Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๗๖] ๖. กฬายมุฎฺฐิชาตกวณฺณนา
[176] 6. Kaḷāyamuṭṭhijātakavaṇṇanā
พาโล วตายํ ทุมสาขโคจโรติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โกสลราชานํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกสฺมิญฺหิ สมเย วสฺสกาเล โกสลรโญฺญ ปจฺจโนฺต กุปิฯ ตตฺถ ฐิตา โยธา เทฺว ตีณิ ยุทฺธานิ กตฺวา ปจฺจตฺถิเก อภิภวิตุํ อสโกฺกนฺตา รโญฺญ สาสนํ เปเสสุํฯ ราชา อกาเล วสฺสาเนเยว นิกฺขมิตฺวา เชตวนสมีเป ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อกาเล นิกฺขโนฺต, กนฺทรปทราทโย อุทกปูรา, ทุคฺคโม มโคฺค, สตฺถารํ อุปสงฺกมิสฺสามิ, โส มํ ‘กหํ คจฺฉสิ, มหาราชา’ติ ปุจฺฉิสฺสติ, อถาหํ เอตมตฺถํ อาโรเจสฺสามิ, น โข ปน มํ สตฺถา สมฺปรายิเกเนวเตฺถน อนุคฺคณฺหาติ, ทิฎฺฐธมฺมิเกนาปิ อนุคฺคณฺหาติเยว, ตสฺมิํ สเจ เม คมเนน อวุฑฺฒิ ภวิสฺสติ, ‘อกาโล, มหาราชา’ติ วกฺขติฯ สเจ ปน วุฑฺฑิ ภวิสฺสติ, ตุณฺหี ภวิสฺสตี’’ติฯ โส เชตวนํ ปวิสิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา ‘‘หนฺท กุโต นุ ตฺวํ, มหาราช, อาคจฺฉสิ ทิวา ทิวสฺสา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภเนฺต, อหํ ปจฺจนฺตํ วูปสเมตุํ นิกฺขโนฺต ‘ตุเมฺห วนฺทิตฺวา คมิสฺสามี’ติ อาคโตมฺหี’’ติ ฯ สตฺถา ‘‘ปุเพฺพปิ, มหาราช, ราชาโน เสนาย อพฺภุคฺคจฺฉมานาย ปณฺฑิตานํ กถํ สุตฺวา อกาเล อพฺภุคฺคมนํ นาม น คมิํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Bālovatāyaṃ dumasākhagocaroti idaṃ satthā jetavane viharanto kosalarājānaṃ ārabbha kathesi. Ekasmiñhi samaye vassakāle kosalarañño paccanto kupi. Tattha ṭhitā yodhā dve tīṇi yuddhāni katvā paccatthike abhibhavituṃ asakkontā rañño sāsanaṃ pesesuṃ. Rājā akāle vassāneyeva nikkhamitvā jetavanasamīpe khandhāvāraṃ bandhitvā cintesi – ‘‘ahaṃ akāle nikkhanto, kandarapadarādayo udakapūrā, duggamo maggo, satthāraṃ upasaṅkamissāmi, so maṃ ‘kahaṃ gacchasi, mahārājā’ti pucchissati, athāhaṃ etamatthaṃ ārocessāmi, na kho pana maṃ satthā samparāyikenevatthena anuggaṇhāti, diṭṭhadhammikenāpi anuggaṇhātiyeva, tasmiṃ sace me gamanena avuḍḍhi bhavissati, ‘akālo, mahārājā’ti vakkhati. Sace pana vuḍḍi bhavissati, tuṇhī bhavissatī’’ti. So jetavanaṃ pavisitvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Satthā ‘‘handa kuto nu tvaṃ, mahārāja, āgacchasi divā divassā’’ti pucchi. ‘‘Bhante, ahaṃ paccantaṃ vūpasametuṃ nikkhanto ‘tumhe vanditvā gamissāmī’ti āgatomhī’’ti . Satthā ‘‘pubbepi, mahārāja, rājāno senāya abbhuggacchamānāya paṇḍitānaṃ kathaṃ sutvā akāle abbhuggamanaṃ nāma na gamiṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อตฺถธมฺมานุสาสโก สพฺพตฺถกอมโจฺจ อโหสิฯ อถ รโญฺญ ปจฺจเนฺต กุปิเต ปจฺจนฺตโยธา ปณฺณํ เปเสสุํฯ ราชา วสฺสกาเล นิกฺขมิตฺวา อุยฺยาเน ขนฺธาวารํ พนฺธิ, โพธิสโตฺต รโญฺญ สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ อสฺสานํ กฬาเย เสเทตฺวา อาหริตฺวา โทณิยํ ปกฺขิปิํสุฯ อุยฺยาเน มกฺกเฎสุ เอโก มกฺกโฎ รุกฺขา โอตริตฺวา ตโต กฬาเย คเหตฺวา มุขํ ปูเรตฺวา หเตฺถหิปิ คเหตฺวา อุปฺปติตฺวา รุเกฺข นิสีทิตฺวา ขาทิตุํ อารภิ, อถสฺส ขาทมานสฺส หตฺถโก เอโก กฬาโย ภูมิยํ ปติฯ โส มุเขน จ หเตฺถหิ จ คหิเต สเพฺพ กฬาเย ฉเฑฺฑตฺวา รุกฺขา โอรุยฺห ตเมว กฬายํ โอโลเกโนฺต ตํ กฬายํ อทิสฺวาว ปุน รุกฺขํ อภิรุหิตฺวา อเฑฺฑ สหสฺสปราชิโต วิย โสจมาโน ทุมฺมุโข รุกฺขสาขายํ นิสีทิฯ ราชา มกฺกฎสฺส กิริยํ ทิสฺวา โพธิสตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ปสฺสถ, กิํ นาเมตํ มกฺกเฎน กต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โพธิสโตฺต ‘‘มหาราช, พหุํ อนวโลเกตฺวา อปฺปํ โอโลเกตฺวา ทุพฺพุทฺธิโน พาลา เอวรูปํ กโรนฺติเยวา’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa atthadhammānusāsako sabbatthakaamacco ahosi. Atha rañño paccante kupite paccantayodhā paṇṇaṃ pesesuṃ. Rājā vassakāle nikkhamitvā uyyāne khandhāvāraṃ bandhi, bodhisatto rañño santike aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe assānaṃ kaḷāye sedetvā āharitvā doṇiyaṃ pakkhipiṃsu. Uyyāne makkaṭesu eko makkaṭo rukkhā otaritvā tato kaḷāye gahetvā mukhaṃ pūretvā hatthehipi gahetvā uppatitvā rukkhe nisīditvā khādituṃ ārabhi, athassa khādamānassa hatthako eko kaḷāyo bhūmiyaṃ pati. So mukhena ca hatthehi ca gahite sabbe kaḷāye chaḍḍetvā rukkhā oruyha tameva kaḷāyaṃ olokento taṃ kaḷāyaṃ adisvāva puna rukkhaṃ abhiruhitvā aḍḍe sahassaparājito viya socamāno dummukho rukkhasākhāyaṃ nisīdi. Rājā makkaṭassa kiriyaṃ disvā bodhisattaṃ āmantetvā ‘‘passatha, kiṃ nāmetaṃ makkaṭena kata’’nti pucchi. Bodhisatto ‘‘mahārāja, bahuṃ anavaloketvā appaṃ oloketvā dubbuddhino bālā evarūpaṃ karontiyevā’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๕๑.
51.
‘‘พาโล วตายํ ทุมสาขโคจโร, ปญฺญา ชนินฺท นยิมสฺส วิชฺชติ;
‘‘Bālo vatāyaṃ dumasākhagocaro, paññā janinda nayimassa vijjati;
กฬายมุฎฺฐิํ อวกิริย เกวลํ, เอกํ กฬายํ ปติตํ คเวสตี’’ติฯ
Kaḷāyamuṭṭhiṃ avakiriya kevalaṃ, ekaṃ kaḷāyaṃ patitaṃ gavesatī’’ti.
ตตฺถ ทุมสาขโคจโรติ มกฺกโฎฯ โส หิ ทุมสาขาสุ โคจรํ คณฺหาติ, สาว อสฺส โคจโร สญฺจรณภูมิภูตา, ตสฺมา ‘‘ทุมสาขโคจโร’’ติ วุจฺจติฯ ชนินฺทาติ ราชานํ อาลปติฯ ราชา หิ ปรมิสฺสรภาเวน ชนสฺส อิโนฺทติ ชนิโนฺทฯ กฬายมุฎฺฐินฺติ จณกมุฎฺฐิํฯ ‘‘กาฬราชมาสมุฎฺฐิ’’นฺติปิ วทนฺติเยวฯ อวกิริยาติ อวกิริตฺวาฯ เกวลนฺติ สพฺพํฯ คเวสตีติ ภูมิยํ ปติตํ เอกเมว ปริเยสติฯ
Tattha dumasākhagocaroti makkaṭo. So hi dumasākhāsu gocaraṃ gaṇhāti, sāva assa gocaro sañcaraṇabhūmibhūtā, tasmā ‘‘dumasākhagocaro’’ti vuccati. Janindāti rājānaṃ ālapati. Rājā hi paramissarabhāvena janassa indoti janindo. Kaḷāyamuṭṭhinti caṇakamuṭṭhiṃ. ‘‘Kāḷarājamāsamuṭṭhi’’ntipi vadantiyeva. Avakiriyāti avakiritvā. Kevalanti sabbaṃ. Gavesatīti bhūmiyaṃ patitaṃ ekameva pariyesati.
