Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๕. ชีวกสุตฺตํ
5. Jīvakasuttaṃ
๕๑. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเนฯ อถ โข ชีวโก โกมารภโจฺจ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ ฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ชีวโก โกมารภโจฺจ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘สุตํ เมตํ, ภเนฺต – ‘สมณํ โคตมํ อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ 1, ตํ สมโณ โคตโม ชานํ อุทฺทิสฺสกตํ 2 มํสํ ปริภุญฺชติ ปฎิจฺจกมฺม’นฺติฯ เย เต, ภเนฺต, เอวมาหํสุ – ‘สมณํ โคตมํ อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ, ตํ สมโณ โคตโม ชานํ อุทฺทิสฺสกตํ มํสํ ปริภุญฺชติ ปฎิจฺจกมฺม’นฺติ, กจฺจิ เต, ภเนฺต, ภควโต วุตฺตวาทิโน, น จ ภควนฺตํ อภูเตน อพฺภาจิกฺขนฺติ, ธมฺมสฺส จานุธมฺมํ พฺยากโรนฺติ, น จ โกจิ สหธมฺมิโก วาทานุวาโท คารยฺหํ ฐานํ อาคจฺฉตี’’ติ?
51. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati jīvakassa komārabhaccassa ambavane. Atha kho jīvako komārabhacco yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi . Ekamantaṃ nisinno kho jīvako komārabhacco bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘sutaṃ metaṃ, bhante – ‘samaṇaṃ gotamaṃ uddissa pāṇaṃ ārabhanti 3, taṃ samaṇo gotamo jānaṃ uddissakataṃ 4 maṃsaṃ paribhuñjati paṭiccakamma’nti. Ye te, bhante, evamāhaṃsu – ‘samaṇaṃ gotamaṃ uddissa pāṇaṃ ārabhanti, taṃ samaṇo gotamo jānaṃ uddissakataṃ maṃsaṃ paribhuñjati paṭiccakamma’nti, kacci te, bhante, bhagavato vuttavādino, na ca bhagavantaṃ abhūtena abbhācikkhanti, dhammassa cānudhammaṃ byākaronti, na ca koci sahadhammiko vādānuvādo gārayhaṃ ṭhānaṃ āgacchatī’’ti?
๕๒. ‘‘เย เต, ชีวก, เอวมาหํสุ – ‘สมณํ โคตมํ อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ, ตํ สมโณ โคตโม ชานํ อุทฺทิสฺสกตํ มํสํ ปริภุญฺชติ ปฎิจฺจกมฺม’นฺติ น เม เต วุตฺตวาทิโน, อพฺภาจิกฺขนฺติ จ มํ เต อสตา อภูเตนฯ ตีหิ โข อหํ, ชีวก, ฐาเนหิ มํสํ อปริโภคนฺติ วทามิฯ ทิฎฺฐํ, สุตํ, ปริสงฺกิตํ – อิเมหิ โข อหํ, ชีวก , ตีหิ ฐาเนหิ มํสํ อปริโภคนฺติ วทามิฯ ตีหิ โข อหํ, ชีวก, ฐาเนหิ มํสํ ปริโภคนฺติ วทามิฯ อทิฎฺฐํ, อสุตํ, อปริสงฺกิตํ – อิเมหิ โข อหํ, ชีวก, ตีหิ ฐาเนหิ มํสํ ปริโภคนฺติ วทามิฯ
52. ‘‘Ye te, jīvaka, evamāhaṃsu – ‘samaṇaṃ gotamaṃ uddissa pāṇaṃ ārabhanti, taṃ samaṇo gotamo jānaṃ uddissakataṃ maṃsaṃ paribhuñjati paṭiccakamma’nti na me te vuttavādino, abbhācikkhanti ca maṃ te asatā abhūtena. Tīhi kho ahaṃ, jīvaka, ṭhānehi maṃsaṃ aparibhoganti vadāmi. Diṭṭhaṃ, sutaṃ, parisaṅkitaṃ – imehi kho ahaṃ, jīvaka , tīhi ṭhānehi maṃsaṃ aparibhoganti vadāmi. Tīhi kho ahaṃ, jīvaka, ṭhānehi maṃsaṃ paribhoganti vadāmi. Adiṭṭhaṃ, asutaṃ, aparisaṅkitaṃ – imehi kho ahaṃ, jīvaka, tīhi ṭhānehi maṃsaṃ paribhoganti vadāmi.
