Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๕๖] ๒. ชุณฺหชาตกวณฺณนา
[456] 2. Juṇhajātakavaṇṇanā
สุโณหิ มยฺหํ วจนํ ชนินฺทาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อานนฺทเตฺถเรน ลทฺธวเร อารพฺภ กเถสิฯ ปฐมโพธิยญฺหิ วีสติ วสฺสานิ ภควโต อนิพทฺธุปฎฺฐากา อเหสุํฯ เอกทา เถโร นาคสมาโล, เอกทา นาคิโต, เอกทา อุปวาโณ, เอกทา สุนกฺขโตฺต, เอกทา จุโนฺท, เอกทา นโนฺท, เอกทา สาคโต, เอกทา เมฆิโย ภควนฺตํ อุปฎฺฐหิฯ อเถกทิวสํ ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ ‘‘ภิกฺขเว, อิทานิมฺหิ มหลฺลโก, เอกเจฺจ ภิกฺขู ‘อิมินา มเคฺคน คจฺฉามา’ติ วุเตฺต อเญฺญน คจฺฉนฺติ, เอกเจฺจ มยฺหํ ปตฺตจีวรํ ภูมิยํ นิกฺขิปนฺติ, นิพทฺธุปฎฺฐากํ เม เอกํ ภิกฺขุํ ชานาถา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, อหํ อุปฎฺฐหิสฺสามิ, อหํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ สิรสิ อญฺชลิํ กตฺวา อุฎฺฐิเต สาริปุตฺตเตฺถราทโย ‘‘ตุมฺหากํ ปตฺถนา มตฺถกํ ปตฺตา, อล’’นฺติ ปฎิกฺขิปิฯ ตโต ภิกฺขู อานนฺทเตฺถรํ ‘‘ตฺวํ อาวุโส, อุปฎฺฐากฎฺฐานํ ยาจาหี’’ติ อาหํสุฯ เถโร ‘‘สเจ เม ภเนฺต, ภควา อตฺตนา ลทฺธจีวรํ น ทสฺสติ, ปิณฺฑปาตํ น ทสฺสติ, เอกคนฺธกุฎิยํ วสิตุํ น ทสฺสติ, มํ คเหตฺวา นิมนฺตนํ น คมิสฺสติ, สเจ ปน ภควา มยา คหิตํ นิมนฺตนํ คมิสฺสติ, สเจ อหํ ติโรรฎฺฐา ติโรชนปทา ภควนฺตํ ทฎฺฐุํ อาคตํ ปริสํ อาคตกฺขเณเยว ทเสฺสตุํ ลภิสฺสามิ , ยทา เม กงฺขา อุปฺปชฺชติ, ตสฺมิํ ขเณเยว ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตุํ ลภิสฺสามิ, สเจ ยํ ภควา มม ปรมฺมุขา ธมฺมํ กเถติ, ตํ อาคนฺตฺวา มยฺหํ กเถสฺสติ, เอวาหํ ภควนฺตํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ อิเม จตฺตาโร ปฎิเกฺขเป จตโสฺส จ อายาจนาติ อฎฺฐ วเร ยาจิ, ภควาปิสฺส อทาสิฯ
Suṇohi mayhaṃ vacanaṃ janindāti idaṃ satthā jetavane viharanto ānandattherena laddhavare ārabbha kathesi. Paṭhamabodhiyañhi vīsati vassāni bhagavato anibaddhupaṭṭhākā ahesuṃ. Ekadā thero nāgasamālo, ekadā nāgito, ekadā upavāṇo, ekadā sunakkhatto, ekadā cundo, ekadā nando, ekadā sāgato, ekadā meghiyo bhagavantaṃ upaṭṭhahi. Athekadivasaṃ bhagavā bhikkhū āmantesi ‘‘bhikkhave, idānimhi mahallako, ekacce bhikkhū ‘iminā maggena gacchāmā’ti vutte aññena gacchanti, ekacce mayhaṃ pattacīvaraṃ bhūmiyaṃ nikkhipanti, nibaddhupaṭṭhākaṃ me ekaṃ bhikkhuṃ jānāthā’’ti. ‘‘Bhante, ahaṃ upaṭṭhahissāmi, ahaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti sirasi añjaliṃ katvā uṭṭhite sāriputtattherādayo ‘‘tumhākaṃ patthanā matthakaṃ pattā, ala’’nti paṭikkhipi. Tato bhikkhū ānandattheraṃ ‘‘tvaṃ āvuso, upaṭṭhākaṭṭhānaṃ yācāhī’’ti āhaṃsu. Thero ‘‘sace me bhante, bhagavā attanā laddhacīvaraṃ na dassati, piṇḍapātaṃ na dassati, ekagandhakuṭiyaṃ vasituṃ na dassati, maṃ gahetvā nimantanaṃ na gamissati, sace pana bhagavā mayā gahitaṃ nimantanaṃ gamissati, sace ahaṃ tiroraṭṭhā tirojanapadā bhagavantaṃ daṭṭhuṃ āgataṃ parisaṃ āgatakkhaṇeyeva dassetuṃ labhissāmi , yadā me kaṅkhā uppajjati, tasmiṃ khaṇeyeva bhagavantaṃ upasaṅkamituṃ labhissāmi, sace yaṃ bhagavā mama parammukhā dhammaṃ katheti, taṃ āgantvā mayhaṃ kathessati, evāhaṃ bhagavantaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti ime cattāro paṭikkhepe catasso ca āyācanāti aṭṭha vare yāci, bhagavāpissa adāsi.
