Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
มูลปณฺณาส-อฎฺฐกถา
Mūlapaṇṇāsa-aṭṭhakathā
(ทุติโย ภาโค)
(Dutiyo bhāgo)
๓. โอปมฺมวโคฺค
3. Opammavaggo
๑. กกจูปมสุตฺตวณฺณนา
1. Kakacūpamasuttavaṇṇanā
๒๒๒. เอวํ เม สุตนฺติ กกจูปมสุตฺตํฯ ตตฺถ โมฬิยผคฺคุโนติ โมฬีติ จูฬา วุจฺจติฯ ยถาห –
222.Evaṃme sutanti kakacūpamasuttaṃ. Tattha moḷiyaphaggunoti moḷīti cūḷā vuccati. Yathāha –
‘‘เฉตฺวาน โมฬิํ วรคนฺธวาสิตํ,
‘‘Chetvāna moḷiṃ varagandhavāsitaṃ,
เวหายสํ อุกฺขิปิ สกฺยปุงฺคโว;
Vehāyasaṃ ukkhipi sakyapuṅgavo;
รตนจโงฺกฎวเรน วาสโว,
Ratanacaṅkoṭavarena vāsavo,
สหสฺสเนโตฺต สิรสา ปฎิคฺคหี’’ติฯ
Sahassanetto sirasā paṭiggahī’’ti.
สา ตสฺส คิหิกาเล มหตี อโหสิ, เตนสฺส โมฬิยผคฺคุโนติ สงฺขา อุทปาทิฯ ปพฺพชิตมฺปิ นํ เตเนว นาเมน สญฺชานนฺติฯ อติเวลนฺติ เวลํ อติกฺกมิตฺวาฯ ตตฺถ กาลเวลา, สีมเวลา, สีลเวลาติ ติวิธา เวลาฯ ‘‘ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสี’’ติ (ธมฺมปเท วคฺคานมุทฺทานํ, คาถานมุทฺทานํ; มหาว. ๑-๓) อยํ กาลเวลา นามฯ ‘‘ฐิตธโมฺม เวลํ นาติวตฺตตี’’ติ (จูฬว. ๓๘๔; อุทา. ๔๕; อ. นิ. ๘.๑๙) อยํ สีมเวลา นามฯ ‘‘เวลาอนติกฺกโม เสตุฆาโต’’ติ (ธ. ส. ๒๙๙-๓๐๑) จ, ‘‘เวลา เจสา อวีติกฺกมนเฎฺฐนา’’ติ จ, อยํ สีลเวลา นามฯ ตํ ติวิธมฺปิ โส อติกฺกมิเยวฯ ภิกฺขุนิโย หิ โอวทิตุํ กาโล นาม อตฺถิ, โส อตฺถงฺคเตปิ สูริเย โอวทโนฺต ตํ กาลเวลมฺปิ อติกฺกมิฯ ภิกฺขุนีนํ โอวาเท ปมาณํ นาม อตฺถิ สีมา มริยาทาฯ โส อุตฺตริฉปฺปญฺจวาจาหิ โอวทโนฺต ตํ สีมเวลมฺปิ อติกฺกมิฯ กเถโนฺต ปน ทวสหคตํ กตฺวา ทุฎฺฐุลฺลาปตฺติปโหนกํ กเถติ, เอวํ สีลเวลมฺปิ อติกฺกมิฯ
Sā tassa gihikāle mahatī ahosi, tenassa moḷiyaphaggunoti saṅkhā udapādi. Pabbajitampi naṃ teneva nāmena sañjānanti. Ativelanti velaṃ atikkamitvā. Tattha kālavelā, sīmavelā, sīlavelāti tividhā velā. ‘‘Tāyaṃ velāyaṃ imaṃ udānaṃ udānesī’’ti (dhammapade vaggānamuddānaṃ, gāthānamuddānaṃ; mahāva. 1-3) ayaṃ kālavelā nāma. ‘‘Ṭhitadhammo velaṃ nātivattatī’’ti (cūḷava. 384; udā. 45; a. ni. 8.19) ayaṃ sīmavelā nāma. ‘‘Velāanatikkamo setughāto’’ti (dha. sa. 299-301) ca, ‘‘velā cesā avītikkamanaṭṭhenā’’ti ca, ayaṃ sīlavelā nāma. Taṃ tividhampi so atikkamiyeva. Bhikkhuniyo hi ovadituṃ kālo nāma atthi, so atthaṅgatepi sūriye ovadanto taṃ kālavelampi atikkami. Bhikkhunīnaṃ ovāde pamāṇaṃ nāma atthi sīmā mariyādā. So uttarichappañcavācāhi ovadanto taṃ sīmavelampi atikkami. Kathento pana davasahagataṃ katvā duṭṭhullāpattipahonakaṃ katheti, evaṃ sīlavelampi atikkami.
สํสโฎฺฐติ มิสฺสีภูโต สมานสุขทุโกฺข หุตฺวาฯ สมฺมุขาติ ปุรโตฯ อวณฺณํ ภาสตีติ ตา ปน ปจนโกฎฺฎนาทีนิ กโรนฺติโย ทิสฺวา นตฺถิ อิมาสํ อนาปตฺติ นาม, อิมา ภิกฺขุนิโย อนาจารา ทุพฺพจา ปคพฺภาติ อคุณํ กเถติฯ อธิกรณมฺปิ กโรตีติ อิเมสํ ภิกฺขูนํ อิมา ภิกฺขุนิโย ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย อกฺขีนิ ทยฺหนฺติ, อิมสฺมิํ วิหาเร ปุปฺผปูชา วา อาสนโธวนปริภณฺฑกรณาทีนิ วา อิมาสํ วเสน วตฺตนฺติฯ กุลธีตโร เอตา ลชฺชินิโย , ตุเมฺห อิมา อิทญฺจิทญฺจ วทถ, อยํ นาม ตุมฺหากํ อาปตฺติ โหติ, วินยธรานํ สนฺติกํ อาคนฺตฺวา วินิจฺฉยํ เม เทถาติ อธิกรณํ อากฑฺฒติฯ
Saṃsaṭṭhoti missībhūto samānasukhadukkho hutvā. Sammukhāti purato. Avaṇṇaṃ bhāsatīti tā pana pacanakoṭṭanādīni karontiyo disvā natthi imāsaṃ anāpatti nāma, imā bhikkhuniyo anācārā dubbacā pagabbhāti aguṇaṃ katheti. Adhikaraṇampi karotīti imesaṃ bhikkhūnaṃ imā bhikkhuniyo diṭṭhakālato paṭṭhāya akkhīni dayhanti, imasmiṃ vihāre pupphapūjā vā āsanadhovanaparibhaṇḍakaraṇādīni vā imāsaṃ vasena vattanti. Kuladhītaro etā lajjiniyo , tumhe imā idañcidañca vadatha, ayaṃ nāma tumhākaṃ āpatti hoti, vinayadharānaṃ santikaṃ āgantvā vinicchayaṃ me dethāti adhikaraṇaṃ ākaḍḍhati.