๕๓. ‘‘อิธ, ชีวก, ภิกฺขุ อญฺญตรํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติฯ โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหรติฯ ตเมนํ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อุปสงฺกมิตฺวา สฺวาตนาย ภเตฺตน นิมเนฺตติฯ อากงฺขมาโนว 5, ชีวก, ภิกฺขุ อธิวาเสติ ฯ โส ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน ตสฺส คหปติสฺส วา คหปติปุตฺตสฺส วา นิเวสนํ เตนุปสงฺกมติ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทติฯ ตเมนํ โส คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา ปณีเตน ปิณฺฑปาเตน ปริวิสติฯ ตสฺส น เอวํ โหติ – ‘สาธุ วต มายํ 6 คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา ปณีเตน ปิณฺฑปาเตน ปริวิเสยฺยาติ! อโห วต มายํ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อายติมฺปิ เอวรูเปน ปณีเตน ปิณฺฑปาเตน ปริวิเสยฺยา’ติ – เอวมฺปิสฺส น โหติฯ โส ตํ ปิณฺฑปาตํ อคถิโต 7 อมุจฺฉิโต อนโชฺฌปโนฺน 8 อาทีนวทสฺสาวี นิสฺสรณปโญฺญ ปริภุญฺชติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ชีวก , อปิ นุ โส ภิกฺขุ ตสฺมิํ สมเย อตฺตพฺยาพาธาย วา เจเตติ, ปรพฺยาพาธาย วา เจเตติ, อุภยพฺยาพาธาย วา เจเตตี’’ติ?
53. ‘‘Idha, jīvaka, bhikkhu aññataraṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati. So mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā viharati. Tamenaṃ gahapati vā gahapatiputto vā upasaṅkamitvā svātanāya bhattena nimanteti. Ākaṅkhamānova 9, jīvaka, bhikkhu adhivāseti . So tassā rattiyā accayena pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya yena tassa gahapatissa vā gahapatiputtassa vā nivesanaṃ tenupasaṅkamati; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdati. Tamenaṃ so gahapati vā gahapatiputto vā paṇītena piṇḍapātena parivisati. Tassa na evaṃ hoti – ‘sādhu vata māyaṃ 10 gahapati vā gahapatiputto vā paṇītena piṇḍapātena pariviseyyāti! Aho vata māyaṃ gahapati vā gahapatiputto vā āyatimpi evarūpena paṇītena piṇḍapātena pariviseyyā’ti – evampissa na hoti. So taṃ piṇḍapātaṃ agathito 11 amucchito anajjhopanno 12 ādīnavadassāvī nissaraṇapañño paribhuñjati. Taṃ kiṃ maññasi, jīvaka , api nu so bhikkhu tasmiṃ samaye attabyābādhāya vā ceteti, parabyābādhāya vā ceteti, ubhayabyābādhāya vā cetetī’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘นนุ โส, ชีวก, ภิกฺขุ ตสฺมิํ สมเย อนวชฺชํเยว อาหารํ อาหาเรตี’’ติ?
‘‘Nanu so, jīvaka, bhikkhu tasmiṃ samaye anavajjaṃyeva āhāraṃ āhāretī’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺตฯ สุตํ เมตํ, ภเนฺต – ‘พฺรหฺมา เมตฺตาวิหารี’ติฯ ตํ เม อิทํ, ภเนฺต, ภควา สกฺขิทิโฎฺฐ; ภควา หิ, ภเนฺต, เมตฺตาวิหารี’’ติฯ ‘‘เยน โข, ชีวก, ราเคน เยน โทเสน เยน โมเหน พฺยาปาทวา อสฺส โส ราโค โส โทโส โส โมโห ตถาคตสฺส ปหีโน อุจฺฉินฺนมูโล ตาลาวตฺถุกโต อนภาวํกโต 13 อายติํ อนุปฺปาทธโมฺมฯ สเจ โข เต, ชีวก, อิทํ สนฺธาย ภาสิตํ อนุชานามิ เต เอต’’นฺติฯ ‘‘เอตเทว โข ปน เม, ภเนฺต, สนฺธาย ภาสิตํ’’ 14ฯ
‘‘Evaṃ, bhante. Sutaṃ metaṃ, bhante – ‘brahmā mettāvihārī’ti. Taṃ me idaṃ, bhante, bhagavā sakkhidiṭṭho; bhagavā hi, bhante, mettāvihārī’’ti. ‘‘Yena kho, jīvaka, rāgena yena dosena yena mohena byāpādavā assa so rāgo so doso so moho tathāgatassa pahīno ucchinnamūlo tālāvatthukato anabhāvaṃkato 15 āyatiṃ anuppādadhammo. Sace kho te, jīvaka, idaṃ sandhāya bhāsitaṃ anujānāmi te eta’’nti. ‘‘Etadeva kho pana me, bhante, sandhāya bhāsitaṃ’’ 16.