โส ตโต ปฎฺฐาย ปญฺจวีสติ วสฺสานิ นิพทฺธุปฎฺฐาโก อโหสิฯ โส ปญฺจสุ ฐาเนสุ เอตทเคฺค ฐปนํ ปตฺวา อาคมสมฺปทา, อธิคมสมฺปทา, ปุพฺพเหตุสมฺปทา, อตฺตตฺถปริปุจฺฉาสมฺปทา, ติตฺถวาสสมฺปทา, โยนิโสมนสิการสมฺปทา, พุทฺธูปนิสฺสยสมฺปทาติ อิมาหิ สตฺตหิ สมฺปทาหิ สมนฺนาคโต พุทฺธสฺส สนฺติเก อฎฺฐวรทายชฺชํ ลภิตฺวา พุทฺธสาสเน ปญฺญาโต คคนมเชฺฌ จโนฺท วิย ปากโฎ อโหสิฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, ตถาคโต อานนฺทเตฺถรํ วรทาเนน สนฺตเปฺปสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปาหํ อานนฺทํ วเรน สนฺตเปฺปสิํ, ปุเพฺพปาหํ ยํ ยํ เอส ยาจิ, ตํ ตํ อทาสิํเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
So tato paṭṭhāya pañcavīsati vassāni nibaddhupaṭṭhāko ahosi. So pañcasu ṭhānesu etadagge ṭhapanaṃ patvā āgamasampadā, adhigamasampadā, pubbahetusampadā, attatthaparipucchāsampadā, titthavāsasampadā, yonisomanasikārasampadā, buddhūpanissayasampadāti imāhi sattahi sampadāhi samannāgato buddhassa santike aṭṭhavaradāyajjaṃ labhitvā buddhasāsane paññāto gaganamajjhe cando viya pākaṭo ahosi. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, tathāgato ānandattheraṃ varadānena santappesī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepāhaṃ ānandaṃ varena santappesiṃ, pubbepāhaṃ yaṃ yaṃ esa yāci, taṃ taṃ adāsiṃyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส ปุโตฺต ชุณฺหกุมาโร นาม หุตฺวา ตกฺกสิลายํ สิปฺปํ อุคฺคเหตฺวา อาจริยสฺส อนุโยคํ ทตฺวา รตฺติภาเค อนฺธกาเร อาจริยสฺส ฆรา นิกฺขมิตฺวา อตฺตโน นิวาสฎฺฐานํ เวเคน คจฺฉโนฺต อญฺญตรํ พฺราหฺมณํ ภิกฺขํ จริตฺวา อตฺตโน นิวาสฎฺฐานํ คจฺฉนฺตํ อปสฺสโนฺต พาหุนา ปหริตฺวา ตสฺส ภตฺตปาติํ ภินฺทิํ, พฺราหฺมโณ ปติตฺวา วิรวิฯ กุมาโร การุเญฺญน นิวตฺติตฺวา ตํ หเตฺถ คเหตฺวา อุฎฺฐาเปสิฯ พฺราหฺมโณ ‘‘ตยา, ตาต, มม ภิกฺขาภาชนํ ภินฺนํ, ภตฺตมูลํ เม เทหี’’ติ อาหฯ กุมาโร ‘‘พฺราหฺมณ, น ทานาหํ ตว ภตฺตมูลํ ทาตุํ สโกฺกมิ, อหํ โข ปน กาสิกรโญฺญ ปุโตฺต ชุณฺหกุมาโร นาม, มยิ รเชฺช ปติฎฺฐิเต อาคนฺตฺวา มํ ธนํ ยาเจยฺยาสี’’ติ วตฺวา นิฎฺฐิตสิโปฺป อาจริยํ วนฺทิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ปิตุ สิปฺปํ ทเสฺสสิฯ ปิตา ‘‘ชีวเนฺตน