Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๕. ชีวกสุตฺตวณฺณนา
5. Jīvakasuttavaṇṇanā
๕๑. กุมาเรน ภโต โปสาปิโตติ กุมารภโต, กุมารภโต เอว โกมารภโจฺจ ยถา ‘‘ภิสกฺกเมว เภสชฺช’’นฺติฯ
51. Kumārena bhato posāpitoti kumārabhato, kumārabhato eva komārabhacco yathā ‘‘bhisakkameva bhesajja’’nti.
อารภนฺตีติ เอตฺถ อารภ-สโทฺท กามํ กามายูหนยญฺญุฎฺฐาปนอาปตฺติอาปชฺชนวิญฺญาปนาทีสุปิ อาคโต, อิธ ปน หิํสเน อิจฺฉิตโพฺพติ อาห – ‘‘อารภนฺตีติ ฆาเตนฺตี’’ติฯ อุทฺทิสิตฺวา กตนฺติ (อ. นิ. ฎี. ๓.๘.๑๒; สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๒๙๔) อตฺตานํ อุทฺทิสิตฺวา มารณวเสน กตํ นิพฺพตฺติตํฯ ปฎิจฺจกมฺมนฺติ เอตฺถ กมฺม-สโทฺท กมฺมสาธโน อตีตกาลิโกติ อาห – ‘‘อตฺตานํ ปฎิจฺจ กต’’นฺติฯ นิมิตฺตกมฺมเสฺสตํ อธิวจนํ ‘‘ปฎิจฺจ กมฺมํ ผุสตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๔.๗๕) วิยฯ นิมิตฺตกมฺมสฺสาติ นิมิตฺตภาเวน ลทฺธพฺพกมฺมสฺส, น กรณการาปนวเสนฯ ปฎิจฺจกมฺมํ เอตฺถ อตฺถีติ มํสํ ปฎิจฺจกมฺมํ ยถา ‘‘พุทฺธํ เอตสฺส อตฺถีติ พุโทฺธ’’ติฯ เตสนฺติ นิคณฺฐานํฯ อเญฺญปิ พฺราหฺมณาทโย ตํลทฺธิกา อเตฺถวฯ
Ārabhantīti ettha ārabha-saddo kāmaṃ kāmāyūhanayaññuṭṭhāpanaāpattiāpajjanaviññāpanādīsupi āgato, idha pana hiṃsane icchitabboti āha – ‘‘ārabhantīti ghātentī’’ti. Uddisitvā katanti (a. ni. ṭī. 3.8.12; sārattha. ṭī. mahāvagga 3.294) attānaṃ uddisitvā māraṇavasena kataṃ nibbattitaṃ. Paṭiccakammanti ettha kamma-saddo kammasādhano atītakālikoti āha – ‘‘attānaṃ paṭicca kata’’nti. Nimittakammassetaṃ adhivacanaṃ ‘‘paṭicca kammaṃ phusatī’’tiādīsu (jā. 1.4.75) viya. Nimittakammassāti nimittabhāvena laddhabbakammassa, na karaṇakārāpanavasena. Paṭiccakammaṃ ettha atthīti maṃsaṃ paṭiccakammaṃ yathā ‘‘buddhaṃ etassa atthīti buddho’’ti. Tesanti nigaṇṭhānaṃ. Aññepi brāhmaṇādayo taṃladdhikā attheva.
