Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ๘. อฎฺฐกนิปาโต

    8. Aṭṭhakanipāto

    [๔๑๗] ๑. กจฺจานิชาตกวณฺณนา

    [417] 1. Kaccānijātakavaṇṇanā

    โอทาตวตฺถา สุจิ อลฺลเกสาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ มาตุโปสกํ อุปาสกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร สาวตฺถิยํ กุลทารโก อาจารสมฺปโนฺน ปิตริ กาลกเต มาตุเทวโต หุตฺวา มุขโธวนทนฺตกฎฺฐทานนฺหาปนปาทโธวนาทิเวยฺยาวจฺจกเมฺมน เจว ยาคุภตฺตาทีหิ จ มาตรํ ปฎิชคฺคิฯ อถ นํ มาตา ‘‘ตาต, ตว อญฺญานิปิ ฆราวาสกิจฺจานิ อตฺถิ, เอกํ สมชาติกํ กุลกุมาริกํ คณฺหาหิ, สา มํ โปเสสฺสติ, ตฺวมฺปิ อตฺตโน กมฺมํ กริสฺสสี’’ติ อาหฯ ‘‘อมฺม, อหํ อตฺตโน หิตสุขํ อปจฺจาสีสมาโน ตุเมฺห อุปฎฺฐหามิ, โก อโญฺญ เอวํ อุปฎฺฐหิสฺสตี’’ติ? ‘‘กุลวฑฺฒนกมฺมํ นาม ตาต, กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘น มยฺหํ ฆราวาเสน อโตฺถ, อหํ ตุเมฺห อุปฎฺฐหิตฺวา ตุมฺหากํ ธูมกาเล ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ อถสฺส มาตา ปุนปฺปุนํ ยาจิตฺวาปิ มนํ อลภมานา ตสฺส ฉนฺทํ อคฺคเหตฺวา สมชาติกํ กุลกุมาริกํ อาเนสิฯ โส มาตรํ อปฺปฎิกฺขิปิตฺวา ตาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิฯ สาปิ ‘‘มยฺหํ สามิโก มหเนฺตน อุสฺสาเหน มาตรํ อุปฎฺฐหติ, อหมฺปิ นํ อุปฎฺฐหิสฺสามิ, เอวมสฺส ปิยา ภวิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหิฯ โส ‘‘อยํ เม มาตรํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหี’’ติ ตโต ปฎฺฐาย ลทฺธลทฺธานิ มธุรขาทนียาทีนิ ตสฺสาเยว เทติฯ สา อปรภาเค จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ลทฺธลทฺธานิ มธุรขาทนียาทีนิ มยฺหเญฺญว เทติ, อทฺธา มาตรํ นีหริตุกาโม ภวิสฺสติ, นีหรณูปายมสฺสา กริสฺสามี’’ติ เอวํ อโยนิโส อุมฺมุชฺชิตฺวา เอกํ ทิวสํ อาห – ‘‘สามิ, ตยิ พหิ นิกฺขมเนฺต ตว มาตา มํ อโกฺกสตี’’ติฯ โส ตุณฺหี อโหสิฯ

    Odātavatthāsuci allakesāti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ mātuposakaṃ upāsakaṃ ārabbha kathesi. So kira sāvatthiyaṃ kuladārako ācārasampanno pitari kālakate mātudevato hutvā mukhadhovanadantakaṭṭhadānanhāpanapādadhovanādiveyyāvaccakammena ceva yāgubhattādīhi ca mātaraṃ paṭijaggi. Atha naṃ mātā ‘‘tāta, tava aññānipi gharāvāsakiccāni atthi, ekaṃ samajātikaṃ kulakumārikaṃ gaṇhāhi, sā maṃ posessati, tvampi attano kammaṃ karissasī’’ti āha. ‘‘Amma, ahaṃ attano hitasukhaṃ apaccāsīsamāno tumhe upaṭṭhahāmi, ko añño evaṃ upaṭṭhahissatī’’ti? ‘‘Kulavaḍḍhanakammaṃ nāma tāta, kātuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Na mayhaṃ gharāvāsena attho, ahaṃ tumhe upaṭṭhahitvā tumhākaṃ dhūmakāle pabbajissāmī’’ti. Athassa mātā punappunaṃ yācitvāpi manaṃ alabhamānā tassa chandaṃ aggahetvā samajātikaṃ kulakumārikaṃ ānesi. So mātaraṃ appaṭikkhipitvā tāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi. Sāpi ‘‘mayhaṃ sāmiko mahantena ussāhena mātaraṃ upaṭṭhahati, ahampi naṃ upaṭṭhahissāmi, evamassa piyā bhavissāmī’’ti cintetvā taṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahi. So ‘‘ayaṃ me mātaraṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahī’’ti tato paṭṭhāya laddhaladdhāni madhurakhādanīyādīni tassāyeva deti. Sā aparabhāge cintesi ‘‘ayaṃ laddhaladdhāni madhurakhādanīyādīni mayhaññeva deti, addhā mātaraṃ nīharitukāmo bhavissati, nīharaṇūpāyamassā karissāmī’’ti evaṃ ayoniso ummujjitvā ekaṃ divasaṃ āha – ‘‘sāmi, tayi bahi nikkhamante tava mātā maṃ akkosatī’’ti. So tuṇhī ahosi.

