Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๑๐. ทสกนิปาโต

    10. Dasakanipāto

    ๑. กาฬุทายิเตฺถรคาถาวณฺณนา

    1. Kāḷudāyittheragāthāvaṇṇanā

    ทสกนิปาเต องฺคาริโนติอาทิกา อายสฺมโต กาฬุทายิเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปทุมุตฺตรพุทฺธสฺส กาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ กุลปฺปสาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ตชฺชํ อภินีหารกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ

    Dasakanipāte aṅgārinotiādikā āyasmato kāḷudāyittherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi padumuttarabuddhassa kāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbatto satthu dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ kulappasādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā tajjaṃ abhinīhārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi.

    โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อมฺหากํ โพธิสตฺตสฺส มาตุกุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิคฺคหณทิวเส กปิลวตฺถุสฺมิํเยว อมจฺจเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ โพธิสเตฺตน สทฺธิํ เอกทิวสํเยว ชาโตติ ตํทิวสํเยว นํ ทุกูลจุมฺพเฎ นิปชฺชาเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส อุปฎฺฐานํ นยิํสุฯ โพธิสเตฺตน หิ สทฺธิํ โพธิรุโกฺข, ราหุลมาตา, จตฺตาโร นิธี, อาโรหนิยหตฺถี, อสฺสกณฺฑโก, ฉโนฺน กาฬุทายีติ อิเม สตฺต เอกทิวสํเยว ชาตตฺตา สหชาตา นาม อเหสุํฯ อถสฺส นามคฺคหณทิวเส สกลนครสฺส อุทคฺคจิตฺตทิวเส ชาตตฺตา อุทายีเตฺวว นามํ อกํสุ, โถกํ กาฬธาตุกตฺตา ปน กาฬุทายีติ ปญฺญายิตฺถฯ โส โพธิสเตฺตน สทฺธิํ กุมารกีฬํ กีฬโนฺต วุทฺธิํ อคมาสิฯ

    So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto amhākaṃ bodhisattassa mātukucchiyaṃ paṭisandhiggahaṇadivase kapilavatthusmiṃyeva amaccagehe paṭisandhiṃ gaṇhi. Bodhisattena saddhiṃ ekadivasaṃyeva jātoti taṃdivasaṃyeva naṃ dukūlacumbaṭe nipajjāpetvā bodhisattassa upaṭṭhānaṃ nayiṃsu. Bodhisattena hi saddhiṃ bodhirukkho, rāhulamātā, cattāro nidhī, ārohaniyahatthī, assakaṇḍako, channo kāḷudāyīti ime satta ekadivasaṃyeva jātattā sahajātā nāma ahesuṃ. Athassa nāmaggahaṇadivase sakalanagarassa udaggacittadivase jātattā udāyītveva nāmaṃ akaṃsu, thokaṃ kāḷadhātukattā pana kāḷudāyīti paññāyittha. So bodhisattena saddhiṃ kumārakīḷaṃ kīḷanto vuddhiṃ agamāsi.

    อปรภาเค โลกนาเถ มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา อนุกฺกเมน สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจเกฺก ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน วิหรเนฺต สุโทฺธทนมหาราชา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ปุริสสหสฺสปริวารํ เอกํ อมจฺจํ ‘‘ปุตฺตํ เม อิธาเนหี’’ติ เปเสสิฯ โส ธมฺมเทสนาเวลาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุตฺวา สปริโส อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ เน สตฺถา ‘‘เอถ, ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรติฯ สเพฺพ ตงฺขณํเยว อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย อเหสุํฯ อรหตฺตํ ปตฺตโต ปฎฺฐาย ปน อริยา มชฺฌตฺตาว โหนฺติ, ตสฺมา รญฺญา ปหิตสาสนํ ทสพลสฺส น กเถสิฯ ราชา ‘‘เนว คตพลโกฎฺฐโก อาคจฺฉติ, น สาสนํ สุยฺยตี’’ติ อปรมฺปิ อมจฺจํ ปุริสสหเสฺสน เปเสสิ ฯ ตสฺมิมฺปิ ตถา ปฎิปเนฺน อปรนฺติ เอวํ นวหิ อมเจฺจหิ สทฺธิํ นว ปุริสสหสฺสานิ เปเสสิ สเพฺพ อรหตฺตํ ปตฺวา ตุณฺหี อเหสุํฯ