การณนฺติ เอตฺถ ยุตฺติ อธิเปฺปตา, สา เอว จ ธมฺมโต อนเปตตฺตา ‘‘ธโมฺม’’ติ วุตฺตาติ อาห – ‘‘การณํ นาม ติโกฎิปริสุทฺธมจฺฉมํสปริโภโค’’ติฯ อนุการณํ นาม มหาชนสฺส ตถา พฺยากรณํ ยุตฺติยา ธมฺมสฺส อนุรูปภาวโต มํสํ ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ อนุญฺญาตํ ตเถว กถนนฺติ กตฺวาฯ ตนฺติ ‘‘ชานํ อุทฺทิสฺสกตํ มํสํ ปริภุญฺชตี’’ติ เอวํ วุตฺตํ ปริภุญฺชนํ เนว การณํ โหติ สเพฺพน สพฺพํ อภาวโต สติ จ อยุตฺติยํ อธโมฺมติ กตฺวาฯ ตถา พฺยากรณนฺติ ‘‘ชานํ อุทฺทิสฺสกตํ มํสํ ปริภุญฺชตี’’ติ กถนํ ยุตฺติยา ธมฺมสฺส อนนุรูปภาวโต น อนุการณํ โหติฯ ปเรหิ วุตฺตการเณน สการโณ หุตฺวาติ ปเร ติตฺถิยา ‘ชาน’นฺติอาทินา ธมฺมํ กเถนฺติ วทนฺติ, เตน การณภูเตน สการโณ หุตฺวาฯ เตหิ ตถา วตฺตโพฺพ เอว หุตฺวา ตุมฺหากํ วาโท วา อนุวาโท วา ‘‘มํสํ ปริภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ ปวตฺตา ตุมฺหากํ กถา วา ปรโต ปเรหิ ตถา ปวตฺติตา ตสฺสา อนุกถา วาฯ วิญฺญูหิ ครหิตพฺพการณนฺติ ติตฺถิยา ตาว ติฎฺฐนฺตุ, ตโต อเญฺญหิ ปณฺฑิเตหิ ครหิตพฺพการณํฯ โกจิ น อาคจฺฉตีติ ครหิตพฺพตํ น อาปชฺชตีติ อโตฺถฯ อภิภวิตฺวา อาจิกฺขนฺตีติ อภิภุยฺย มทฺทิตฺวา กเถนฺติ, อภิภูเตน อโกฺกสนฺตีติ อโตฺถฯ
Kāraṇanti ettha yutti adhippetā, sā eva ca dhammato anapetattā ‘‘dhammo’’ti vuttāti āha – ‘‘kāraṇaṃ nāma tikoṭiparisuddhamacchamaṃsaparibhogo’’ti. Anukāraṇaṃ nāma mahājanassa tathā byākaraṇaṃ yuttiyā dhammassa anurūpabhāvato maṃsaṃ paribhuñjitabbanti anuññātaṃ tatheva kathananti katvā. Tanti ‘‘jānaṃ uddissakataṃ maṃsaṃ paribhuñjatī’’ti evaṃ vuttaṃ paribhuñjanaṃ neva kāraṇaṃ hoti sabbena sabbaṃ abhāvato sati ca ayuttiyaṃ adhammoti katvā. Tathā byākaraṇanti ‘‘jānaṃ uddissakataṃ maṃsaṃ paribhuñjatī’’ti kathanaṃ yuttiyā dhammassa ananurūpabhāvato na anukāraṇaṃ hoti. Parehi vuttakāraṇena sakāraṇo hutvāti pare titthiyā ‘jāna’ntiādinā dhammaṃ kathenti vadanti, tena kāraṇabhūtena sakāraṇo hutvā. Tehi tathā vattabbo eva hutvā tumhākaṃ vādo vā anuvādo vā ‘‘maṃsaṃ paribhuñjitabba’’nti pavattā tumhākaṃ kathā vā parato parehi tathā pavattitā tassā anukathā vā. Viññūhi garahitabbakāraṇanti titthiyā tāva tiṭṭhantu, tato aññehi paṇḍitehi garahitabbakāraṇaṃ. Koci na āgacchatīti garahitabbataṃ na āpajjatīti attho. Abhibhavitvā ācikkhantīti abhibhuyya madditvā kathenti, abhibhūtena akkosantīti attho.
