Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๖๗] ๗. กกฺกฎกชาตกวณฺณนา
[267] 7. Kakkaṭakajātakavaṇṇanā
สิงฺคี มิโคติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ อิตฺถิํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิเรโก กุฎุมฺพิโก อตฺตโน ภริยํ คเหตฺวา อุทฺธารโสธนตฺถาย ชนปทํ คนฺตฺวา อุทฺธารํ โสเธตฺวา อาคจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค โจเรหิ คหิโตฯ ภริยา ปนสฺส อภิรูปา ปาสาทิกา ทสฺสนียา, โจรเชฎฺฐโก ตสฺสา สิเนเหน กุฎุมฺพิกํ มาเรตุํ อารภิฯ สา ปน อิตฺถี สีลวตี อาจารสมฺปนฺนา ปติเทวตา, สา โจรเชฎฺฐกสฺส ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘สามิ, สเจ มยิ สิเนโห อตฺถิ, มา มยฺหํ สามิกํ มาเรหิฯ สเจ มาเรสิ, อหมฺปิ วิสํ วา ขาทิตฺวา นาสวาตํ วา สนฺนิรุมฺภิตฺวา มริสฺสามิ, ตยา ปน สทฺธิํ น คมิสฺสามิ, มา เม อการเณน สามิกํ มาเรหี’’ติ ยาจิตฺวา ตํ วิสฺสชฺชาเปสิฯ เต อุโภปิ โสตฺถินา สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนปิฎฺฐิวิหาเรน คจฺฉนฺตา ‘‘วิหารํ ปวิสิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิสฺสามา’’ติ คนฺธกุฎิปริเวณํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เต สตฺถารา ‘‘กหํ คตตฺถ, อุปาสกา’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘อุทฺธารโสธนตฺถายา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘อนฺตรามเคฺค ปน อาโรเคฺยน อาคตตฺถา’’ติ วุเตฺต กุฎุมฺพิโก อาห – ‘‘อนฺตรามเคฺค โน, ภเนฺต, โจรา คณฺหิํสุ, ตเตฺรสา มํ มาริยมานํ โจรเชฎฺฐกํ ยาจิตฺวา โมเจสิ, อิมํ นิสฺสาย มยา ชีวิตํ ลทฺธ’’นฺติฯ สตฺถา ‘‘น, อุปาสก, อิทาเนเวตาย เอวํ ตุยฺหํ ชีวิตํ ทินฺนํ, ปุเพฺพปิ ปณฺฑิตานมฺปิ ชีวิตํ อทาสิเยวา’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Siṅgīmigoti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ itthiṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kireko kuṭumbiko attano bhariyaṃ gahetvā uddhārasodhanatthāya janapadaṃ gantvā uddhāraṃ sodhetvā āgacchanto antarāmagge corehi gahito. Bhariyā panassa abhirūpā pāsādikā dassanīyā, corajeṭṭhako tassā sinehena kuṭumbikaṃ māretuṃ ārabhi. Sā pana itthī sīlavatī ācārasampannā patidevatā, sā corajeṭṭhakassa pādesu nipatitvā ‘‘sāmi, sace mayi sineho atthi, mā mayhaṃ sāmikaṃ mārehi. Sace māresi, ahampi visaṃ vā khāditvā nāsavātaṃ vā sannirumbhitvā marissāmi, tayā pana saddhiṃ na gamissāmi, mā me akāraṇena sāmikaṃ mārehī’’ti yācitvā taṃ vissajjāpesi. Te ubhopi sotthinā sāvatthiṃ patvā jetavanapiṭṭhivihārena gacchantā ‘‘vihāraṃ pavisitvā satthāraṃ vandissāmā’’ti gandhakuṭipariveṇaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Te satthārā ‘‘kahaṃ gatattha, upāsakā’’ti puṭṭhā ‘‘uddhārasodhanatthāyā’’ti āhaṃsu. ‘‘Antarāmagge pana ārogyena āgatatthā’’ti vutte kuṭumbiko āha – ‘‘antarāmagge no, bhante, corā gaṇhiṃsu, tatresā maṃ māriyamānaṃ corajeṭṭhakaṃ yācitvā mocesi, imaṃ nissāya mayā jīvitaṃ laddha’’nti. Satthā ‘‘na, upāsaka, idānevetāya evaṃ tuyhaṃ jīvitaṃ dinnaṃ, pubbepi paṇḍitānampi jīvitaṃ adāsiyevā’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต หิมวเนฺต มหาอุทกรหโท, ตตฺถ มหาสุวณฺณกกฺกฎโก อโหสิฯ โส ตสฺส นิวาสภาเวน ‘‘กุฬีรทโห’’ติ ปญฺญายิตฺถฯ กกฺกฎโก มหา อโหสิ ขลมณฺฑลปฺปมาโณ, หตฺถี คเหตฺวา วธิตฺวา ขาทติฯ หตฺถี ตสฺส ภเยน ตตฺถ โอตริตฺวา โคจรํ คณฺหิตุํ น สโกฺกนฺติฯ ตทา โพธิสโตฺต กุฬีรทหํ อุปนิสฺสาย วสมานํ หตฺถิยูถเชฎฺฐกํ ปฎิจฺจ กเรณุยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ อถสฺส มาตา ‘‘คพฺภํ รกฺขิสฺสามี’’ติ อญฺญํ ปพฺพตปฺปเทสํ คนฺตฺวา คพฺภํ รกฺขิตฺวา ปุตฺตํ วิชายิฯ โส อนุกฺกเมน วิญฺญุตํ ปโตฺต มหาสรีโร ถามสมฺปโนฺน โสภคฺคปฺปโตฺต อญฺชนปพฺพโต วิย อโหสิฯ โส เอกาย กเรณุยา สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปตฺวา ‘‘กกฺกฎกํ คณฺหิสฺสามี’’ติ อตฺตโน ภริยญฺจ มาตรญฺจ อาทาย ตํ หตฺถิยูถํ อุปสงฺกมิตฺวา ปิตรํ ปสฺสิตฺวา ‘‘ตาต, อหํ กกฺกฎกํ คณฺหิสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ ปิตา ‘‘น สกฺขิสฺสสิ, ตาตา’’ติ วาเรตฺวา ปุนปฺปุนํ วทนฺตํ ‘‘ตฺวเญฺญว ชานิสฺสสี’’ติ อาหฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente himavante mahāudakarahado, tattha mahāsuvaṇṇakakkaṭako ahosi. So tassa nivāsabhāvena ‘‘kuḷīradaho’’ti paññāyittha. Kakkaṭako mahā ahosi khalamaṇḍalappamāṇo, hatthī gahetvā vadhitvā khādati. Hatthī tassa bhayena tattha otaritvā gocaraṃ gaṇhituṃ na sakkonti. Tadā bodhisatto kuḷīradahaṃ upanissāya vasamānaṃ hatthiyūthajeṭṭhakaṃ paṭicca kareṇuyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Athassa mātā ‘‘gabbhaṃ rakkhissāmī’’ti aññaṃ pabbatappadesaṃ gantvā gabbhaṃ rakkhitvā puttaṃ vijāyi. So anukkamena viññutaṃ patto mahāsarīro thāmasampanno sobhaggappatto añjanapabbato viya ahosi. So ekāya kareṇuyā saddhiṃ saṃvāsaṃ kappetvā ‘‘kakkaṭakaṃ gaṇhissāmī’’ti attano bhariyañca mātarañca ādāya taṃ hatthiyūthaṃ upasaṅkamitvā pitaraṃ passitvā ‘‘tāta, ahaṃ kakkaṭakaṃ gaṇhissāmī’’ti āha. Atha naṃ pitā ‘‘na sakkhissasi, tātā’’ti vāretvā punappunaṃ vadantaṃ ‘‘tvaññeva jānissasī’’ti āha.