    สา จิเนฺตสิ – ‘‘อิมํ มหลฺลิกํ อุชฺฌาเปตฺวา ปุตฺตสฺส ปฎิกูลํ กาเรสฺสามี’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย ยาคุํ ททมานา อจฺจุณฺหํ วา อติสีตลํ วา อติโลณํ วา อโลณํ วา เทติฯ ‘‘อมฺม, อจฺจุณฺหา’’ติ วา ‘‘อติโลณา’’ติ วา วุเตฺต ปูเรตฺวา สีโตทกํ ปกฺขิปติฯ ปุน ‘‘อติสีตลา , อโลณาเยวา’’ติ วุเตฺต ‘‘อิทาเนว ‘อจฺจุณฺหา, อติโลณา’ติ วตฺวา ปุน ‘อติสีตลา, อโลณา’ติ วทสิ, กา ตํ โตเสตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ มหาสทฺทํ กโรติฯ นฺหาโนทกมฺปิ อจฺจุณฺหํ กตฺวา ปิฎฺฐิยํ อาสิญฺจติฯ ‘‘อมฺม, ปิฎฺฐิ เม ทหตี’’ติ จ วุเตฺต ปุน ปูเรตฺวา สีโตทกํ ปกฺขิปติฯ ‘‘อติสีตํ, อมฺมา’’ติ วุเตฺต ‘‘อิทาเนว ‘อจฺจุณฺห’นฺติ วตฺวา ปุน ‘อติสีต’นฺติ วทติ, กา เอติสฺสา อวมานํ สหิตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ ปฎิวิสฺสกานํ กเถสิฯ ‘‘อมฺม, มญฺจเก เม พหู มงฺคุลา’’ติ จ วุตฺตา มญฺจกํ นีหริตฺวา ตสฺส อุปริ อตฺตโน มญฺจกํ โปเถตฺวา ‘‘โปถิโต เม’’ติ อติหริตฺวา ปญฺญเปติฯ มหาอุปาสิกา ทิคุเณหิ มงฺคุเลหิ ขชฺชมานา สพฺพรตฺติํ นิสินฺนาว วีตินาเมตฺวา ‘‘อมฺม, สพฺพรตฺติํ มงฺคุเลหิ ขาทิตามฺหี’’ติ วทติฯ อิตรา ‘‘หิโยฺย เต มญฺจโก โปถิโต, กา อิมิสฺสา กิจฺจํ นิตฺถริตุํ สโกฺกตี’’ติ ปฎิวตฺวา ‘‘อิทานิ นํ ปุเตฺตน อุชฺฌาเปสฺสามี’’ติ ตตฺถ ตตฺถ เขฬสิงฺฆาณิกาทีนิ วิปฺปกิริตฺวา ‘‘กา อิมํ สกลเคหํ อสุจิํ กโรตี’’ติ วุเตฺต ‘‘มาตา เต เอวรูปํ กโรติ, ‘มา กรี’ติ วุจฺจมานา กลหํ กโรติ, อหํ เอวรูปาย กาฬกณฺณิยา สทฺธิํ เอกเคเห วสิตุํ น สโกฺกมิ, เอตํ วา ฆเร วสาเปหิ, มํ วา’’ติ อาหฯ

