Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๑๐. กกุธเถรสุตฺตํ
10. Kakudhatherasuttaṃ
๑๐๐. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเมฯ 1 เตน โข ปน สมเยน กกุโธ นาม โกลิยปุโตฺต 2 อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส อุปฎฺฐาโก อธุนากาลงฺกโต อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺนฯ ตสฺส เอวรูโป อตฺตภาวปฎิลาโภ โหติ – เสยฺยถาปิ นาม เทฺว วา ตีณิ วา มาคธกานิ 3 คามเกฺขตฺตานิฯ โส เตน อตฺตภาวปฎิลาเภน เนว อตฺตานํ 4 โน ปรํ พฺยาพาเธติฯ
100. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā kosambiyaṃ viharati ghositārāme. 5 Tena kho pana samayena kakudho nāma koliyaputto 6 āyasmato mahāmoggallānassa upaṭṭhāko adhunākālaṅkato aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno. Tassa evarūpo attabhāvapaṭilābho hoti – seyyathāpi nāma dve vā tīṇi vā māgadhakāni 7 gāmakkhettāni. So tena attabhāvapaṭilābhena neva attānaṃ 8 no paraṃ byābādheti.
อถ โข กกุโธ เทวปุโตฺต เยนายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข กกุโธ เทวปุโตฺต อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ เอตทโวจ – ‘‘เทวทตฺตสฺส, ภเนฺต, เอวรูปํ อิจฺฉาคตํ อุปฺปชฺชิ – ‘อหํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริหริสฺสามี’ติฯ สหจิตฺตุปฺปาทา จ, ภเนฺต, เทวทโตฺต ตสฺสา อิทฺธิยา ปริหีโน’’ติฯ อิทมโวจ กกุโธ เทวปุโตฺตฯ อิทํ วตฺวา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตเตฺถวนฺตรธายิฯ
Atha kho kakudho devaputto yenāyasmā mahāmoggallāno tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho kakudho devaputto āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ etadavoca – ‘‘devadattassa, bhante, evarūpaṃ icchāgataṃ uppajji – ‘ahaṃ bhikkhusaṅghaṃ pariharissāmī’ti. Sahacittuppādā ca, bhante, devadatto tassā iddhiyā parihīno’’ti. Idamavoca kakudho devaputto. Idaṃ vatvā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā tatthevantaradhāyi.
อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภควนฺตํ เอตทโวจ –
Atha kho āyasmā mahāmoggallāno yena bhagavā tenupasaṅkami ; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā mahāmoggallāno bhagavantaṃ etadavoca –
‘‘กกุโธ นาม, ภเนฺต, โกลิยปุโตฺต มมํ อุปฎฺฐาโก อธุนากาลงฺกโต อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปโนฺน โหติฯ ตสฺส เอวรูโป อตฺตภาวปฎิลาโภ – เสยฺยถาปิ นาม เทฺว วา ตีณิ วา มาคธกานิ คามเกฺขตฺตานิฯ โส เตน อตฺตภาวปฎิลาเภน เนว อตฺตานํ โน ปรํ พฺยาพาเธติฯ อถ โข, ภเนฺต, กกุโธ เทวปุโตฺต เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข, ภเนฺต, กกุโธ เทวปุโตฺต มํ เอตทโวจ – ‘เทวทตฺตสฺส, ภเนฺต, เอวรูปํ อิจฺฉาคตํ อุปฺปชฺชิ – อหํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริหริสฺสามีติฯ สหจิตฺตุปฺปาทา จ, ภเนฺต, เทวทโตฺต ตสฺสา อิทฺธิยา ปริหีโน’ติฯ อิทมโวจ, ภเนฺต, กกุโธ เทวปุโตฺตฯ อิทํ วตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตเตฺถวนฺตรธายี’’ติฯ
‘‘Kakudho nāma, bhante, koliyaputto mamaṃ upaṭṭhāko adhunākālaṅkato aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapanno hoti. Tassa evarūpo attabhāvapaṭilābho – seyyathāpi nāma dve vā tīṇi vā māgadhakāni gāmakkhettāni. So tena attabhāvapaṭilābhena neva attānaṃ no paraṃ byābādheti. Atha kho, bhante, kakudho devaputto yenāhaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā maṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho, bhante, kakudho devaputto maṃ etadavoca – ‘devadattassa, bhante, evarūpaṃ icchāgataṃ uppajji – ahaṃ bhikkhusaṅghaṃ pariharissāmīti. Sahacittuppādā ca, bhante, devadatto tassā iddhiyā parihīno’ti. Idamavoca, bhante, kakudho devaputto. Idaṃ vatvā maṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā tatthevantaradhāyī’’ti.