โมฬิยผคฺคุนสฺส อวณฺณํ ภาสตีติ นตฺถิ อิมสฺส ภิกฺขุโน อนาปตฺติ นามฯ นิจฺจกาลํ อิมสฺส ปริเวณทฺวารํ อสุญฺญํ ภิกฺขุนีหีติ อคุณํ กเถติฯ อธิกรณมฺปิ กโรนฺตีติ อิเมสํ ภิกฺขูนํ โมฬิยผคฺคุนเตฺถรสฺส ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย อกฺขีนิ ทยฺหนฺติฯ อิมสฺมิํ วิหาเร อเญฺญสํ วสนฎฺฐานํ โอโลเกตุมฺปิ น สกฺกาฯ วิหารํ อาคตภิกฺขุนิโย โอวาทํ วา ปฎิสนฺถารํ วา อุเทฺทสปทํ วา เถรเมว นิสฺสาย ลภนฺติ, กุลปุตฺตโก ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก, เอวรูปํ นาม ตุเมฺห อิทญฺจิทญฺจ วทถ, เอถ วินยธรานํ สนฺติเก วินิจฺฉยํ เทถาติ อธิกรณํ อากฑฺฒนฺติฯ
Moḷiyaphaggunassa avaṇṇaṃ bhāsatīti natthi imassa bhikkhuno anāpatti nāma. Niccakālaṃ imassa pariveṇadvāraṃ asuññaṃ bhikkhunīhīti aguṇaṃ katheti. Adhikaraṇampi karontīti imesaṃ bhikkhūnaṃ moḷiyaphaggunattherassa diṭṭhakālato paṭṭhāya akkhīni dayhanti. Imasmiṃ vihāre aññesaṃ vasanaṭṭhānaṃ oloketumpi na sakkā. Vihāraṃ āgatabhikkhuniyo ovādaṃ vā paṭisanthāraṃ vā uddesapadaṃ vā therameva nissāya labhanti, kulaputtako lajjī kukkuccako, evarūpaṃ nāma tumhe idañcidañca vadatha, etha vinayadharānaṃ santike vinicchayaṃ dethāti adhikaraṇaṃ ākaḍḍhanti.
โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจาติ เนว ปิยกมฺยตาย น เภทาธิปฺปาเยน, อตฺถกามตาย อโวจฯ เอกํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อิมสฺส ภิกฺขุสฺส เอวํ สํสฎฺฐสฺส วิหรโต อยโส อุปฺปชฺชิสฺสติฯ โส สาสนสฺสาปิ อวโณฺณเยวฯ อเญฺญน ปน กถิโต อยํ น โอรมิสฺสติ, ภควตา ธมฺมํ เทเสตฺวา โอวทิโต โอรมิสฺสตี’’ติ ตสฺส อตฺถกามตาย ภควนฺตํ เอตํ, ‘‘อายสฺมา, ภเนฺต’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ
Sobhikkhu bhagavantaṃ etadavocāti neva piyakamyatāya na bhedādhippāyena, atthakāmatāya avoca. Ekaṃ kirassa ahosi – ‘‘imassa bhikkhussa evaṃ saṃsaṭṭhassa viharato ayaso uppajjissati. So sāsanassāpi avaṇṇoyeva. Aññena pana kathito ayaṃ na oramissati, bhagavatā dhammaṃ desetvā ovadito oramissatī’’ti tassa atthakāmatāya bhagavantaṃ etaṃ, ‘‘āyasmā, bhante’’tiādivacanaṃ avoca.
๒๒๓. อามเนฺตหีติ ชานาเปหิฯ อามเนฺตตีติ ปโกฺกสติฯ
223.Āmantehīti jānāpehi. Āmantetīti pakkosati.
๒๒๔. สทฺธาติ สทฺธายฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ตฺวํ กุลปุโตฺต เจว สทฺธาปพฺพชิโต จ, ยสฺมา วา เต เอตาหิ สทฺธิํ สํสฎฺฐสฺส วิหรโต เย ตา อโกฺกสิสฺสนฺติ วา, ปหริสฺสนฺติ วา, เตสุ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชิสฺสติ, สํสเคฺค ปหีเน นุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺมาฯ ตตฺราติ ตสฺมิํ อวณฺณภาสเนฯ เคหสิตาติ ปญฺจกามคุณนิสฺสิตาฯ ฉนฺทาติ ตณฺหาฉนฺทาปิ ปฎิฆฉนฺทาปิฯ วิปริณตนฺติ รตฺตมฺปิ จิตฺตํ วิปริณตํฯ ทุฎฺฐมฺปิ, มูฬฺหมฺปิ จิตฺตํ วิปริณตํฯ อิธ ปน ตณฺหาฉนฺทวเสน รตฺตมฺปิ วฎฺฎติ, ปฎิฆฉนฺทวเสน ทุฎฺฐมฺปิ วฎฺฎติฯ หิตานุกมฺปีติ หิเตน อนุกมฺปมาโน หิเตน ผรมาโนฯ น โทสนฺตโรติ น โทสจิโตฺต ภวิสฺสามิฯ
224.Saddhāti saddhāya. Tasmāti yasmā tvaṃ kulaputto ceva saddhāpabbajito ca, yasmā vā te etāhi saddhiṃ saṃsaṭṭhassa viharato ye tā akkosissanti vā, paharissanti vā, tesu domanassaṃ uppajjissati, saṃsagge pahīne nuppajjissati, tasmā. Tatrāti tasmiṃ avaṇṇabhāsane. Gehasitāti pañcakāmaguṇanissitā. Chandāti taṇhāchandāpi paṭighachandāpi. Vipariṇatanti rattampi cittaṃ vipariṇataṃ. Duṭṭhampi, mūḷhampi cittaṃ vipariṇataṃ. Idha pana taṇhāchandavasena rattampi vaṭṭati, paṭighachandavasena duṭṭhampi vaṭṭati. Hitānukampīti hitena anukampamāno hitena pharamāno. Na dosantaroti na dosacitto bhavissāmi.