    Sā cintesi – ‘‘imaṃ mahallikaṃ ujjhāpetvā puttassa paṭikūlaṃ kāressāmī’’ti. Tato paṭṭhāya yāguṃ dadamānā accuṇhaṃ vā atisītalaṃ vā atiloṇaṃ vā aloṇaṃ vā deti. ‘‘Amma, accuṇhā’’ti vā ‘‘atiloṇā’’ti vā vutte pūretvā sītodakaṃ pakkhipati. Puna ‘‘atisītalā , aloṇāyevā’’ti vutte ‘‘idāneva ‘accuṇhā, atiloṇā’ti vatvā puna ‘atisītalā, aloṇā’ti vadasi, kā taṃ tosetuṃ sakkhissatī’’ti mahāsaddaṃ karoti. Nhānodakampi accuṇhaṃ katvā piṭṭhiyaṃ āsiñcati. ‘‘Amma, piṭṭhi me dahatī’’ti ca vutte puna pūretvā sītodakaṃ pakkhipati. ‘‘Atisītaṃ, ammā’’ti vutte ‘‘idāneva ‘accuṇha’nti vatvā puna ‘atisīta’nti vadati, kā etissā avamānaṃ sahituṃ sakkhissatī’’ti paṭivissakānaṃ kathesi. ‘‘Amma, mañcake me bahū maṅgulā’’ti ca vuttā mañcakaṃ nīharitvā tassa upari attano mañcakaṃ pothetvā ‘‘pothito me’’ti atiharitvā paññapeti. Mahāupāsikā diguṇehi maṅgulehi khajjamānā sabbarattiṃ nisinnāva vītināmetvā ‘‘amma, sabbarattiṃ maṅgulehi khāditāmhī’’ti vadati. Itarā ‘‘hiyyo te mañcako pothito, kā imissā kiccaṃ nittharituṃ sakkotī’’ti paṭivatvā ‘‘idāni naṃ puttena ujjhāpessāmī’’ti tattha tattha kheḷasiṅghāṇikādīni vippakiritvā ‘‘kā imaṃ sakalagehaṃ asuciṃ karotī’’ti vutte ‘‘mātā te evarūpaṃ karoti, ‘mā karī’ti vuccamānā kalahaṃ karoti, ahaṃ evarūpāya kāḷakaṇṇiyā saddhiṃ ekagehe vasituṃ na sakkomi, etaṃ vā ghare vasāpehi, maṃ vā’’ti āha.

    โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ ตรุณา ยตฺถ กตฺถจิ คนฺตฺวา ชีวิตุํ สกฺกา, มาตา ปน เม ชราทุพฺพลา, อหเมวสฺสา ปฎิสรณํ, ตฺวํ นิกฺขมิตฺวา อตฺตโน กุลเคหํ คจฺฉาหี’’ติ อาหฯ สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ภีตา จิเนฺตสิ ‘‘น สกฺกา อิมํ มาตุ อนฺตเร ภินฺทิตุํ, เอกํเสนสฺส มาตา ปิยา, สเจ ปนาหํ กุลฆรํ คมิสฺสํ, วิธววาสํ วสนฺตี ทุกฺขิตา ภวิสฺสามิ, ปุริมนเยเนว สสฺสุํ อาราเธตฺวา ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ ฯ สา ตโต ปฎฺฐาย ปุริมสทิสเมว ตํ ปฎิชคฺคิฯ อเถกทิวสํ โส อุโปสโก ธมฺมสฺสวนตฺถาย เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ‘‘กิํ, อุปาสก, ตฺวํ ปุญฺญกเมฺมสุ น ปมชฺชสิ, มาตุอุปฎฺฐานกมฺมํ ปูเรสี’’ติ จ วุโตฺต ‘‘อาม, ภเนฺต, สา ปน มม มาตา มยฺหํ อรุจิยาเยว เอกํ กุลทาริกํ อาเนสิ, สา อิทญฺจิทญฺจ อนาจารกมฺมํ อกาสี’’ติ สพฺพํ สตฺถุ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิติ ภควา สา อิตฺถี เนว มํ มาตุ อนฺตเร ภินฺทิตุํ สกฺขิ, อิทานิ นํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหตี’’ติ อาหฯ สตฺถา ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ ตาว ตฺวํ อุปาสก, ตสฺสา วจนํ น อกาสิ, ปุเพฺพ ปเนติสฺสา วจเนน ตว มาตรํ นิกฺกฑฺฒิตฺวา มํ นิสฺสาย ปุน เคหํ อาเนตฺวา ปฎิชคฺคี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    So tassā vacanaṃ sutvā ‘‘bhadde, tvaṃ taruṇā yattha katthaci gantvā jīvituṃ sakkā, mātā pana me jarādubbalā, ahamevassā paṭisaraṇaṃ, tvaṃ nikkhamitvā attano kulagehaṃ gacchāhī’’ti āha. Sā tassa vacanaṃ sutvā bhītā cintesi ‘‘na sakkā imaṃ mātu antare bhindituṃ, ekaṃsenassa mātā piyā, sace panāhaṃ kulagharaṃ gamissaṃ, vidhavavāsaṃ vasantī dukkhitā bhavissāmi, purimanayeneva sassuṃ ārādhetvā paṭijaggissāmī’’ti . Sā tato paṭṭhāya purimasadisameva taṃ paṭijaggi. Athekadivasaṃ so uposako dhammassavanatthāya jetavanaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. ‘‘Kiṃ, upāsaka, tvaṃ puññakammesu na pamajjasi, mātuupaṭṭhānakammaṃ pūresī’’ti ca vutto ‘‘āma, bhante, sā pana mama mātā mayhaṃ aruciyāyeva ekaṃ kuladārikaṃ ānesi, sā idañcidañca anācārakammaṃ akāsī’’ti sabbaṃ satthu ācikkhitvā ‘‘iti bhagavā sā itthī neva maṃ mātu antare bhindituṃ sakkhi, idāni naṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahatī’’ti āha. Satthā tassa kathaṃ sutvā ‘‘idāni tāva tvaṃ upāsaka, tassā vacanaṃ na akāsi, pubbe panetissā vacanena tava mātaraṃ nikkaḍḍhitvā maṃ nissāya puna gehaṃ ānetvā paṭijaggī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต อญฺญตรสฺส กุลสฺส ปุโตฺต ปิตริ กาลกเต มาตุเทวโต หุตฺวา วุตฺตนิยาเมเนว มาตรํ ปฎิชคฺคีติ สพฺพํ เหฎฺฐา กถิตนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํ ฯ ‘‘อหํ เอวรูปาย กาฬกณฺณิยา สทฺธิํ วสิตุํ น สโกฺกมิ, เอตํ วา ฆเร วสาเปหิ, มํ วา’’ติ วุเตฺต ตสฺสา กถํ คเหตฺวา ‘‘มาตุเยว เม โทโส’’ติ มาตรํ อาห ‘‘อมฺม, ตฺวํ นิจฺจํ อิมสฺมิํ ฆเร กลหํ กโรสิ, อิโต นิกฺขมิตฺวา อญฺญสฺมิํ ยถารุจิเต ฐาเน วสาหี’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ โรทมานา นิกฺขมิตฺวา เอกํ สมิทฺธกุลํ นิสฺสาย ภติํ กตฺวา ทุเกฺขน ชีวิกํ กเปฺปสิฯ สสฺสุยา ฆรา นิกฺขนฺตกาเล สุณิสาย คโพฺภ ปติฎฺฐหิฯ สา ‘‘ตาย กาฬกณฺณิยา เคเห วสมานาย คพฺภมฺปิ น ปฎิลภิํ, อิทานิ เม คโพฺภ ลโทฺธ’’ติ ปติโน จ ปฎิวิสฺสกานญฺจ กเถนฺตี วิจรติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente aññatarassa kulassa putto pitari kālakate mātudevato hutvā vuttaniyāmeneva mātaraṃ paṭijaggīti sabbaṃ heṭṭhā kathitanayeneva vitthāretabbaṃ . ‘‘Ahaṃ evarūpāya kāḷakaṇṇiyā saddhiṃ vasituṃ na sakkomi, etaṃ vā ghare vasāpehi, maṃ vā’’ti vutte tassā kathaṃ gahetvā ‘‘mātuyeva me doso’’ti mātaraṃ āha ‘‘amma, tvaṃ niccaṃ imasmiṃ ghare kalahaṃ karosi, ito nikkhamitvā aññasmiṃ yathārucite ṭhāne vasāhī’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti rodamānā nikkhamitvā ekaṃ samiddhakulaṃ nissāya bhatiṃ katvā dukkhena jīvikaṃ kappesi. Sassuyā gharā nikkhantakāle suṇisāya gabbho patiṭṭhahi. Sā ‘‘tāya kāḷakaṇṇiyā gehe vasamānāya gabbhampi na paṭilabhiṃ, idāni me gabbho laddho’’ti patino ca paṭivissakānañca kathentī vicarati.