‘‘กิํ ปน เต, โมคฺคลฺลาน, กกุโธ เทวปุโตฺต เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิโต – ‘ยํ กิญฺจิ กกุโธ เทวปุโตฺต ภาสติ สพฺพํ ตํ ตเถว โหติ, โน อญฺญถา’’’ติ? ‘‘เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิโต เม, ภเนฺต, กกุโธ เทวปุโตฺต – ‘ยํ กิญฺจิ กกุโธ เทวปุโตฺต ภาสติ สพฺพํ ตํ ตเถว โหติ, โน อญฺญถา’’’ติฯ ‘‘รกฺขเสฺสตํ, โมคฺคลฺลาน, วาจํ! (รกฺขเสฺสตํ, โมคฺคลฺลาน, วาจํ) 9! อิทานิ โส โมฆปุริโส อตฺตนาว อตฺตานํ ปาตุกริสฺสติ ฯ
‘‘Kiṃ pana te, moggallāna, kakudho devaputto cetasā ceto paricca vidito – ‘yaṃ kiñci kakudho devaputto bhāsati sabbaṃ taṃ tatheva hoti, no aññathā’’’ti? ‘‘Cetasā ceto paricca vidito me, bhante, kakudho devaputto – ‘yaṃ kiñci kakudho devaputto bhāsati sabbaṃ taṃ tatheva hoti, no aññathā’’’ti. ‘‘Rakkhassetaṃ, moggallāna, vācaṃ! (Rakkhassetaṃ, moggallāna, vācaṃ) 10! Idāni so moghapuriso attanāva attānaṃ pātukarissati .
‘‘ปญฺจิเม, โมคฺคลฺลาน, สตฺถาโร สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ กตเม ปญฺจ? อิธ , โมคฺคลฺลาน, เอกโจฺจ สตฺถา อปริสุทฺธสีโล สมาโน ‘ปริสุทฺธสีโลมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุทฺธํ เม สีลํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ ตเมนํ สาวกา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา อปริสุทฺธสีโล สมาโน ปริสุทฺธสีโลมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุทฺธํ เม สีลํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ มยเญฺจว โข ปน คิหีนํ อาโรเจยฺยาม, นาสฺสสฺส มนาปํฯ ยํ โข ปนสฺส อมนาปํ, กถํ นํ 11 มยํ เตน สมุทาจเรยฺยาม – ‘สมฺมนฺนติ โข ปน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรน; ยํ ตุโม กริสฺสติ ตุโมว เตน ปญฺญายิสฺสตี’ติ ฯ เอวรูปํ โข, โมคฺคลฺลาน, สตฺถารํ สาวกา สีลโต รกฺขนฺติ; เอวรูโป จ ปน สตฺถา สาวเกหิ สีลโต รกฺขํ ปจฺจาสีสติ 12ฯ
‘‘Pañcime, moggallāna, satthāro santo saṃvijjamānā lokasmiṃ. Katame pañca? Idha , moggallāna, ekacco satthā aparisuddhasīlo samāno ‘parisuddhasīlomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddhaṃ me sīlaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Tamenaṃ sāvakā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā aparisuddhasīlo samāno parisuddhasīlomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddhaṃ me sīlaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Mayañceva kho pana gihīnaṃ āroceyyāma, nāssassa manāpaṃ. Yaṃ kho panassa amanāpaṃ, kathaṃ naṃ 13 mayaṃ tena samudācareyyāma – ‘sammannati kho pana cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārena; yaṃ tumo karissati tumova tena paññāyissatī’ti . Evarūpaṃ kho, moggallāna, satthāraṃ sāvakā sīlato rakkhanti; evarūpo ca pana satthā sāvakehi sīlato rakkhaṃ paccāsīsati 14.