๒๒๕. อถ โข ภควาติ กสฺมา อารภิ? ผคฺคุนสฺส กิร เอตฺตกํ โอวาทํ สุตฺวาปิ, ‘‘ภิกฺขุนิสํสคฺคโต โอรมิสฺสามิ วิรมิสฺสามี’’ติ จิตฺตมฺปิ น อุปฺปนฺนํ, ภควตา ปน สทฺธิํ ปฎาณี วิย ปฎิวิรุโทฺธ อฎฺฐาสิ, อถสฺส ภควโต ยถา นาม ชิฆจฺฉิตสฺส โภชเน, ปิปาสิตสฺส ปานีเย, สีเตน ผุฎฺฐสฺส อุเณฺห ทุกฺขิตสฺส สุเข ปตฺถนา อุปฺปชฺชติฯ เอวเมว อิมํ ทุพฺพจํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ปฐมโพธิยํ สุพฺพจา ภิกฺขู อาปาถํ อาคมิํสุฯ อถ เตสํ วณฺณํ กเถตุกาโม หุตฺวา อิมํ เทสนํ อารภิฯ
225.Atha kho bhagavāti kasmā ārabhi? Phaggunassa kira ettakaṃ ovādaṃ sutvāpi, ‘‘bhikkhunisaṃsaggato oramissāmi viramissāmī’’ti cittampi na uppannaṃ, bhagavatā pana saddhiṃ paṭāṇī viya paṭiviruddho aṭṭhāsi, athassa bhagavato yathā nāma jighacchitassa bhojane, pipāsitassa pānīye, sītena phuṭṭhassa uṇhe dukkhitassa sukhe patthanā uppajjati. Evameva imaṃ dubbacaṃ bhikkhuṃ disvā paṭhamabodhiyaṃ subbacā bhikkhū āpāthaṃ āgamiṃsu. Atha tesaṃ vaṇṇaṃ kathetukāmo hutvā imaṃ desanaṃ ārabhi.
ตตฺถ อาราธยิํสูติ คณฺหิํสุ ปูรยิํสุฯ เอกํ สมยนฺติ เอกสฺมิํ สมเยฯ เอกาสนโภชนนฺติ เอกํ ปุเรภตฺตโภชนํฯ สูริยุคฺคมนโต หิ ยาว มชฺฌนฺหิกา สตฺตกฺขตฺตุํ ภุตฺตโภชนมฺปิ อิธ เอกาสนโภชนเนฺตว อธิเปฺปตํฯ อปฺปาพาธตนฺติ นิราพาธตํฯ อปฺปาตงฺกตนฺติ นิทฺทุกฺขตํฯ ลหุฎฺฐานนฺติ สรีรสฺส สลฺลหุกํ อุฎฺฐานํฯ พลนฺติ กายพลํฯ ผาสุวิหารนฺติ กายสฺส สุขวิหารํฯ อิมินา กิํ กถิตํ? ทิวา วิกาลโภชนํ ปชหาปิตกาโล กถิโตฯ ภทฺทาลิสุเตฺต ปน รตฺติํ วิกาลโภชนํ ปชหาปิตกาโล กถิโตฯ อิมานิ หิ เทฺว โภชนานิ ภควา น เอกปฺปหาเรน ปชหาเปสิฯ กสฺมา? อิมาเนว หิ เทฺว โภชนานิ วเฎฺฎ สตฺตานํ อาจิณฺณานิฯ สนฺติ กุลปุตฺตา สุขุมาลา, เต เอกโต เทฺวปิ โภชนานิ ปชหนฺตา กิลมนฺติฯ ตสฺมา เอกโต อปชหาเปตฺวา เอกสฺมิํ กาเล ทิวา วิกาลโภชนํ, เอกสฺมิํ รตฺติํ วิกาลโภชนนฺติ วิสุํ ปชหาเปสิฯ เตสุ อิธ ทิวา วิกาลโภชนํ ปชหาปิตกาโล กถิโตฯ ตตฺถ ยสฺมา พุทฺธา น ภยํ ทเสฺสตฺวา ตเชฺชตฺวา ปชหาเปนฺติ, อานิสํสํ ปน ทเสฺสตฺวา ปชหาเปนฺติ, เอวญฺหิ สตฺตา สุเขน ปชหนฺติฯ ตสฺมา อานิสํสํ ทเสฺสโนฺต อิเม ปญฺจ คุเณ ทเสฺสสิฯ อนุสาสนี กรณียาติ ปุนปฺปุนํ สาสเน กตฺตพฺพํ นาโหสิฯ ‘‘อิทํ กโรถ, อิทํ มา กโรถา’’ติ สตุปฺปาทกรณียมตฺตเมว อโหสิฯ ตาวตฺตเกเนว เต กตฺตพฺพํ อกํสุ, ปหาตพฺพํ ปชหิํสุ, ปฐมโพธิยํ, ภิกฺขเว, สุพฺพจา ภิกฺขู อเหสุํ อสฺสวา โอวาทปฎิกราติฯ
Tattha ārādhayiṃsūti gaṇhiṃsu pūrayiṃsu. Ekaṃ samayanti ekasmiṃ samaye. Ekāsanabhojananti ekaṃ purebhattabhojanaṃ. Sūriyuggamanato hi yāva majjhanhikā sattakkhattuṃ bhuttabhojanampi idha ekāsanabhojananteva adhippetaṃ. Appābādhatanti nirābādhataṃ. Appātaṅkatanti niddukkhataṃ. Lahuṭṭhānanti sarīrassa sallahukaṃ uṭṭhānaṃ. Balanti kāyabalaṃ. Phāsuvihāranti kāyassa sukhavihāraṃ. Iminā kiṃ kathitaṃ? Divā vikālabhojanaṃ pajahāpitakālo kathito. Bhaddālisutte pana rattiṃ vikālabhojanaṃ pajahāpitakālo kathito. Imāni hi dve bhojanāni bhagavā na ekappahārena pajahāpesi. Kasmā? Imāneva hi dve bhojanāni vaṭṭe sattānaṃ āciṇṇāni. Santi kulaputtā sukhumālā, te ekato dvepi bhojanāni pajahantā kilamanti. Tasmā ekato apajahāpetvā ekasmiṃ kāle divā vikālabhojanaṃ, ekasmiṃ rattiṃ vikālabhojananti visuṃ pajahāpesi. Tesu idha divā vikālabhojanaṃ pajahāpitakālo kathito. Tattha yasmā buddhā na bhayaṃ dassetvā tajjetvā pajahāpenti, ānisaṃsaṃ pana dassetvā pajahāpenti, evañhi sattā sukhena pajahanti. Tasmā ānisaṃsaṃ dassento ime pañca guṇe dassesi. Anusāsanī karaṇīyāti punappunaṃ sāsane kattabbaṃ nāhosi. ‘‘Idaṃ karotha, idaṃ mā karothā’’ti satuppādakaraṇīyamattameva ahosi. Tāvattakeneva te kattabbaṃ akaṃsu, pahātabbaṃ pajahiṃsu, paṭhamabodhiyaṃ, bhikkhave, subbacā bhikkhū ahesuṃ assavā ovādapaṭikarāti.