โส กุฬีรทหํ อุปนิสฺสาย วสเนฺต สพฺพวารเณ สนฺนิปาเตตฺวา สเพฺพหิ สทฺธิํ ทหสมีปํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ โส กกฺกฎโก โอตรณกาเล คณฺหาติ, อุทาหุ โคจรํ คณฺหนกาเล, อุทาหุ อุตฺตรณกาเล’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อุตฺตรณกาเล’’ติ สุตฺวา ‘‘เตน หิ ตุเมฺห กุฬีรทหํ โอตริตฺวา ยาวทตฺถํ โคจรํ คเหตฺวา ปฐมํ อุตฺตรถ, อหํ ปจฺฉโต ภวิสฺสามี’’ติ อาหฯ วารณา ตถา กริํสุฯ กุฬีโร ปจฺฉโต อุตฺตรนฺตํ โพธิสตฺตํ มหาสณฺฑาเสน กมฺมาโร โลหสลากํ วิย อฬทฺวเยน ปาเท ทฬฺหํ คณฺหิ, กเรณุกา โพธิสตฺตํ อวิชหิตฺวา สมีเปเยว อฎฺฐาสิฯ โพธิสโตฺต อากฑฺฒโนฺต กุฬีรํ จาเลตุํ นาสกฺขิ, กุฬีโร ปน ตํ อากฑฺฒโนฺต อตฺตโน อภิมุขํ กโรติฯ โส มรณภยตชฺชิโต พทฺธรวํ รวิ, สเพฺพ วารณา มรณภยตชฺชิตา โกญฺจนาทํ กตฺวา มุตฺตกรีสํ จชมานา ปลายิํสุ, กเรณุกาปิสฺส สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตี ปลายิตุํ อารภิฯ
So kuḷīradahaṃ upanissāya vasante sabbavāraṇe sannipātetvā sabbehi saddhiṃ dahasamīpaṃ gantvā ‘‘kiṃ so kakkaṭako otaraṇakāle gaṇhāti, udāhu gocaraṃ gaṇhanakāle, udāhu uttaraṇakāle’’ti pucchitvā ‘‘uttaraṇakāle’’ti sutvā ‘‘tena hi tumhe kuḷīradahaṃ otaritvā yāvadatthaṃ gocaraṃ gahetvā paṭhamaṃ uttaratha, ahaṃ pacchato bhavissāmī’’ti āha. Vāraṇā tathā kariṃsu. Kuḷīro pacchato uttarantaṃ bodhisattaṃ mahāsaṇḍāsena kammāro lohasalākaṃ viya aḷadvayena pāde daḷhaṃ gaṇhi, kareṇukā bodhisattaṃ avijahitvā samīpeyeva aṭṭhāsi. Bodhisatto ākaḍḍhanto kuḷīraṃ cāletuṃ nāsakkhi, kuḷīro pana taṃ ākaḍḍhanto attano abhimukhaṃ karoti. So maraṇabhayatajjito baddharavaṃ ravi, sabbe vāraṇā maraṇabhayatajjitā koñcanādaṃ katvā muttakarīsaṃ cajamānā palāyiṃsu, kareṇukāpissa saṇṭhātuṃ asakkontī palāyituṃ ārabhi.
อถ นํ โส อตฺตโน พทฺธภาวํ สญฺญาเปตฺวา ตสฺสา อปลายนตฺถํ ปฐมํ คาถมาห –
Atha naṃ so attano baddhabhāvaṃ saññāpetvā tassā apalāyanatthaṃ paṭhamaṃ gāthamāha –
๔๙. ตตฺถ สิงฺคี มิโคติ สิงฺคี สุวณฺณวโณฺณ มิโคฯ ทฺวีหิ อเฬหิ สิงฺคกิจฺจํ สาเธเนฺตหิ ยุตฺตตาย สิงฺคีติ อโตฺถฯ มิโคติ ปน สพฺพปาณสงฺคาหกวเสน อิธ กุฬีโร วุโตฺตฯ อายตจกฺขุเนโตฺตติ เอตฺถ ทสฺสนเฎฺฐน จกฺขุ, นยนเฎฺฐน เนตฺตํ, อายตานิ จกฺขุสงฺขาตานิ เนตฺตานิ อสฺสาติ อายตจกฺขุเนโตฺต, ทีฆอกฺขีติ อโตฺถฯ อฎฺฐิเมวสฺส ตจกิจฺจํ สาเธตีติ อฎฺฐิตฺตโจฯ เตนาภิภูโตติ เตน มิเคน อภิภูโต อโชฺฌตฺถโต นิจฺจลํ คหิโต หุตฺวาฯ กปณํ รุทามีติ การุญฺญปฺปโตฺต หุตฺวา รุทามิ วิรวามิฯ มา เหว มนฺติ มํ เอวรูปํ พฺยสนปฺปตฺตํ อตฺตโน ปาณสมํ ปิยสามิกํ ตฺวํ มา เหว ชหีติฯ
49. Tattha siṅgī migoti siṅgī suvaṇṇavaṇṇo migo. Dvīhi aḷehi siṅgakiccaṃ sādhentehi yuttatāya siṅgīti attho. Migoti pana sabbapāṇasaṅgāhakavasena idha kuḷīro vutto. Āyatacakkhunettoti ettha dassanaṭṭhena cakkhu, nayanaṭṭhena nettaṃ, āyatāni cakkhusaṅkhātāni nettāni assāti āyatacakkhunetto, dīghaakkhīti attho. Aṭṭhimevassa tacakiccaṃ sādhetīti aṭṭhittaco. Tenābhibhūtoti tena migena abhibhūto ajjhotthato niccalaṃ gahito hutvā. Kapaṇaṃ rudāmīti kāruññappatto hutvā rudāmi viravāmi. Mā heva manti maṃ evarūpaṃ byasanappattaṃ attano pāṇasamaṃ piyasāmikaṃ tvaṃ mā heva jahīti.
