Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๗๙] ๖. กาลิงฺคโพธิชาตกวณฺณนา

    [479] 6. Kāliṅgabodhijātakavaṇṇanā

    ราชา กาลิโงฺค จกฺกวตฺตีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อานนฺทเตฺถเรน กตํ มหาโพธิปูชํ อารพฺภ กเถสิฯ เวเนยฺยสงฺคหตฺถาย หิ ตถาคเต ชนปทจาริกํ ปกฺกเนฺต สาวตฺถิวาสิโน คนฺธมาลาทิหตฺถา เชตวนํ คนฺตฺวา อญฺญํ ปูชนียฎฺฐานํ อลภิตฺวา คนฺธกุฎิทฺวาเร ปาเตตฺวา คจฺฉนฺติ, เต อุฬารปาโมชฺชา น โหนฺติฯ ตํ การณํ ญตฺวา อนาถปิณฺฑิโก ตถาคตสฺส เชตวนํ อาคตกาเล อานนฺทเตฺถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, อยํ วิหาโร ตถาคเต จาริกํ ปกฺกเนฺต นิปจฺจโย โหติ, มนุสฺสานํ คนฺธมาลาทีหิ ปูชนียฎฺฐานํ น โหติ, สาธุ, ภเนฺต, ตถาคตสฺส อิมมตฺถํ อาโรเจตฺวา เอกสฺส ปูชนียฎฺฐานสฺส สกฺกุเณยฺยภาวํ ชานาถา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถาคตํ ปุจฺฉิ ‘‘กติ นุ โข, ภเนฺต, เจติยานี’’ติ? ‘‘ตีณิ อานนฺทา’’ติฯ ‘‘กตมานิ, ภเนฺต, ตีณี’’ติ? ‘‘สารีริกํ ปาริโภคิกํ อุทฺทิสฺสก’’นฺติฯ ‘‘สกฺกา ปน, ภเนฺต, ตุเมฺหสุ ธรเนฺตสุเยว เจติยํ กาตุ’’นฺติฯ ‘‘อานนฺท, สารีริกํ น สกฺกา กาตุํฯ ตญฺหิ พุทฺธานํ ปรินิพฺพานกาเล โหติ, อุทฺทิสฺสกํ อวตฺถุกํ มมายนมตฺตเมว โหติ, พุเทฺธหิ ปริภุโตฺต มหาโพธิรุโกฺข พุเทฺธสุ ธรเนฺตสุปิ เจติยเมวา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหสุ ปกฺกเนฺตสุ เชตวนวิหาโร อปฺปฎิสรโณ โหติ, มหาชโน ปูชนียฎฺฐานํ น ลภติ, มหาโพธิโต พีชํ อาหริตฺวา เชตวนทฺวาเร โรเปสฺสามิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สาธุ, อานนฺท, โรเปหิ, เอวํ สเนฺต เชตวเน มม นิพทฺธวาโส วิย ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Rājā kāliṅgo cakkavattīti idaṃ satthā jetavane viharanto ānandattherena kataṃ mahābodhipūjaṃ ārabbha kathesi. Veneyyasaṅgahatthāya hi tathāgate janapadacārikaṃ pakkante sāvatthivāsino gandhamālādihatthā jetavanaṃ gantvā aññaṃ pūjanīyaṭṭhānaṃ alabhitvā gandhakuṭidvāre pātetvā gacchanti, te uḷārapāmojjā na honti. Taṃ kāraṇaṃ ñatvā anāthapiṇḍiko tathāgatassa jetavanaṃ āgatakāle ānandattherassa santikaṃ gantvā ‘‘bhante, ayaṃ vihāro tathāgate cārikaṃ pakkante nipaccayo hoti, manussānaṃ gandhamālādīhi pūjanīyaṭṭhānaṃ na hoti, sādhu, bhante, tathāgatassa imamatthaṃ ārocetvā ekassa pūjanīyaṭṭhānassa sakkuṇeyyabhāvaṃ jānāthā’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tathāgataṃ pucchi ‘‘kati nu kho, bhante, cetiyānī’’ti? ‘‘Tīṇi ānandā’’ti. ‘‘Katamāni, bhante, tīṇī’’ti? ‘‘Sārīrikaṃ pāribhogikaṃ uddissaka’’nti. ‘‘Sakkā pana, bhante, tumhesu dharantesuyeva cetiyaṃ kātu’’nti. ‘‘Ānanda, sārīrikaṃ na sakkā kātuṃ. Tañhi buddhānaṃ parinibbānakāle hoti, uddissakaṃ avatthukaṃ mamāyanamattameva hoti, buddhehi paribhutto mahābodhirukkho buddhesu dharantesupi cetiyamevā’’ti. ‘‘Bhante, tumhesu pakkantesu jetavanavihāro appaṭisaraṇo hoti, mahājano pūjanīyaṭṭhānaṃ na labhati, mahābodhito bījaṃ āharitvā jetavanadvāre ropessāmi, bhante’’ti. ‘‘Sādhu, ānanda, ropehi, evaṃ sante jetavane mama nibaddhavāso viya bhavissatī’’ti.

    เถโร โกสลนรินฺทสฺส อนาถปิณฺฑิกสฺส วิสาขาทีนญฺจ อาโรเจตฺวา เชตวนทฺวาเร โพธิโรปนฎฺฐาเน อาวาฎํ ขณาเปตฺวา มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรํ อาห – ‘‘ภเนฺต, อหํ เชตวนทฺวาเร โพธิํ โรเปสฺสามิ, มหาโพธิโต เม โพธิปกฺกํ อาหรถา’’ติฯ เถโร ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อากาเสน โพธิมณฺฑํ คนฺตฺวา วณฺฎา ปริคลนฺตํ ปกฺกํ ภูมิํ อสมฺปตฺตเมว จีวเรน สมฺปฎิจฺฉิตฺวา คเหตฺวา อานนฺทเตฺถรสฺส อทาสิฯ อานนฺทเตฺถโร ‘‘อชฺช โพธิํ โรเปสฺสามี’’ติ โกสลราชาทีนํ อาโรเจสิฯ ราชา สายนฺหสมเย มหเนฺตน ปริวาเรน สพฺพูปกรณานิ คาหาเปตฺวา อาคมิ, ตถา อนาถปิณฺฑิโก วิสาขา จ อโญฺญ จ สโทฺธ ชโนฯ เถโร มหาโพธิโรปนฎฺฐาเน มหนฺตํ สุวณฺณกฎาหํ ฐเปตฺวา เหฎฺฐา ฉิทฺทํ กาเรตฺวา คนฺธกลลสฺส ปูเรตฺวา ‘‘อิทํ โพธิปกฺกํ โรเปหิ, มหาราชา’’ติ รโญฺญ อทาสิฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘รชฺชํ นาม น สพฺพกาลํ อมฺหากํ หเตฺถ ติฎฺฐติ, อิทํ มยา อนาถปิณฺฑิเกน โรปาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ ฯ โส ตํ โพธิปกฺกํ มหาเสฎฺฐิสฺส หเตฺถ ฐเปสิฯ อนาถปิณฺฑิโก คนฺธกลลํ วิยูหิตฺวา ตตฺถ ปาเตสิฯ ตสฺมิํ ตสฺส หตฺถโต มุตฺตมเตฺตเยว สเพฺพสํ ปสฺสนฺตานเญฺญว นงฺคลสีสปฺปมาโณ โพธิขโนฺธ ปณฺณาสหตฺถุเพฺพโธ อุฎฺฐหิ, จตูสุ ทิสาสุ อุทฺธญฺจาติ ปญฺจ มหาสาขา ปณฺณาสหตฺถาว นิกฺขมิํสุฯ อิติ โส ตงฺขณเญฺญว วนปฺปติเชฎฺฐโก หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ราชา อฎฺฐารสมเตฺต สุวณฺณรชตฆเฎ คโนฺธทเกน ปูเรตฺวา นีลุปฺปลหตฺถกาทิปฎิมณฺฑิเต มหาโพธิํ ปริกฺขิปิตฺวา ปุณฺณฆเฎ ปฎิปาฎิยา ฐเปสิ, สตฺตรตนมยํ เวทิกํ กาเรสิ, สุวณฺณมิสฺสกํ วาลุกํ โอกิริ, ปาการปริเกฺขปํ กาเรสิ, สตฺตรตนมยํ ทฺวารโกฎฺฐกํ กาเรสิ, สกฺกาโร มหา อโหสิฯ