อิทานิ เนสํ สุพฺพจภาวทีปิกํ อุปมํ อาหรโนฺต เสยฺยถาปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุภูมิยนฺติ สมภูมิยํฯ ‘‘สุภูมฺยํ สุเขเตฺต วิหตขาณุเก พีชานิ ปติฎฺฐเปยฺยา’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๓๘) เอตฺถ ปน มณฺฑภูมิ สุภูมีติ อาคตาฯ จตุมหาปเถติ ทฺวินฺนํ มหามคฺคานํ วินิวิชฺฌิตฺวา คตฎฺฐาเนฯ อาชญฺญรโถติ วินีตอสฺสรโถฯ โอธสฺตปโตโทติ ยถา รถํ อภิรุหิตฺวา ฐิเตน สกฺกา โหติ คณฺหิตุํ, เอวํ อาลมฺพนํ นิสฺสาย ติริยโต ฐปิตปโตโทฯ โยคฺคาจริโยติ อสฺสาจริโยฯ เสฺวว อสฺสทเมฺม สาเรตีติ อสฺสทมฺมสารถิฯ เยนิจฺฉกนฺติ เยน เยน มเคฺคน อิจฺฉติฯ ยทิจฺฉกนฺติ ยํ ยํ คติํ อิจฺฉติฯ สาเรยฺยาติ อุชุกํ ปุรโต เปเสยฺยฯ ปจฺจาสาเรยฺยาติ ปฎินิวเตฺตยฺยฯ
Idāni nesaṃ subbacabhāvadīpikaṃ upamaṃ āharanto seyyathāpītiādimāha. Tattha subhūmiyanti samabhūmiyaṃ. ‘‘Subhūmyaṃ sukhette vihatakhāṇuke bījāni patiṭṭhapeyyā’’ti (dī. ni. 2.438) ettha pana maṇḍabhūmi subhūmīti āgatā. Catumahāpatheti dvinnaṃ mahāmaggānaṃ vinivijjhitvā gataṭṭhāne. Ājaññarathoti vinītaassaratho. Odhastapatodoti yathā rathaṃ abhiruhitvā ṭhitena sakkā hoti gaṇhituṃ, evaṃ ālambanaṃ nissāya tiriyato ṭhapitapatodo. Yoggācariyoti assācariyo. Sveva assadamme sāretīti assadammasārathi. Yenicchakanti yena yena maggena icchati. Yadicchakanti yaṃ yaṃ gatiṃ icchati. Sāreyyāti ujukaṃ purato peseyya. Paccāsāreyyāti paṭinivatteyya.
เอวเมว โขติ ยถา หิ โส โยคฺคาจริโย เยน เยน มเคฺคน คมนํ อิจฺฉติ, ตํ ตํ อสฺสา อารุฬฺหาว โหนฺติฯ ยาย ยาย จ คติยา อิจฺฉติ, สา สา คติ คหิตาว โหติฯ รถํ เปเสตฺวา อสฺสา เนว วาเรตพฺพา น วิชฺฌิตพฺพา โหนฺติฯ เกวลํ เตสํ สเม ภูมิภาเค ขุเรสุ นิมิตฺตํ ฐเปตฺวา คมนเมว ปสฺสิตพฺพํ โหติฯ เอวํ มยฺหมฺปิ เตสุ ภิกฺขูสุ ปุนปฺปุนํ วตฺตพฺพํ นาโหสิฯ อิทํ กโรถ อิทํ มา กโรถาติ สตุปฺปาทนมตฺตเมว กตฺตพฺพํ โหติฯ เตหิปิ ตาวเทว กตฺตพฺพํ กตเมว โหติ, อกตฺตพฺพํ ชหิตเมวฯ ตสฺมาติ ยสฺมา สุพฺพจา ยุตฺตยานปฎิภาคา หุตฺวา สตุปฺปาทนมเตฺตเนว ปชหิํสุ, ตสฺมา ตุเมฺหปิ ปชหถาติ อโตฺถฯ เอลเณฺฑหีติ เอลณฺฑา กิร สาลทูสนา โหนฺติ, ตสฺมา เอวมาหฯ วิโสเธยฺยาติ เอลเณฺฑ เจว อญฺญา จ วลฺลิโย ฉินฺทิตฺวา พหิ นีหรเณน โสเธยฺยฯ สุชาตาติ สุสณฺฐิตาฯ สมฺมา ปริหเรยฺยาติ มริยาทํ พนฺธิตฺวา อุทกาสิญฺจเนนปิ กาเลนกาลํ มูลมูเล ขณเนนปิ วลฺลิคุมฺพาทิเจฺฉทเนนปิ กิปิลฺลปูฎกหรเณนปิ มกฺกฎกชาลสุกฺขทณฺฑกหรเณนปิ สมฺมา วเฑฺฒตฺวา โปเสยฺยฯ วุทฺธิอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ
Evameva khoti yathā hi so yoggācariyo yena yena maggena gamanaṃ icchati, taṃ taṃ assā āruḷhāva honti. Yāya yāya ca gatiyā icchati, sā sā gati gahitāva hoti. Rathaṃ pesetvā assā neva vāretabbā na vijjhitabbā honti. Kevalaṃ tesaṃ same bhūmibhāge khuresu nimittaṃ ṭhapetvā gamanameva passitabbaṃ hoti. Evaṃ mayhampi tesu bhikkhūsu punappunaṃ vattabbaṃ nāhosi. Idaṃ karotha idaṃ mā karothāti satuppādanamattameva kattabbaṃ hoti. Tehipi tāvadeva kattabbaṃ katameva hoti, akattabbaṃ jahitameva. Tasmāti yasmā subbacā yuttayānapaṭibhāgā hutvā satuppādanamatteneva pajahiṃsu, tasmā tumhepi pajahathāti attho. Elaṇḍehīti elaṇḍā kira sāladūsanā honti, tasmā evamāha. Visodheyyāti elaṇḍe ceva aññā ca valliyo chinditvā bahi nīharaṇena sodheyya. Sujātāti susaṇṭhitā. Sammā parihareyyāti mariyādaṃ bandhitvā udakāsiñcanenapi kālenakālaṃ mūlamūle khaṇanenapi valligumbādicchedanenapi kipillapūṭakaharaṇenapi makkaṭakajālasukkhadaṇḍakaharaṇenapi sammā vaḍḍhetvā poseyya. Vuddhiādīni vuttatthāneva.
๒๒๖. อิทานิ อกฺขนฺติยา โทสํ ทเสฺสโนฺต ภูตปุพฺพนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เวเทหิกาติ วิเทหรฎฺฐวาสิกสฺส ธีตาฯ อถ วา เวโทติ ปญฺญา วุจฺจติ, เวเทน อีหติ อิริยตีติ เวเทหิกา, ปณฺฑิตาติ อโตฺถฯ คหปตานีติ ฆรสามินีฯ กิตฺติสโทฺทติ กิตฺติโฆโสฯ โสรตาติ โสรเจฺจน สมนฺนาคตาฯ นิวาตาติ นิวาตวุตฺติฯ อุปสนฺตาติ นิพฺพุตาฯ ทกฺขาติ ภตฺตปจนสยนตฺถรณทีปุชฺชลนาทิกเมฺมสุ เฉกาฯ อนลสาติ อุฎฺฐาหิกา, สุสํวิหิตกมฺมนฺตาติ สุฎฺฐุ สํวิหิตกมฺมนฺตาฯ เอกา อนลสา โหติ, ยํ ยํ ปน ภาชนํ คณฺหาติ, ตํ ตํ ภินฺทติ วา ฉิทฺทํ วา กโรติ, อยํ น ตาทิสาติ ทเสฺสติฯ
226. Idāni akkhantiyā dosaṃ dassento bhūtapubbantiādimāha. Tattha vedehikāti videharaṭṭhavāsikassa dhītā. Atha vā vedoti paññā vuccati, vedena īhati iriyatīti vedehikā, paṇḍitāti attho. Gahapatānīti gharasāminī. Kittisaddoti kittighoso. Soratāti soraccena samannāgatā. Nivātāti nivātavutti. Upasantāti nibbutā. Dakkhāti bhattapacanasayanattharaṇadīpujjalanādikammesu chekā. Analasāti uṭṭhāhikā, susaṃvihitakammantāti suṭṭhu saṃvihitakammantā. Ekā analasā hoti, yaṃ yaṃ pana bhājanaṃ gaṇhāti, taṃ taṃ bhindati vā chiddaṃ vā karoti, ayaṃ na tādisāti dasseti.
ทิวา อุฎฺฐาสีติ ปาโตว กตฺตพฺพานิ เธนุทุหนาทิกมฺมานิ อกตฺวา อุสฺสูเร อุฎฺฐิตาฯ เห เช กาฬีติ อเร กาฬิฯ กิํ เช ทิวา อุฎฺฐาสีติ กิํ เต กิญฺจิ อผาสุกํ อตฺถิ, กิํ ทิวา อุฎฺฐาสีติ? โน วต เร กิญฺจีติ อเร ยทิ เต น กิญฺจิ อผาสุกํ อตฺถิ, เนว สีสํ รุชฺฌติ, น ปิฎฺฐิ, อถ กสฺมา ปาปิ ทาสิ ทิวา อุฎฺฐาสีติ กุปิตา อนตฺตมนา ภากุฎิมกาสิฯ ทิวาตรํ อุฎฺฐาสีติ ปุนทิวเส อุสฺสูรตรํ อุฎฺฐาสิฯ อนตฺตมนวาจนฺติ อเร ปาปิ ทาสิ อตฺตโน ปมาณํ น ชานาสิ; กิํ อคฺคิํ สีโตติ มญฺญสิ, อิทานิ ตํ สิกฺขาเปสฺสามีติอาทีนิ วทมานา กุปิตวจนํ นิจฺฉาเรสิฯ
Divā uṭṭhāsīti pātova kattabbāni dhenuduhanādikammāni akatvā ussūre uṭṭhitā. He je kāḷīti are kāḷi. Kiṃ je divā uṭṭhāsīti kiṃ te kiñci aphāsukaṃ atthi, kiṃ divā uṭṭhāsīti? No vata re kiñcīti are yadi te na kiñci aphāsukaṃ atthi, neva sīsaṃ rujjhati, na piṭṭhi, atha kasmā pāpi dāsi divā uṭṭhāsīti kupitā anattamanā bhākuṭimakāsi. Divātaraṃ uṭṭhāsīti punadivase ussūrataraṃ uṭṭhāsi. Anattamanavācanti are pāpi dāsi attano pamāṇaṃ na jānāsi; kiṃ aggiṃ sītoti maññasi, idāni taṃ sikkhāpessāmītiādīni vadamānā kupitavacanaṃ nicchāresi.
ปฎิวิสกานนฺติ สามนฺตเคหวาสีนํฯ อุชฺฌาเปสีติ อวชานาเปสิฯ จณฺฑีติ อโสรตา กิพฺพิสาฯ อิติ ยตฺตกา คุณา, ตโต ทิคุณา โทสา อุปฺปชฺชิํสุฯ คุณา นาม สณิกํ สณิกํ อาคจฺฉนฺติ; โทสา เอกทิวเสเนว ปตฺถฎา โหนฺติฯ โสรตโสรโตติ อติวิย โสรโต, โสตาปโนฺน นุ โข, สกทาคามี อนาคามี อรหา นุ โขติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติฯ ผุสนฺตีติ ผุสนฺตา ฆเฎฺฎนฺตา อาปาถํ อาคจฺฉนฺติฯ
Paṭivisakānanti sāmantagehavāsīnaṃ. Ujjhāpesīti avajānāpesi. Caṇḍīti asoratā kibbisā. Iti yattakā guṇā, tato diguṇā dosā uppajjiṃsu. Guṇā nāma saṇikaṃ saṇikaṃ āgacchanti; dosā ekadivaseneva patthaṭā honti. Soratasoratoti ativiya sorato, sotāpanno nu kho, sakadāgāmī anāgāmī arahā nu khoti vattabbataṃ āpajjati. Phusantīti phusantā ghaṭṭentā āpāthaṃ āgacchanti.