    อปรภาเค ปุตฺตํ วิชายิตฺวา สามิกํ อาห ‘‘ตว มาตริ เคเห วสมานาย ปุตฺตํ น ลภิํ, อิทานิ เม ลโทฺธ, อิมินาปิ การเณน ตสฺสา กาฬกณฺณิภาวํ ชานาหี’’ติฯ อิตรา ‘‘มม กิร นิกฺกฑฺฒิตกาเล ปุตฺตํ ลภี’’ติ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อทฺธา อิมสฺมิํ โลเก ธโมฺม มโต ภวิสฺสติ, สเจ หิ ธโมฺม มโต น ภเวยฺย, มาตรํ โปเถตฺวา นิกฺกฑฺฒนฺตา ปุตฺตํ น ลเภยฺยุํ, สุขํ น ชีเวยฺยุํ, ธมฺมสฺส มตกภตฺตํ ทสฺสามี’’ติฯ สา เอกทิวสํ ติลปิฎฺฐญฺจ ตณฺฑุลญฺจ ปจนถาลิญฺจ ทพฺพิญฺจ อาทาย อามกสุสานํ คนฺตฺวา ตีหิ มนุสฺสสีเสหิ อุทฺธนํ กตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา อุทกํ โอรุยฺห สสีสํ นฺหตฺวา สาฎกํ นิวาเสตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา อุทฺธนฎฺฐานํ คนฺตฺวา เกเส โมเจตฺวา ตณฺฑุเล โธวิตุํ อารภิฯ ตทา โพธิสโตฺต สโกฺก เทวราชา อโหสิฯ โพธิสตฺตา จ นาม อปฺปมตฺตา โหนฺติ, โส ตสฺมิํ ขเณ โลกํ โอโลเกโนฺต ตํ ทุกฺขปฺปตฺตํ ‘‘ธโมฺม มโต’’ติ สญฺญาย ธมฺมสฺส มตกภตฺตํ ทาตุกามํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ พลํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ พฺราหฺมณเวเสน มหามคฺคํ ปฎิปโนฺน วิย หุตฺวา ตํ ทิสฺวา มคฺคา โอกฺกมฺม ตสฺสา สนฺติเก ฐตฺวา ‘‘อมฺม, สุสาเน อาหารํ ปจนฺตา นาม นตฺถิ, ตฺวํ อิมินา อิธ ปเกฺกน ติโลทเนน กิํ กริสฺสสี’’ติ กถํ สมุฎฺฐาเปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Aparabhāge puttaṃ vijāyitvā sāmikaṃ āha ‘‘tava mātari gehe vasamānāya puttaṃ na labhiṃ, idāni me laddho, imināpi kāraṇena tassā kāḷakaṇṇibhāvaṃ jānāhī’’ti. Itarā ‘‘mama kira nikkaḍḍhitakāle puttaṃ labhī’’ti sutvā cintesi ‘‘addhā imasmiṃ loke dhammo mato bhavissati, sace hi dhammo mato na bhaveyya, mātaraṃ pothetvā nikkaḍḍhantā puttaṃ na labheyyuṃ, sukhaṃ na jīveyyuṃ, dhammassa matakabhattaṃ dassāmī’’ti. Sā ekadivasaṃ tilapiṭṭhañca taṇḍulañca pacanathāliñca dabbiñca ādāya āmakasusānaṃ gantvā tīhi manussasīsehi uddhanaṃ katvā aggiṃ jāletvā udakaṃ oruyha sasīsaṃ nhatvā sāṭakaṃ nivāsetvā mukhaṃ vikkhāletvā uddhanaṭṭhānaṃ gantvā kese mocetvā taṇḍule dhovituṃ ārabhi. Tadā bodhisatto sakko devarājā ahosi. Bodhisattā ca nāma appamattā honti, so tasmiṃ khaṇe lokaṃ olokento taṃ dukkhappattaṃ ‘‘dhammo mato’’ti saññāya dhammassa matakabhattaṃ dātukāmaṃ disvā ‘‘ajja mayhaṃ balaṃ dassessāmī’’ti brāhmaṇavesena mahāmaggaṃ paṭipanno viya hutvā taṃ disvā maggā okkamma tassā santike ṭhatvā ‘‘amma, susāne āhāraṃ pacantā nāma natthi, tvaṃ iminā idha pakkena tilodanena kiṃ karissasī’’ti kathaṃ samuṭṭhāpento paṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    1.