    Thero kosalanarindassa anāthapiṇḍikassa visākhādīnañca ārocetvā jetavanadvāre bodhiropanaṭṭhāne āvāṭaṃ khaṇāpetvā mahāmoggallānattheraṃ āha – ‘‘bhante, ahaṃ jetavanadvāre bodhiṃ ropessāmi, mahābodhito me bodhipakkaṃ āharathā’’ti. Thero ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ākāsena bodhimaṇḍaṃ gantvā vaṇṭā parigalantaṃ pakkaṃ bhūmiṃ asampattameva cīvarena sampaṭicchitvā gahetvā ānandattherassa adāsi. Ānandatthero ‘‘ajja bodhiṃ ropessāmī’’ti kosalarājādīnaṃ ārocesi. Rājā sāyanhasamaye mahantena parivārena sabbūpakaraṇāni gāhāpetvā āgami, tathā anāthapiṇḍiko visākhā ca añño ca saddho jano. Thero mahābodhiropanaṭṭhāne mahantaṃ suvaṇṇakaṭāhaṃ ṭhapetvā heṭṭhā chiddaṃ kāretvā gandhakalalassa pūretvā ‘‘idaṃ bodhipakkaṃ ropehi, mahārājā’’ti rañño adāsi. So cintesi ‘‘rajjaṃ nāma na sabbakālaṃ amhākaṃ hatthe tiṭṭhati, idaṃ mayā anāthapiṇḍikena ropāpetuṃ vaṭṭatī’’ti . So taṃ bodhipakkaṃ mahāseṭṭhissa hatthe ṭhapesi. Anāthapiṇḍiko gandhakalalaṃ viyūhitvā tattha pātesi. Tasmiṃ tassa hatthato muttamatteyeva sabbesaṃ passantānaññeva naṅgalasīsappamāṇo bodhikhandho paṇṇāsahatthubbedho uṭṭhahi, catūsu disāsu uddhañcāti pañca mahāsākhā paṇṇāsahatthāva nikkhamiṃsu. Iti so taṅkhaṇaññeva vanappatijeṭṭhako hutvā aṭṭhāsi. Rājā aṭṭhārasamatte suvaṇṇarajataghaṭe gandhodakena pūretvā nīluppalahatthakādipaṭimaṇḍite mahābodhiṃ parikkhipitvā puṇṇaghaṭe paṭipāṭiyā ṭhapesi, sattaratanamayaṃ vedikaṃ kāresi, suvaṇṇamissakaṃ vālukaṃ okiri, pākāraparikkhepaṃ kāresi, sattaratanamayaṃ dvārakoṭṭhakaṃ kāresi, sakkāro mahā ahosi.

    เถโร ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหหิ มหาโพธิมูเล สมาปนฺนสมาปตฺติํ มยา โรปิตโพธิมูเล นิสีทิตฺวา มหาชนสฺส หิตตฺถาย สมาปชฺชถา’’ติ อาหฯ ‘‘อานนฺท, กิํ กเถสิ, มยิ มหาโพธิมูเล สมาปนฺนสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา นิสิเนฺน อโญฺญ ปเทโส ธาเรตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, มหาชนสฺส หิตตฺถาย อิมสฺส ภูมิปฺปเทสสฺส ธุวนิยาเมน สมาปตฺติสุเขน ตํ โพธิมูลํ ปริภุญฺชถา’’ติฯ สตฺถา เอกรตฺติํ สมาปตฺติสุเขน ปริภุญฺชิฯ เถโร โกสลราชาทีนํ กเถตฺวา โพธิมหํ นาม กาเรสิฯ โสปิ โข โพธิรุโกฺข อานนฺทเตฺถเรน โรปิตตฺตา อานนฺทโพธิเยวาติ ปญฺญายิตฺถฯ ตทา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส อายสฺมา อานโนฺท ธรเนฺตเยว ตถาคเต โพธิํ โรเปตฺวา มหาปูชํ กาเรสิ , อโห มหาคุโณ เถโร’’ติ ฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ อานโนฺท สปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ มนุเสฺส คเหตฺวา พหุคนฺธมาลาทีนิ อาหริตฺวา มหาโพธิมเณฺฑ โพธิมหํ กาเรสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Thero tathāgataṃ upasaṅkamitvā ‘‘bhante, tumhehi mahābodhimūle samāpannasamāpattiṃ mayā ropitabodhimūle nisīditvā mahājanassa hitatthāya samāpajjathā’’ti āha. ‘‘Ānanda, kiṃ kathesi, mayi mahābodhimūle samāpannasamāpattiṃ samāpajjitvā nisinne añño padeso dhāretuṃ na sakkotī’’ti. ‘‘Bhante, mahājanassa hitatthāya imassa bhūmippadesassa dhuvaniyāmena samāpattisukhena taṃ bodhimūlaṃ paribhuñjathā’’ti. Satthā ekarattiṃ samāpattisukhena paribhuñji. Thero kosalarājādīnaṃ kathetvā bodhimahaṃ nāma kāresi. Sopi kho bodhirukkho ānandattherena ropitattā ānandabodhiyevāti paññāyittha. Tadā bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso āyasmā ānando dharanteyeva tathāgate bodhiṃ ropetvā mahāpūjaṃ kāresi , aho mahāguṇo thero’’ti . Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi ānando saparivāresu catūsu mahādīpesu manusse gahetvā bahugandhamālādīni āharitvā mahābodhimaṇḍe bodhimahaṃ kāresiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต กลิงฺครเฎฺฐ ทนฺตปุรนคเร กาลิโงฺค นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส มหากาลิโงฺค, จูฬกาลิโงฺคติ เทฺว ปุตฺตา อเหสุํฯ เนมิตฺตกา ‘‘เชฎฺฐปุโตฺต ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ กาเรสฺสติ, กนิโฎฺฐ ปน อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ภิกฺขาย จริสฺสติ, ปุโตฺต ปนสฺส จกฺกวตฺตี ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากริํสุฯ อปรภาเค เชฎฺฐปุโตฺต ปิตุ อจฺจเยน ราชา อโหสิ, กนิโฎฺฐ ปน อุปราชาฯ โส ‘‘ปุโตฺต กิร เม จกฺกวตฺตี ภวิสฺสตี’’ติ ปุตฺตํ นิสฺสาย มานํ อกาสิฯ ราชา อสหโนฺต ‘‘จูฬกาลิงฺคํ คณฺหา’’ติ เอกํ อตฺถจรกํ อาณาเปสิฯ โส คนฺตฺวา ‘‘กุมาร, ราชา ตํ คณฺหาเปตุกาโม, ตว ชีวิตํ รกฺขาหี’’ติ อาหฯ โส อตฺตโน ลญฺชนมุทฺทิกญฺจ สุขุมกมฺพลญฺจ ขคฺคญฺจาติ อิมานิ ตีณิ อตฺถจรกามจฺจสฺส ทเสฺสตฺวา ‘‘อิมาย สญฺญาย มม ปุตฺตสฺส รชฺชํ ทเทยฺยาถา’’ติ วตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา รมณีเย ภูมิภาเค อสฺสมํ กตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา นทีตีเร วาสํ กเปฺปสิฯ

