Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
ธมฺมุเทฺทสวาโร
Dhammuddesavāro
ฌานงฺคราสิวณฺณนา
Jhānaṅgarāsivaṇṇanā
วิตเกฺกตีติ วิตโกฺก; วิตกฺกนํ วา วิตโกฺก; อูหนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สฺวายํ อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณฯ โส หิ อารมฺมเณ จิตฺตํ อาโรเปติฯ ยถา หิ โกจิ ราชวลฺลภํ ญาติํ วา มิตฺตํ วา นิสฺสาย ราชเคหํ อาโรหติ, เอวํ วิตกฺกํ นิสฺสาย จิตฺตํ อารมฺมณํ อาโรหติฯ ตสฺมา โส อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณติ วุโตฺตฯ นาคเสนเตฺถโร ปนาห – อาโกฎนลกฺขโณ วิตโกฺกฯ ‘‘ยถา, มหาราช, เภรี อาโกฎิตา อถ ปจฺฉา อนุรวติ อนุสทฺทายติ, เอวเมว โข, มหาราช, ยถา อาโกฎนา เอวํ วิตโกฺก ทฎฺฐโพฺพฯ ยถา ปจฺฉา อนุรวนา อนุสทฺทายนา เอวํ วิจาโร ทฎฺฐโพฺพ’’ติ (มิ. ป. ๒.๓.๑๔ โถกํ วิสทิสํ)ฯ สฺวายํ อาหนนปริยาหนนรโสฯ ตถา หิ เตน โยคาวจโร อารมฺมณํ วิตกฺกาหตํ วิตกฺกปริยาหตํ กโรตีติ วุจฺจติฯ อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อานยนปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
Vitakketīti vitakko; vitakkanaṃ vā vitakko; ūhananti vuttaṃ hoti. Svāyaṃ ārammaṇe cittassa abhiniropanalakkhaṇo. So hi ārammaṇe cittaṃ āropeti. Yathā hi koci rājavallabhaṃ ñātiṃ vā mittaṃ vā nissāya rājagehaṃ ārohati, evaṃ vitakkaṃ nissāya cittaṃ ārammaṇaṃ ārohati. Tasmā so ārammaṇe cittassa abhiniropanalakkhaṇoti vutto. Nāgasenatthero panāha – ākoṭanalakkhaṇo vitakko. ‘‘Yathā, mahārāja, bherī ākoṭitā atha pacchā anuravati anusaddāyati, evameva kho, mahārāja, yathā ākoṭanā evaṃ vitakko daṭṭhabbo. Yathā pacchā anuravanā anusaddāyanā evaṃ vicāro daṭṭhabbo’’ti (mi. pa. 2.3.14 thokaṃ visadisaṃ). Svāyaṃ āhananapariyāhananaraso. Tathā hi tena yogāvacaro ārammaṇaṃ vitakkāhataṃ vitakkapariyāhataṃ karotīti vuccati. Ārammaṇe cittassa ānayanapaccupaṭṭhāno.