เอวํ วตฺวา ปุน โพธิสโตฺต ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ราชานํ อามเนฺตตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Evaṃ vatvā puna bodhisatto taṃ upasaṅkamitvā rājānaṃ āmantetvā dutiyaṃ gāthamāha –
๕๒.
52.
‘‘เอวเมว มยํ ราช, เย จเญฺญ อติโลภิโน;
‘‘Evameva mayaṃ rāja, ye caññe atilobhino;
อเปฺปน พหุํ ชิยฺยาม, กฬาเยเนว วานโร’’ติฯ
Appena bahuṃ jiyyāma, kaḷāyeneva vānaro’’ti.
ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – มหาราช, เอวเมว มยญฺจ เย จเญฺญ โลภาภิภูตา ชนา สเพฺพปิ อเปฺปน พหุํ ชิยฺยามฯ มยญฺหิ เอตรหิ อกาเล วสฺสานสมเย มคฺคํ คจฺฉนฺตา อปฺปกสฺส อตฺถสฺส การณา พหุกา อตฺถา ปริหายามฯ กฬาเยเนว วานโรติ ยถา อยํ วานโร เอกํ กฬายํ ปริเยสมาโน เตเนเกน กฬาเยน สพฺพกฬาเยหิ ปริหีโน, เอวํ มยมฺปิ อกาเลน กนฺทรปทราทีสุ ปูเรสุ คจฺฉมานา อปฺปมตฺตกํ อตฺถํ ปริเยสมานา พหูหิ หตฺถิวาหนอสฺสวาหนาทีหิ เจว พลกาเยน จ ปริหายิสฺสามฯ ตสฺมา อกาเล คนฺตุํ น วฎฺฎตีติ รโญฺญ โอวาทํ อทาสิฯ
Tatrāyaṃ saṅkhepattho – mahārāja, evameva mayañca ye caññe lobhābhibhūtā janā sabbepi appena bahuṃ jiyyāma. Mayañhi etarahi akāle vassānasamaye maggaṃ gacchantā appakassa atthassa kāraṇā bahukā atthā parihāyāma. Kaḷāyeneva vānaroti yathā ayaṃ vānaro ekaṃ kaḷāyaṃ pariyesamāno tenekena kaḷāyena sabbakaḷāyehi parihīno, evaṃ mayampi akālena kandarapadarādīsu pūresu gacchamānā appamattakaṃ atthaṃ pariyesamānā bahūhi hatthivāhanaassavāhanādīhi ceva balakāyena ca parihāyissāma. Tasmā akāle gantuṃ na vaṭṭatīti rañño ovādaṃ adāsi.
ราชา ตสฺส กถํ สุตฺวา ตโต นิวตฺติตฺวา พาราณสิเมว ปาวิสิฯ โจราปิ ‘‘ราชา กิร โจรมทฺทนํ กริสฺสามีติ นครา นิกฺขโนฺต’’ติ สุตฺวา ปจฺจนฺตโต ปลายิํสุฯ ปจฺจุปฺปเนฺนปิ โจรา ‘‘โกสลราชา กิร นิกฺขโนฺต’’ติ สุตฺวา ปลายิํสุฯ ราชา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา อุฎฺฐายาสนา วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา สาวตฺถิเมว ปาวิสิฯ
Rājā tassa kathaṃ sutvā tato nivattitvā bārāṇasimeva pāvisi. Corāpi ‘‘rājā kira coramaddanaṃ karissāmīti nagarā nikkhanto’’ti sutvā paccantato palāyiṃsu. Paccuppannepi corā ‘‘kosalarājā kira nikkhanto’’ti sutvā palāyiṃsu. Rājā satthu dhammadesanaṃ sutvā uṭṭhāyāsanā vanditvā padakkhiṇaṃ katvā sāvatthimeva pāvisi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ปณฺฑิตามโจฺจ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, paṇḍitāmacco pana ahameva ahosi’’nti.
กฬายมุฎฺฐิชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Kaḷāyamuṭṭhijātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๗๖. กฬายมุฎฺฐิชาตกํ • 176. Kaḷāyamuṭṭhijātakaṃ