    ‘‘โอทาตวตฺถา สุจิ อลฺลเกสา, กจฺจานิ กิํ กุมฺภิมธิสฺสยิตฺวา;

    ‘‘Odātavatthā suci allakesā, kaccāni kiṃ kumbhimadhissayitvā;

    ปิฎฺฐา ติลา โธวสิ ตณฺฑุลานิ, ติโลทโน เหหิติ กิสฺสเหตู’’ติฯ

    Piṭṭhā tilā dhovasi taṇḍulāni, tilodano hehiti kissahetū’’ti.

    ตตฺถ กจฺจานีติ ตํ โคเตฺตน อาลปติฯ กุมฺภิมธิสฺสยิตฺวาติ ปจนถาลิกํ มนุสฺสสีสุทฺธนํ อาโรเปตฺวาฯ เหหิตีติ อยํ ติโลทโน กิสฺส เหตุ ภวิสฺสติ, กิํ อตฺตนา ภุญฺชิสฺสสิ, อุทาหุ อญฺญํ การณมตฺถีติฯ

    Tattha kaccānīti taṃ gottena ālapati. Kumbhimadhissayitvāti pacanathālikaṃ manussasīsuddhanaṃ āropetvā. Hehitīti ayaṃ tilodano kissa hetu bhavissati, kiṃ attanā bhuñjissasi, udāhu aññaṃ kāraṇamatthīti.

    อถสฺส สา อาจิกฺขนฺตี ทุติยํ คาถมาห –

    Athassa sā ācikkhantī dutiyaṃ gāthamāha –

    .

    2.

    ‘‘น โข อยํ พฺราหฺมณ โภชนตฺถา, ติโลทโน เหหิติ สาธุปโกฺก;

    ‘‘Na kho ayaṃ brāhmaṇa bhojanatthā, tilodano hehiti sādhupakko;

    ธโมฺม มโต ตสฺส ปหุตฺตมชฺช, อหํ กริสฺสามิ สุสานมเชฺฌ’’ติฯ

    Dhammo mato tassa pahuttamajja, ahaṃ karissāmi susānamajjhe’’ti.

    ตตฺถ ธโมฺมติ เชฎฺฐาปจายนธโมฺม เจว ติวิธสุจริตธโมฺม จฯ ตสฺส ปหุตฺตมชฺชาติ ตสฺสาหํ ธมฺมสฺส อิทํ มตกภตฺตํ กริสฺสามีติ อโตฺถฯ

    Tattha dhammoti jeṭṭhāpacāyanadhammo ceva tividhasucaritadhammo ca. Tassa pahuttamajjāti tassāhaṃ dhammassa idaṃ matakabhattaṃ karissāmīti attho.

    ตโต สโกฺก ตติยํ คาถมาห –

    Tato sakko tatiyaṃ gāthamāha –

    .

    3.

    ‘‘อนุวิจฺจ กจฺจานิ กโรหิ กิจฺจํ, ธโมฺม มโต โก นุ ตเวว สํสิ;

    ‘‘Anuvicca kaccāni karohi kiccaṃ, dhammo mato ko nu taveva saṃsi;

    สหสฺสเนโตฺต อตุลานุภาโว, น มิยฺยตี ธมฺมวโร กทาจี’’ติฯ

    Sahassanetto atulānubhāvo, na miyyatī dhammavaro kadācī’’ti.

    ตตฺถ อนุวิจฺจาติ อุปปริกฺขิตฺวา ชานิตฺวาฯ โก นุ ตเวว สํสีติ โก นุ ตว เอวํ อาจิกฺขิฯ สหสฺสเนโตฺตติ อตฺตานํ ธมฺมวรํ อุตฺตมธมฺมํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ

    Tattha anuviccāti upaparikkhitvā jānitvā. Ko nu taveva saṃsīti ko nu tava evaṃ ācikkhi. Sahassanettoti attānaṃ dhammavaraṃ uttamadhammaṃ katvā dassento evamāha.

    ตํ วจนํ สุตฺวา อิตรา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ vacanaṃ sutvā itarā dve gāthā abhāsi –

    .

    4.

    ‘‘ทฬฺหปฺปมาณํ มม เอตฺถ พฺรเหฺม, ธโมฺม มโต นตฺถิ มเมตฺถ กงฺขา;

    ‘‘Daḷhappamāṇaṃ mama ettha brahme, dhammo mato natthi mamettha kaṅkhā;

    เย เยว ทานิ ปาปา ภวนฺติ, เต เตว ทานิ สุขิตา ภวนฺติฯ

    Ye yeva dāni pāpā bhavanti, te teva dāni sukhitā bhavanti.