อารมฺมเณ เตน จิตฺตํ วิจรตีติ วิจาโร; วิจรณํ วา วิจาโรฯ อนุสญฺจรณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สฺวายํ อารมฺมณานุมชฺชนลกฺขโณฯ ตตฺถ สหชาตานุโยชนรโสฯ จิตฺตสฺส อนุปฺปพนฺธปจฺจุปฎฺฐาโนฯ สเนฺตปิ จ เนสํ กตฺถจิ อวิโยเค โอฬาริกเฎฺฐน ปุพฺพงฺคมเฎฺฐน จ ฆณฺฎาภิฆาโต วิย อภินิโรปนเฎฺฐน จ เจตโส ปฐมาภินิปาโต วิตโกฺก ฯ สุขุมเฎฺฐน อนุมชฺชนสภาวเฎฺฐน จ ฆณฺฎานุรโว วิย อนุปฺปพโนฺธ วิจาโรฯ วิปฺผารวา เจตฺถ วิตโกฺก, ปฐมุปฺปตฺติกาเล ปริปฺผนฺทภูโต จิตฺตสฺสฯ อากาเส อุปฺปติตุกามสฺส ปกฺขิโน ปกฺขวิเกฺขโป วิยฯ ปทุมาภิมุขปาโต วิย จ คนฺธานุพทฺธเจตโส ภมรสฺสฯ สนฺตวุตฺติ วิจาโร นาติปริปฺผนฺทนภาโว จิตฺตสฺส, อากาเส อุปฺปติตสฺส ปกฺขิโน ปกฺขปฺปสารณํ วิย, ปริพฺภมนํ วิย จ ปทุมาภิมุขปติตสฺส ภมรสฺส ปทุมสฺส อุปริภาเคฯ
Ārammaṇe tena cittaṃ vicaratīti vicāro; vicaraṇaṃ vā vicāro. Anusañcaraṇanti vuttaṃ hoti. Svāyaṃ ārammaṇānumajjanalakkhaṇo. Tattha sahajātānuyojanaraso. Cittassa anuppabandhapaccupaṭṭhāno. Santepi ca nesaṃ katthaci aviyoge oḷārikaṭṭhena pubbaṅgamaṭṭhena ca ghaṇṭābhighāto viya abhiniropanaṭṭhena ca cetaso paṭhamābhinipāto vitakko . Sukhumaṭṭhena anumajjanasabhāvaṭṭhena ca ghaṇṭānuravo viya anuppabandho vicāro. Vipphāravā cettha vitakko, paṭhamuppattikāle paripphandabhūto cittassa. Ākāse uppatitukāmassa pakkhino pakkhavikkhepo viya. Padumābhimukhapāto viya ca gandhānubaddhacetaso bhamarassa. Santavutti vicāro nātiparipphandanabhāvo cittassa, ākāse uppatitassa pakkhino pakkhappasāraṇaṃ viya, paribbhamanaṃ viya ca padumābhimukhapatitassa bhamarassa padumassa uparibhāge.
อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อากาเส คจฺฉโต มหาสกุณสฺส อุโภหิ ปเกฺขหิ วาตํ คเหตฺวา ปเกฺข สนฺนิสีทาเปตฺวา คมนํ วิย อารมฺมเณ เจตโส อภินิโรปนภาเวน ปวโตฺต วิตโกฺกฯ โส หิ เอกโคฺค หุตฺวา อเปฺปติ วาตคฺคหณตฺถํ ปเกฺข ผนฺทาปยมานสฺส คมนํ วิยฯ อนุมชฺชภาเวน ปวโตฺต วิจาโรฯ โส หิ อารมฺมณํ อนุมชฺชตีติ วุตฺตํ, ตํ อนุปฺปพนฺธเนน ปวตฺติยํ อติวิย ยุชฺชติฯ โส ปน เนสํ วิเสโส ปฐมทุติยชฺฌาเนสุ ปากโฎ โหติฯ อปิจ มลคฺคหิตํ กํสภาชนํ เอเกน หเตฺถน ทฬฺหํ คเหตฺวา อิตเรน หเตฺถน จุณฺณเตลวาลณฺฑุปเกน ปริมชฺชนฺตสฺส ทฬฺหคฺคหณหโตฺถ วิย วิตโกฺก, ปริมชฺชนหโตฺถ วิย วิจาโรฯ ตถา กุมฺภการสฺส ทณฺฑปฺปหาเรน จกฺกํ ภมยิตฺวา ภาชนํ กโรนฺตสฺส อุปฺปีฬนหโตฺถ วิย วิตโกฺก, อิโต จิโต จ สญฺจรณหโตฺถ วิย วิจาโรฯ ตถา มณฺฑลํ กโรนฺตสฺส มเชฺฌ สนฺนิรุมฺภิตฺวา ฐิตกณฺฎโก วิย อภินิโรปโน วิตโกฺก, พหิปริพฺภมนกณฺฎโก วิย อนุมชฺชมาโน วิจาโรฯ
Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘ākāse gacchato mahāsakuṇassa ubhohi pakkhehi vātaṃ gahetvā pakkhe sannisīdāpetvā gamanaṃ viya ārammaṇe cetaso abhiniropanabhāvena pavatto vitakko. So hi ekaggo hutvā appeti vātaggahaṇatthaṃ pakkhe phandāpayamānassa gamanaṃ viya. Anumajjabhāvena pavatto vicāro. So hi ārammaṇaṃ anumajjatīti vuttaṃ, taṃ anuppabandhanena pavattiyaṃ ativiya yujjati. So pana nesaṃ viseso paṭhamadutiyajjhānesu pākaṭo hoti. Apica malaggahitaṃ kaṃsabhājanaṃ ekena hatthena daḷhaṃ gahetvā itarena hatthena cuṇṇatelavālaṇḍupakena parimajjantassa daḷhaggahaṇahattho viya vitakko, parimajjanahattho viya vicāro. Tathā kumbhakārassa daṇḍappahārena cakkaṃ bhamayitvā bhājanaṃ karontassa uppīḷanahattho viya vitakko, ito cito ca sañcaraṇahattho viya vicāro. Tathā maṇḍalaṃ karontassa majjhe sannirumbhitvā ṭhitakaṇṭako viya abhiniropano vitakko, bahiparibbhamanakaṇṭako viya anumajjamāno vicāro.