อถ สา กเรณุกา นิวตฺติตฺวา ตํ อสฺสาสยมานา ทุติยํ คาถมาห –
Atha sā kareṇukā nivattitvā taṃ assāsayamānā dutiyaṃ gāthamāha –
๕๐.
50.
‘‘อยฺย น ตํ ชหิสฺสามิ, กุญฺชรํ สฎฺฐิหายนํ;
‘‘Ayya na taṃ jahissāmi, kuñjaraṃ saṭṭhihāyanaṃ;
ปถพฺยา จาตุรนฺตาย, สุปฺปิโย โหสิ เม ตุว’’นฺติฯ
Pathabyā cāturantāya, suppiyo hosi me tuva’’nti.
ตตฺถ สฎฺฐิหายนนฺติ ชาติยา สฎฺฐิวสฺสกาลสฺมิญฺหิ กุญฺชรา ถาเมน ปริหายนฺติ, สา อหํ เอวํ ถามหีนํ อิมํ พฺยสนํ ปตฺตํ ตํ น ชหิสฺสามิ, มา ภายิ, อิมิสฺสา หิ จตูสุ ทิสาสุ สมุทฺทํ ปตฺวา ฐิตาย จาตุรนฺตาย ปถวิยา ตฺวํ มยฺหํ สุฎฺฐุ ปิโยติฯ
Tattha saṭṭhihāyananti jātiyā saṭṭhivassakālasmiñhi kuñjarā thāmena parihāyanti, sā ahaṃ evaṃ thāmahīnaṃ imaṃ byasanaṃ pattaṃ taṃ na jahissāmi, mā bhāyi, imissā hi catūsu disāsu samuddaṃ patvā ṭhitāya cāturantāya pathaviyā tvaṃ mayhaṃ suṭṭhu piyoti.
อถ นํ สนฺถเมฺภตฺวา ‘‘อยฺย, อิทานิ ตํ กุฬีเรน สทฺธิํ โถกํ กถาสลฺลาปํ ลภมานา วิสฺสชฺชาเปสฺสามี’’ติ วตฺวา กุฬีรํ ยาจมานา ตติยํ คาถมาห –
Atha naṃ santhambhetvā ‘‘ayya, idāni taṃ kuḷīrena saddhiṃ thokaṃ kathāsallāpaṃ labhamānā vissajjāpessāmī’’ti vatvā kuḷīraṃ yācamānā tatiyaṃ gāthamāha –
๕๑.
51.
‘‘เย กุฬีรา สมุทฺทสฺมิํ, คงฺคาย ยมุนาย จ;
‘‘Ye kuḷīrā samuddasmiṃ, gaṅgāya yamunāya ca;
เตสํ ตฺวํ วาริโช เสโฎฺฐ, มุญฺจ โรทนฺติยา ปติ’’นฺติฯ
Tesaṃ tvaṃ vārijo seṭṭho, muñca rodantiyā pati’’nti.
ตสฺสโตฺถ – เย สมุเทฺท วา คงฺคาย วา ยมุนาย วา กุฬีรา, สเพฺพสํ วณฺณสมฺปตฺติยา จ มหนฺตเตฺตน จ ตฺวเมว เสโฎฺฐ อุตฺตโมฯ เตน ตํ ยาจามิ, มยฺหํ โรทมานาย สามิกํ มุญฺจาติฯ
Tassattho – ye samudde vā gaṅgāya vā yamunāya vā kuḷīrā, sabbesaṃ vaṇṇasampattiyā ca mahantattena ca tvameva seṭṭho uttamo. Tena taṃ yācāmi, mayhaṃ rodamānāya sāmikaṃ muñcāti.
กุฬีโร ตสฺสา กถยมานาย อิตฺถิสเทฺท นิมิตฺตํ คเหตฺวา อากฑฺฒิยมานโส หุตฺวา วารณสฺส ปาทโต อเฬ วินิเวเฐโนฺต ‘‘อยํ วิสฺสโฎฺฐ อิทํ นาม กริสฺสตี’’ติ น กิญฺจิ อญฺญาสิฯ อถ นํ วารโณ ปาทํ อุกฺขิปิตฺวา ปิฎฺฐิยํ อกฺกมิ, ตาวเทว อฎฺฐีนิ ภิชฺชิํสุฯ วารโณ ตุฎฺฐรวํ รวิ, สเพฺพ วารณา สนฺนิปติตฺวา กุฬีรํ นีหริตฺวา มหีตเล ฐเปตฺวา มทฺทนฺตา จุณฺณวิจุณฺณมกํสุฯ ตสฺส เทฺว อฬา สรีรโต ภิชฺชิตฺวา เอกมเนฺต ปติํสุฯ โส จ กุฬีรทโห คงฺคาย เอกาพโทฺธ , คงฺคาย ปูรณกาเล คโงฺคทเกน ปูรติ, อุทเก มนฺทีภูเต ทหโต อุทกํ คงฺคํ โอตรติฯ อถ เทฺวปิ เต อฬา อุปฺลวิตฺวา คงฺคาย วุยฺหิํสุฯ เตสุ เอโก สมุทฺทํ ปาวิสิ, เอกํ ทสภาติกราชาโน อุทเก กีฬมานา ลภิตฺวา อาฬิงฺคํ นาม มุทิงฺคํ อกํสุฯ สมุทฺทํ ปน ปวิฎฺฐํ อสุรา คเหตฺวา อาลมฺพรํ นาม เภริํ กาเรสุํฯ เต อปรภาเค สเกฺกน สงฺคาเม ปราชิตา ตํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายิํสุ, อถ นํ สโกฺก อตฺตโน อตฺถาย คณฺหาเปสิฯ ‘‘อาลมฺพรเมโฆ วิย ถนตี’’ติ ตํ สนฺธาย วทนฺติฯ
Kuḷīro tassā kathayamānāya itthisadde nimittaṃ gahetvā ākaḍḍhiyamānaso hutvā vāraṇassa pādato aḷe viniveṭhento ‘‘ayaṃ vissaṭṭho idaṃ nāma karissatī’’ti na kiñci aññāsi. Atha naṃ vāraṇo pādaṃ ukkhipitvā piṭṭhiyaṃ akkami, tāvadeva aṭṭhīni bhijjiṃsu. Vāraṇo tuṭṭharavaṃ ravi, sabbe vāraṇā sannipatitvā kuḷīraṃ nīharitvā mahītale ṭhapetvā maddantā cuṇṇavicuṇṇamakaṃsu. Tassa dve aḷā sarīrato bhijjitvā ekamante patiṃsu. So ca kuḷīradaho gaṅgāya ekābaddho , gaṅgāya pūraṇakāle gaṅgodakena pūrati, udake mandībhūte dahato udakaṃ gaṅgaṃ otarati. Atha dvepi te aḷā uplavitvā gaṅgāya vuyhiṃsu. Tesu eko samuddaṃ pāvisi, ekaṃ dasabhātikarājāno udake kīḷamānā labhitvā āḷiṅgaṃ nāma mudiṅgaṃ akaṃsu. Samuddaṃ pana paviṭṭhaṃ asurā gahetvā ālambaraṃ nāma bheriṃ kāresuṃ. Te aparabhāge sakkena saṅgāme parājitā taṃ chaḍḍetvā palāyiṃsu, atha naṃ sakko attano atthāya gaṇhāpesi. ‘‘Ālambaramegho viya thanatī’’ti taṃ sandhāya vadanti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุโภ ชยมฺปติกา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุ ฯ ‘‘ตทา กเรณุกา อยํ อุปาสิกา อโหสิ, วารโณ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ubho jayampatikā sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu . ‘‘Tadā kareṇukā ayaṃ upāsikā ahosi, vāraṇo pana ahameva ahosi’’nti.
กกฺกฎกชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ
Kakkaṭakajātakavaṇṇanā sattamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๖๗. กกฺกฎกชาตกํ • 267. Kakkaṭakajātakaṃ