เม ปุโตฺต ทิโฎฺฐ, ราชภูตมฺปิ นํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ รเชฺช อภิสิญฺจิฯ โส ชุณฺหราชา นาม หุตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ พฺราหฺมโณ ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ มม ภตฺตมูลํ อาหริสฺสามี’’ติ พาราณสิํ คนฺตฺวา ราชานํ อลงฺกตนครํ ปทกฺขิณํ กโรนฺตเมว ทิสฺวา เอกสฺมิํ อุนฺนตปฺปเทเส ฐิโต หตฺถํ ปสาเรตฺวา ชยาเปสิฯ อถ นํ ราชา อโนโลเกตฺวาว อติกฺกมิฯ พฺราหฺมโณ เตน อทิฎฺฐภาวํ ญตฺวา กถํ สมุฎฺฐาเปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa putto juṇhakumāro nāma hutvā takkasilāyaṃ sippaṃ uggahetvā ācariyassa anuyogaṃ datvā rattibhāge andhakāre ācariyassa gharā nikkhamitvā attano nivāsaṭṭhānaṃ vegena gacchanto aññataraṃ brāhmaṇaṃ bhikkhaṃ caritvā attano nivāsaṭṭhānaṃ gacchantaṃ apassanto bāhunā paharitvā tassa bhattapātiṃ bhindiṃ, brāhmaṇo patitvā viravi. Kumāro kāruññena nivattitvā taṃ hatthe gahetvā uṭṭhāpesi. Brāhmaṇo ‘‘tayā, tāta, mama bhikkhābhājanaṃ bhinnaṃ, bhattamūlaṃ me dehī’’ti āha. Kumāro ‘‘brāhmaṇa, na dānāhaṃ tava bhattamūlaṃ dātuṃ sakkomi, ahaṃ kho pana kāsikarañño putto juṇhakumāro nāma, mayi rajje patiṭṭhite āgantvā maṃ dhanaṃ yāceyyāsī’’ti vatvā niṭṭhitasippo ācariyaṃ vanditvā bārāṇasiṃ gantvā pitu sippaṃ dassesi. Pitā ‘‘jīvantena me putto diṭṭho, rājabhūtampi naṃ passissāmī’’ti rajje abhisiñci. So juṇharājā nāma hutvā dhammena rajjaṃ kāresi. Brāhmaṇo taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘idāni mama bhattamūlaṃ āharissāmī’’ti bārāṇasiṃ gantvā rājānaṃ alaṅkatanagaraṃ padakkhiṇaṃ karontameva disvā ekasmiṃ unnatappadese ṭhito hatthaṃ pasāretvā jayāpesi. Atha naṃ rājā anoloketvāva atikkami. Brāhmaṇo tena adiṭṭhabhāvaṃ ñatvā kathaṃ samuṭṭhāpento paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๓.
13.
‘‘สุโณหิ มยฺหํ วจนํ ชนินฺท, อเตฺถน ชุณฺหมฺหิ อิธานุปโตฺต;
‘‘Suṇohi mayhaṃ vacanaṃ janinda, atthena juṇhamhi idhānupatto;
น พฺราหฺมเณ อทฺธิเก ติฎฺฐมาเน, คนฺตพฺพมาหุ ทฺวิปทินฺท เสฎฺฐา’’ติฯ
Na brāhmaṇe addhike tiṭṭhamāne, gantabbamāhu dvipadinda seṭṭhā’’ti.