๕๒. การเณหีติ ปริโภคจิตฺตสฺส อวิสุทฺธตาเหตูหิฯ ภิกฺขู อุทฺทิสฺสกตํ ทิฎฺฐํฯ ตาทิสมํสญฺหิ ปริโภคานารหตฺตา จิตฺตอวิสุทฺธิยา การณํ จิตฺตสํกิเลสาวหโตฯ อิทานิ ทิฎฺฐสุตปริสงฺกิตานิ สรูปโต ทเสฺสตุํ ‘‘ทิฎฺฐาทีสู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตทุภยวิมุตฺตปริสงฺกิตนฺติ ‘‘ทิฎฺฐํ สุต’’นฺติ อิมํ อุภยํ อนิสฺสาย – ‘‘กิํ นุ โข อิมํ ภิกฺขุํ อุทฺทิสฺส วธิตฺวา สมฺปาทิต’’นฺติ เกวลเมว ปริสงฺกิตํฯ สพฺพสงฺคาหโกติ สเพฺพสํ ติณฺณํ ปริสงฺกิตานํ สงฺคณฺหนโกฯ
52.Kāraṇehīti paribhogacittassa avisuddhatāhetūhi. Bhikkhū uddissakataṃ diṭṭhaṃ. Tādisamaṃsañhi paribhogānārahattā cittaavisuddhiyā kāraṇaṃ cittasaṃkilesāvahato. Idāni diṭṭhasutaparisaṅkitāni sarūpato dassetuṃ ‘‘diṭṭhādīsū’’tiādi vuttaṃ. Tattha tadubhayavimuttaparisaṅkitanti ‘‘diṭṭhaṃ suta’’nti imaṃ ubhayaṃ anissāya – ‘‘kiṃ nu kho imaṃ bhikkhuṃ uddissa vadhitvā sampādita’’nti kevalameva parisaṅkitaṃ. Sabbasaṅgāhakoti sabbesaṃ tiṇṇaṃ parisaṅkitānaṃ saṅgaṇhanako.
มงฺคลาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน อาหุนปาหุนาทิกํ สงฺคณฺหาติฯ นิเพฺพมติกา โหนฺตีติ สเพฺพน สพฺพํ ปริสงฺกิตาภาวมาหฯ อิตเรสนฺติ อชานนฺตานํ วฎฺฎติ, ชานโต เอเวตฺถ อาปตฺติ โหติฯ เตเยวาติ เย อุทฺทิสฺส กตํ, เตเยวฯ
Maṅgalādīnanti ādi-saddena āhunapāhunādikaṃ saṅgaṇhāti. Nibbematikā hontīti sabbena sabbaṃ parisaṅkitābhāvamāha. Itaresanti ajānantānaṃ vaṭṭati, jānato evettha āpatti hoti. Teyevāti ye uddissa kataṃ, teyeva.
อุทฺทิสฺสกตมํสปริโภคโต อกปฺปิยมํสปริโภคสฺส วิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘อกปฺปิยมํสํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปุริมสฺมิํ สจิตฺตกา อาปตฺติ, อิตรสฺมิํ อจิตฺตกาฯ เตนาห – ‘‘อกปฺปิยมํสํ อชานิตฺวา ภุตฺตสฺสปิ อาปตฺติเยวา’’ติฯ ปริโภคนฺติ ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ วทามีติ อโตฺถฯ
Uddissakatamaṃsaparibhogato akappiyamaṃsaparibhogassa visesaṃ dassetuṃ ‘‘akappiyamaṃsaṃ panā’’tiādi vuttaṃ. Purimasmiṃ sacittakā āpatti, itarasmiṃ acittakā. Tenāha – ‘‘akappiyamaṃsaṃ ajānitvā bhuttassapi āpattiyevā’’ti. Paribhoganti paribhuñjitabbanti vadāmīti attho.