    .

    5.

    ‘‘สุณิสา หิ มยฺหํ วญฺฌา อโหสิ, สา มํ วธิตฺวาน วิชายิ ปุตฺตํ;

    ‘‘Suṇisā hi mayhaṃ vañjhā ahosi, sā maṃ vadhitvāna vijāyi puttaṃ;

    สา ทานิ สพฺพสฺส กุลสฺส อิสฺสรา, อหํ ปนมฺหิ อปวิทฺธา เอกิกา’’ติฯ

    Sā dāni sabbassa kulassa issarā, ahaṃ panamhi apaviddhā ekikā’’ti.

    ตตฺถ ทฬฺหปฺปมาณนฺติ ทฬฺหํ ถิรํ นิสฺสํสยํ พฺราหฺมณ เอตฺถ มม ปมาณนฺติ วทติฯ เย เยติ ตสฺส มตภาเว การณํ ทเสฺสนฺตี เอวมาหฯ วธิตฺวานาติ โปเถตฺวา นิกฺกฑฺฒิตฺวาฯ อปวิทฺธาติ ฉฑฺฑิตา อนาถา หุตฺวา เอกิกา วสามิฯ

    Tattha daḷhappamāṇanti daḷhaṃ thiraṃ nissaṃsayaṃ brāhmaṇa ettha mama pamāṇanti vadati. Ye yeti tassa matabhāve kāraṇaṃ dassentī evamāha. Vadhitvānāti pothetvā nikkaḍḍhitvā. Apaviddhāti chaḍḍitā anāthā hutvā ekikā vasāmi.

    ตโต สโกฺก ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Tato sakko chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    .

    6.

    ‘‘ชีวามิ โวหํ น มโตหมสฺมิ, ตเวว อตฺถาย อิธาคโตสฺมิ;

    ‘‘Jīvāmi vohaṃ na matohamasmi, taveva atthāya idhāgatosmi;

    ยา ตํ วธิตฺวาน วิชายิ ปุตฺตํ, สหาว ปุเตฺตน กโรมิ ภสฺม’’นฺติฯ

    Yā taṃ vadhitvāna vijāyi puttaṃ, sahāva puttena karomi bhasma’’nti.

    ตตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํฯ

    Tattha voti nipātamattaṃ.

    อิตรา ตํ สุตฺวา ‘‘ธี อหํ กิํ กเถสิํ, มม นตฺตุ อมรณการณํ กริสฺสามี’’ติ สตฺตมํ คาถมาห –

    Itarā taṃ sutvā ‘‘dhī ahaṃ kiṃ kathesiṃ, mama nattu amaraṇakāraṇaṃ karissāmī’’ti sattamaṃ gāthamāha –

    .

    7.

    ‘‘เอวญฺจ เต รุจฺจติ เทวราช, มเมว อตฺถาย อิธาคโตสิ;

    ‘‘Evañca te ruccati devarāja, mameva atthāya idhāgatosi;

    อหญฺจ ปุโตฺต สุณิสา จ นตฺตา, สโมฺมทมานา ฆรมาวเสมา’’ติฯ

    Ahañca putto suṇisā ca nattā, sammodamānā gharamāvasemā’’ti.

    อถสฺสา สโกฺก อฎฺฐมํ คาถมาห –

    Athassā sakko aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    8.

    ‘‘เอวญฺจ เต รุจฺจติ กาติยานิ, หตาปิ สนฺตา น ชหาสิ ธมฺมํ;

    ‘‘Evañca te ruccati kātiyāni, hatāpi santā na jahāsi dhammaṃ;

    ตุวญฺจ ปุโตฺต สุณิสา จ นตฺตา, สโมฺมทมานา ฆรมาวเสถา’’ติฯ

    Tuvañca putto suṇisā ca nattā, sammodamānā gharamāvasethā’’ti.