    Atīte kaliṅgaraṭṭhe dantapuranagare kāliṅgo nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tassa mahākāliṅgo, cūḷakāliṅgoti dve puttā ahesuṃ. Nemittakā ‘‘jeṭṭhaputto pitu accayena rajjaṃ kāressati, kaniṭṭho pana isipabbajjaṃ pabbajitvā bhikkhāya carissati, putto panassa cakkavattī bhavissatī’’ti byākariṃsu. Aparabhāge jeṭṭhaputto pitu accayena rājā ahosi, kaniṭṭho pana uparājā. So ‘‘putto kira me cakkavattī bhavissatī’’ti puttaṃ nissāya mānaṃ akāsi. Rājā asahanto ‘‘cūḷakāliṅgaṃ gaṇhā’’ti ekaṃ atthacarakaṃ āṇāpesi. So gantvā ‘‘kumāra, rājā taṃ gaṇhāpetukāmo, tava jīvitaṃ rakkhāhī’’ti āha. So attano lañjanamuddikañca sukhumakambalañca khaggañcāti imāni tīṇi atthacarakāmaccassa dassetvā ‘‘imāya saññāya mama puttassa rajjaṃ dadeyyāthā’’ti vatvā araññaṃ pavisitvā ramaṇīye bhūmibhāge assamaṃ katvā isipabbajjaṃ pabbajitvā nadītīre vāsaṃ kappesi.

    มทฺทรเฎฺฐปิ สาคลนคเร มทฺทรโญฺญ อคฺคมเหสี ธีตรํ วิชายิฯ ตํ เนมิตฺตกา ‘‘อยํ ภิกฺขํ จริตฺวา ชีวิกํ กเปฺปสฺสติ, ปุโตฺต ปนสฺสา จกฺกวตฺตี ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากริํสุฯ สกลชมฺพุทีเป ราชาโน ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา เอกปฺปหาเรเนว อาคนฺตฺวา สาคลนครํ รุนฺธิํสุฯ มทฺทราชา จิเนฺตสิ ‘‘สจาหํ อิมํ เอกสฺส ทสฺสามิ, เสสราชาโน กุชฺฌิสฺสนฺติ, มม ธีตรํ รกฺขิสฺสามี’’ติ ธีตรญฺจ ภริยญฺจ คเหตฺวา อญฺญาตกเวเสน ปลายิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา จูฬกาลิงฺคกุมารสฺส อสฺสมปทโต อุปริภาเค อสฺสมํ กตฺวา ปพฺพชิตฺวา อุญฺฉาจริยาย ชีวิกํ กเปฺปโนฺต ตตฺถ ปฎิวสติฯ มาตาปิตโร ‘‘ธีตรํ รกฺขิสฺสามา’’ติ ตํ อสฺสมปเท กตฺวา ผลาผลตฺถาย คจฺฉนฺติฯ สา เตสํ คตกาเล นานาปุปฺผานิ คเหตฺวา ปุปฺผจุมฺพฎกํ กตฺวา คงฺคาตีเร ฐปิตโสปานปนฺติ วิย ชาโต เอโก สุปุปฺผิโต อมฺพรุโกฺข อตฺถิ, ตํ อภิรุหิตฺวา กีฬิตฺวา ปุปฺผจุมฺพฎกํ อุทเก ขิปิฯ ตํ เอกทิวสํ คงฺคายํ นฺหายนฺตสฺส จูฬกาลิงฺคกุมารสฺส สีเส ลคฺคิฯ โส ตํ โอโลเกตฺวา ‘‘อิทํ เอกาย อิตฺถิยา กตํ, โน จ โข มหลฺลิกาย, ตรุณกุมาริกาย กตกมฺมํ, วีมํสิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ กิเลสวเสน อุปริคงฺคํ คนฺตฺวา ตสฺสา อมฺพรุเกฺข นิสีทิตฺวา มธุเรน สเรน คายนฺติยา สทฺทํ สุตฺวา รุกฺขมูลํ คนฺตฺวา ตํ ทิสฺวา ‘‘ภเทฺท, กา นาม ตฺว’’นฺติ อาหฯ ‘‘มนุสฺสิตฺถีหมสฺมิ สามี’’ติ ฯ ‘‘เตน หิ โอตราหี’’ติฯ ‘‘น สกฺกา สามิ, อหํ ขตฺติยา’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, อหมฺปิ ขตฺติโยเยว, โอตราหี’’ติฯ สามิ, น วจนมเตฺตเนว ขตฺติโย โหติ, ยทิสิ ขตฺติโย, ขตฺติยมายํ กเถหี’’ติฯ เต อุโภปิ อญฺญมญฺญํ ขตฺติยมายํ กถยิํสุฯ ราชธีตา โอตริฯ