‘‘ปุน จปรํ, โมคฺคลฺลาน, อิเธกโจฺจ สตฺถา อปริสุทฺธาชีโว สมาโน ‘ปริสุทฺธาชีโวมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุโทฺธ เม อาชีโว ปริโยทาโต อสํกิลิโฎฺฐ’ติฯ ตเมนํ สาวกา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา อปริสุทฺธาชีโว สมาโน ปริสุทฺธาชีโวมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุโทฺธ เม อาชีโว ปริโยทาโต อสํกิลิโฎฺฐ’ติฯ มยเญฺจว โข ปน คิหีนํ อาโรเจยฺยาม, นาสฺสสฺส มนาปํฯ ยํ โข ปนสฺส อมนาปํ, กถํ นํ มยํ เตน สมุทาจเรยฺยาม – ‘สมฺมนฺนติ โข ปน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรน; ยํ ตุโม กริสฺสติ ตุโมว เตน ปญฺญายิสฺสตี’ติฯ เอวรูปํ โข, โมคฺคลฺลาน, สตฺถารํ สาวกา อาชีวโต รกฺขนฺติ; เอวรูโป จ ปน สตฺถา สาวเกหิ อาชีวโต รกฺขํ ปจฺจาสีสติฯ
‘‘Puna caparaṃ, moggallāna, idhekacco satthā aparisuddhājīvo samāno ‘parisuddhājīvomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddho me ājīvo pariyodāto asaṃkiliṭṭho’ti. Tamenaṃ sāvakā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā aparisuddhājīvo samāno parisuddhājīvomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddho me ājīvo pariyodāto asaṃkiliṭṭho’ti. Mayañceva kho pana gihīnaṃ āroceyyāma, nāssassa manāpaṃ. Yaṃ kho panassa amanāpaṃ, kathaṃ naṃ mayaṃ tena samudācareyyāma – ‘sammannati kho pana cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārena; yaṃ tumo karissati tumova tena paññāyissatī’ti. Evarūpaṃ kho, moggallāna, satthāraṃ sāvakā ājīvato rakkhanti; evarūpo ca pana satthā sāvakehi ājīvato rakkhaṃ paccāsīsati.
‘‘ปุน จปรํ, โมคฺคลฺลาน, อิเธกโจฺจ สตฺถา อปริสุทฺธธมฺมเทสโน สมาโน ‘ปริสุทฺธธมฺมเทสโนมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุทฺธา เม ธมฺมเทสนา ปริโยทาตา อสํกิลิฎฺฐา’ติฯ ตเมนํ สาวกา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา อปริสุทฺธธมฺมเทสโน สมาโน ปริสุทฺธธมฺมเทสโนมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุทฺธา เม ธมฺมเทสนา ปริโยทาตา อสํกิลิฎฺฐา’ติฯ มยเญฺจว โข ปน คิหีนํ อาโรเจยฺยาม, นาสฺสสฺส มนาปํฯ ยํ โข ปนสฺส อมนาปํ, กถํ นํ มยํ เตน สมุทาจเรยฺยาม – ‘สมฺมนฺนติ โข ปน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรน; ยํ ตุโม กริสฺสติ ตุโมว เตน ปญฺญายิสฺสตี’ติฯ เอวรูปํ โข, โมคฺคลฺลาน, สตฺถารํ สาวกา ธมฺมเทสนโต รกฺขนฺติ ; เอวรูโป จ ปน สตฺถา สาวเกหิ ธมฺมเทสนโต รกฺขํ ปจฺจาสีสติฯ
‘‘Puna caparaṃ, moggallāna, idhekacco satthā aparisuddhadhammadesano samāno ‘parisuddhadhammadesanomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddhā me dhammadesanā pariyodātā asaṃkiliṭṭhā’ti. Tamenaṃ sāvakā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā aparisuddhadhammadesano samāno parisuddhadhammadesanomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddhā me dhammadesanā pariyodātā asaṃkiliṭṭhā’ti. Mayañceva kho pana gihīnaṃ āroceyyāma, nāssassa manāpaṃ. Yaṃ kho panassa amanāpaṃ, kathaṃ naṃ mayaṃ tena samudācareyyāma – ‘sammannati kho pana cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārena; yaṃ tumo karissati tumova tena paññāyissatī’ti. Evarūpaṃ kho, moggallāna, satthāraṃ sāvakā dhammadesanato rakkhanti ; evarūpo ca pana satthā sāvakehi dhammadesanato rakkhaṃ paccāsīsati.