    Aparabhāge lokanāthe mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā anukkamena sabbaññutaṃ patvā pavattitavaradhammacakke rājagahaṃ upanissāya veḷuvane viharante suddhodanamahārājā taṃ pavattiṃ sutvā purisasahassaparivāraṃ ekaṃ amaccaṃ ‘‘puttaṃ me idhānehī’’ti pesesi. So dhammadesanāvelāya satthu santikaṃ gantvā parisapariyante ṭhito dhammaṃ sutvā sapariso arahattaṃ pāpuṇi. Atha ne satthā ‘‘etha, bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāreti. Sabbe taṅkhaṇaṃyeva iddhimayapattacīvaradharā vassasaṭṭhikattherā viya ahesuṃ. Arahattaṃ pattato paṭṭhāya pana ariyā majjhattāva honti, tasmā raññā pahitasāsanaṃ dasabalassa na kathesi. Rājā ‘‘neva gatabalakoṭṭhako āgacchati, na sāsanaṃ suyyatī’’ti aparampi amaccaṃ purisasahassena pesesi . Tasmimpi tathā paṭipanne aparanti evaṃ navahi amaccehi saddhiṃ nava purisasahassāni pesesi sabbe arahattaṃ patvā tuṇhī ahesuṃ.

    อถ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘เอตฺตกา ชนา มยิ สิเนหาภาเวน ทสพลสฺส อิธาคมนตฺถาย น กิญฺจิ กถยิํสุ, อยํ โข ปน อุทายี ทสพเลน สมวโย สหปํสุกีฬิโก, มยิ จ สิเนหวา, อิมํ เปเสสฺสามี’’ติ ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘ตาต, ตฺวํ ปุริสสหสฺสปริวาโร ราชคหํ คนฺตฺวา ทสพลํ อาเนหี’’ติ วตฺวา เปเสสิฯ โส ปน คจฺฉโนฺต ‘‘สจาหํ, เทว, ปพฺพชิตุํ ลภิสฺสามิ, เอวาหํ ภควนฺตํ อิธาเนสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘ยํ กิญฺจิ กตฺวา มม ปุตฺตํ ทเสฺสหี’’ติ วุโตฺต ราชคหํ คนฺตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนาเวลาย ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุตฺวา สปริวาโร อรหตฺตํ ปตฺวา เอหิภิกฺขุภาเว ปติฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๔.๔๘-๖๓) –

    Atha rājā cintesi – ‘‘ettakā janā mayi sinehābhāvena dasabalassa idhāgamanatthāya na kiñci kathayiṃsu, ayaṃ kho pana udāyī dasabalena samavayo sahapaṃsukīḷiko, mayi ca sinehavā, imaṃ pesessāmī’’ti taṃ pakkosāpetvā, ‘‘tāta, tvaṃ purisasahassaparivāro rājagahaṃ gantvā dasabalaṃ ānehī’’ti vatvā pesesi. So pana gacchanto ‘‘sacāhaṃ, deva, pabbajituṃ labhissāmi, evāhaṃ bhagavantaṃ idhānessāmī’’ti vatvā ‘‘yaṃ kiñci katvā mama puttaṃ dassehī’’ti vutto rājagahaṃ gantvā satthu dhammadesanāvelāya parisapariyante ṭhito dhammaṃ sutvā saparivāro arahattaṃ patvā ehibhikkhubhāve patiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.4.48-63) –

    ‘‘ปทุมุตฺตรพุทฺธสฺส, โลกเชฎฺฐสฺส ตาทิโน;

    ‘‘Padumuttarabuddhassa, lokajeṭṭhassa tādino;

    อทฺธานํ ปฎิปนฺนสฺส, จรโต จาริกํ ตทาฯ

    Addhānaṃ paṭipannassa, carato cārikaṃ tadā.

    ‘‘สุผุลฺลํ ปทุมํ คยฺห, อุปฺปลํ มลฺลิกญฺจหํ;

    ‘‘Suphullaṃ padumaṃ gayha, uppalaṃ mallikañcahaṃ;

    ปรมนฺนํ คเหตฺวาน, อทาสิํ สตฺถุโน อหํฯ

    Paramannaṃ gahetvāna, adāsiṃ satthuno ahaṃ.

    ‘‘ปริภุญฺชิ มหาวีโร, ปรมนฺนํ สุโภชนํ;

    ‘‘Paribhuñji mahāvīro, paramannaṃ subhojanaṃ;

    ตญฺจ ปุปฺผํ คเหตฺวาน, ชนสฺส สมฺปทสฺสยิฯ

    Tañca pupphaṃ gahetvāna, janassa sampadassayi.