    Maddaraṭṭhepi sāgalanagare maddarañño aggamahesī dhītaraṃ vijāyi. Taṃ nemittakā ‘‘ayaṃ bhikkhaṃ caritvā jīvikaṃ kappessati, putto panassā cakkavattī bhavissatī’’ti byākariṃsu. Sakalajambudīpe rājāno taṃ pavattiṃ sutvā ekappahāreneva āgantvā sāgalanagaraṃ rundhiṃsu. Maddarājā cintesi ‘‘sacāhaṃ imaṃ ekassa dassāmi, sesarājāno kujjhissanti, mama dhītaraṃ rakkhissāmī’’ti dhītarañca bhariyañca gahetvā aññātakavesena palāyitvā araññaṃ pavisitvā cūḷakāliṅgakumārassa assamapadato uparibhāge assamaṃ katvā pabbajitvā uñchācariyāya jīvikaṃ kappento tattha paṭivasati. Mātāpitaro ‘‘dhītaraṃ rakkhissāmā’’ti taṃ assamapade katvā phalāphalatthāya gacchanti. Sā tesaṃ gatakāle nānāpupphāni gahetvā pupphacumbaṭakaṃ katvā gaṅgātīre ṭhapitasopānapanti viya jāto eko supupphito ambarukkho atthi, taṃ abhiruhitvā kīḷitvā pupphacumbaṭakaṃ udake khipi. Taṃ ekadivasaṃ gaṅgāyaṃ nhāyantassa cūḷakāliṅgakumārassa sīse laggi. So taṃ oloketvā ‘‘idaṃ ekāya itthiyā kataṃ, no ca kho mahallikāya, taruṇakumārikāya katakammaṃ, vīmaṃsissāmi tāva na’’nti kilesavasena uparigaṅgaṃ gantvā tassā ambarukkhe nisīditvā madhurena sarena gāyantiyā saddaṃ sutvā rukkhamūlaṃ gantvā taṃ disvā ‘‘bhadde, kā nāma tva’’nti āha. ‘‘Manussitthīhamasmi sāmī’’ti . ‘‘Tena hi otarāhī’’ti. ‘‘Na sakkā sāmi, ahaṃ khattiyā’’ti. ‘‘Bhadde, ahampi khattiyoyeva, otarāhī’’ti. Sāmi, na vacanamatteneva khattiyo hoti, yadisi khattiyo, khattiyamāyaṃ kathehī’’ti. Te ubhopi aññamaññaṃ khattiyamāyaṃ kathayiṃsu. Rājadhītā otari.

    เต อญฺญมญฺญํ อชฺฌาจารํ จริํสุฯ สา มาตาปิตูสุ อาคเตสุ ตสฺส กาลิงฺคราชปุตฺตภาวเญฺจว อรญฺญํ ปวิฎฺฐการณญฺจ วิตฺถาเรน เตสํ กเถสิฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตํ ตสฺส อทํสุฯ เตสํ ปิยสํวาเสน วสนฺตานํ ราชธีตา คพฺภํ ลภิตฺวา ทสมาสจฺจเยน ธญฺญปุญฺญลกฺขณสมฺปนฺนํ ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘กาลิโงฺค’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ปิตุ เจว อยฺยกสฺส จ สนฺติเก สพฺพสิปฺปานํ นิปฺผตฺติํ ปาปุณิฯ อถสฺส ปิตา นกฺขตฺตโยควเสน ภาตุ มตภาวํ ญตฺวา ‘‘ตาต, มา ตฺวํ อรเญฺญ วส, เปเตฺตโยฺย เต มหากาลิโงฺค กาลกโต, ตฺวํ ทนฺตปุรนครํ คนฺตฺวา กุลสนฺตกํ สกลรชฺชํ คณฺหาหี’’ติ วตฺวา อตฺตนา อานีตํ มุทฺทิกญฺจ กมฺพลญฺจ ขคฺคญฺจ ทตฺวา ‘‘ตาต, ทนฺตปุรนคเร อสุกวีถิยํ อมฺหากํ อตฺถจรโก อมโจฺจ อตฺถิ, ตสฺส เคเห สยนมเชฺฌ โอตริตฺวา อิมานิ ตีณิ รตนานิ ตสฺส ทเสฺสตฺวา มม ปุตฺตภาวํ อาจิกฺข, โส ตํ รเชฺช ปติฎฺฐาเปสฺสตี’’ติ อุโยฺยเชสิฯ โส มาตาปิตโร จ อยฺยกายฺยิเก จ วนฺทิตฺวา ปุญฺญมหิทฺธิยา อากาเสน คนฺตฺวา อมจฺจสฺส สยนปิเฎฺฐเยว โอตริตฺวา ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ ปุโฎฺฐ ‘‘จูฬกาลิงฺคสฺส ปุโตฺตมฺหี’’ติ อาจิกฺขิตฺวา ตานิ รตนานิ ทเสฺสสิฯ อมโจฺจ ราชปริสาย อาโรเจสิฯ อมจฺจา นครํ อลงฺการาเปตฺวา ตสฺส เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาปยิํสุฯ

    Te aññamaññaṃ ajjhācāraṃ cariṃsu. Sā mātāpitūsu āgatesu tassa kāliṅgarājaputtabhāvañceva araññaṃ paviṭṭhakāraṇañca vitthārena tesaṃ kathesi. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā taṃ tassa adaṃsu. Tesaṃ piyasaṃvāsena vasantānaṃ rājadhītā gabbhaṃ labhitvā dasamāsaccayena dhaññapuññalakkhaṇasampannaṃ puttaṃ vijāyi, ‘‘kāliṅgo’’tissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto pitu ceva ayyakassa ca santike sabbasippānaṃ nipphattiṃ pāpuṇi. Athassa pitā nakkhattayogavasena bhātu matabhāvaṃ ñatvā ‘‘tāta, mā tvaṃ araññe vasa, petteyyo te mahākāliṅgo kālakato, tvaṃ dantapuranagaraṃ gantvā kulasantakaṃ sakalarajjaṃ gaṇhāhī’’ti vatvā attanā ānītaṃ muddikañca kambalañca khaggañca datvā ‘‘tāta, dantapuranagare asukavīthiyaṃ amhākaṃ atthacarako amacco atthi, tassa gehe sayanamajjhe otaritvā imāni tīṇi ratanāni tassa dassetvā mama puttabhāvaṃ ācikkha, so taṃ rajje patiṭṭhāpessatī’’ti uyyojesi. So mātāpitaro ca ayyakāyyike ca vanditvā puññamahiddhiyā ākāsena gantvā amaccassa sayanapiṭṭheyeva otaritvā ‘‘kosi tva’’nti puṭṭho ‘‘cūḷakāliṅgassa puttomhī’’ti ācikkhitvā tāni ratanāni dassesi. Amacco rājaparisāya ārocesi. Amaccā nagaraṃ alaṅkārāpetvā tassa setacchattaṃ ussāpayiṃsu.