    ตตฺถ หตาปิ สนฺตาติ ยทิ ตฺวํ โปถิตาปิ นิกฺกฑฺฒิตาปิ สมานา ตว ทารเกสุ เมตฺตธมฺมํ น ชหาสิ, เอวํ สเนฺต ยถา ตฺวํ อิจฺฉสิ, ตถา โหตุ, อหํ เต อิมสฺมิํ คุเณ ปสโนฺนติฯ

    Tattha hatāpi santāti yadi tvaṃ pothitāpi nikkaḍḍhitāpi samānā tava dārakesu mettadhammaṃ na jahāsi, evaṃ sante yathā tvaṃ icchasi, tathā hotu, ahaṃ te imasmiṃ guṇe pasannoti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา อลงฺกตปฎิยโตฺต สโกฺก อตฺตโน อานุภาเวน อากาเส ฐตฺวา ‘‘กจฺจานิ ตฺวํ มา ภายิ, ปุโตฺต จ เต สุณิสา จ มมานุภาเวน อาคนฺตฺวา อนฺตรามเคฺค ตํ ขมาเปตฺวา อาทาย คมิสฺสนฺติ, อปฺปมตฺตา โหหี’’ติ วตฺวา อตฺตโน ฐานเมว คโตฯ เตปิ สกฺกานุภาเวน ตสฺสา คุณํ อนุสฺสริตฺวา ‘‘กหํ โน มาตา’’ติ อโนฺตคาเม มนุเสฺส ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สุสานาภิมุขํ คตา’’ติ สุตฺวา ‘‘อมฺม, อมฺมา’’ติ สุสานมคฺคํ ปฎิปชฺชิตฺวา ตํ ทิสฺวาว ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘อมฺม, อมฺหากํ โทสํ ขมาหี’’ติ ตํ ขมาเปสุํฯ สาปิ นตฺตารํ คณฺหิฯ อิติ เต สโมฺมทมานา เคหํ คนฺตฺวา ตโต ปฎฺฐาย สมคฺควาสํ วสิํสุฯ

    Evañca pana vatvā alaṅkatapaṭiyatto sakko attano ānubhāvena ākāse ṭhatvā ‘‘kaccāni tvaṃ mā bhāyi, putto ca te suṇisā ca mamānubhāvena āgantvā antarāmagge taṃ khamāpetvā ādāya gamissanti, appamattā hohī’’ti vatvā attano ṭhānameva gato. Tepi sakkānubhāvena tassā guṇaṃ anussaritvā ‘‘kahaṃ no mātā’’ti antogāme manusse pucchitvā ‘‘susānābhimukhaṃ gatā’’ti sutvā ‘‘amma, ammā’’ti susānamaggaṃ paṭipajjitvā taṃ disvāva pādesu patitvā ‘‘amma, amhākaṃ dosaṃ khamāhī’’ti taṃ khamāpesuṃ. Sāpi nattāraṃ gaṇhi. Iti te sammodamānā gehaṃ gantvā tato paṭṭhāya samaggavāsaṃ vasiṃsu.

    .

    9.

    ‘‘สา กาติยานี สุณิสาย สทฺธิํ, สโมฺมทมานา ฆรมาวสิตฺถ;

    ‘‘Sā kātiyānī suṇisāya saddhiṃ, sammodamānā gharamāvasittha;

    ปุโตฺต จ นตฺตา จ อุปฎฺฐหิํสุ, เทวานมิเนฺทน อธิคฺคหีตา’’ติฯ –

    Putto ca nattā ca upaṭṭhahiṃsu, devānamindena adhiggahītā’’ti. –

    อยํ อภิสมฺพุทฺธคาถาฯ

    Ayaṃ abhisambuddhagāthā.

    ตตฺถ สา กาติยานีติ ภิกฺขเว, สา กจฺจานโคตฺตาฯ เทวานมิเนฺทน อธิคฺคหีตาติ เทวิเนฺทน สเกฺกน อนุคฺคหิตา หุตฺวา ตสฺสานุภาเวน สมคฺควาสํ วสิํสูติฯ

    Tattha sā kātiyānīti bhikkhave, sā kaccānagottā. Devānamindena adhiggahītāti devindena sakkena anuggahitā hutvā tassānubhāvena samaggavāsaṃ vasiṃsūti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โส อุปาสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา มาตุโปสโก เอตรหิ มาตุโปสโก อโหสิ , ภริยาปิสฺส ตทา ภริยาเยว, สโกฺก ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne so upāsako sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā mātuposako etarahi mātuposako ahosi , bhariyāpissa tadā bhariyāyeva, sakko pana ahameva ahosinti.

    กจฺจานิชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Kaccānijātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๑๗. กจฺจานิชาตกํ • 417. Kaccānijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact