Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๒๖] ๖. กกฺการุชาตกวณฺณนา
[326] 6. Kakkārujātakavaṇṇanā
กาเยน โย นาวหเรติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺส หิ สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา คตสฺส อคฺคสาวเกหิ สทฺธิํ ปริสาย ปกฺกนฺตาย อุณฺหํ โลหิตํ มุขโต อุคฺคญฺฉิฯ อถ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต มุสาวาทํ กตฺวา สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา อิทานิ คิลาโน หุตฺวา มหาทุกฺขํ อนุโภตี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส มุสาวาทีเยว, น เจส อิทาเนว มุสาวาทํ กตฺวา มหาทุกฺขํ อนุโภติ, ปุเพฺพปิ อนุโภสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Kāyena yo nāvahareti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. Tassa hi saṅghaṃ bhinditvā gatassa aggasāvakehi saddhiṃ parisāya pakkantāya uṇhaṃ lohitaṃ mukhato uggañchi. Atha bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, devadatto musāvādaṃ katvā saṅghaṃ bhinditvā idāni gilāno hutvā mahādukkhaṃ anubhotī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa musāvādīyeva, na cesa idāneva musāvādaṃ katvā mahādukkhaṃ anubhoti, pubbepi anubhosiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตาวติํสภวเน อญฺญตโร เทวปุโตฺต อโหสิฯ เตน โข ปน สมเยน พาราณสิยํ มหาอุสฺสโว อโหสิฯ พหู นาคา จ สุปณฺณา จ ภูมฎฺฐกา จ เทวา อาคนฺตฺวา อุสฺสวํ โอโลกยิํสุฯ ตาวติํสภวนโตปิ จตฺตาโร เทวปุตฺตา กกฺการูนิ นาม ทิพฺพปุปฺผานิ เตหิ กตจุมฺพฎกํ ปิฬนฺธิตฺวา อุสฺสวทสฺสนํ อาคมิํสุฯ ทฺวาทสโยชนิกํ พาราณสินครํ เตสํ ปุปฺผานํ คเนฺธน เอกคนฺธํ อโหสิฯ มนุสฺสา ‘‘อิมานิ ปุปฺผานิ เกน ปิฬนฺธิตานี’’ติ อุปธาเรนฺตา วิจรนฺติฯ เต เทวปุตฺตา ‘‘อเมฺห เอเต อุปธาเรนฺตี’’ติ ญตฺวา ราชงฺคเณ อุปฺปติตฺวา มหเนฺตน เทวานุภาเวน อากาเส อฎฺฐํสุฯ มหาชโน สนฺนิปติ, ราชาปิ สทฺธิํ อุปราชาทีหิ อคมาสิฯ อถ เน ‘‘กตรเทวโลกโต, สามิ, อาคจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘ตาวติํสเทวโลกโต อาคจฺฉามา’’ติฯ ‘‘เกน กเมฺมน อาคตตฺถา’’ติฯ ‘‘อุสฺสวทสฺสนตฺถายา’’ติฯ ‘‘กิํปุปฺผานิ นาเมตานี’’ติ? ‘‘ทิพฺพกกฺการุปุปฺผานิ นามา’’ติฯ ‘‘สามิ, ตุเมฺห เทวโลเก อญฺญานิ ปิฬเนฺธยฺยาถ, อิมานิ อมฺหากํ เทถา’’ติฯ เทวปุตฺตา ‘‘ทิพฺพกกฺการุปุปฺผานิ มหานุภาวานิ เทวานเญฺญว อนุจฺฉวิกานิ, มนุสฺสโลเก ลามกานํ ทุปฺปญฺญานํ หีนาธิมุตฺติกานํ ทุสฺสีลานํ นานุจฺฉวิกานิฯ เย ปน มนุสฺสา อิเมหิ จ อิเมหิ จ คุเณหิ สมนฺนาคตา, เตสํ เอตานิ อนุจฺฉวิกานี’’ติ อาหํสุฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tāvatiṃsabhavane aññataro devaputto ahosi. Tena kho pana samayena bārāṇasiyaṃ mahāussavo ahosi. Bahū nāgā ca supaṇṇā ca bhūmaṭṭhakā ca devā āgantvā ussavaṃ olokayiṃsu. Tāvatiṃsabhavanatopi cattāro devaputtā kakkārūni nāma dibbapupphāni tehi katacumbaṭakaṃ piḷandhitvā ussavadassanaṃ āgamiṃsu. Dvādasayojanikaṃ bārāṇasinagaraṃ tesaṃ pupphānaṃ gandhena ekagandhaṃ ahosi. Manussā ‘‘imāni pupphāni kena piḷandhitānī’’ti upadhārentā vicaranti. Te devaputtā ‘‘amhe ete upadhārentī’’ti ñatvā rājaṅgaṇe uppatitvā mahantena devānubhāvena ākāse aṭṭhaṃsu. Mahājano sannipati, rājāpi saddhiṃ uparājādīhi agamāsi. Atha ne ‘‘kataradevalokato, sāmi, āgacchathā’’ti pucchiṃsu. ‘‘Tāvatiṃsadevalokato āgacchāmā’’ti. ‘‘Kena kammena āgatatthā’’ti. ‘‘Ussavadassanatthāyā’’ti. ‘‘Kiṃpupphāni nāmetānī’’ti? ‘‘Dibbakakkārupupphāni nāmā’’ti. ‘‘Sāmi, tumhe devaloke aññāni piḷandheyyātha, imāni amhākaṃ dethā’’ti. Devaputtā ‘‘dibbakakkārupupphāni mahānubhāvāni devānaññeva anucchavikāni, manussaloke lāmakānaṃ duppaññānaṃ hīnādhimuttikānaṃ dussīlānaṃ nānucchavikāni. Ye pana manussā imehi ca imehi ca guṇehi samannāgatā, tesaṃ etāni anucchavikānī’’ti āhaṃsu.
เอวญฺจ ปน วตฺวา เตสุ เชฎฺฐกเทวปุโตฺต ปฐมํ คาถมาห –
Evañca pana vatvā tesu jeṭṭhakadevaputto paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๐๑.
101.
‘‘กาเยน โย นาวหเร, วาจาย น มุสา ภเณ;
‘‘Kāyena yo nāvahare, vācāya na musā bhaṇe;
ยโส ลทฺธา น มเชฺชยฺย, ส เว กกฺการุมรหตี’’ติฯ
Yaso laddhā na majjeyya, sa ve kakkārumarahatī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – โย กาเยน ปรสฺส สนฺตกํ ติณสลากมฺปิ นาวหรติ, วาจาย ชีวิตํ ปริจฺจชมาโนปิ มุสาวาทํ น ภณติฯ เทสนาสีสเมเวตํ , กายทฺวารวจีทฺวารมโนทฺวาเรหิ ปน โย ทสปิ อกุสลกมฺมปเถ น กโรตีติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ ยโส ลทฺธาติ อิสฺสริยญฺจ ลภิตฺวา โย อิสฺสริยมทมโตฺต สติํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปาปกมฺมํ น กโรติ, ส เว เอวรูโป อิเมหิ คุเณหิ ยุโตฺต ปุคฺคโล อิมํ ทิพฺพปุปฺผํ อรหติฯ ตสฺมา โย อิเมหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต, โส อิมานิ ปุปฺผานิ ยาจิตุํ อรหติ, ตสฺส ทสฺสามีติฯ
Tassattho – yo kāyena parassa santakaṃ tiṇasalākampi nāvaharati, vācāya jīvitaṃ pariccajamānopi musāvādaṃ na bhaṇati. Desanāsīsamevetaṃ , kāyadvāravacīdvāramanodvārehi pana yo dasapi akusalakammapathe na karotīti ayamettha adhippāyo. Yaso laddhāti issariyañca labhitvā yo issariyamadamatto satiṃ vissajjetvā pāpakammaṃ na karoti, sa ve evarūpo imehi guṇehi yutto puggalo imaṃ dibbapupphaṃ arahati. Tasmā yo imehi guṇehi samannāgato, so imāni pupphāni yācituṃ arahati, tassa dassāmīti.