ตตฺถ ชุณฺหมฺหีติ มหาราช, ตยิ ชุณฺหมฺหิ อหํ เอเกน อเตฺถน อิธานุปฺปโตฺต, น นิกฺการณา อิธาคโตมฺหีติ ทีเปติฯ อทฺธิเกติ อทฺธานํ อาคเตฯ คนฺตพฺพนฺติ ตํ อทฺธิกํ อทฺธานมาคตํ ยาจมานํ พฺราหฺมณํ อโนโลเกตฺวาว คนฺตพฺพนฺติ ปณฺฑิตา น อาหุ น กเถนฺตีติฯ
Tattha juṇhamhīti mahārāja, tayi juṇhamhi ahaṃ ekena atthena idhānuppatto, na nikkāraṇā idhāgatomhīti dīpeti. Addhiketi addhānaṃ āgate. Gantabbanti taṃ addhikaṃ addhānamāgataṃ yācamānaṃ brāhmaṇaṃ anoloketvāva gantabbanti paṇḍitā na āhu na kathentīti.
ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา หตฺถิํ วชิรงฺกุเสน นิคฺคเหตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Rājā tassa vacanaṃ sutvā hatthiṃ vajiraṅkusena niggahetvā dutiyaṃ gāthamāha –
๑๔.
14.
‘‘สุโณมิ ติฎฺฐามิ วเทหิ พฺรเหฺม, เยนาสิ อเตฺถน อิธานุปโตฺต;
‘‘Suṇomi tiṭṭhāmi vadehi brahme, yenāsi atthena idhānupatto;
กํ วา ตฺวมตฺถํ มยิ ปตฺถยาโน, อิธาคโม พฺรเหฺม ตทิงฺฆ พฺรูหี’’ติฯ
Kaṃ vā tvamatthaṃ mayi patthayāno, idhāgamo brahme tadiṅgha brūhī’’ti.
ตตฺถ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ
Tattha iṅghāti codanatthe nipāto.
ตโต ปรํ พฺราหฺมณสฺส จ รโญฺญ จ วจนปฎิวจนวเสน เสสคาถา กถิตา –
Tato paraṃ brāhmaṇassa ca rañño ca vacanapaṭivacanavasena sesagāthā kathitā –
๑๕.
15.
‘‘ททาหิ เม คามวรานิ ปญฺจ, ทาสีสตํ สตฺต ควํสตานิ;
‘‘Dadāhi me gāmavarāni pañca, dāsīsataṃ satta gavaṃsatāni;
ปโรสหสฺสญฺจ สุวณฺณนิเกฺข, ภริยา จ เม สาทิสี เทฺว ททาหิฯ
Parosahassañca suvaṇṇanikkhe, bhariyā ca me sādisī dve dadāhi.
๑๖.
16.
‘‘ตโป นุ เต พฺราหฺมณ ภิํสรูโป, มนฺตา นุ เต พฺราหฺมณ จิตฺตรูปา;
‘‘Tapo nu te brāhmaṇa bhiṃsarūpo, mantā nu te brāhmaṇa cittarūpā;
ยกฺขา นุ เต อสฺสวา สนฺติ เกจิ, อตฺถํ วา เม อภิชานาสิ กตฺตํฯ
Yakkhā nu te assavā santi keci, atthaṃ vā me abhijānāsi kattaṃ.
๑๗.
17.
‘‘น เม ตโป อตฺถิ น จาปิ มนฺตา, ยกฺขาปิ เม อสฺสวา นตฺถิ เกจิ;
‘‘Na me tapo atthi na cāpi mantā, yakkhāpi me assavā natthi keci;
อตฺถมฺปิ เต นาภิชานามิ กตฺตํ, ปุเพฺพ จ โข สงฺคติมตฺตมาสิฯ
Atthampi te nābhijānāmi kattaṃ, pubbe ca kho saṅgatimattamāsi.
๑๘.
18.
‘‘ปฐมํ อิทํ ทสฺสนํ ชานโต เม, น ตาภิชานามิ อิโต ปุรตฺถา;
‘‘Paṭhamaṃ idaṃ dassanaṃ jānato me, na tābhijānāmi ito puratthā;
อกฺขาหิ เม ปุจฺฉิโต เอตมตฺถํ, กทา กุหิํ วา อหุ สงฺคโม โนฯ
Akkhāhi me pucchito etamatthaṃ, kadā kuhiṃ vā ahu saṅgamo no.
๑๙.
19.