ปิณยตีติ ปีติฯ สา สมฺปิยายนลกฺขณาฯ กายจิตฺตปีณนรสา, ผรณรสา วาฯ โอทคฺยปจฺจุปฎฺฐานาฯ สา ปเนสา ขุทฺทิกาปีติ, ขณิกาปีติ, โอกฺกนฺติกาปีติ, อุเพฺพคาปีติ, ผรณาปีตีติ ปญฺจวิธา โหติฯ
Piṇayatīti pīti. Sā sampiyāyanalakkhaṇā. Kāyacittapīṇanarasā, pharaṇarasā vā. Odagyapaccupaṭṭhānā. Sā panesā khuddikāpīti, khaṇikāpīti, okkantikāpīti, ubbegāpīti, pharaṇāpītīti pañcavidhā hoti.
ตตฺถ ขุทฺทิกาปีติ สรีเร โลมหํสมตฺตเมว กาตุํ สโกฺกติฯ ขณิกาปีติ ขเณ ขเณ วิชฺชุปฺปาทสทิสา โหติฯ โอกฺกนฺติกาปีติ , สมุทฺทตีรํ วีจิ วิย, กายํ โอกฺกมิตฺวา โอกฺกมิตฺวา ภิชฺชติฯ อุเพฺพคาปีติ พลวตี โหติ, กายํ อุทฺธคฺคํ กตฺวา อากาเส ลงฺฆาปนปฺปมาณปฺปตฺตาฯ ตถา หิ ปุณฺณวลฺลิกวาสี มหาติสฺสเตฺถโร ปุณฺณมทิวเส สายํ เจติยงฺคณํ คนฺตฺวา จนฺทาโลกํ ทิสฺวา มหาเจติยาภิมุโข หุตฺวา ‘อิมาย วต เวลาย จตโสฺส ปริสา มหาเจติยํ วนฺทนฺตี’ติ ปกติยา ทิฎฺฐารมฺมณวเสน พุทฺธารมฺมณํ อุเพฺพคํ ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา สุธาตเล ปหฎจิตฺรเคณฺฑุโก วิย อากาเส อุปฺปติตฺวา มหาเจติยงฺคเณเยว อฎฺฐาสิฯ
Tattha khuddikāpīti sarīre lomahaṃsamattameva kātuṃ sakkoti. Khaṇikāpīti khaṇe khaṇe vijjuppādasadisā hoti. Okkantikāpīti , samuddatīraṃ vīci viya, kāyaṃ okkamitvā okkamitvā bhijjati. Ubbegāpīti balavatī hoti, kāyaṃ uddhaggaṃ katvā ākāse laṅghāpanappamāṇappattā. Tathā hi puṇṇavallikavāsī mahātissatthero puṇṇamadivase sāyaṃ cetiyaṅgaṇaṃ gantvā candālokaṃ disvā mahācetiyābhimukho hutvā ‘imāya vata velāya catasso parisā mahācetiyaṃ vandantī’ti pakatiyā diṭṭhārammaṇavasena buddhārammaṇaṃ ubbegaṃ pītiṃ uppādetvā sudhātale pahaṭacitrageṇḍuko viya ākāse uppatitvā mahācetiyaṅgaṇeyeva aṭṭhāsi.