ตํ สุตฺวา ปุโรหิโต จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ อิเมสุ คุเณสุ เอโกปิ นตฺถิ, มุสาวาทํ ปน วตฺวา เอตานิ ปุปฺผานิ คเหตฺวา ปิฬนฺธิสฺสามิ, เอวํ มํ มหาชโน ‘คุณสมฺปโนฺน อย’นฺติ ชานิสฺสตี’’ติฯ โส ‘‘อหํ เอเตหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต’’ติ วตฺวา ตานิ ปุปฺผานิ อาหราเปตฺวา ปิฬนฺธิตฺวา ทุติยํ เทวปุตฺตํ ยาจิฯ โส ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā purohito cintesi ‘‘mayhaṃ imesu guṇesu ekopi natthi, musāvādaṃ pana vatvā etāni pupphāni gahetvā piḷandhissāmi, evaṃ maṃ mahājano ‘guṇasampanno aya’nti jānissatī’’ti. So ‘‘ahaṃ etehi guṇehi samannāgato’’ti vatvā tāni pupphāni āharāpetvā piḷandhitvā dutiyaṃ devaputtaṃ yāci. So dutiyaṃ gāthamāha –
๑๐๒.
102.
‘‘ธเมฺมน วิตฺตเมเสยฺย, น นิกตฺยา ธนํ หเร;
‘‘Dhammena vittameseyya, na nikatyā dhanaṃ hare;
โภเค ลทฺธา น มเชฺชยฺย, ส เว กกฺการุมรหตี’’ติฯ
Bhoge laddhā na majjeyya, sa ve kakkārumarahatī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ธเมฺมน ปริสุทฺธาชีเวน สุวณฺณรชตาทิวิตฺตํ ปริเยเสยฺยฯ น นิกตฺยาติ น วญฺจนาย ธนํ หเรยฺย, วตฺถาภรณาทิเก โภเค ลภิตฺวา ปมาทํ นาปเชฺชยฺย, เอวรูโป อิมานิ ปุปฺผานิ อรหตีติฯ
Tassattho – dhammena parisuddhājīvena suvaṇṇarajatādivittaṃ pariyeseyya. Na nikatyāti na vañcanāya dhanaṃ hareyya, vatthābharaṇādike bhoge labhitvā pamādaṃ nāpajjeyya, evarūpo imāni pupphāni arahatīti.
ปุโรหิโต ‘‘อหํ เอเตหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต’’ติ วตฺวา ตานิ อาหราเปตฺวา ปิฬนฺธิตฺวา ตติยํ เทวปุตฺตํ ยาจิฯ โส ตติยํ คาถมาห –
Purohito ‘‘ahaṃ etehi guṇehi samannāgato’’ti vatvā tāni āharāpetvā piḷandhitvā tatiyaṃ devaputtaṃ yāci. So tatiyaṃ gāthamāha –
๑๐๓.
103.
‘‘ยสฺส จิตฺตํ อหาลิทฺทํ, สทฺธา จ อวิราคินี;
‘‘Yassa cittaṃ ahāliddaṃ, saddhā ca avirāginī;
เอโก สาทุํ น ภุเญฺชยฺย, ส เว กกฺการุมรหตี’’ติฯ
Eko sāduṃ na bhuñjeyya, sa ve kakkārumarahatī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ยสฺส ปุคฺคลสฺส จิตฺตํ อหาลิทฺทํ หลิทฺทิราโค วิย ขิปฺปํ น วิรชฺชติ, ถิรเมว โหติฯ สทฺธา จ อวิราคินีติ กมฺมํ วา วิปากํ วา โอกปฺปนียสฺส วา ปุคฺคลสฺส วจนํ สทฺทหิตฺวา อปฺปมตฺตเกเนว น วิรชฺชติ น ภิชฺชติฯ โย ยาจเก วา อเญฺญ วา สํวิภาคารเห ปุคฺคเล พหิ กตฺวา เอกโกว สาทุรสโภชนํ น ภุญฺชติ, เนสํ สํวิภชิตฺวา ภุญฺชติ, โส อิมานิ ปุปฺผานิ อรหตีติฯ
Tassattho – yassa puggalassa cittaṃ ahāliddaṃ haliddirāgo viya khippaṃ na virajjati, thirameva hoti. Saddhā ca avirāginīti kammaṃ vā vipākaṃ vā okappanīyassa vā puggalassa vacanaṃ saddahitvā appamattakeneva na virajjati na bhijjati. Yo yācake vā aññe vā saṃvibhāgārahe puggale bahi katvā ekakova sādurasabhojanaṃ na bhuñjati, nesaṃ saṃvibhajitvā bhuñjati, so imāni pupphāni arahatīti.
ปุโรหิโต ‘‘อหํ เอเตหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต’’ติ วตฺวา ตานิ ปุปฺผานิ อาหราเปตฺวา ปิฬนฺธิตฺวา จตุตฺถํ เทวปุตฺตํ ยาจิฯ โส จตุตฺถํ คาถมาห –
Purohito ‘‘ahaṃ etehi guṇehi samannāgato’’ti vatvā tāni pupphāni āharāpetvā piḷandhitvā catutthaṃ devaputtaṃ yāci. So catutthaṃ gāthamāha –
๑๐๔.
104.
‘‘สมฺมุขา วา ติโรกฺขา วา, โย สเนฺต น ปริภาสติ;
‘‘Sammukhā vā tirokkhā vā, yo sante na paribhāsati;
ยถาวาที ตถาการี, ส เว กกฺการุมรหตี’’ติฯ
Yathāvādī tathākārī, sa ve kakkārumarahatī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – โย ปุคฺคโล สมฺมุขา วา ปรมฺมุขา วา สีลาทิคุณยุเตฺต สเนฺต อุตฺตมปณฺฑิตปุริเส น อโกฺกสติ น ปริภาสติ, ยํ วาจาย วทติ, ตเทว กาเยน กโรติ, โส อิมานิ ปุปฺผานิ อรหตีติฯ
Tassattho – yo puggalo sammukhā vā parammukhā vā sīlādiguṇayutte sante uttamapaṇḍitapurise na akkosati na paribhāsati, yaṃ vācāya vadati, tadeva kāyena karoti, so imāni pupphāni arahatīti.
ปุโรหิโต ‘‘อหํ เอเตหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต’’ติ วตฺวา ตานิปิ อาหราเปตฺวา ปิฬนฺธิฯ จตฺตาโร เทวปุตฺตา จตฺตาริ ปุปฺผจุมฺพฎกานิ ปุโรหิตสฺส ทตฺวา เทวโลกเมว คตาฯ เตสํ คตกาเล ปุโรหิตสฺส สีเส มหตี เวทนา อุปฺปชฺชิ, ติขิณสิขเรน นิมฺมถิตํ วิย จ อยปเฎฺฎน ปีฬิตํ วิย จ สีสํ อโหสิฯ โส เวทนาปฺปโตฺต อปราปรํ ปริวตฺตมาโน มหาสเทฺทน วิรวิ, ‘‘กิเมต’’นฺติ จ วุเตฺต ‘‘อหํ มมพฺภนฺตเร อวิชฺชมาเนเยว คุเณ ‘อตฺถี’ติ มุสาวาทํ กตฺวา เต เทวปุเตฺต อิมานิ ปุปฺผานิ ยาจิํ, หรเถตานิ มม สีสโต’’ติ อาหฯ ตานิ หรนฺตาปิ หริตุํ นาสกฺขิํสุ, อยปเฎฺฎน พทฺธานิ วิย อเหสุํฯ อถ นํ อุกฺขิปิตฺวา เคหํ นยิํสุฯ ตตฺถ ตสฺส วิรวนฺตสฺส สตฺต ทิวสา วีติวตฺตาฯ
Purohito ‘‘ahaṃ etehi guṇehi samannāgato’’ti vatvā tānipi āharāpetvā piḷandhi. Cattāro devaputtā cattāri pupphacumbaṭakāni purohitassa datvā devalokameva gatā. Tesaṃ gatakāle purohitassa sīse mahatī vedanā uppajji, tikhiṇasikharena nimmathitaṃ viya ca ayapaṭṭena pīḷitaṃ viya ca sīsaṃ ahosi. So vedanāppatto aparāparaṃ parivattamāno mahāsaddena viravi, ‘‘kimeta’’nti ca vutte ‘‘ahaṃ mamabbhantare avijjamāneyeva guṇe ‘atthī’ti musāvādaṃ katvā te devaputte imāni pupphāni yāciṃ, harathetāni mama sīsato’’ti āha. Tāni harantāpi harituṃ nāsakkhiṃsu, ayapaṭṭena baddhāni viya ahesuṃ. Atha naṃ ukkhipitvā gehaṃ nayiṃsu. Tattha tassa viravantassa satta divasā vītivattā.
ราชา อมเจฺจ อามเนฺตตฺวา ‘‘ทุสฺสีลพฺราหฺมโณ มริสฺสติ, กิํ กโรมา’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, ปุน อุสฺสวํ กาเรม, เทวปุตฺตา ปุน อาคจฺฉิสฺสนฺตี’’ติฯ ราชา ปุน อุสฺสวํ กาเรสิฯ เทวปุตฺตา ปุน อาคนฺตฺวา สกลนครํ ปุปฺผคเนฺธน เอกคนฺธํ กตฺวา ตเถว ราชงฺคเณ อฎฺฐํสุ, มหาชโน สนฺนิปติตฺวา ทุสฺสีลพฺราหฺมณํ อาเนตฺวา เตสํ ปุรโต อุตฺตานํ นิปชฺชาเปสิฯ โส ‘‘ชีวิตํ เม เทถ, สามี’’ติ เทวปุเตฺต ยาจิฯ เทวปุตฺตา ‘‘ตุยฺหํ ทุสฺสีลสฺส ปาปธมฺมสฺส อนนุจฺฉวิกาเนเวตานิ ปุปฺผานิ, ตฺวํ ปน ‘อเมฺห วเญฺจสฺสามี’ติ สญฺญี อโหสิ, อตฺตโน มุสาวาทผลํ ลทฺธ’’นฺติ มหาชนมเชฺฌ ทุสฺสีลพฺราหฺมณํ ครหิตฺวา สีสโต ปุปฺผจุมฺพฎกํ อปเนตฺวา มหาชนสฺส โอวาทํ ทตฺวา สกฎฺฐานเมว อคมํสุฯ
Rājā amacce āmantetvā ‘‘dussīlabrāhmaṇo marissati, kiṃ karomā’’ti āha. ‘‘Deva, puna ussavaṃ kārema, devaputtā puna āgacchissantī’’ti. Rājā puna ussavaṃ kāresi. Devaputtā puna āgantvā sakalanagaraṃ pupphagandhena ekagandhaṃ katvā tatheva rājaṅgaṇe aṭṭhaṃsu, mahājano sannipatitvā dussīlabrāhmaṇaṃ ānetvā tesaṃ purato uttānaṃ nipajjāpesi. So ‘‘jīvitaṃ me detha, sāmī’’ti devaputte yāci. Devaputtā ‘‘tuyhaṃ dussīlassa pāpadhammassa ananucchavikānevetāni pupphāni, tvaṃ pana ‘amhe vañcessāmī’ti saññī ahosi, attano musāvādaphalaṃ laddha’’nti mahājanamajjhe dussīlabrāhmaṇaṃ garahitvā sīsato pupphacumbaṭakaṃ apanetvā mahājanassa ovādaṃ datvā sakaṭṭhānameva agamaṃsu.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา พฺราหฺมโณ เทวทโตฺต อโหสิ, เตสุ เทวปุเตฺตสุ เอโก กสฺสโป, เอโก โมคฺคลฺลาโน, เอโก สาริปุโตฺต, เชฎฺฐกเทวปุโตฺต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā brāhmaṇo devadatto ahosi, tesu devaputtesu eko kassapo, eko moggallāno, eko sāriputto, jeṭṭhakadevaputto pana ahameva ahosi’’nti.
กกฺการุชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Kakkārujātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๒๖. กกฺการุชาตกํ • 326. Kakkārujātakaṃ