    ‘‘อิฎฺฐํ กนฺตํ ปิยํ โลเก, ชลชํ ปุปฺผมุตฺตมํ;

    ‘‘Iṭṭhaṃ kantaṃ piyaṃ loke, jalajaṃ pupphamuttamaṃ;

    สุทุกฺกรํ กตํ เตน, โย เม ปุปฺผํ อทาสิทํฯ

    Sudukkaraṃ kataṃ tena, yo me pupphaṃ adāsidaṃ.

    ‘‘โย ปุปฺผมภิโรเปสิ, ปรมนฺนญฺจทาสิ เม;

    ‘‘Yo pupphamabhiropesi, paramannañcadāsi me;

    ตมหํ กิตฺตยิสฺสามิ, สุณาถ มม ภาสโตฯ

    Tamahaṃ kittayissāmi, suṇātha mama bhāsato.

    ‘‘ทส อฎฺฐ จกฺขตฺตุํ โส, เทวรชฺชํ กริสฺสติ;

    ‘‘Dasa aṭṭha cakkhattuṃ so, devarajjaṃ karissati;

    อุปฺปลํ ปทุมญฺจาปิ, มลฺลิกญฺจ ตทุตฺตริฯ

    Uppalaṃ padumañcāpi, mallikañca taduttari.

    ‘‘อสฺส ปุญฺญวิปาเกน, ทิพฺพคนฺธสมายุตํ;

    ‘‘Assa puññavipākena, dibbagandhasamāyutaṃ;

    อากาเส ฉทนํ กตฺวา, ธารยิสฺสติ ตาวเทฯ

    Ākāse chadanaṃ katvā, dhārayissati tāvade.

    ‘‘ปญฺจวีสติกฺขตฺตุญฺจ , จกฺกวตฺตี ภวิสฺสติ;

    ‘‘Pañcavīsatikkhattuñca , cakkavattī bhavissati;

    ปถพฺยา รชฺชํ ปญฺจสตํ, วสุธํ อาวสิสฺสติฯ

    Pathabyā rajjaṃ pañcasataṃ, vasudhaṃ āvasissati.

    ‘‘กปฺปสตสหสฺสมฺหิ, โอกฺกากกุลสมฺภโว;

    ‘‘Kappasatasahassamhi, okkākakulasambhavo;

    โคตโม นาม โคเตฺตน, สตฺถา โลเก ภวิสฺสติฯ

    Gotamo nāma gottena, satthā loke bhavissati.

    ‘‘สกกมฺมาภิรโทฺธ โส, สุกฺกมูเลน โจทิโต;

    ‘‘Sakakammābhiraddho so, sukkamūlena codito;

    สกฺยานํ นนฺทิชนโน, ญาติพนฺธุ ภวิสฺสติฯ

    Sakyānaṃ nandijanano, ñātibandhu bhavissati.

    ‘‘โส ปจฺฉา ปพฺพชิตฺวาน, สุกฺกมูเลน โจทิโต;

    ‘‘So pacchā pabbajitvāna, sukkamūlena codito;

    สพฺพาสเว ปริญฺญาย, นิพฺพายิสฺสตินาสโวฯ

    Sabbāsave pariññāya, nibbāyissatināsavo.

    ‘‘ปฎิสมฺภิทมนุปฺปตฺตํ, กตกิจฺจมนาสวํ;

    ‘‘Paṭisambhidamanuppattaṃ, katakiccamanāsavaṃ;

    โคตโม โลกพนฺธุ ตํ, เอตทเคฺค ฐเปสฺสติฯ

    Gotamo lokabandhu taṃ, etadagge ṭhapessati.

    ‘‘ปธานปหิตโตฺต โส, อุปสโนฺต นิรูปธิ;

    ‘‘Padhānapahitatto so, upasanto nirūpadhi;

    อุทายี นาม นาเมน, เหสฺสติ สตฺถุ สาวโกฯ

    Udāyī nāma nāmena, hessati satthu sāvako.

    ‘‘ราโค โทโส จ โมโห จ, มาโน มโกฺข จ ธํสิโต;

    ‘‘Rāgo doso ca moho ca, māno makkho ca dhaṃsito;

    สพฺพาสเว ปริญฺญาย, วิหรามิ อนาสโวฯ

    Sabbāsave pariññāya, viharāmi anāsavo.