ตถา คิริกณฺฑกวิหารสฺส อุปนิสฺสเย วตฺตกาลกคาเม เอกา กุลธีตาปิ พลวพุทฺธารมฺมณาย อุเพฺพคาย ปีติยา อากาเส ลเงฺฆสิฯ ตสฺสา กิร มาตาปิตโร สายํ ธมฺมสวนตฺถาย วิหารํ คจฺฉนฺตา ‘อมฺม, ตฺวํ ครุภารา, อกาเล วิจริตุํ น สโกฺกสิ, มยํ ตุยฺหํ ปตฺติํ กตฺวา ธมฺมํ โสสฺสามา’ติ อคมํสุฯ สา คนฺตุกามาปิ เตสํ วจนํ ปฎิพาหิตุํ อสโกฺกนฺตี ฆเร โอหียิตฺวา ฆรทฺวาเร ฐตฺวา จนฺทาโลเกน คิริกณฺฑเก อากาสเจติยงฺคณํ โอโลเกนฺตี เจติยสฺส ทีปปูชํ อทฺทสฯ จตโสฺส จ ปริสา มาลาคนฺธาทีหิ เจติยปูชํ กตฺวา ปทกฺขิณํ กโรนฺติโย ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ คณสชฺฌายสทฺทํ อโสฺสสิฯ อถสฺสา ‘ธญฺญา วติเม มนุสฺสา เย วิหารํ คนฺตฺวา เอวรูเป เจติยงฺคเณ อนุสญฺจริตุํ เอวรูปญฺจ มธุรํ ธมฺมกถํ โสตุํ ลภนฺตี’ติ มุตฺตราสิสทิสํ เจติยํ ปสฺสนฺติยา เอว อุเพฺพคาปีติ อุทปาทิฯ สา อากาเส ลงฺฆิตฺวา มาตาปิตูนํ ปุริมตรํเยว อากาสโต เจติยงฺคเณ โอรุยฺห เจติยํ วนฺทิตฺวา ธมฺมํ สุณมานา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ มาตาปิตโร อาคนฺตฺวา ‘อมฺม, ตฺวํ กตเรน มเคฺคน อาคตาสี’ติ ปุจฺฉิํสุฯ สา ‘อากาเสน อาคตามฺหิ, น มเคฺคนา’ติ วตฺวา ‘อมฺม, อากาเสน นาม ขีณาสวา สญฺจรนฺติ, ตฺวํ กถํ อาคตา’ติ ปุฎฺฐา อาห – ‘มยฺหํ จนฺทาโลเกน เจติยํ โอโลเกนฺติยา ฐิตาย พุทฺธารมฺมณา พลวปีติ อุปฺปชฺชติ, อถาหํ เนว อตฺตโน ฐิตภาวํ น นิสินฺนภาวํ อญฺญาสิํ, คหิตนิมิเตฺตเนว ปน อากาสํ ลงฺฆิตฺวา เจติยงฺคเณ ปติฎฺฐิตามฺหี’ติฯ เอวํ อุเพฺพคาปีติ อากาเส ลงฺฆาปนปฺปมาณา โหติฯ
Tathā girikaṇḍakavihārassa upanissaye vattakālakagāme ekā kuladhītāpi balavabuddhārammaṇāya ubbegāya pītiyā ākāse laṅghesi. Tassā kira mātāpitaro sāyaṃ dhammasavanatthāya vihāraṃ gacchantā ‘amma, tvaṃ garubhārā, akāle vicarituṃ na sakkosi, mayaṃ tuyhaṃ pattiṃ katvā dhammaṃ sossāmā’ti agamaṃsu. Sā gantukāmāpi tesaṃ vacanaṃ paṭibāhituṃ asakkontī ghare ohīyitvā gharadvāre ṭhatvā candālokena girikaṇḍake ākāsacetiyaṅgaṇaṃ olokentī cetiyassa dīpapūjaṃ addasa. Catasso ca parisā mālāgandhādīhi cetiyapūjaṃ katvā padakkhiṇaṃ karontiyo bhikkhusaṅghassa