    อถสฺส กาลิงฺคภารทฺวาโช นาม ปุโรหิโต ตสฺส ทส จกฺกวตฺติวตฺตานิ อาจิกฺขิฯ โส ตํ วตฺตํ ปูเรสิฯ อถสฺส ปนฺนรสอุโปสถทิวเส จกฺกทหโต จกฺกรตนํ, อุโปสถกุลโต หตฺถิรตนํ, วลาหกกุลโต อสฺสรตนํ, เวปุลฺลปพฺพตโต มณิรตนํ อาคมิ, อิตฺถิรตนคหปติรตนปริณายกรตนานิ ปาตุภวนฺติฯ โส สกลจกฺกวาฬคเพฺภ รชฺชํ คณฺหิตฺวา เอกทิวสญฺจ ฉตฺติํสโยชนาย ปริสาย ปริวุโต สพฺพเสตํ เกลาสกูฎปฎิภาคํ หตฺถิํ อารุยฺห มหเนฺตน สิริวิลาเสน มาตาปิตูนํ สนฺติกํ ปายาสิฯ อถสฺส สพฺพพุทฺธานํ ชยปลฺลงฺกสฺส ปถวีนาภิภูตสฺส มหาโพธิมณฺฑสฺส อุปริภาเค นาโค คนฺตุํ นาสกฺขิฯ ราชา ปุนปฺปุนํ โจเทสิ, โส นาสกฺขิเยวฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ปฐมํ คาถมาห –

    Athassa kāliṅgabhāradvājo nāma purohito tassa dasa cakkavattivattāni ācikkhi. So taṃ vattaṃ pūresi. Athassa pannarasauposathadivase cakkadahato cakkaratanaṃ, uposathakulato hatthiratanaṃ, valāhakakulato assaratanaṃ, vepullapabbatato maṇiratanaṃ āgami, itthiratanagahapatiratanapariṇāyakaratanāni pātubhavanti. So sakalacakkavāḷagabbhe rajjaṃ gaṇhitvā ekadivasañca chattiṃsayojanāya parisāya parivuto sabbasetaṃ kelāsakūṭapaṭibhāgaṃ hatthiṃ āruyha mahantena sirivilāsena mātāpitūnaṃ santikaṃ pāyāsi. Athassa sabbabuddhānaṃ jayapallaṅkassa pathavīnābhibhūtassa mahābodhimaṇḍassa uparibhāge nāgo gantuṃ nāsakkhi. Rājā punappunaṃ codesi, so nāsakkhiyeva. Tamatthaṃ pakāsento satthā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๖๗.

    67.

    ‘‘ราชา กาลิโงฺค จกฺกวตฺติ, ธเมฺมน ปถวิมนุสาสํ;

    ‘‘Rājā kāliṅgo cakkavatti, dhammena pathavimanusāsaṃ;

    อคมา โพธิสมีปํ, นาเคน มหานุภาเวนา’’ติฯ

    Agamā bodhisamīpaṃ, nāgena mahānubhāvenā’’ti.

    อถ รโญฺญ ปุโรหิโต รญฺญา สทฺธิํ คจฺฉโนฺต ‘‘อากาเส อาวรณํ นาม นตฺถิ, กิํ นุ โข ราชา หตฺถิํ เปเสตุํ น สโกฺกติ , วีมํสิสฺสามี’’ติ อากาสโต โอรุยฺห สพฺพพุทฺธานํเยว ชยปลฺลงฺกํ ปถวีนาภิมณฺฑลภูตํ ภูมิภาคํ ปสฺสิฯ ตทา กิร ตตฺถ อฎฺฐราชกรีสมเตฺต ฐาเน เกสมสฺสุมตฺตมฺปิ ติณํ นาม นตฺถิ, รชตปฎฺฎวณฺณวาลุกา วิปฺปกิณฺณา โหนฺติ, สมนฺตา ติณลตาวนปฺปติโย โพธิมณฺฑํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อาวเฎฺฎตฺวา โพธิมณฺฑาภิมุขาว อฎฺฐํสุฯ พฺราหฺมโณ ตํ ภูมิภาคํ โอโลเกตฺวา ‘‘อิทญฺหิ สพฺพพุทฺธานํ สพฺพกิเลสวิทฺธํสนฎฺฐานํ, อิมสฺส อุปริภาเค สกฺกาทีหิปิ น สกฺกา คนฺตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา กาลิงฺครโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา โพธิมณฺฑสฺส วณฺณํ กเถตฺวา ราชานํ ‘‘โอตรา’’ติ อาหฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิมา คาถา อาห –

    Atha rañño purohito raññā saddhiṃ gacchanto ‘‘ākāse āvaraṇaṃ nāma natthi, kiṃ nu kho rājā hatthiṃ pesetuṃ na sakkoti , vīmaṃsissāmī’’ti ākāsato oruyha sabbabuddhānaṃyeva jayapallaṅkaṃ pathavīnābhimaṇḍalabhūtaṃ bhūmibhāgaṃ passi. Tadā kira tattha aṭṭharājakarīsamatte ṭhāne kesamassumattampi tiṇaṃ nāma natthi, rajatapaṭṭavaṇṇavālukā vippakiṇṇā honti, samantā tiṇalatāvanappatiyo bodhimaṇḍaṃ padakkhiṇaṃ katvā āvaṭṭetvā bodhimaṇḍābhimukhāva aṭṭhaṃsu. Brāhmaṇo taṃ bhūmibhāgaṃ oloketvā ‘‘idañhi sabbabuddhānaṃ sabbakilesaviddhaṃsanaṭṭhānaṃ, imassa uparibhāge sakkādīhipi na sakkā gantu’’nti cintetvā kāliṅgarañño santikaṃ gantvā bodhimaṇḍassa vaṇṇaṃ kathetvā rājānaṃ ‘‘otarā’’ti āha. Tamatthaṃ pakāsento satthā imā gāthā āha –

    ๖๘.

    68.

    ‘‘กาลิโงฺค ภารทฺวาโช จ, ราชานํ กาลิงฺคํ สมณโกลญฺญํ;

    ‘‘Kāliṅgo bhāradvājo ca, rājānaṃ kāliṅgaṃ samaṇakolaññaṃ;

    จกฺกํ วตฺตยโต ปริคฺคเหตฺวา, ปญฺชลี อิทมโวจฯ

    Cakkaṃ vattayato pariggahetvā, pañjalī idamavoca.

    ๖๙.

    69.

    ‘‘ปโจฺจโรห มหาราช, ภูมิภาโค ยถา สมณุคฺคโต;

    ‘‘Paccoroha mahārāja, bhūmibhāgo yathā samaṇuggato;

    อิธ อนธิวรา พุทฺธา, อภิสมฺพุทฺธา วิโรจนฺติฯ

    Idha anadhivarā buddhā, abhisambuddhā virocanti.