อถ ภิกฺขุ โสรโตติ เวทิตโพฺพติ อถ อธิวาสนกฺขนฺติยํ ฐิโต ภิกฺขุ โสรโตติ เวทิตโพฺพฯ โย จีวร…เป.… ปริกฺขารเหตูติ โย เอตานิ จีวราทีนิ ปณีตปณีตานิ ลภโนฺต ปาทปริกมฺมปิฎฺฐิปริกมฺมาทีนิ เอกวจเนเนว กโรติฯ อลภมาโนติ ยถา ปุเพฺพ ลภติ, เอวํ อลภโนฺตฯ ธมฺมเญฺญว สกฺกโรโนฺตติ ธมฺมํเยว สกฺการํ สุกตการํ กโรโนฺตฯ ครุํ กโรโนฺตติ ครุภาริยํ กโรโนฺตฯ มาเนโนฺตติ มเนน ปิยํ กโรโนฺตฯ ปูเชโนฺตติ ปจฺจยปูชาย ปูเชโนฺตฯ อปจายมาโนติ ธมฺมํเยว อปจายมาโน อปจิติํ นีจวุตฺติํ ทเสฺสโนฺตฯ
Athabhikkhu soratoti veditabboti atha adhivāsanakkhantiyaṃ ṭhito bhikkhu soratoti veditabbo. Yo cīvara…pe… parikkhārahetūti yo etāni cīvarādīni paṇītapaṇītāni labhanto pādaparikammapiṭṭhiparikammādīni ekavacaneneva karoti. Alabhamānoti yathā pubbe labhati, evaṃ alabhanto. Dhammaññeva sakkarontoti dhammaṃyeva sakkāraṃ sukatakāraṃ karonto. Garuṃ karontoti garubhāriyaṃ karonto. Mānentoti manena piyaṃ karonto. Pūjentoti paccayapūjāya pūjento. Apacāyamānoti dhammaṃyeva apacāyamāno apacitiṃ nīcavuttiṃ dassento.
๒๒๗. เอวํ อกฺขนฺติยา โทสํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เย อธิวาเสนฺติ, เต เอวํ อธิวาเสนฺตีติ ปญฺจ วจนปเถ ทเสฺสโนฺต ปญฺจิเม, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ กาเลนาติ ยุตฺตปตฺตกาเลนฯ ภูเตนาติ สตา วิชฺชมาเนนฯ สเณฺหนาติ สมฺมเฎฺฐน ฯ อตฺถสญฺหิเตนาติ อตฺถนิสฺสิเตน การณนิสฺสิเตนฯ อกาเลนาติอาทีนิ เตสํเยว ปฎิปกฺขวเสน เวทิตพฺพานิฯ เมตฺตจิตฺตาติ อุปฺปนฺนเมตฺตจิตฺตา หุตฺวาฯ โทสนฺตราติ ทุฎฺฐจิตฺตา, อพฺภนฺตเร อุปฺปนฺนโทสา หุตฺวาฯ ตตฺราติ เตสุ วจนปเถสุฯ ผริตฺวาติ อธิมุจฺจิตฺวาฯ ตทารมฺมณญฺจาติ กถํ ตทารมฺมณํ สพฺพาวนฺตํ โลกํ กโรติ? ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตํ ปุคฺคลํ เมตฺตจิตฺตสฺส อารมฺมณํ กตฺวา ปุน ตเสฺสว เมตฺตจิตฺตสฺส อวเสสสเตฺต อารมฺมณํ กโรโนฺต สพฺพาวนฺตํ โลกํ ตทารมฺมณํ กโรติ นามฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถฯ ตทารมฺมณญฺจาติ ตเสฺสว เมตฺตจิตฺตสฺส อารมฺมณํ กตฺวาฯ สพฺพาวนฺตนฺติ สพฺพสตฺตวนฺตํฯ โลกนฺติ สตฺตโลกํฯ วิปุเลนาติ อเนกสตฺตารมฺมเณนฯ มหคฺคเตนาติ มหคฺคตภูมิเกนฯ อปฺปมาเณนาติ สุภาวิเตนฯ อเวเรนาติ นิโทฺทเสนฯ อพฺยาพเชฺฌนาติ นิทฺทุเกฺขนฯ ผริตฺวา วิหริสฺสามาติ เอวรูเปน เมตฺตาสหคเตน เจตสา ตญฺจ ปุคฺคลํ สพฺพญฺจ โลกํ ตสฺส จิตฺตสฺส อารมฺมณํ กตฺวา อธิมุจฺจิตฺวา วิหริสฺสามฯ
227. Evaṃ akkhantiyā dosaṃ dassetvā idāni ye adhivāsenti, te evaṃ adhivāsentīti pañca vacanapathe dassento pañcime, bhikkhavetiādimāha. Tattha kālenāti yuttapattakālena. Bhūtenāti satā vijjamānena. Saṇhenāti sammaṭṭhena . Atthasañhitenāti atthanissitena kāraṇanissitena. Akālenātiādīni tesaṃyeva paṭipakkhavasena veditabbāni. Mettacittāti uppannamettacittā hutvā. Dosantarāti duṭṭhacittā, abbhantare uppannadosā hutvā. Tatrāti tesu vacanapathesu. Pharitvāti adhimuccitvā. Tadārammaṇañcāti kathaṃ tadārammaṇaṃ sabbāvantaṃ lokaṃ karoti? Pañca vacanapathe gahetvā āgataṃ puggalaṃ mettacittassa ārammaṇaṃ katvā puna tasseva mettacittassa avasesasatte ārammaṇaṃ karonto sabbāvantaṃ lokaṃ tadārammaṇaṃ karoti nāma. Tatrāyaṃ vacanattho. Tadārammaṇañcāti tasseva mettacittassa ārammaṇaṃ katvā. Sabbāvantanti sabbasattavantaṃ. Lokanti sattalokaṃ. Vipulenāti anekasattārammaṇena. Mahaggatenāti mahaggatabhūmikena. Appamāṇenāti subhāvitena. Averenāti niddosena. Abyābajjhenāti niddukkhena. Pharitvā viharissāmāti evarūpena mettāsahagatena cetasā tañca puggalaṃ sabbañca lokaṃ tassa cittassa ārammaṇaṃ katvā adhimuccitvā viharissāma.