ca gaṇasajjhāyasaddaṃ assosi. Athassā ‘dhaññā vatime manussā ye vihāraṃ gantvā evarūpe cetiyaṅgaṇe anusañcarituṃ evarūpañca madhuraṃ dhammakathaṃ sotuṃ labhantī’ti muttarāsisadisaṃ cetiyaṃ passantiyā eva ubbegāpīti udapādi. Sā ākāse laṅghitvā mātāpitūnaṃ purimataraṃyeva ākāsato cetiyaṅgaṇe oruyha cetiyaṃ vanditvā dhammaṃ suṇamānā aṭṭhāsi. Atha naṃ mātāpitaro āgantvā ‘amma, tvaṃ katarena maggena āgatāsī’ti pucchiṃsu. Sā ‘ākāsena āgatāmhi, na maggenā’ti vatvā ‘amma, ākāsena nāma khīṇāsavā sañcaranti, tvaṃ kathaṃ āgatā’ti puṭṭhā āha – ‘mayhaṃ candālokena cetiyaṃ olokentiyā ṭhitāya buddhārammaṇā balavapīti uppajjati, athāhaṃ neva attano ṭhitabhāvaṃ na nisinnabhāvaṃ aññāsiṃ, gahitanimitteneva pana ākāsaṃ laṅghitvā cetiyaṅgaṇe patiṭṭhitāmhī’ti. Evaṃ ubbegāpīti ākāse laṅghāpanappamāṇā hoti.
ผรณปีติยา ปน อุปฺปนฺนาย สกลสรีรํ ธมิตฺวา ปูริตวตฺถิ วิย, มหตา อุทโกเฆน ปกฺขนฺทปพฺพตกุจฺฉิ วิย จ อนุปริปฺผุฎํ โหติฯ สา ปเนสา ปญฺจวิธา ปีติ คพฺภํ คณฺหนฺตี ปริปากํ คจฺฉนฺตี ทุวิธํ ปสฺสทฺธิํ ปริปูเรติ – กายปสฺสทฺธิญฺจ จิตฺตปสฺสทฺธิญฺจฯ ปสฺสทฺธิ คพฺภํ คณฺหนฺตี ปริปากํ คจฺฉนฺตี ทุวิธํ สุขํ ปริปูเรติ – กายิกํ เจตสิกญฺจฯ สุขํ คพฺภํ คณฺหนฺตํ ปริปากํ คจฺฉนฺตํ ติวิธํ สมาธิํ ปริปูเรติ – ขณิกสมาธิํ อุปจารสมาธิํ อปฺปนาสมาธินฺติฯ ตาสุ ฐเปตฺวา อปฺปนาสมาธิปูริกํ อิตรา เทฺวปิ อิธ ยุชฺชนฺติฯ
Pharaṇapītiyā pana uppannāya sakalasarīraṃ dhamitvā pūritavatthi viya, mahatā udakoghena pakkhandapabbatakucchi viya ca anuparipphuṭaṃ hoti. Sā panesā pañcavidhā pīti gabbhaṃ gaṇhantī paripākaṃ gacchantī duvidhaṃ passaddhiṃ paripūreti – kāyapassaddhiñca cittapassaddhiñca. Passaddhi gabbhaṃ gaṇhantī paripākaṃ gacchantī duvidhaṃ sukhaṃ paripūreti – kāyikaṃ cetasikañca. Sukhaṃ gabbhaṃ gaṇhantaṃ paripākaṃ gacchantaṃ tividhaṃ samādhiṃ paripūreti – khaṇikasamādhiṃ upacārasamādhiṃ appanāsamādhinti. Tāsu ṭhapetvā appanāsamādhipūrikaṃ itarā dvepi idha yujjanti.
สุขยตีติ สุขํ; ยสฺส อุปฺปชฺชติ ตํ สุขิตํ กโรตีติ อโตฺถฯ สุฎฺฐุ วา ขาทติ, ขนติ จ กายจิตฺตาพาธนฺติ สุขํฯ โสมนสฺสเวทนาเยตํ นามํฯ ตสฺส ลกฺขณาทีนิ เวทนาปเท วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ
Sukhayatīti sukhaṃ; yassa uppajjati taṃ sukhitaṃ karotīti attho. Suṭṭhu vā khādati, khanati ca kāyacittābādhanti sukhaṃ. Somanassavedanāyetaṃ nāmaṃ. Tassa lakkhaṇādīni vedanāpade vuttanayeneva veditabbāni.
อปโร นโย – สาตลกฺขณํ สุขํ, สมฺปยุตฺตานํ อุปพฺรูหนรสํ, อนุคฺคหณปจฺจุปฎฺฐานํฯ สติปิ จ เนสํ ปีติสุขานํ กตฺถจิ อวิปฺปโยเค, อิฎฺฐารมฺมณปฎิลาภตุฎฺฐิ ปีติ; ปฎิลทฺธรสานุภวนํ สุขํฯ ยตฺถ ปีติ ตตฺถ สุขํฯ ยตฺถ สุขํ ตตฺถ น นิยมโต ปีติฯ สงฺขารกฺขนฺธสงฺคหิตา ปีติ, เวทนากฺขนฺธสงฺคหิตํ สุขํฯ กนฺตารขินฺนสฺส วนโนฺตทกทสฺสนสวเนสุ วิย ปีติฯ วนจฺฉายาปเวสนอุทกปริโภเคสุ วิย สุขํฯ
Aparo nayo – sātalakkhaṇaṃ sukhaṃ, sampayuttānaṃ upabrūhanarasaṃ, anuggahaṇapaccupaṭṭhānaṃ. Satipi ca nesaṃ pītisukhānaṃ katthaci avippayoge, iṭṭhārammaṇapaṭilābhatuṭṭhi pīti; paṭiladdharasānubhavanaṃ sukhaṃ. Yattha pīti tattha sukhaṃ. Yattha sukhaṃ tattha na niyamato pīti. Saṅkhārakkhandhasaṅgahitā pīti, vedanākkhandhasaṅgahitaṃ sukhaṃ. Kantārakhinnassa vanantodakadassanasavanesu viya pīti. Vanacchāyāpavesanaudakaparibhogesu viya sukhaṃ.
ยถา หิ ปุริโส มหากนฺตารมคฺคํ ปฎิปโนฺน ฆมฺมปเรโต ตสิโต ปิปาสิโต ปฎิปเถ ปุริสํ ทิสฺวา ‘กตฺถ ปานียํ อตฺถี’ติ ปุเจฺฉยฺยฯ โส ‘อฎวิํ อุตฺตริตฺวา ชาตสฺสรวนสโณฺฑ อตฺถิ, ตตฺถ คนฺตฺวา ลภิสฺสสี’ติ วเทยฺยฯ โส ตสฺส กถํ สุตฺวา หฎฺฐปหโฎฺฐ ภเวยฺยฯ ตโต คจฺฉโนฺต ภูมิยํ ปติตานิ อุปฺปลทลนาลปตฺตาทีนิ ทิสฺวา สุฎฺฐุตรํ หฎฺฐปหโฎฺฐ หุตฺวา คจฺฉโนฺต อลฺลวเตฺถ อลฺลเกเส ปุริเส ปเสฺสยฺย, วนกุกฺกุฎโมราทีนํ สทฺทํ สุเณยฺย, ชาตสฺสรปริยเนฺต ชาตํ มณิชาลสทิสํ นีลวนสณฺฑํ ปเสฺสยฺย, สเร ชาตานิ อุปฺปลปทุมกุมุทาทีนิ ปเสฺสยฺย, อจฺฉํ วิปฺปสนฺนํ อุทกํ ปเสฺสยฺยฯ โส ภิโยฺย ภิโยฺย หฎฺฐปหโฎฺฐ หุตฺวา ชาตสฺสรํ โอตริตฺวา ยถารุจิ นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ ปฎิปฺปสฺสทฺธทรโถ ภิสมุฬาลโปกฺขราทีนิ ขาทิตฺวา นีลุปฺปลาทีนิ ปิฬนฺธิตฺวา มนฺทาลกมูลานิ ขเนฺธ กริตฺวา อุตฺตริตฺวา สาฎกํ นิวาเสตฺวา, อุทกสาฎกํ อาตเป กตฺวา, สีตจฺฉายาย มนฺทมเนฺท วาเต ปหรเนฺต นิปโนฺน ‘อโห สุขํ, อโห สุข’นฺติ วเทยฺยฯ เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Yathā hi puriso mahākantāramaggaṃ paṭipanno ghammapareto tasito pipāsito paṭipathe purisaṃ disvā ‘kattha pānīyaṃ atthī’ti puccheyya. So ‘aṭaviṃ uttaritvā jātassaravanasaṇḍo atthi, tattha gantvā labhissasī’ti vadeyya. So tassa kathaṃ sutvā haṭṭhapahaṭṭho bhaveyya. Tato gacchanto bhūmiyaṃ patitāni uppaladalanālapattādīni disvā suṭṭhutaraṃ haṭṭhapahaṭṭho hutvā gacchanto allavatthe allakese purise passeyya, vanakukkuṭamorādīnaṃ saddaṃ suṇeyya, jātassarapariyante jātaṃ maṇijālasadisaṃ nīlavanasaṇḍaṃ passeyya, sare jātāni uppalapadumakumudādīni passeyya, acchaṃ vippasannaṃ udakaṃ passeyya. So bhiyyo bhiyyo haṭṭhapahaṭṭho hutvā jātassaraṃ otaritvā yathāruci nhatvā ca pivitvā ca paṭippassaddhadaratho bhisamuḷālapokkharādīni khāditvā nīluppalādīni piḷandhitvā mandālakamūlāni khandhe karitvā uttaritvā sāṭakaṃ nivāsetvā, udakasāṭakaṃ ātape katvā, sītacchāyāya mandamande vāte paharante nipanno ‘aho sukhaṃ, aho sukha’nti vadeyya. Evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ.
ตสฺส หิ ปุริสสฺส ชาตสฺสรวนสณฺฑสวนโต ปฎฺฐาย ยาว อุทกทสฺสนา หฎฺฐปหฎฺฐกาโล วิย ปุพฺพภาคารมฺมเณ หฎฺฐปหฎฺฐาการา ปีติฯ นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ สีตจฺฉายาย มนฺทมเนฺท วาเต ปหรเนฺต ‘อโห สุขํ, อโห สุข’นฺติ วทโต นิปนฺนกาโล วิย พลวปฺปตฺตํ อารมฺมณรสานุภวนาการสณฺฐิตํ สุขํฯ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สมเย ปากฎภาวโต เจตํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยตฺถ ปน ปีติ สุขมฺปิ ตตฺถ อตฺถีติ วุตฺตเมเวตํฯ
Tassa hi purisassa jātassaravanasaṇḍasavanato paṭṭhāya yāva udakadassanā haṭṭhapahaṭṭhakālo viya pubbabhāgārammaṇe haṭṭhapahaṭṭhākārā pīti. Nhatvā ca pivitvā ca sītacchāyāya mandamande vāte paharante ‘aho sukhaṃ, aho sukha’nti vadato nipannakālo viya balavappattaṃ ārammaṇarasānubhavanākārasaṇṭhitaṃ sukhaṃ. Tasmiṃ tasmiṃ samaye pākaṭabhāvato cetaṃ vuttanti veditabbaṃ. Yattha pana pīti sukhampi tattha atthīti vuttamevetaṃ.