‘‘ปุน จปรํ, โมคฺคลฺลาน, อิเธกโจฺจ สตฺถา อปริสุทฺธเวยฺยากรโณ สมาโน ‘ปริสุทฺธเวยฺยากรโณมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุทฺธํ เม เวยฺยากรณํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ ตเมนํ สาวกา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา อปริสุทฺธเวยฺยากรโณ สมาโน ปริสุทฺธเวยฺยากรโณมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุทฺธํ เม เวยฺยากรณํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ มยเญฺจว โข ปน คิหีนํ อาโรเจยฺยาม, นาสฺสสฺส มนาปํ ฯ ยํ โข ปนสฺส อมนาปํ, กถํ นํ มยํ เตน สมุทาจเรยฺยาม – ‘สมฺมนฺนติ โข ปน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรน; ยํ ตุโม กริสฺสติ ตุโมว เตน ปญฺญายิสฺสตี’ติฯ เอวรูปํ โข, โมคฺคลฺลาน, สตฺถารํ สาวกา เวยฺยากรณโต รกฺขนฺติ; เอวรูโป จ ปน สตฺถา สาวเกหิ เวยฺยากรณโต รกฺขํ ปจฺจาสีสติฯ
‘‘Puna caparaṃ, moggallāna, idhekacco satthā aparisuddhaveyyākaraṇo samāno ‘parisuddhaveyyākaraṇomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddhaṃ me veyyākaraṇaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Tamenaṃ sāvakā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā aparisuddhaveyyākaraṇo samāno parisuddhaveyyākaraṇomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddhaṃ me veyyākaraṇaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Mayañceva kho pana gihīnaṃ āroceyyāma, nāssassa manāpaṃ . Yaṃ kho panassa amanāpaṃ, kathaṃ naṃ mayaṃ tena samudācareyyāma – ‘sammannati kho pana cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārena; yaṃ tumo karissati tumova tena paññāyissatī’ti. Evarūpaṃ kho, moggallāna, satthāraṃ sāvakā veyyākaraṇato rakkhanti; evarūpo ca pana satthā sāvakehi veyyākaraṇato rakkhaṃ paccāsīsati.
‘‘ปุน จปรํ, โมคฺคลฺลาน, อิเธกโจฺจ สตฺถา อปริสุทฺธญาณทสฺสโน สมาโน ‘ปริสุทฺธญาณทสฺสโนมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุทฺธํ เม ญาณทสฺสนํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ ตเมนํ สาวกา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข ภวํ สตฺถา อปริสุทฺธญาณทสฺสโน สมาโน ปริสุทฺธญาณทสฺสโนมฺหี’ติ ปฎิชานาติ ‘ปริสุทฺธํ เม ญาณทสฺสนํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ มยเญฺจว โข ปน คิหีนํ อาโรเจยฺยาม, นาสฺสสฺส มนาปํฯ ยํ โข ปนสฺส อมนาปํ, กถํ นํ มยํ เตน สมุทาจเรยฺยาม – ‘สมฺมนฺนติ โข ปน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรน; ยํ ตุโม กริสฺสติ ตุโมว เตน ปญฺญายิสฺสตี’ติฯ เอวรูปํ โข, โมคฺคลฺลาน, สตฺถารํ สาวกา ญาณทสฺสนโต รกฺขนฺติ; เอวรูโป จ ปน สตฺถา สาวเกหิ ญาณทสฺสนโต รกฺขํ ปจฺจาสีสติฯ อิเม โข, โมคฺคลฺลาน, ปญฺจ สตฺถาโร สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ
‘‘Puna caparaṃ, moggallāna, idhekacco satthā aparisuddhañāṇadassano samāno ‘parisuddhañāṇadassanomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddhaṃ me ñāṇadassanaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Tamenaṃ sāvakā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho bhavaṃ satthā aparisuddhañāṇadassano samāno parisuddhañāṇadassanomhī’ti paṭijānāti ‘parisuddhaṃ me ñāṇadassanaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Mayañceva kho pana gihīnaṃ āroceyyāma, nāssassa manāpaṃ. Yaṃ kho panassa amanāpaṃ, kathaṃ naṃ mayaṃ tena samudācareyyāma – ‘sammannati kho pana cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārena; yaṃ tumo karissati tumova tena paññāyissatī’ti. Evarūpaṃ kho, moggallāna, satthāraṃ sāvakā ñāṇadassanato rakkhanti; evarūpo ca pana satthā sāvakehi ñāṇadassanato rakkhaṃ paccāsīsati. Ime kho, moggallāna, pañca satthāro santo saṃvijjamānā lokasmiṃ.