๕๔. ‘‘อิธ, ชีวก, ภิกฺขุ อญฺญตรํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติฯ โส กรุณาสหคเตน เจตสา…เป.… มุทิตาสหคเตน เจตสา…เป.… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหรติฯ ตเมนํ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อุปสงฺกมิตฺวา สฺวาตนาย ภเตฺตน นิมเนฺตติฯ อากงฺขมาโนว, ชีวก, ภิกฺขุ อธิวาเสติฯ โส ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน คหปติสฺส วา คหปติปุตฺตสฺส วา นิเวสนํ เตนุปสงฺกมติ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทติฯ ตเมนํ โส คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา ปณีเตน ปิณฺฑปาเตน ปริวิสติฯ ตสฺส น เอวํ โหติ – ‘สาธุ วต มายํ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา ปณีเตน ปิณฺฑปาเตน ปริวิเสยฺยาติ! อโห วต มายํ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อายติมฺปิ เอวรูเปน ปณีเตน ปิณฺฑปาเตน ปริวิเสยฺยา’ติ – เอวมฺปิสฺส น โหติฯ โส ตํ ปิณฺฑปาตํ อคถิโต อมุจฺฉิโต อนโชฺฌปโนฺน อาทีนวทสฺสาวี นิสฺสรณปโญฺญ ปริภุญฺชติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ชีวก, อปิ นุ โส ภิกฺขุ ตสฺมิํ สมเย อตฺตพฺยาพาธาย วา เจเตติ, ปรพฺยาพาธาย วา เจเตติ, อุภยพฺยาพาธาย วา เจเตตี’’ติ?
54. ‘‘Idha, jīvaka, bhikkhu aññataraṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati. So karuṇāsahagatena cetasā…pe… muditāsahagatena cetasā…pe… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā viharati. Tamenaṃ gahapati vā gahapatiputto vā upasaṅkamitvā svātanāya bhattena nimanteti. Ākaṅkhamānova, jīvaka, bhikkhu adhivāseti. So tassā rattiyā accayena pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya yena gahapatissa vā gahapatiputtassa vā nivesanaṃ tenupasaṅkamati; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdati. Tamenaṃ so gahapati vā gahapatiputto vā paṇītena piṇḍapātena parivisati. Tassa na evaṃ hoti – ‘sādhu vata māyaṃ gahapati vā gahapatiputto vā paṇītena piṇḍapātena pariviseyyāti! Aho vata māyaṃ gahapati vā gahapatiputto vā āyatimpi evarūpena paṇītena piṇḍapātena pariviseyyā’ti – evampissa na hoti. So taṃ piṇḍapātaṃ agathito amucchito anajjhopanno ādīnavadassāvī nissaraṇapañño paribhuñjati. Taṃ kiṃ maññasi, jīvaka, api nu so bhikkhu tasmiṃ samaye attabyābādhāya vā ceteti, parabyābādhāya vā ceteti, ubhayabyābādhāya vā cetetī’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘นนุ โส, ชีวก, ภิกฺขุ ตสฺมิํ สมเย อนวชฺชํเยว อาหารํ อาหาเรตี’’ติ?
‘‘Nanu so, jīvaka, bhikkhu tasmiṃ samaye anavajjaṃyeva āhāraṃ āhāretī’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺตฯ สุตํ เมตํ, ภเนฺต – ‘พฺรหฺมา อุเปกฺขาวิหารี’ติฯ ตํ เม อิทํ, ภเนฺต, ภควา สกฺขิทิโฎฺฐ; ภควา หิ, ภเนฺต, อุเปกฺขาวิหารี’’ติฯ ‘‘เยน โข, ชีวก, ราเคน เยน โทเสน เยน โมเหน วิเหสวา อสฺส อรติวา อสฺส ปฎิฆวา อสฺส โส ราโค โส โทโส โส โมโห ตถาคตสฺส ปหีโน อุจฺฉินฺนมูโล ตาลาวตฺถุกโต อนภาวํกโต อายติํ อนุปฺปาทธโมฺมฯ สเจ โข เต, ชีวก, อิทํ สนฺธาย ภาสิตํ, อนุชานามิ เต เอต’’นฺติฯ ‘‘เอตเทว โข ปน เม, ภเนฺต, สนฺธาย ภาสิตํ’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante. Sutaṃ metaṃ, bhante – ‘brahmā upekkhāvihārī’ti. Taṃ me idaṃ, bhante, bhagavā sakkhidiṭṭho; bhagavā hi, bhante, upekkhāvihārī’’ti. ‘‘Yena kho, jīvaka, rāgena yena dosena yena mohena vihesavā assa arativā assa paṭighavā assa so rāgo so doso so moho tathāgatassa pahīno ucchinnamūlo tālāvatthukato anabhāvaṃkato āyatiṃ anuppādadhammo. Sace kho te, jīvaka, idaṃ sandhāya bhāsitaṃ, anujānāmi te eta’’nti. ‘‘Etadeva kho pana me, bhante, sandhāya bhāsitaṃ’’.