จิตฺตเสฺสกคฺคตาติ จิตฺตสฺส เอกคฺคภาโว; สมาธิเสฺสตํ นามํฯ ลกฺขณาทีสุ ปนสฺส อฎฺฐกถายํ ตาว วุตฺตํ – ‘‘ปาโมกฺขลกฺขโณ จ สมาธิ อวิเกฺขปลกฺขโณ จ’’ฯ ยถา หิ กูฎาคารกณฺณิกา เสสทพฺพสมฺภารานํ อาพนฺธนโต ปมุขา โหติ เอวเมว สพฺพกุสลธมฺมานํ สมาธิจิเตฺตน อิชฺฌนโต สเพฺพสมฺปิ เตสํ ธมฺมานํ สมาธิ ปาโมโกฺข โหติฯ เตน วุตฺตํ –
Cittassekaggatāti cittassa ekaggabhāvo; samādhissetaṃ nāmaṃ. Lakkhaṇādīsu panassa aṭṭhakathāyaṃ tāva vuttaṃ – ‘‘pāmokkhalakkhaṇo ca samādhi avikkhepalakkhaṇo ca’’. Yathā hi kūṭāgārakaṇṇikā sesadabbasambhārānaṃ ābandhanato pamukhā hoti evameva sabbakusaladhammānaṃ samādhicittena ijjhanato sabbesampi tesaṃ dhammānaṃ samādhi pāmokkho hoti. Tena vuttaṃ –
‘‘ยถา, มหาราช, กูฎาคารสฺส ยา กาจิ โคปานสิโย สพฺพา ตา กูฎงฺคมา โหนฺติ, กูฎนินฺนา กูฎสโมสรณา, กูฎํ ตาสํ อคฺคมกฺขายติ, เอวเมว โข, มหาราช, เย เกจิ กุสลา ธมฺมา สเพฺพ เต สมาธินินฺนา โหนฺติ, สมาธิโปณา, สมาธิปพฺภารา, สมาธิ เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๔)ฯ
‘‘Yathā, mahārāja, kūṭāgārassa yā kāci gopānasiyo sabbā tā kūṭaṅgamā honti, kūṭaninnā kūṭasamosaraṇā, kūṭaṃ tāsaṃ aggamakkhāyati, evameva kho, mahārāja, ye keci kusalā dhammā sabbe te samādhininnā honti, samādhipoṇā, samādhipabbhārā, samādhi tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti (mi. pa. 2.1.14).
ยถา จ เสนงฺคํ ปตฺวา ราชา นาม ยตฺถ ยตฺถ เสนา โอสีทติ ตํ ตํ ฐานํ คจฺฉติ, ตสฺส คตคตฎฺฐาเน เสนา ปริปูรติ, ปรเสนา ภิชฺชิตฺวา ราชานเมว อนุวตฺตติ, เอวเมว สหชาตธมฺมานํ วิกฺขิปิตุํ วิปฺปกิริตุํ อปฺปทานโต สมาธิ อวิเกฺขปลกฺขโณ นาม โหตีติฯ
Yathā ca senaṅgaṃ patvā rājā nāma yattha yattha senā osīdati taṃ taṃ ṭhānaṃ gacchati, tassa gatagataṭṭhāne senā paripūrati, parasenā bhijjitvā rājānameva anuvattati, evameva sahajātadhammānaṃ vikkhipituṃ vippakirituṃ appadānato samādhi avikkhepalakkhaṇo nāma hotīti.
อปโร ปน นโย – อยํ จิตฺตเสฺสกคฺคตาสงฺขาโต สมาธิ นาม อวิสารลกฺขโณ วา อวิเกฺขปลกฺขโณ วา, สหชาตธมฺมานํ, สมฺปิณฺฑนรโส นฺหานิยจุณฺณานํ อุทกํ วิย, อุปสมปจฺจุปฎฺฐาโน ญาณปจฺจุปฎฺฐาโน วาฯ ‘‘สมาหิโต ยถาภูตํ ชานาติ ปสฺสตี’’ติ หิ วุตฺตํฯ วิเสสโต สุขปทฎฺฐาโน, นิวาเต ทีปจฺจีนํ ฐิติ วิย เจตโส ฐิตีติ ทฎฺฐโพฺพฯ
Aparo pana nayo – ayaṃ cittassekaggatāsaṅkhāto samādhi nāma avisāralakkhaṇo vā avikkhepalakkhaṇo vā, sahajātadhammānaṃ, sampiṇḍanaraso nhāniyacuṇṇānaṃ udakaṃ viya, upasamapaccupaṭṭhāno ñāṇapaccupaṭṭhāno vā. ‘‘Samāhito yathābhūtaṃ jānāti passatī’’ti hi vuttaṃ. Visesato sukhapadaṭṭhāno, nivāte dīpaccīnaṃ ṭhiti viya cetaso ṭhitīti daṭṭhabbo.