    ๗๐.

    70.

    ‘‘ปทกฺขิณโต อาวฎฺฎา, ติณลตา อสฺมิํ ภูมิภาคสฺมิํ;

    ‘‘Padakkhiṇato āvaṭṭā, tiṇalatā asmiṃ bhūmibhāgasmiṃ;

    ปถวิยา นาภิยํ มโณฺฑ, อิติ โน สุตํ มเนฺต มหาราชฯ

    Pathaviyā nābhiyaṃ maṇḍo, iti no sutaṃ mante mahārāja.

    ๗๑.

    71.

    ‘‘สาครปริยนฺตาย, เมทินิยา สพฺพภูตธรณิยา;

    ‘‘Sāgarapariyantāya, mediniyā sabbabhūtadharaṇiyā;

    ปถวิยา อยํ มโณฺฑ, โอโรหิตฺวา นโม กโรหิฯ

    Pathaviyā ayaṃ maṇḍo, orohitvā namo karohi.

    ๗๒.

    72.

    ‘‘เย เต ภวนฺติ นาคา จ, อภิชาตา จ กุญฺชรา;

    ‘‘Ye te bhavanti nāgā ca, abhijātā ca kuñjarā;

    เอตฺตาวตา ปเทสํ เต, นาคา เนว มุปยนฺติฯ

    Ettāvatā padesaṃ te, nāgā neva mupayanti.

    ๗๓.

    73.

    ‘‘อภิชาโต นาโค กามํ, เปเสหิ กุญฺชรํ ทนฺติํ;

    ‘‘Abhijāto nāgo kāmaṃ, pesehi kuñjaraṃ dantiṃ;

    เอตฺตาวตา ปเทโส, สกฺกา นาเคน มุปคนฺตุํฯ

    Ettāvatā padeso, sakkā nāgena mupagantuṃ.

    ๗๔.

    74.

    ‘‘ตํ สุตฺวา ราชา กาลิโงฺค, เวยฺยญฺชนิกวโจ นิสาเมตฺวา;

    ‘‘Taṃ sutvā rājā kāliṅgo, veyyañjanikavaco nisāmetvā;

    สเมฺปเสสิ นาคํ ญสฺสาม, มยํ ยถิมสฺสิทํ วจนํฯ

    Sampesesi nāgaṃ ñassāma, mayaṃ yathimassidaṃ vacanaṃ.

    ๗๕.

    75.

    ‘‘สเมฺปสิโต จ รญฺญา, นาโค โกโญฺจว อภินทิตฺวาน;

    ‘‘Sampesito ca raññā, nāgo koñcova abhinaditvāna;

    ปฎิสกฺกิตฺวา นิสีทิ, ครุํว ภารํ อสหมาโน’’ติฯ

    Paṭisakkitvā nisīdi, garuṃva bhāraṃ asahamāno’’ti.

    ตตฺถ สมณโกลญฺญนฺติ ตาปสานํ ปุตฺตํฯ จกฺกํ วตฺตยโตติ จกฺกํ วตฺตยมานํ, จกฺกวตฺตินฺติ อโตฺถฯ ปริคฺคเหตฺวาติ ภูมิภาคํ วีมํสิตฺวาฯ สมณุคฺคโตติ สพฺพพุเทฺธหิ วณฺณิโตฯ อนธิวราติ อตุลฺยา อปฺปเมยฺยาฯ วิโรจนฺตีติ วิหตสพฺพกิเลสนฺธการา ตรุณสูริยา วิย อิธ นิสินฺนา วิโรจนฺติฯ ติณลตาติ ติณานิ จ ลตาโย จฯ มโณฺฑติ จตุนหุตาธิกทฺวิโยชนสตสหสฺสพหลาย ปถวิยา มโณฺฑ สาโร นาภิภูโต อจลฎฺฐานํ, กเปฺป สณฺฐหเนฺต ปฐมํ สณฺฐหติ, วินสฺสเนฺต ปจฺฉา วินสฺสติฯ อิติ โน สุตนฺติ เอวํ อเมฺหหิ ลกฺขณมนฺตวเสน สุตํฯ โอโรหิตฺวาติ อากาสโต โอตริตฺวา อิมสฺส สพฺพพุทฺธานํ กิเลสวิทฺธํสนฎฺฐานสฺส นโม กโรหิ, ปูชาสกฺการํ กโรหิฯ

    Tattha samaṇakolaññanti tāpasānaṃ puttaṃ. Cakkaṃ vattayatoti cakkaṃ vattayamānaṃ, cakkavattinti attho. Pariggahetvāti bhūmibhāgaṃ vīmaṃsitvā. Samaṇuggatoti sabbabuddhehi vaṇṇito. Anadhivarāti atulyā appameyyā. Virocantīti vihatasabbakilesandhakārā taruṇasūriyā viya idha nisinnā virocanti. Tiṇalatāti tiṇāni ca latāyo ca. Maṇḍoti catunahutādhikadviyojanasatasahassabahalāya pathaviyā maṇḍo sāro nābhibhūto acalaṭṭhānaṃ, kappe saṇṭhahante paṭhamaṃ saṇṭhahati, vinassante pacchā vinassati. Iti no sutanti evaṃ amhehi lakkhaṇamantavasena sutaṃ. Orohitvāti ākāsato otaritvā imassa sabbabuddhānaṃ kilesaviddhaṃsanaṭṭhānassa namo karohi, pūjāsakkāraṃ karohi.

    เย เตติ เย จกฺกวตฺติรโญฺญ หตฺถิรตนสงฺขาตา อุโปสถกุเล นิพฺพตฺตนาคาฯ เอตฺตาวตาติ สเพฺพปิ เต เอตฺตกํ ปเทสํ เนว อุปยนฺติ, โกฎฺฎิยมานาปิ น อุปคจฺฉนฺติเยวฯ อภิชาโตติ โคจริยาทีนิ อฎฺฐ หตฺถิกุลานิ อภิภวิตฺวา อติกฺกมิตฺวา อุโปสถกุเล ชาโตฯ กุญฺชรนฺติ อุตฺตมํฯ เอตฺตาวตาติ เอตฺตโก ปเทโส สกฺกา เอเตน นาเคน อุปคนฺตุํ, อิโต อุตฺตริ น สกฺกา, อภิกงฺขโนฺต วชิรงฺกุเสน สญฺญํ ทตฺวา เปเสหีติฯ เวยฺยญฺชนิกวโจ นิสาเมตฺวาติ ภิกฺขเว, โส ราชา ตสฺส ลกฺขณปาฐกสฺส เวยฺยญฺชนิกสฺส กาลิงฺคภารทฺวาชสฺส วโจ นิสาเมตฺวา อุปธาเรตฺวา ‘‘ญสฺสาม มยํ ยถา อิมสฺส วจนํ ยทิ วา สจฺจํ ยทิ วา อลิก’’นฺติ วีมํสโนฺต นาคํ เปเสสีติ อโตฺถฯ โกโญฺจว อภินทิตฺวานาติ ภิกฺขเว, โส นาโค เตน รญฺญา วชิรงฺกุเสน โจเทตฺวา เปสิโต โกญฺจสกุโณ วิย นทิตฺวา ปฎิสกฺกิตฺวา โสณฺฑํ อุกฺขิปิตฺวา คีวํ อุนฺนาเมตฺวา ครุํ ภารํ วหิตุํ อสโกฺกโนฺต วิย อากาเสเยว นิสีทิฯ