๕๓. ตาทิสสฺสาติ ติโกฎิปริสุทฺธสฺส มจฺฉมํสสฺส ปริโภเคฯ เมตฺตาวิหาริโนปีติ อปิ-สเทฺทน อเมตฺตาวิหาริโนปิฯ เมตฺตาวิหาริโน ปริโภเค สิขาปฺปตฺตา อนวชฺชตาติ ทเสฺสตุํ ‘‘อิธ, ชีวก, ภิกฺขู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อนิยเมตฺวาติ อวิเสเสตฺวา สามญฺญโตฯ ยสฺมา ภควตา – ‘‘ยโต โข, วจฺฉ, ภิกฺขุโน ตณฺหา ปหีนา โหตี’’ติอาทินา มหาวจฺฉโคตฺตสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๑๙๔) อตฺตา อนิยเมตฺวา วุโตฺตฯ ตถา หิ วจฺฉโคโตฺต – ‘‘ติฎฺฐตุ ภวํ โคตโม, อตฺถิ ปน โภโต โคตมสฺส เอกภิกฺขุปิ สาวโก อาสวานํ ขยา…เป.… อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติ อาห, ‘‘อิธ, ภารทฺวาช, ภิกฺขุ อญฺญตรํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรตี’’ติอาทินา จงฺกีสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๔๓๐) อตฺตา อนิยเมตฺวา วุโตฺตฯ ตถา หิ ตตฺถ ปรโต – ‘‘ยํ โข ปน อยมายสฺมา ธมฺมํ เทเสติ, คมฺภีโร โส ธโมฺม ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สโนฺต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย, น โส ธโมฺม สุเทสนีโย ลุเทฺทนา’’ติอาทินา เทสนา อาคตา, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ภควตา หิ มหาวจฺฉโคตฺตสุเตฺต, จงฺกีสุเตฺต อิมสฺมิํ สุเตฺตติ ตีสุ ฐาเนสุ อตฺตานํเยว สนฺธาย เทสนา กตา’’ติฯ มํสูปเสจโนว อธิเปฺปโต มจฺฉมํสสหิตสฺส อาหารสฺส ปริโภคภาวโต มจฺฉมํสสฺส จ อิธ อธิเปฺปตตฺตาฯ
53.Tādisassāti tikoṭiparisuddhassa macchamaṃsassa paribhoge. Mettāvihārinopīti api-saddena amettāvihārinopi. Mettāvihārino paribhoge sikhāppattā anavajjatāti dassetuṃ ‘‘idha, jīvaka, bhikkhū’’tiādi vuttaṃ. Aniyametvāti avisesetvā sāmaññato. Yasmā bhagavatā – ‘‘yato kho, vaccha, bhikkhuno taṇhā pahīnā hotī’’tiādinā mahāvacchagottasutte (ma. ni. 2.194) attā aniyametvā vutto. Tathā hi vacchagotto – ‘‘tiṭṭhatu bhavaṃ gotamo, atthi pana bhoto gotamassa ekabhikkhupi sāvako āsavānaṃ khayā…pe… upasampajja viharatī’’ti āha, ‘‘idha, bhāradvāja, bhikkhu aññataraṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharatī’’tiādinā caṅkīsutte (ma. ni. 2.430) attā aniyametvā vutto. Tathā hi tattha parato – ‘‘yaṃ kho pana ayamāyasmā dhammaṃ deseti, gambhīro so dhammo duddaso duranubodho santo paṇīto atakkāvacaro nipuṇo paṇḍitavedanīyo, na so dhammo sudesanīyo luddenā’’tiādinā desanā āgatā, tasmā vuttaṃ ‘‘bhagavatā hi mahāvacchagottasutte, caṅkīsutte imasmiṃ sutteti tīsu ṭhānesu attānaṃyeva sandhāya desanā katā’’ti. Maṃsūpasecanova adhippeto macchamaṃsasahitassa āhārassa paribhogabhāvato macchamaṃsassa ca idha adhippetattā.
อคถิโต อปฺปฎิพโทฺธฯ ตณฺหามุจฺฉนายาติ ตณฺหายนวเสน มุจฺฉาปตฺติยาฯ อนโชฺฌปโนฺน ตณฺหาย อภิภวิตฺวา น อโชฺฌตฺถโฎ, คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐเปตฺวา น สณฺฐิโตติ อโตฺถฯ เตนาห – ‘‘สพฺพํ อาลุมฺปิตฺวา’’ติอาทิฯ อิธ อาทีนโว อาหารสฺส ปฎิกูลภาโวติ อาห ‘‘เอกรตฺติวาเสนา’’ติอาทิฯ อยมโตฺถ อาหารปริโภโคติ อตฺถสํโยชนปริเจฺฉทิกา ‘‘ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๑๘๒; ม. นิ. ๑.๒๓; ๒.๒๔; ๓.๗๕; สํ. นิ. ๔.๑๒๐) ปวตฺตา อาหารปฎิพทฺธฉนฺทราคนิสฺสรณภูตา ปญฺญา อสฺส อตฺถีติ นิสฺสรณปโญฺญฯ อิทมตฺถนฺติ เอตมตฺถายฯ เอวํ สเนฺตติ ‘‘พฺรหฺมาติ จ เมตฺตาวิหาริโน สมญฺญา’’ติ อวตฺวา เย ธมฺมา เมตฺตาวิหารสฺส ปฎิปกฺขภูตา, ตตฺถ สาวเสสํ ปหาสิ พฺรหฺมา, อนวเสสํ ปหาสิ ภควาติ สเจ เต อิทํ สนฺธาย ภาสิตํ, เอวํ สเนฺต ตว อิทํ ยถาวุตฺตวจนํ อนุชานามิ, น เมตฺตาวิหาริตาสามญฺญมตฺตโตติ อโตฺถฯ
Agathito appaṭibaddho. Taṇhāmucchanāyāti taṇhāyanavasena mucchāpattiyā. Anajjhopanno taṇhāya abhibhavitvā na ajjhotthaṭo, gilitvā pariniṭṭhapetvā na saṇṭhitoti attho. Tenāha – ‘‘sabbaṃ ālumpitvā’’tiādi. Idha ādīnavo āhārassa paṭikūlabhāvoti āha ‘‘ekarattivāsenā’’tiādi. Ayamattho āhāraparibhogoti atthasaṃyojanaparicchedikā ‘‘yāvadeva imassa kāyassa ṭhitiyā’’tiādinā (dī. ni. 3.182; ma. ni. 1.23; 2.24; 3.75; saṃ. ni. 4.120) pavattā āhārapaṭibaddhachandarāganissaraṇabhūtā paññā assa atthīti nissaraṇapañño. Idamatthanti etamatthāya. Evaṃ santeti ‘‘brahmāti ca mettāvihārino samaññā’’ti avatvā ye dhammā mettāvihārassa paṭipakkhabhūtā, tattha sāvasesaṃ pahāsi brahmā, anavasesaṃ pahāsi bhagavāti sace te idaṃ sandhāya bhāsitaṃ, evaṃ sante tava idaṃ yathāvuttavacanaṃ anujānāmi, na mettāvihāritāsāmaññamattatoti attho.
๕๕. ‘‘ปาฎิเยโกฺก อนุสนฺธี’’ติ วตฺวา วิสุํ อนุสนฺธิภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิมสฺมิํ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ทฺวารํ ถเกตีติ มจฺฉมํสปริโภคานุญฺญาย อเญฺญสํ วจนทฺวารํ ปิทหติ, โจทนาปถํ นิรุนฺธติฯ กถํ สตฺตานุทฺทยํ ทเสฺสติ? สตฺตานุทฺทยมุเขน พาหิรกานํ มจฺฉมํสปริโภคปฎิเกฺขโป ตยิทํ มิจฺฉา, ติโกฎิปริสุทฺธเสฺสว มจฺฉมํสสฺส ปริโภโค ภควตา อนุญฺญาโตฯ ตถา หิ วุตฺตํ – ‘ตีหิ โข อหํ, ชีวก, ฐาเนหิ มํสํ ปริโภคนฺติ วทามี’ติอาทิ (ม. นิ. ๒.๕๒)ฯ วินเยปิ (ปารา. ๔๐๙; จูฬว. ๓๔๓) วุตฺตํ – ‘‘ติโกฎิปริสุทฺธํ, เทวทตฺต, มจฺฉมํสํ มยา อนุญฺญาต’’นฺติฯ ติโกฎิปริสุทฺธญฺจ ภุญฺชนฺตานํ สเตฺตสุ อนุทฺทยา นิจฺจลาฯ ‘‘สตฺตานุทฺทยํ ทเสฺสตี’’ติ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘สเจ หี’’ติอาทิมาหฯ
55.‘‘Pāṭiyekkoanusandhī’’ti vatvā visuṃ anusandhibhāvaṃ dassetuṃ ‘‘imasmiṃ hī’’tiādi vuttaṃ. Dvāraṃ thaketīti macchamaṃsaparibhogānuññāya aññesaṃ vacanadvāraṃ pidahati, codanāpathaṃ nirundhati. Kathaṃ sattānuddayaṃ dasseti? Sattānuddayamukhena bāhirakānaṃ macchamaṃsaparibhogapaṭikkhepo tayidaṃ micchā, tikoṭiparisuddhasseva macchamaṃsassa paribhogo bhagavatā anuññāto. Tathā hi vuttaṃ – ‘tīhi kho ahaṃ, jīvaka, ṭhānehi maṃsaṃ paribhoganti vadāmī’tiādi (ma. ni. 2.52). Vinayepi (pārā. 409; cūḷava. 343) vuttaṃ – ‘‘tikoṭiparisuddhaṃ, devadatta, macchamaṃsaṃ mayā anuññāta’’nti. Tikoṭiparisuddhañca bhuñjantānaṃ sattesu anuddayā niccalā. ‘‘Sattānuddayaṃ dassetī’’ti saṅkhepato vuttamatthaṃ vivaranto ‘‘sace hī’’tiādimāha.
ปฐเมน การเณนาติ เทสนาวเสนปิ ปโยควเสนปิ ปฐเมน ปรูปฆาตเหตุนาฯ กฑฺฒิโต โส ปาโณฯ คเลน ปเวเธเนฺตนาติ โยตฺตคเลน กรเณน อสยฺหมาเนนฯ พหุปุญฺญเมว โหติ อาสาทนาเปกฺขาย อภาวโต, หิตชฺฌาสยตฺตา วาติ อธิปฺปาโยฯ เอสาหํ, ภเนฺตติอาทิ กสฺมา วุตฺตํ, สรณคมนวเสเนว คหิตสรโณติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘อย’’นฺติอาทิฯ โอคาหโนฺตติอาทิโต ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานา สุตฺตํ อนุสฺสรโนฺต อตฺถํ อุปธาเรโนฺตฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Paṭhamena kāraṇenāti desanāvasenapi payogavasenapi paṭhamena parūpaghātahetunā. Kaḍḍhito so pāṇo. Galena pavedhentenāti yottagalena karaṇena asayhamānena. Bahupuññameva hoti āsādanāpekkhāya abhāvato, hitajjhāsayattā vāti adhippāyo. Esāhaṃ, bhantetiādi kasmā vuttaṃ, saraṇagamanavaseneva gahitasaraṇoti codanaṃ sandhāyāha ‘‘aya’’ntiādi. Ogāhantotiādito paṭṭhāya yāva pariyosānā suttaṃ anussaranto atthaṃ upadhārento. Sesaṃ suviññeyyameva.
ชีวกสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Jīvakasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. ชีวกสุตฺตํ • 5. Jīvakasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. ชีวกสุตฺตวณฺณนา • 5. Jīvakasuttavaṇṇanā