๕๕. ‘‘โย โข, ชีวก, ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุํ อปุญฺญํ ปสวติฯ ยมฺปิ โส, คหปติ, เอวมาห – ‘คจฺฉถ, อมุกํ นาม ปาณํ อาเนถา’ติ, อิมินา ปฐเมน ฐาเนน พหุํ อปุญฺญํ ปสวติฯ ยมฺปิ โส ปาโณ คลปฺปเวฐเกน 17 อานียมาโน ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติ, อิมินา ทุติเยน ฐาเนน พหุํ อปุญฺญํ ปสวติฯ ยมฺปิ โส เอวมาห – ‘คจฺฉถ อิมํ ปาณํ อารภถา’ติ, อิมินา ตติเยน ฐาเนน พหุํ อปุญฺญํ ปสวติฯ ยมฺปิ โส ปาโณ อารภิยมาโน ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติ , อิมินา จตุเตฺถน ฐาเนน พหุํ อปุญฺญํ ปสวติฯ ยมฺปิ โส ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อาสาเทติ, อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุํ อปุญฺญํ ปสวติฯ โย โข, ชีวก, ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุํ อปุญฺญํ ปสวตี’’ติฯ
55. ‘‘Yo kho, jīvaka, tathāgataṃ vā tathāgatasāvakaṃ vā uddissa pāṇaṃ ārabhati so pañcahi ṭhānehi bahuṃ apuññaṃ pasavati. Yampi so, gahapati, evamāha – ‘gacchatha, amukaṃ nāma pāṇaṃ ānethā’ti, iminā paṭhamena ṭhānena bahuṃ apuññaṃ pasavati. Yampi so pāṇo galappaveṭhakena 18 ānīyamāno dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedeti, iminā dutiyena ṭhānena bahuṃ apuññaṃ pasavati. Yampi so evamāha – ‘gacchatha imaṃ pāṇaṃ ārabhathā’ti, iminā tatiyena ṭhānena bahuṃ apuññaṃ pasavati. Yampi so pāṇo ārabhiyamāno dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedeti , iminā catutthena ṭhānena bahuṃ apuññaṃ pasavati. Yampi so tathāgataṃ vā tathāgatasāvakaṃ vā akappiyena āsādeti, iminā pañcamena ṭhānena bahuṃ apuññaṃ pasavati. Yo kho, jīvaka, tathāgataṃ vā tathāgatasāvakaṃ vā uddissa pāṇaṃ ārabhati so imehi pañcahi ṭhānehi bahuṃ apuññaṃ pasavatī’’ti.
เอวํ วุเตฺต, ชีวโก โกมารภโจฺจ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺต! กปฺปิยํ วต, ภเนฺต, ภิกฺขู อาหารํ อาหาเรนฺติ ; อนวชฺชํ วต, ภเนฺต, ภิกฺขู อาหารํ อาหาเรนฺติฯ อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต, อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต…เป.… อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ
Evaṃ vutte, jīvako komārabhacco bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhante! Kappiyaṃ vata, bhante, bhikkhū āhāraṃ āhārenti ; anavajjaṃ vata, bhante, bhikkhū āhāraṃ āhārenti. Abhikkantaṃ, bhante, abhikkantaṃ, bhante…pe… upāsakaṃ maṃ bhagavā dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.
ชีวกสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปญฺจมํฯ
Jīvakasuttaṃ niṭṭhitaṃ pañcamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. ชีวกสุตฺตวณฺณนา • 5. Jīvakasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. ชีวกสุตฺตวณฺณนา • 5. Jīvakasuttavaṇṇanā