๒๒๘. อิทานิ ตทตฺถทีปิกํ อุปมํ อาหรโนฺต เสยฺยถาปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อปถวินฺติ นิปฺปถวิํ กริสฺสามีติ อโตฺถฯ ตตฺร ตตฺราติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเนฯ วิกิเรยฺยาติ ปจฺฉิยา ปํสุํ อุทฺธริตฺวา พีชานิ วิย วิกิเรยฺยฯ โอฎฺฐุเภยฺยาติ เขฬํ ปาเตยฺยฯ อปถวิํ กเรยฺยาติ เอวํ กาเยน จ วาจาย จ ปโยคํ กตฺวาปิ สกฺกุเณยฺย อปถวิํ กาตุนฺติ? คมฺภีราติ พหลเตฺตน ทฺวิโยชนสตสหสฺสานิ จตฺตาริ จ นหุตานิ คมฺภีราฯ อปฺปเมยฺยาติ ติริยํ ปน อปริจฺฉินฺนาฯ เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – ปถวี วิย หิ เมตฺตจิตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ กุทาลปิฎกํ คเหตฺวา อาคตปุริโส วิย ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตปุคฺคโลฯ ยถา โส กุทาลปิฎเกน มหาปถวิํ อปถวิํ กาตุํ น สโกฺกติ, เอวํ โว ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตปุคฺคโล เมตฺตจิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ กาตุํ น สกฺขิสฺสตีติฯ
228. Idāni tadatthadīpikaṃ upamaṃ āharanto seyyathāpītiādimāha. Tattha apathavinti nippathaviṃ karissāmīti attho. Tatra tatrāti tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne. Vikireyyāti pacchiyā paṃsuṃ uddharitvā bījāni viya vikireyya. Oṭṭhubheyyāti kheḷaṃ pāteyya. Apathaviṃ kareyyāti evaṃ kāyena ca vācāya ca payogaṃ katvāpi sakkuṇeyya apathaviṃ kātunti? Gambhīrāti bahalattena dviyojanasatasahassāni cattāri ca nahutāni gambhīrā. Appameyyāti tiriyaṃ pana aparicchinnā. Evameva khoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ – pathavī viya hi mettacittaṃ daṭṭhabbaṃ. Kudālapiṭakaṃ gahetvā āgatapuriso viya pañca vacanapathe gahetvā āgatapuggalo. Yathā so kudālapiṭakena mahāpathaviṃ apathaviṃ kātuṃ na sakkoti, evaṃ vo pañca vacanapathe gahetvā āgatapuggalo mettacittassa aññathattaṃ kātuṃ na sakkhissatīti.
๒๒๙. ทุติยอุปมายํ หลิทฺทินฺติ ยํกิญฺจิ ปีตกวณฺณํฯ นีลนฺติ กํสนีลํ วา ปลาสนีลํ วาฯ อรูปีติ อรูโป ฯ นนุ จ, ทฺวินฺนํ กฎฺฐานํ วา ทฺวินฺนํ รุกฺขานํ วา ทฺวินฺนํ เสยฺยานํ วา ทฺวินฺนํ เสลานํ วา อนฺตรํ ปริจฺฉินฺนากาสรูปนฺติ อาคตํ, กสฺมา อิธ อรูปีติ วุโตฺตติ? สนิทสฺสนภาวปฎิเกฺขปโตฯ เตเนวาห ‘‘อนิทสฺสโน’’ติฯ ตสฺมิญฺหิ รูปํ ลิขิตุํ, รูปปาตุภาวํ ทเสฺสตุํ น สกฺกา, ตสฺมา ‘‘อรูปี’’ติ วุโตฺตฯ อนิทสฺสโนติ ทสฺสนสฺส จกฺขุวิญฺญาณสฺส อนาปาโถฯ อุปมาสํสนฺทเน ปเนตฺถ อากาโส วิย เมตฺตจิตฺตํฯ ตุลิกปญฺจมา จตฺตาโร รงฺคชาตา วิย ปญฺจ วจนปถา, ตุลิกปญฺจเม รเงฺค คเหตฺวา อาคตปุริโส วิย ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตปุคฺคโลฯ ยถา โส ตุลิกปญฺจเมหิ รเงฺคหิ อากาเส รูปปาตุภาวํ กาตุํ น สโกฺกติ, เอวํ โว ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตปุคฺคโล เมตฺตจิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ กตฺวา โทสุปฺปตฺติํ ทเสฺสตุํ น สกฺขิสฺสตีติฯ
229. Dutiyaupamāyaṃ haliddinti yaṃkiñci pītakavaṇṇaṃ. Nīlanti kaṃsanīlaṃ vā palāsanīlaṃ vā. Arūpīti arūpo . Nanu ca, dvinnaṃ kaṭṭhānaṃ vā dvinnaṃ rukkhānaṃ vā dvinnaṃ seyyānaṃ vā dvinnaṃ selānaṃ vā antaraṃ paricchinnākāsarūpanti āgataṃ, kasmā idha arūpīti vuttoti? Sanidassanabhāvapaṭikkhepato. Tenevāha ‘‘anidassano’’ti. Tasmiñhi rūpaṃ likhituṃ, rūpapātubhāvaṃ dassetuṃ na sakkā, tasmā ‘‘arūpī’’ti vutto. Anidassanoti dassanassa cakkhuviññāṇassa anāpātho. Upamāsaṃsandane panettha ākāso viya mettacittaṃ. Tulikapañcamā cattāro raṅgajātā viya pañca vacanapathā, tulikapañcame raṅge gahetvā āgatapuriso viya pañca vacanapathe gahetvā āgatapuggalo. Yathā so tulikapañcamehi raṅgehi ākāse rūpapātubhāvaṃ kātuṃ na sakkoti, evaṃ vo pañca vacanapathe gahetvā āgatapuggalo mettacittassa aññathattaṃ katvā dosuppattiṃ dassetuṃ na sakkhissatīti.
๒๓๐. ตติยอุปมายํ อาทิตฺตนฺติ ปชฺชลิตํฯ คมฺภีรา อปฺปเมยฺยาติ อิมิสฺสา คงฺคาย คมฺภีรฎฺฐานํ คาวุตมฺปิ อตฺถิ, อฑฺฒโยชนมฺปิ, โยชนมฺปิฯ ปุถุลํ ปนสฺสา เอวรูปํเยว, ทีฆโต ปน ปญฺจโยชนสตานิฯ สา กถํ คมฺภีรา อปฺปเมยฺยาติ? เอเตน ปโยเคน ปริวเตฺตตฺวา อุทฺธเน อุทกํ วิย ตาเปตุํ อสกฺกุเณยฺยโตฯ ฐิโตทกํ ปน เกนจิ อุปาเยน องฺคุลมตฺตํ วา อฑฺฒงฺคุลมตฺตํ วา เอวํ ตาเปตุํ สกฺกา ภเวยฺย, อยํ ปน น สกฺกา, ตสฺมา เอวํ วุตฺตํฯ อุปมาสํสนฺทเน ปเนตฺถ คงฺคา วิย เมตฺตจิตฺตํ, ติณุกฺกํ อาทาย อาคตปุริโส วิย ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตปุคฺคโลฯ ยถา โส อาทิตฺตาย ติณุกฺกาย คงฺคํ ตาเปตุํ น สโกฺกติ, เอวํ โว ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตปุคฺคโล เมตฺตจิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ กาตุํ น สกฺขิสฺสตีติฯ
230. Tatiyaupamāyaṃ ādittanti pajjalitaṃ. Gambhīrā appameyyāti imissā gaṅgāya gambhīraṭṭhānaṃ gāvutampi atthi, aḍḍhayojanampi, yojanampi. Puthulaṃ panassā evarūpaṃyeva, dīghato pana pañcayojanasatāni. Sā kathaṃ gambhīrā appameyyāti? Etena payogena parivattetvā uddhane udakaṃ viya tāpetuṃ asakkuṇeyyato. Ṭhitodakaṃ pana kenaci upāyena aṅgulamattaṃ vā aḍḍhaṅgulamattaṃ vā evaṃ tāpetuṃ sakkā bhaveyya, ayaṃ pana na sakkā, tasmā evaṃ vuttaṃ. Upamāsaṃsandane panettha gaṅgā viya mettacittaṃ, tiṇukkaṃ ādāya āgatapuriso viya pañca vacanapathe gahetvā āgatapuggalo. Yathā so ādittāya tiṇukkāya gaṅgaṃ tāpetuṃ na sakkoti, evaṃ vo pañca vacanapathe gahetvā āgatapuggalo mettacittassa aññathattaṃ kātuṃ na sakkhissatīti.
๒๓๑. จตุตฺถอุปมายํ พิฬารภสฺตาติ พิฬารจมฺมปสิพฺพกาฯ สุมทฺทิตาติ สุฎฺฐุ มทฺทิตาฯ สุปริมทฺทิตาติ อโนฺต จ พหิ จ สมนฺตโต สุปริมทฺทิตาฯ ตูลินีติ สิมฺพลิตูลลตาตูลสมานาฯ ฉินฺนสสฺสราติ ฉินฺนสสฺสรสทฺทาฯ ฉินฺนภพฺภราติ ฉินฺนภพฺภรสทฺทาฯ อุปมาสํสนฺทเน ปเนตฺถ พิฬารภสฺตา วิย เมตฺตจิตฺตํ, กฎฺฐกฐลํ อาทาย อาคตปุริโส วิย ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตปุคฺคโลฯ ยถา โส กเฎฺฐน วา กฐเลน วา พิฬารภสฺตํ สรสรํ ภรภรํ สทฺทํ กาตุํ น สโกฺกติ, เอวํ โว ปญฺจ วจนปเถ คเหตฺวา อาคตปุคฺคโล เมตฺตจิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ กตฺวา โทสานุคตภาวํ กาตุํ น สกฺขิสฺสตีติฯ
231. Catutthaupamāyaṃ biḷārabhastāti biḷāracammapasibbakā. Sumadditāti suṭṭhu madditā. Suparimadditāti anto ca bahi ca samantato suparimadditā. Tūlinīti simbalitūlalatātūlasamānā. Chinnasassarāti chinnasassarasaddā. Chinnabhabbharāti chinnabhabbharasaddā. Upamāsaṃsandane panettha biḷārabhastā viya mettacittaṃ, kaṭṭhakaṭhalaṃ ādāya āgatapuriso viya pañca vacanapathe gahetvā āgatapuggalo. Yathā so kaṭṭhena vā kaṭhalena vā biḷārabhastaṃ sarasaraṃ bharabharaṃ saddaṃ kātuṃ na sakkoti, evaṃ vo pañca vacanapathe gahetvā āgatapuggalo mettacittassa aññathattaṃ katvā dosānugatabhāvaṃ kātuṃ na sakkhissatīti.
๒๓๒. โอจรกาติ อวจรกา เหฎฺฐาจรกา, นีจกมฺมการกาติ อโตฺถฯ โย มโน ปทูเสยฺยาติ โย ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา มโน ปทูเสยฺย, ตํ กกเจน โอกนฺตนํ นาธิวาเสยฺยฯ น เม โส เตน สาสนกโรติ โส เตน อนธิวาสเนน มยฺหํ โอวาทกโร น โหติฯ อาปตฺติ ปเนตฺถ นตฺถิฯ
232.Ocarakāti avacarakā heṭṭhācarakā, nīcakammakārakāti attho. Yo mano padūseyyāti yo bhikkhu vā bhikkhunī vā mano padūseyya, taṃ kakacena okantanaṃ nādhivāseyya. Na me so tena sāsanakaroti so tena anadhivāsanena mayhaṃ ovādakaro na hoti. Āpatti panettha natthi.
๒๓๓. อณุํ วา ถูลํ วาติ อปฺปสาวชฺชํ วา มหาสาวชฺชํ วาฯ ยํ ตุเมฺห นาธิวาเสยฺยาถาติ โย ตุเมฺหหิ อธิวาเสตโพฺพ น ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ โน เหตํ, ภเนฺตติ, ภเนฺต, อนธิวาเสตพฺพํ นาม วจนปถํ น ปสฺสามาติ อธิปฺปาโยฯ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายาติ อิติ ภควา อรหเตฺตน กูฎํ คณฺหโนฺต ยถานุสนฺธินา เทสนํ นิฎฺฐเปสีติฯ
233.Aṇuṃ vā thūlaṃ vāti appasāvajjaṃ vā mahāsāvajjaṃ vā. Yaṃ tumhe nādhivāseyyāthāti yo tumhehi adhivāsetabbo na bhaveyyāti attho. No hetaṃ, bhanteti, bhante, anadhivāsetabbaṃ nāma vacanapathaṃ na passāmāti adhippāyo. Dīgharattaṃ hitāya sukhāyāti iti bhagavā arahattena kūṭaṃ gaṇhanto yathānusandhinā desanaṃ niṭṭhapesīti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
กกจูปมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kakacūpamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. กกจูปมสุตฺตํ • 1. Kakacūpamasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. กกจูปมสุตฺตวณฺณนา • 1. Kakacūpamasuttavaṇṇanā