    Ye teti ye cakkavattirañño hatthiratanasaṅkhātā uposathakule nibbattanāgā. Ettāvatāti sabbepi te ettakaṃ padesaṃ neva upayanti, koṭṭiyamānāpi na upagacchantiyeva. Abhijātoti gocariyādīni aṭṭha hatthikulāni abhibhavitvā atikkamitvā uposathakule jāto. Kuñjaranti uttamaṃ. Ettāvatāti ettako padeso sakkā etena nāgena upagantuṃ, ito uttari na sakkā, abhikaṅkhanto vajiraṅkusena saññaṃ datvā pesehīti. Veyyañjanikavaco nisāmetvāti bhikkhave, so rājā tassa lakkhaṇapāṭhakassa veyyañjanikassa kāliṅgabhāradvājassa vaco nisāmetvā upadhāretvā ‘‘ñassāma mayaṃ yathā imassa vacanaṃ yadi vā saccaṃ yadi vā alika’’nti vīmaṃsanto nāgaṃ pesesīti attho. Koñcova abhinaditvānāti bhikkhave, so nāgo tena raññā vajiraṅkusena codetvā pesito koñcasakuṇo viya naditvā paṭisakkitvā soṇḍaṃ ukkhipitvā gīvaṃ unnāmetvā garuṃ bhāraṃ vahituṃ asakkonto viya ākāseyeva nisīdi.

    โส เตน ปุนปฺปุนํ วิชฺฌิยมาโน เวทนํ สหิตุํ อสโกฺกโนฺต กาลมกาสิฯ ราชา ปนสฺส มตภาวํ อชานโนฺต ปิเฎฺฐ นิสิโนฺนว อโหสิฯ กาลิงฺคภารทฺวาโช ‘‘มหาราช, ตว นาโค นิรุโทฺธ, อญฺญํ หตฺถิํ สงฺกมา’’ติ อาหฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ทสมํ คาถมาห –

    So tena punappunaṃ vijjhiyamāno vedanaṃ sahituṃ asakkonto kālamakāsi. Rājā panassa matabhāvaṃ ajānanto piṭṭhe nisinnova ahosi. Kāliṅgabhāradvājo ‘‘mahārāja, tava nāgo niruddho, aññaṃ hatthiṃ saṅkamā’’ti āha. Tamatthaṃ pakāsento satthā dasamaṃ gāthamāha –

    ๗๖.

    76.

    ‘‘กาลิงฺคภารทฺวาโช , นาคํ ขีณายุกํ วิทิตฺวาน;

    ‘‘Kāliṅgabhāradvājo , nāgaṃ khīṇāyukaṃ viditvāna;

    ราชานํ กาลิงฺคํ, ตรมาโน อชฺฌภาสิตฺถ;

    Rājānaṃ kāliṅgaṃ, taramāno ajjhabhāsittha;

    อญฺญํ สงฺกม นาคํ, นาโค ขีณายุโก มหาราชา’’ติฯ

    Aññaṃ saṅkama nāgaṃ, nāgo khīṇāyuko mahārājā’’ti.

    ตตฺถ นาโค ขีณายุโกติ นาโค เต ชีวิตกฺขยํ ปโตฺต, ยํ กิญฺจิ กโรเนฺตน น สกฺกา ปิเฎฺฐ นิสิเนฺนน โพธิมณฺฑมตฺถเกน คนฺตุํฯ อญฺญํ นาคํ สงฺกมาติ รโญฺญ ปุญฺญิทฺธิพเลน อโญฺญ นาโค อุโปสถกุลโต อาคนฺตฺวา ปิฎฺฐิํ อุปนาเมสิฯ

    Tattha nāgo khīṇāyukoti nāgo te jīvitakkhayaṃ patto, yaṃ kiñci karontena na sakkā piṭṭhe nisinnena bodhimaṇḍamatthakena gantuṃ. Aññaṃ nāgaṃ saṅkamāti rañño puññiddhibalena añño nāgo uposathakulato āgantvā piṭṭhiṃ upanāmesi.

    ราชา ตสฺส ปิฎฺฐิยํ นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ มตหตฺถี ภูมิยํ ปติฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิตรํ คาถมาห –

    Rājā tassa piṭṭhiyaṃ nisīdi. Tasmiṃ khaṇe matahatthī bhūmiyaṃ pati. Tamatthaṃ pakāsento satthā itaraṃ gāthamāha –

    ๗๗.

    77.

    ‘‘ตํ สุตฺวา กาลิโงฺค, ตรมาโน สงฺกมี นาคํ;

    ‘‘Taṃ sutvā kāliṅgo, taramāno saṅkamī nāgaṃ;

    สงฺกเนฺตว รเญฺญ นาโค, ตเตฺถว ปติ ภุมฺยา;

    Saṅkanteva raññe nāgo, tattheva pati bhumyā;

    เวยฺยญฺชนิกวโจ, ยถา ตถา อหุ นาโค’’ติฯ

    Veyyañjanikavaco, yathā tathā ahu nāgo’’ti.

    อถ ราชา อากาสโต โอรุยฺห โพธิมณฺฑํ โอโลเกตฺวา ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา ภารทฺวาชสฺส ถุติํ กโรโนฺต อาห –

    Atha rājā ākāsato oruyha bodhimaṇḍaṃ oloketvā pāṭihāriyaṃ disvā bhāradvājassa thutiṃ karonto āha –

    ๗๘.

    78.

    ‘‘กาลิโงฺค ราชา กาลิงฺคํ, พฺราหฺมณํ เอตทโวจ;

    ‘‘Kāliṅgo rājā kāliṅgaṃ, brāhmaṇaṃ etadavoca;

    ตฺวเมว อสิ สมฺพุโทฺธ, สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี’’ติฯ

    Tvameva asi sambuddho, sabbaññū sabbadassāvī’’ti.

