ vitthārato kathesi. Rājā ‘‘ehi, bhātika, rajjaṃ kārehī’’ti āha. ‘‘Alaṃ mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi etha uyyāne vasissatha, ahaṃ vo catūhi paccayehi upaṭṭhahissāmī’’ti? ‘‘Na āgacchāmi mahārājā’’ti. Rājā tesaṃ assamapadato avidūre ekaṃ pabbatantaraṃ bandhitvā mahantaṃ taḷākaṃ kāretvā kedāre sampādetvā mahaḍḍhakulasahassaṃ ānetvā mahāgāmaṃ nivāsetvā tāpasānaṃ bhikkhācāraṃ paṭṭhapesi. So gāmo cūḷakammāsadammanigamo nāma jāto. Sutasomamahāsattena porisādassa damitapadeso pana mahākammāsadammanigamoti veditabbo.
สตฺถา อิทํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน มาตุโปสกเตฺถโร โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ อเหสุํ, ตาปโส สาริปุโตฺต, โปริสาโท องฺคุลิมาโล, กนิฎฺฐา อุปฺปลวณฺณา, อคฺคมเหสี ราหุลมาตา, อลีนสตฺตุกุมาโร ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā idaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne mātuposakatthero sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā mātāpitaro mahārājakulāni ahesuṃ, tāpaso sāriputto, porisādo aṅgulimālo, kaniṭṭhā uppalavaṇṇā, aggamahesī rāhulamātā, alīnasattukumāro pana ahameva ahosinti.
ชยทฺทิสชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Jayaddisajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๑๓. ชยทฺทิสชาตกํ • 513. Jayaddisajātakaṃ