‘‘คนฺธารราชสฺส ปุรมฺหิ รเมฺม, อวสิมฺหเส ตกฺกสีลายํ เทว;
‘‘Gandhārarājassa puramhi ramme, avasimhase takkasīlāyaṃ deva;
ตตฺถนฺธการมฺหิ ติมีสิกายํ, อํเสน อํสํ สมฆฎฺฎยิมฺหฯ
Tatthandhakāramhi timīsikāyaṃ, aṃsena aṃsaṃ samaghaṭṭayimha.
๒๐.
20.
‘‘เต ตตฺถ ฐตฺวาน อุโภ ชนินฺท, สาราณิยํ วีติสารยิมฺห ตตฺถ;
‘‘Te tattha ṭhatvāna ubho janinda, sārāṇiyaṃ vītisārayimha tattha;
สาเยว โน สงฺคติมตฺตมาสิ, ตโต น ปจฺฉา น ปุเร อโหสิฯ
Sāyeva no saṅgatimattamāsi, tato na pacchā na pure ahosi.
๒๑.
21.
‘‘ยทา กทาจิ มนุเชสุ พฺรเหฺม, สมาคโม สปฺปุริเสน โหติ;
‘‘Yadā kadāci manujesu brahme, samāgamo sappurisena hoti;
น ปณฺฑิตา สงฺคติสนฺถวานิ, ปุเพฺพ กตํ วาปิ วินาสยนฺติฯ
Na paṇḍitā saṅgatisanthavāni, pubbe kataṃ vāpi vināsayanti.
๒๒.
22.
‘‘พาลาว โข สงฺคติสนฺถวานิ, ปุเพฺพ กตํ วาปิ วินาสยนฺติ;
‘‘Bālāva kho saṅgatisanthavāni, pubbe kataṃ vāpi vināsayanti;
พหุมฺปิ พาเลสุ กตํ วินสฺสติ, ตถา หิ พาลา อกตญฺญุรูปาฯ
Bahumpi bālesu kataṃ vinassati, tathā hi bālā akataññurūpā.
๒๓.
23.
‘‘ธีรา จ โข สงฺคติสนฺถวานิ, ปุเพฺพ กตํ วาปิ น นาสยนฺติ;
‘‘Dhīrā ca kho saṅgatisanthavāni, pubbe kataṃ vāpi na nāsayanti;
อปฺปมฺปิ ธีเรสุ กตํ น นสฺสติ, ตถา หิ ธีรา สุกตญฺญุรูปาฯ
Appampi dhīresu kataṃ na nassati, tathā hi dhīrā sukataññurūpā.
๒๔.
24.
‘‘ททามิ เต คามวรานิ ปญฺจ, ทาสีสตํ สตฺต ควํสตานิ;
‘‘Dadāmi te gāmavarāni pañca, dāsīsataṃ satta gavaṃsatāni;
ปโรสหสฺสญฺจ สุวณฺณนิเกฺข, ภริยา จ เต สาทิสี เทฺว ททามิฯ
Parosahassañca suvaṇṇanikkhe, bhariyā ca te sādisī dve dadāmi.
๒๕.
25.
‘‘เอวํ สตํ โหติ สเมจฺจ ราช, นกฺขตฺตราชาริว ตารกานํ;
‘‘Evaṃ sataṃ hoti samecca rāja, nakkhattarājāriva tārakānaṃ;
อาปูรตี กาสิปตี ตถาหํ, ตยาปิ เม สงฺคโม อชฺช ลโทฺธ’’ติฯ
Āpūratī kāsipatī tathāhaṃ, tayāpi me saṅgamo ajja laddho’’ti.
ตตฺถ สาทิสีติ รูปวณฺณชาติกุลปเทเสน มยา สาทิสี เอกสทิสา เทฺว มหายสา ภริยา จ เม เทหีติ อโตฺถฯ ภิํสรูโปติ กิํ นุ เต พฺราหฺมณ พลวรูปสีลาจารคุณสงฺขาตํ ตโปกมฺมํ อตฺถีติ ปุจฺฉติฯ มนฺตา นุ เตติ อุทาหุ วิจิตฺรรูปา สพฺพตฺถสาธกา มนฺตา เต อตฺถิฯ อสฺสวาติ วจนการกา อิจฺฉิติจฺฉิตทายกา ยกฺขา วา เต เกจิ สนฺติฯ กตฺตนฺติ กตํ, อุทาหุ ตยา กตํ กิญฺจิ มม อตฺถํ อภิชานาสีติ ปุจฺฉติฯ สงฺคติมตฺตนฺติ สมาคมมตฺตํ ตยา สทฺธิํ ปุเพฺพ มม อาสีติ วทติฯ ชานโต เมติ ชานนฺตสฺส มม อิทํ ปฐมํ ตว ทสฺสนํฯ น ตาภิชานามีติ น ตํ อภิชานามิฯ ติมีสิกายนฺติ พหลติมิรายํ รตฺติยํฯ เต ตตฺถ ฐตฺวานาติ เต มยํ ตสฺมิํ อํเสน อํสํ ฆฎฺฎิตฎฺฐาเน ฐตฺวา วีติสารยิมฺห ตตฺถาติ ตสฺมิํเยว ฐาเน สริตพฺพยุตฺตกํ กถํ วีติสารยิมฺห, อหํ ‘‘ภิกฺขาภาชนํ เม ตยา ภินฺนํ, ภตฺตมูลํ เม เทหี’’ติ อวจํ, ตฺวํ ‘‘อิทานาหํ ตว ภตฺตมูลํ ทาตุํ น สโกฺกมิ, อหํ โข ปน กาสิกรโญฺญ ปุโตฺต ชุณฺหกุมาโร นาม, มยิ รเชฺช ปติฎฺฐิเต อาคนฺตฺวา มํ ธนํ ยาเจยฺยาสี’’ติ อวจาติ อิมํ สารณียกถํ กริมฺหาติ อาหฯ สาเยว โน สงฺคติมตฺตมาสีติ เทว, อมฺหากํ สาเยว อญฺญมญฺญํ สงฺคติมตฺตมาสิ, เอกมุหุตฺติกมโหสีติ ทีเปติฯ ตโตติ ตโต ปน ตํมุหุตฺติกมิตฺตธมฺมโต ปจฺฉา วา ปุเร วา กทาจิ อมฺหากํ สงฺคติ นาม น ภูตปุพฺพาฯ
Tattha sādisīti rūpavaṇṇajātikulapadesena mayā sādisī ekasadisā dve mahāyasā bhariyā ca me dehīti attho. Bhiṃsarūpoti kiṃ nu te brāhmaṇa balavarūpasīlācāraguṇasaṅkhātaṃ tapokammaṃ atthīti pucchati. Mantā nu teti udāhu vicitrarūpā sabbatthasādhakā mantā te atthi. Assavāti vacanakārakā icchiticchitadāyakā yakkhā vā te keci santi. Kattanti kataṃ, udāhu tayā kataṃ kiñci mama atthaṃ abhijānāsīti pucchati. Saṅgatimattanti samāgamamattaṃ tayā saddhiṃ pubbe mama āsīti vadati. Jānato meti jānantassa mama idaṃ paṭhamaṃ tava dassanaṃ. Na tābhijānāmīti na taṃ abhijānāmi. Timīsikāyanti bahalatimirāyaṃ rattiyaṃ. Te tattha ṭhatvānāti te mayaṃ tasmiṃ aṃsena aṃsaṃ ghaṭṭitaṭṭhāne ṭhatvā vītisārayimha tatthāti tasmiṃyeva ṭhāne saritabbayuttakaṃ kathaṃ vītisārayimha, ahaṃ ‘‘bhikkhābhājanaṃ me tayā bhinnaṃ, bhattamūlaṃ me dehī’’ti avacaṃ, tvaṃ ‘‘idānāhaṃ tava bhattamūlaṃ dātuṃ na sakkomi, ahaṃ kho pana kāsikarañño putto juṇhakumāro nāma, mayi rajje patiṭṭhite āgantvā maṃ dhanaṃ yāceyyāsī’’ti avacāti imaṃ sāraṇīyakathaṃ karimhāti āha. Sāyeva no saṅgatimattamāsīti deva, amhākaṃ sāyeva aññamaññaṃ saṅgatimattamāsi, ekamuhuttikamahosīti dīpeti. Tatoti tato pana taṃmuhuttikamittadhammato pacchā vā pure vā kadāci amhākaṃ saṅgati nāma na bhūtapubbā.
น ปณฺฑิตาติ พฺราหฺมณ ปณฺฑิตา นาม ตํมุหุตฺติกํ สงฺคติํ วา จิรกาลสนฺถวานิ วา ยํ กิญฺจิ ปุเพฺพ กตคุณํ วา น นาเสนฺติฯ พหุมฺปีติ พหุกมฺปิ ฯ อกตญฺญุรูปาติ ยสฺมา พาลา อกตญฺญุสภาวา, ตสฺมา เตสุ พหุมฺปิ กตํ นสฺสตีติ อโตฺถฯ สุกตญฺญุรูปาติ สุฎฺฐุ กตญฺญุสภาวาฯ เอตฺถาปิ ตตฺถาปิ ตถา หีติ หิ-กาโร การณโตฺถฯ ททามิ เตติ พฺราหฺมเณน ยาจิตยาจิตํ ททโนฺต เอวมาหฯ เอวํ สตนฺติ พฺราหฺมโณ รโญฺญ อนุโมทนํ กโรโนฺต วทติ, สตํ สปฺปุริสานํ เอกวารมฺปิ สเมจฺจ สงฺคติ นาม เอวํ โหติฯ นกฺขตฺตราชาริวาติ เอตฺถ ร-กาโร นิปาตมตฺตํฯ ตารกานนฺติ ตารกคณมเชฺฌฯ กาสิปตีติ ราชานมาลปติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘เทว, กาสิรฎฺฐาธิปติ ยถา จโนฺท ตารกานํ มเชฺฌ ฐิโต ตารกคณปริวุโต ปาฎิปทโต ปฎฺฐาย ยาว ปุณฺณมา อาปูรติ, ตถา อหมฺปิ อชฺช ตยา ทิเนฺนหิ คามวราทีหิ อาปูรามี’’ติฯ ตยาปิ เมติ มยา ปุเพฺพ ตยา สทฺธิํ ลโทฺธปิ สงฺคโม อลโทฺธว, อชฺช ปน มม มโนรถสฺส นิปฺผนฺนตฺตา มยา ตยา สห สงฺคโม ลโทฺธ นามาติ นิปฺผนฺนํ เม ตยา สทฺธิํ มิตฺตผลนฺติ วทติฯ โพธิสโตฺต ตสฺส มหนฺตํ ยสํ อทาสิฯ
Na paṇḍitāti brāhmaṇa paṇḍitā nāma taṃmuhuttikaṃ saṅgatiṃ vā cirakālasanthavāni vā yaṃ kiñci pubbe kataguṇaṃ vā na nāsenti. Bahumpīti bahukampi . Akataññurūpāti yasmā bālā akataññusabhāvā, tasmā tesu bahumpi kataṃ nassatīti attho. Sukataññurūpāti suṭṭhu kataññusabhāvā. Etthāpi tatthāpi tathā hīti hi-kāro kāraṇattho. Dadāmi teti brāhmaṇena yācitayācitaṃ dadanto evamāha. Evaṃ satanti brāhmaṇo rañño anumodanaṃ karonto vadati, sataṃ sappurisānaṃ ekavārampi samecca saṅgati nāma evaṃ hoti. Nakkhattarājārivāti ettha ra-kāro nipātamattaṃ. Tārakānanti tārakagaṇamajjhe. Kāsipatīti rājānamālapati. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘deva, kāsiraṭṭhādhipati yathā cando tārakānaṃ majjhe ṭhito tārakagaṇaparivuto pāṭipadato paṭṭhāya yāva puṇṇamā āpūrati, tathā ahampi ajja tayā dinnehi gāmavarādīhi āpūrāmī’’ti. Tayāpi meti mayā pubbe tayā saddhiṃ laddhopi saṅgamo aladdhova, ajja pana mama manorathassa nipphannattā mayā tayā saha saṅgamo laddho nāmāti nipphannaṃ me tayā saddhiṃ mittaphalanti vadati. Bodhisatto tassa mahantaṃ yasaṃ adāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปาหํ อานนฺทํ วเรน สนฺตเปฺปสิํ เยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา พฺราหฺมโณ อานโนฺท อโหสิ, ราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepāhaṃ ānandaṃ varena santappesiṃ yevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā brāhmaṇo ānando ahosi, rājā pana ahameva ahosi’’nti.
ชุณฺหชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Juṇhajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๕๖. ชุณฺหชาตกํ • 456. Juṇhajātakaṃ