‘‘อหํ โข ปน, โมคฺคลฺลาน, ปริสุทฺธสีโล สมาโน ‘ปริสุทฺธสีโลมฺหี’ติ ปฎิชานามิ ‘ปริสุทฺธํ เม สีลํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ น จ มํ สาวกา สีลโต รกฺขนฺติ, น จาหํ สาวเกหิ สีลโต รกฺขํ ปจฺจาสีสามิฯ ปริสุทฺธาชีโว สมาโน ‘ปริสุทฺธาชีโวมฺหี’ติ ปฎิชานามิ ‘ปริสุโทฺธ เม อาชีโว ปริโยทาโต อสํกิลิโฎฺฐ’ติฯ น จ มํ สาวกา อาชีวโต รกฺขนฺติ, น จาหํ สาวเกหิ อาชีวโต รกฺขํ ปจฺจาสีสามิฯ ปริสุทฺธธมฺมเทสโน สมาโน ‘ปริสุทฺธธมฺมเทสโนมฺหี’ติ ปฎิชานามิ ‘ปริสุทฺธา เม ธมฺมเทสนา ปริโยทาตา อสํกิลิฎฺฐา’ติฯ น จ มํ สาวกา ธมฺมเทสนโต รกฺขนฺติ, น จาหํ สาวเกหิ ธมฺมเทสนโต รกฺขํ ปจฺจาสีสามิฯ ปริสุทฺธเวยฺยากรโณ สมาโน ‘ปริสุทฺธเวยฺยากรโณมฺหี’ติ ปฎิชานามิ ‘ปริสุทฺธํ เม เวยฺยากรณํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ น จ มํ สาวกา เวยฺยากรณโต รกฺขนฺติ, น จาหํ สาวเกหิ เวยฺยากรณโต รกฺขํ ปจฺจาสีสามิฯ ปริสุทฺธญาณทสฺสโน สมาโน ‘ปริสุทฺธญาณทสฺสโนมฺหี’ติ ปฎิชานามิ ‘ปริสุทฺธํ เม ญาณทสฺสนํ ปริโยทาตํ อสํกิลิฎฺฐ’นฺติฯ น จ มํ สาวกา ญาณทสฺสนโต รกฺขนฺติ, น จาหํ สาวเกหิ ญาณทสฺสนโต รกฺขํ ปจฺจาสีสามี’’ติฯ ทสมํฯ
‘‘Ahaṃ kho pana, moggallāna, parisuddhasīlo samāno ‘parisuddhasīlomhī’ti paṭijānāmi ‘parisuddhaṃ me sīlaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Na ca maṃ sāvakā sīlato rakkhanti, na cāhaṃ sāvakehi sīlato rakkhaṃ paccāsīsāmi. Parisuddhājīvo samāno ‘parisuddhājīvomhī’ti paṭijānāmi ‘parisuddho me ājīvo pariyodāto asaṃkiliṭṭho’ti. Na ca maṃ sāvakā ājīvato rakkhanti, na cāhaṃ sāvakehi ājīvato rakkhaṃ paccāsīsāmi. Parisuddhadhammadesano samāno ‘parisuddhadhammadesanomhī’ti paṭijānāmi ‘parisuddhā me dhammadesanā pariyodātā asaṃkiliṭṭhā’ti. Na ca maṃ sāvakā dhammadesanato rakkhanti, na cāhaṃ sāvakehi dhammadesanato rakkhaṃ paccāsīsāmi. Parisuddhaveyyākaraṇo samāno ‘parisuddhaveyyākaraṇomhī’ti paṭijānāmi ‘parisuddhaṃ me veyyākaraṇaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Na ca maṃ sāvakā veyyākaraṇato rakkhanti, na cāhaṃ sāvakehi veyyākaraṇato rakkhaṃ paccāsīsāmi. Parisuddhañāṇadassano samāno ‘parisuddhañāṇadassanomhī’ti paṭijānāmi ‘parisuddhaṃ me ñāṇadassanaṃ pariyodātaṃ asaṃkiliṭṭha’nti. Na ca maṃ sāvakā ñāṇadassanato rakkhanti, na cāhaṃ sāvakehi ñāṇadassanato rakkhaṃ paccāsīsāmī’’ti. Dasamaṃ.
กกุธวโคฺค ปญฺจโมฯ
Kakudhavaggo pañcamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
เทฺว สมฺปทา พฺยากรณํ, ผาสุ อกุปฺปปญฺจมํ;
Dve sampadā byākaraṇaṃ, phāsu akuppapañcamaṃ;
สุตํ กถา อารญฺญโก, สีโห จ กกุโธ ทสาติฯ
Sutaṃ kathā āraññako, sīho ca kakudho dasāti.
ทุติยปณฺณาสกํ สมตฺตํฯ
Dutiyapaṇṇāsakaṃ samattaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. กกุธเถรสุตฺตวณฺณนา • 10. Kakudhatherasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑-๑๐. ปฐมสมฺปทาสุตฺตาทิวณฺณนา • 1-10. Paṭhamasampadāsuttādivaṇṇanā