    พฺราหฺมโณ ตํ อนธิวาเสโนฺต อตฺตานํ นีจฎฺฐาเน ฐเปตฺวา พุเทฺธเยว อุกฺขิปิตฺวา วเณฺณสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิมา คาถา อภาสิ –

    Brāhmaṇo taṃ anadhivāsento attānaṃ nīcaṭṭhāne ṭhapetvā buddheyeva ukkhipitvā vaṇṇesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā imā gāthā abhāsi –

    ๗๙.

    79.

    ‘‘ตํ อนธิวาเสโนฺต กาลิงฺค, พฺราหฺมโณ อิทมโวจ;

    ‘‘Taṃ anadhivāsento kāliṅga, brāhmaṇo idamavoca;

    เวยฺยญฺชนิกา หิ มยํ, พุทฺธา สพฺพญฺญุโน มหาราชฯ

    Veyyañjanikā hi mayaṃ, buddhā sabbaññuno mahārāja.

    ๘๐.

    80.

    ‘‘สพฺพญฺญู สพฺพวิทู จ, พุทฺธา น ลกฺขเณน ชานนฺติ;

    ‘‘Sabbaññū sabbavidū ca, buddhā na lakkhaṇena jānanti;

    อาคมพลสา หิ มยํ, พุทฺธา สพฺพํ ปชานนฺตี’’ติฯ

    Āgamabalasā hi mayaṃ, buddhā sabbaṃ pajānantī’’ti.

    ตตฺถ เวยฺยญฺชนิกาติ มหาราช, มยํ พฺยญฺชนํ ทิสฺวา พฺยากรณสมตฺถา สุตพุทฺธา นาม, พุทฺธา ปน สพฺพญฺญู สพฺพวิทูฯ พุทฺธา หิ อตีตาทิเภทํ สพฺพํ ชานนฺติ เจว ปสฺสนฺติ จ, สพฺพญฺญุตญฺญาเณน เต สพฺพํ ชานนฺติ, น ลกฺขเณนฯ มยํ ปน อาคมพลสา อตฺตโน สิปฺปพเลเนว ชานาม, ตญฺจ เอกเทสเมว, พุทฺธา ปน สพฺพํ ปชานนฺตีติฯ

    Tattha veyyañjanikāti mahārāja, mayaṃ byañjanaṃ disvā byākaraṇasamatthā sutabuddhā nāma, buddhā pana sabbaññū sabbavidū. Buddhā hi atītādibhedaṃ sabbaṃ jānanti ceva passanti ca, sabbaññutaññāṇena te sabbaṃ jānanti, na lakkhaṇena. Mayaṃ pana āgamabalasā attano sippabaleneva jānāma, tañca ekadesameva, buddhā pana sabbaṃ pajānantīti.

    ราชา พุทฺธคุเณ สุตฺวา โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา สกลจกฺกวาฬวาสิเกหิ พหุคนฺธมาลํ อาหราเปตฺวา มหาโพธิมเณฺฑ สตฺตาหํ วสิตฺวา มหาโพธิปูชํ กาเรสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิมํ คาถาทฺวยมาห –

    Rājā buddhaguṇe sutvā somanassappatto hutvā sakalacakkavāḷavāsikehi bahugandhamālaṃ āharāpetvā mahābodhimaṇḍe sattāhaṃ vasitvā mahābodhipūjaṃ kāresi. Tamatthaṃ pakāsento satthā imaṃ gāthādvayamāha –

    ๘๑.

    81.

    ‘‘มหยิตฺวา สโมฺพธิํ, นานาตุริเยหิ วชฺชมาเนหิ;

    ‘‘Mahayitvā sambodhiṃ, nānāturiyehi vajjamānehi;

    มาลาวิเลปนํ อภิหริตฺวา, อถ ราชา มนุปายาสิฯ

    Mālāvilepanaṃ abhiharitvā, atha rājā manupāyāsi.

    ๘๒.

    82.

    ‘‘สฎฺฐิ วาหสหสฺสานิ, ปุปฺผานํ สนฺนิปาตยิ;

    ‘‘Saṭṭhi vāhasahassāni, pupphānaṃ sannipātayi;

    ปูเชสิ ราชา กาลิโงฺค, โพธิมณฺฑมนุตฺตร’’นฺติฯ

    Pūjesi rājā kāliṅgo, bodhimaṇḍamanuttara’’nti.

    ตตฺถ มนุปายาสีติ มาตาปิตูนํ สนฺติกํ อคมาสิฯ โส มหาโพธิมเณฺฑ อฎฺฐารสหตฺถํ สุวณฺณตฺถมฺภํ อุสฺสาเปสิฯ ตสฺส สตฺตรตนมยา เวทิกา กาเรสิ, รตนมิสฺสกํ วาลุกํ โอกิราเปตฺวา ปาการปริกฺขิตฺตํ กาเรสิ, สตฺตรตนมยํ ทฺวารโกฎฺฐกํ กาเรสิ, เทวสิกํ ปุปฺผานํ สฎฺฐิวาหสหสฺสานิ สนฺนิปาตยิ, เอวํ โพธิมณฺฑํ ปูเชสิฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘สฎฺฐิ วาหสหสฺสานิ ปุปฺผาน’’นฺติ เอตฺตกเมว อาคตํฯ

    Tattha manupāyāsīti mātāpitūnaṃ santikaṃ agamāsi. So mahābodhimaṇḍe aṭṭhārasahatthaṃ suvaṇṇatthambhaṃ ussāpesi. Tassa sattaratanamayā vedikā kāresi, ratanamissakaṃ vālukaṃ okirāpetvā pākāraparikkhittaṃ kāresi, sattaratanamayaṃ dvārakoṭṭhakaṃ kāresi, devasikaṃ pupphānaṃ saṭṭhivāhasahassāni sannipātayi, evaṃ bodhimaṇḍaṃ pūjesi. Pāḷiyaṃ pana ‘‘saṭṭhi vāhasahassāni pupphāna’’nti ettakameva āgataṃ.

    เอวํ มหาโพธิปูชํ กตฺวา มาตาปิตโร อยฺยกายฺยิเก จ อาทาย ทนฺตปุรเมว อาเนตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติฯ

    Evaṃ mahābodhipūjaṃ katvā mātāpitaro ayyakāyyike ca ādāya dantapurameva ānetvā dānādīni puññāni katvā tāvatiṃsabhavane nibbatti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ อานโนฺท โพธิปูชํ กาเรสิเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มาณวกกาลิโงฺค อานโนฺท อโหสิ, กาลิงฺคภารทฺวาโช ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi ānando bodhipūjaṃ kāresiyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā māṇavakakāliṅgo ānando ahosi, kāliṅgabhāradvājo pana ahameva ahosi’’nti.

    กาลิงฺคโพธิชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Kāliṅgabodhijātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๗๙. กาลิงฺคโพธิชาตกํ • 479. Kāliṅgabodhijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact