Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๑๒. ทฺวาทสมวโคฺค
12. Dvādasamavaggo
๑. เชนฺตเตฺถรคาถาวณฺณนา
1. Jentattheragāthāvaṇṇanā
ทุปฺปพฺพชฺชํ เว ทุรธิวาสา เคหาติ อายสฺมโต เชนฺตเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยํ กุสลํ อุปจินโนฺต สิขิสฺส ภควโต กาเล เทวปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ โส เอกทิวสํ สตฺถารํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต กิํกิราตปุเปฺผหิ ปูชํ อกาสิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท มคธรเฎฺฐ เชนฺตคาเม เอกสฺส มณฺฑลิกราชสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, เชโนฺตติสฺส นามํ อโหสิฯ โส วิญฺญุตํ ปโตฺต ทหรกาเลเยว เหตุสมฺปตฺติยา โจทิยมาโน ปพฺพชฺชานินฺนมานโส หุตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘ปพฺพชฺชา นาม ทุกฺกรา, ฆราปิ ทุราวาสา, ธโมฺม จ คมฺภีโร, โภคา จ ทุรธิคมา, กิํ นุ โข กตฺตพฺพ’’นฺติ เอวํ ปน จินฺตาพหุโล หุตฺวา วิจรโนฺต เอกทิวสํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณิฯ สุตกาลโต ปฎฺฐาย ปพฺพชฺชาภิรโต หุตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา สุขาย ปฎิปทาย ขิปฺปาภิญฺญาย อรหตฺตํ สจฺฉากาสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๑๖.๒๑-๒๔) –
Duppabbajjaṃve duradhivāsā gehāti āyasmato jentattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayaṃ kusalaṃ upacinanto sikhissa bhagavato kāle devaputto hutvā nibbatti. So ekadivasaṃ satthāraṃ disvā pasannacitto kiṃkirātapupphehi pūjaṃ akāsi. So tena puññakammena devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde magadharaṭṭhe jentagāme ekassa maṇḍalikarājassa putto hutvā nibbatti, jentotissa nāmaṃ ahosi. So viññutaṃ patto daharakāleyeva hetusampattiyā codiyamāno pabbajjāninnamānaso hutvā puna cintesi – ‘‘pabbajjā nāma dukkarā, gharāpi durāvāsā, dhammo ca gambhīro, bhogā ca duradhigamā, kiṃ nu kho kattabba’’nti evaṃ pana cintābahulo hutvā vicaranto ekadivasaṃ satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ suṇi. Sutakālato paṭṭhāya pabbajjābhirato hutvā satthu santike pabbajitvā kammaṭṭhānaṃ gahetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā sukhāya paṭipadāya khippābhiññāya arahattaṃ sacchākāsi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.16.21-24) –
‘‘เทวปุโตฺต อหํ สโนฺต, ปูชยิํ สิขินายกํ;
‘‘Devaputto ahaṃ santo, pūjayiṃ sikhināyakaṃ;
กกฺการุปุปฺผํ ปคฺคยฺห, พุทฺธสฺส อภิโรปยิํฯ
Kakkārupupphaṃ paggayha, buddhassa abhiropayiṃ.
‘‘เอกติํเส อิโต กเปฺป, ยํ ปุปฺผมภิโรปยิํ;
‘‘Ekatiṃse ito kappe, yaṃ pupphamabhiropayiṃ;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, พุทฺธปูชายิทํ ผลํฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, buddhapūjāyidaṃ phalaṃ.
‘‘อิโต จ นวเม กเปฺป, ราชา สตฺตุตฺตโม อหุํ;
‘‘Ito ca navame kappe, rājā sattuttamo ahuṃ;
สตฺตรตนสมฺปโนฺน, จกฺกวตฺตี มหพฺพโลฯ
Sattaratanasampanno, cakkavattī mahabbalo.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
อรหตฺตํ ปน ปตฺวา อตฺตโน ปฎิปตฺติํ ปจฺจเวกฺขโนฺต, ‘‘อสกฺขิํ วตาหํ อาทิโต มยฺหํ อุปฺปนฺนวิตกฺกํ ฉินฺทิตุ’’นฺติ โสมนสฺสชาโต วิตกฺกสฺส อุปฺปนฺนาการํ ตสฺส จ สมฺมเทว ฉินฺนตํ ทเสฺสโนฺต –
Arahattaṃ pana patvā attano paṭipattiṃ paccavekkhanto, ‘‘asakkhiṃ vatāhaṃ ādito mayhaṃ uppannavitakkaṃ chinditu’’nti somanassajāto vitakkassa uppannākāraṃ tassa ca sammadeva chinnataṃ dassento –
๑๑๑.
111.
‘‘ทุปฺปพฺพชฺชํ เว ทุรธิวาสา เคหา, ธโมฺม คมฺภีโร ทุรธิคมา โภคา;
‘‘Duppabbajjaṃ ve duradhivāsā gehā, dhammo gambhīro duradhigamā bhogā;
กิจฺฉา วุตฺติ โน อิตรีตเรเนว, ยุตฺตํ จิเนฺตตุํ สตตมนิจฺจต’’นฺติฯ –
Kicchā vutti no itarītareneva, yuttaṃ cintetuṃ satatamaniccata’’nti. –
คาถํ อภาสิฯ
Gāthaṃ abhāsi.
ตตฺถ ทุปฺปพฺพชฺชนฺติ อปฺปํ วา มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธเญฺจว ญาติปริวฎฺฎญฺจ ปหาย อิมสฺมิํ สาสเน อุรํ ทตฺวา ปพฺพชนสฺส ทุกฺกรตฺตา ทุกฺขํ ปพฺพชนํ, ทุกฺกรา ปพฺพชฺชาติ ทุปฺปพฺพชฺชํฯ เวติ นิปาตมตฺตํ, ทฬฺหโตฺถ วา ‘‘ปพฺพชฺชา ทุกฺขา’’ติ ฯ เคหเญฺจ อาวเสยฺยํ, ทุรธิวาสา เคหา, ยสฺมา เคหํ อธิวสเนฺตน รญฺญา ราชกิจฺจํ, อิสฺสเรน อิสฺสรกิจฺจํ, คหปตินา คหปติกิจฺจํ กตฺตพฺพํ โหติ, ปริชโน เจว สมณพฺราหฺมณา จ สงฺคเหตพฺพา, ตสฺมิํ ตสฺมิญฺจ กตฺตเพฺพ กริยมาเนปิ ฆราวาโส ฉิทฺทฆโฎ วิย มหาสมุโทฺท วิย จ ทุปฺปูโร, ตสฺมา เคหา นาเมเต อธิวสิตุํ อาวสิตุํ ทุกฺขา ทุกฺกราติ กตฺวา ทุรธิวาสา ทุราวาสาติฯ ปพฺพชฺชเญฺจ อนุติเฎฺฐยฺยํ ธโมฺม คมฺภีโร, ยทตฺถา ปพฺพชฺชา, โส ปพฺพชิเตน อธิคนฺตโพฺพ ปฎิเวธสทฺธโมฺม คมฺภีโร, คมฺภีรญาณโคจรตฺตา ทุทฺทโส, ทุปฺปฎิวิโชฺฌ ธมฺมสฺส คมฺภีรภาเวน ทุปฺปฎิวิชฺฌตฺตาฯ เคหเญฺจ อาวเสยฺยํ, ทุรธิคมา โภคา เยหิ วินา น สกฺกา เคหํ อาวสิตุํ, เต โภคา ทุเกฺขน กสิเรน อธิคนฺตพฺพตาย ทุรธิคมาฯ เอวํ สเนฺต ฆราวาสํ ปหาย ปพฺพชฺชํเยว อนุติเฎฺฐยฺยํ, เอวมฺปิ กิจฺฉา วุตฺติ โน อิตรีตเรน อิธ อิมสฺมิํ พุทฺธสาสเน อิตรีตเรน ยถาลเทฺธน ปจฺจเยน อมฺหากํ วุตฺติ ชีวิกา กิจฺฉา ทุกฺขา, ฆราวาสานํ ทุรธิวาสตาย โภคานญฺจ ทุรธิคมตาย เคเห อิตรีตเรน ปจฺจเยน ยาเปตพฺพตาย กิจฺฉา กสิรา วุตฺติ อมฺหากํ, ตตฺถ กิํ กาตุํ วฎฺฎตีติ? ยุตฺตํ จิเนฺตตุํ สตตมนิจฺจตํ สกลํ ทิวสํ ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตญฺจ เตภูมกธมฺมชาตํ อนิจฺจตนฺติ, ตโต อุปฺปาทวยวนฺตโต อาทิอนฺตวนฺตโต ตาวกาลิกโต จ น นิจฺจนฺติ ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ จิเนฺตตุํ วิปสฺสิตุํ ยุตฺตํฯ อนิจฺจานุปสฺสนาย สิทฺธาย อิตรานุปสฺสนา สุเขเนว สิชฺฌนฺตีติ อนิจฺจานุปสฺสนาว เอตฺถ วุตฺตา, อนิจฺจสฺส ทุกฺขานตฺตตานํ อพฺยภิจรณโต สาสนิกสฺส สุขคฺคหณโต จฯ เตนาห – ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๕), ‘‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมํ’’ (มหาว. ๑๖; ที. นิ. ๒.๓๗๑; สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑), ‘‘วยธมฺมา สงฺขารา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๘) จ ตทมินา เอวํ อญฺญมญฺญํ ปฎิปกฺขวเสน อปราปรํ อุปฺปเนฺน วิตเกฺก นิคฺคเหตฺวา อนิจฺจตามุเขน วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อิทานิ กตกิโจฺจ ชาโตติ ทเสฺสติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อตฺตโน ปฎิปตฺติ’’นฺติอาทิฯ อิทเมว เถรสฺส อญฺญาพฺยากรณํ อโหสิฯ
Tattha duppabbajjanti appaṃ vā mahantaṃ vā bhogakkhandhañceva ñātiparivaṭṭañca pahāya imasmiṃ sāsane uraṃ datvā pabbajanassa dukkarattā dukkhaṃ pabbajanaṃ, dukkarā pabbajjāti duppabbajjaṃ. Veti nipātamattaṃ, daḷhattho vā ‘‘pabbajjā dukkhā’’ti . Gehañce āvaseyyaṃ, duradhivāsā gehā, yasmā gehaṃ adhivasantena raññā rājakiccaṃ, issarena issarakiccaṃ, gahapatinā gahapatikiccaṃ kattabbaṃ hoti, parijano ceva samaṇabrāhmaṇā ca saṅgahetabbā, tasmiṃ tasmiñca kattabbe kariyamānepi gharāvāso chiddaghaṭo viya mahāsamuddo viya ca duppūro, tasmā gehā nāmete adhivasituṃ āvasituṃ dukkhā dukkarāti katvā duradhivāsā durāvāsāti. Pabbajjañce anutiṭṭheyyaṃ dhammo gambhīro, yadatthā pabbajjā, so pabbajitena adhigantabbo paṭivedhasaddhammo gambhīro, gambhīrañāṇagocarattā duddaso, duppaṭivijjho dhammassa gambhīrabhāvena duppaṭivijjhattā. Gehañce āvaseyyaṃ, duradhigamā bhogā yehi vinā na sakkā gehaṃ āvasituṃ, te bhogā dukkhena kasirena adhigantabbatāya duradhigamā. Evaṃ sante gharāvāsaṃ pahāya pabbajjaṃyeva anutiṭṭheyyaṃ, evampi kicchā vutti no itarītarena idha imasmiṃ buddhasāsane itarītarena yathāladdhena paccayena amhākaṃ vutti jīvikā kicchā dukkhā, gharāvāsānaṃ duradhivāsatāya bhogānañca duradhigamatāya gehe itarītarena paccayena yāpetabbatāya kicchā kasirā vutti amhākaṃ, tattha kiṃ kātuṃ vaṭṭatīti? Yuttaṃ cintetuṃ satatamaniccataṃ sakalaṃ divasaṃ pubbarattāpararattañca tebhūmakadhammajātaṃ aniccatanti, tato uppādavayavantato ādiantavantato tāvakālikato ca na niccanti ‘‘anicca’’nti cintetuṃ vipassituṃ yuttaṃ. Aniccānupassanāya siddhāya itarānupassanā sukheneva sijjhantīti aniccānupassanāva ettha vuttā, aniccassa dukkhānattatānaṃ abyabhicaraṇato sāsanikassa sukhaggahaṇato ca. Tenāha – ‘‘yadaniccaṃ taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ tadanattā’’ti (saṃ. ni. 3.15), ‘‘yaṃ kiñci samudayadhammaṃ, sabbaṃ taṃ nirodhadhammaṃ’’ (mahāva. 16; dī. ni. 2.371; saṃ. ni. 5.1081), ‘‘vayadhammā saṅkhārā’’ti (dī. ni. 2.218) ca tadaminā evaṃ aññamaññaṃ paṭipakkhavasena aparāparaṃ uppanne vitakke niggahetvā aniccatāmukhena vipassanaṃ ārabhitvā idāni katakicco jātoti dasseti. Tena vuttaṃ ‘‘attano paṭipatti’’ntiādi. Idameva therassa aññābyākaraṇaṃ ahosi.
เชนฺตเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Jentattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑. เชนฺตเตฺถรคาถา • 1. Jentattheragāthā