    ‘‘โตสยิญฺจาปิ สมฺพุทฺธํ, อาตาปี นิปโก อหํ;

    ‘‘Tosayiñcāpi sambuddhaṃ, ātāpī nipako ahaṃ;

    ปสาทิโต จ สมฺพุโทฺธ, เอตทเคฺค ฐเปสิ มํฯ

    Pasādito ca sambuddho, etadagge ṭhapesi maṃ.

    ‘‘ปฎิสมฺภิทา จตโสฺส…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ

    ‘‘Paṭisambhidā catasso…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.

    อรหตฺตํ ปน ปตฺวา ‘‘น ตาวายํ ทสพลสฺส กุลนครํ คนฺตุํ กาโล, วสเนฺต ปน อุปคเต ปุปฺผิเตสุ วนสเณฺฑสุ หริตติณสญฺฉนฺนาย ภูมิยา คมนกาโล ภวิสฺสตี’’ติ กาลํ ปฎิมาเนโนฺต วสเนฺต สมฺปเตฺต สตฺถุ กุลนครํ คนฺตุํ คมนมคฺควณฺณํ สํวเณฺณโนฺต –

    Arahattaṃ pana patvā ‘‘na tāvāyaṃ dasabalassa kulanagaraṃ gantuṃ kālo, vasante pana upagate pupphitesu vanasaṇḍesu haritatiṇasañchannāya bhūmiyā gamanakālo bhavissatī’’ti kālaṃ paṭimānento vasante sampatte satthu kulanagaraṃ gantuṃ gamanamaggavaṇṇaṃ saṃvaṇṇento –

    ๕๒๗.

    527.

    ‘‘องฺคาริโน ทานิ ทุมา ภทเนฺต, ผเลสิโน ฉทนํ วิปฺปหาย;

    ‘‘Aṅgārino dāni dumā bhadante, phalesino chadanaṃ vippahāya;

    เต อจฺจิมโนฺตว ปภาสยนฺติ, สมโย มหาวีร ภาคีรสานํฯ

    Te accimantova pabhāsayanti, samayo mahāvīra bhāgīrasānaṃ.

    ๕๒๘.

    528.

    ‘‘ทุมานิ ผุลฺลานิ มโนรมานิ, สมนฺตโต สพฺพทิสา ปวนฺติ;

    ‘‘Dumāni phullāni manoramāni, samantato sabbadisā pavanti;

    ปตฺตํ ปหาย ผลมาสสานา, กาโล อิโต ปกฺกมนาย วีรฯ

    Pattaṃ pahāya phalamāsasānā, kālo ito pakkamanāya vīra.

    ๕๒๙.

    529.

    ‘‘เนวาติสีตํ น ปนาติอุณฺหํ, สุขา อุตุ อทฺธนิยา ภทเนฺต;

    ‘‘Nevātisītaṃ na panātiuṇhaṃ, sukhā utu addhaniyā bhadante;

    ปสฺสนฺตุ ตํ สากิยา โกฬิยา จ, ปจฺฉามุขํ โรหินิยํ ตรนฺตํฯ

    Passantu taṃ sākiyā koḷiyā ca, pacchāmukhaṃ rohiniyaṃ tarantaṃ.

    ๕๓๐.

    530.

    ‘‘อาสาย กสเต เขตฺตํ, พีชํ อาสาย วปฺปติ;

    ‘‘Āsāya kasate khettaṃ, bījaṃ āsāya vappati;

    อาสาย วาณิชา ยนฺติ, สมุทฺทํ ธนหารกา;

    Āsāya vāṇijā yanti, samuddaṃ dhanahārakā;

    ยาย อาสาย ติฎฺฐามิ, สา เม อาสา สมิชฺฌตุฯ

    Yāya āsāya tiṭṭhāmi, sā me āsā samijjhatu.

    ๕๓๑.

    531.

    ‘‘ปุนปฺปุนเญฺจว วปนฺติ พีชํ, ปุนปฺปุนํ วสฺสติ เทวราชา;

    ‘‘Punappunañceva vapanti bījaṃ, punappunaṃ vassati devarājā;

    ปุนปฺปุนํ เขตฺตํ กสนฺติ กสฺสกา, ปุนปฺปุนํ ธญฺญมุเปติ รฎฺฐํฯ

    Punappunaṃ khettaṃ kasanti kassakā, punappunaṃ dhaññamupeti raṭṭhaṃ.

    ๕๓๒.

    532.

    ‘‘ปุนปฺปุนํ ยาจนกา จรนฺติ, ปุนปฺปุนํ ทานปตี ททนฺติ;

    ‘‘Punappunaṃ yācanakā caranti, punappunaṃ dānapatī dadanti;

    ปุนปฺปุนํ ทานปตี ททิตฺวา, ปุนปฺปุนํ สคฺคมุเปนฺติ ฐานํฯ

    Punappunaṃ dānapatī daditvā, punappunaṃ saggamupenti ṭhānaṃ.

    ๕๓๓.

    533.

    ‘‘วีโร หเว สตฺตยุคํ ปุเนติ, ยสฺมิํ กุเล ชายติ ภูริปโญฺญ;

    ‘‘Vīro have sattayugaṃ puneti, yasmiṃ kule jāyati bhūripañño;

    มญฺญามหํ สกฺกติ เทวเทโว, ตยา หิ ชาโต มุนิ สจฺจนาโมฯ

    Maññāmahaṃ sakkati devadevo, tayā hi jāto muni saccanāmo.

    ๕๓๔.

    534.

    ‘‘สุโทฺธทโน นาม ปิตา มเหสิโน, พุทฺธสฺส มาตา ปน มายนามา;

    ‘‘Suddhodano nāma pitā mahesino, buddhassa mātā pana māyanāmā;

    ยา โพธิสตฺตํ ปริหริย กุจฺฉินา, กายสฺส เภทา ติทิวมฺหิ โมทติฯ

    Yā bodhisattaṃ parihariya kucchinā, kāyassa bhedā tidivamhi modati.

    ๕๓๕.

    535.

    ‘‘สา โคตมี กาลกตา อิโต จุตา, ทิเพฺพหิ กาเมหิ สมงฺคิภูตา;

    ‘‘Sā gotamī kālakatā ito cutā, dibbehi kāmehi samaṅgibhūtā;

    สา โมทติ กามคุเณหิ ปญฺจหิ, ปริวาริตา เทวคเณหิ เตหิฯ

    Sā modati kāmaguṇehi pañcahi, parivāritā devagaṇehi tehi.

    ๕๓๖.

    536.

    ‘‘พุทฺธสฺส ปุโตฺตมฺหิ อสยฺหสาหิโน, องฺคีรสสฺสปฺปฎิมสฺส ตาทิโน;

    ‘‘Buddhassa puttomhi asayhasāhino, aṅgīrasassappaṭimassa tādino;

    ปิตุปิตา มยฺหํ ตุวํสิ สกฺก, ธเมฺมน เม โคตม อยฺยโกสี’’ติฯ –

    Pitupitā mayhaṃ tuvaṃsi sakka, dhammena me gotama ayyakosī’’ti. –

    อิมา คาถา อภาสิฯ

    Imā gāthā abhāsi.

    ตตฺถ องฺคาริโนติ องฺคารานิ วิยาติ องฺคารานิ, รตฺตปวาฬวณฺณานิ รุกฺขานํ ปุปฺผปลฺลวานิ, ตานิ เอเตสํ สนฺตีติ องฺคาริโน, อติโลหิตกุสุมกิสลเยหิ องฺคารวุฎฺฐิสํปริกิณฺณา วิยาติ อโตฺถฯ อิทานีติ อิมสฺมิํ กาเลฯ ทุมาติ รุกฺขาฯ ภทเนฺตติ, ภทฺทํ อเนฺต เอตสฺสาติ ภทเนฺตติ เอกสฺส ทการสฺส โลปํ กตฺวา วุจฺจติ, คุณวิเสสยุโตฺต, คุณวิเสสยุตฺตานญฺจ อคฺคภูโต สตฺถาฯ ตสฺมา ภทเนฺตติ สตฺถุ อาลปนํฯ ปจฺจตฺตวจนเญฺจตํ เอการนฺตํ ‘‘สุกเฎ ปฎิกเมฺม สุเข ทุเกฺขปิ เจ’’ติอาทีสุ วิยฯ อิธ ปน สโมฺพธนเตฺถ ทฎฺฐพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ภทเนฺตติ อาลปน’’นฺติฯ ‘‘ภทฺทสทฺทสมานตฺถํ ปทนฺตรเมก’’นฺติ เกจิฯ ผลานิ เอสนฺตีติ ผเลสิโนฯ อเจตเนปิ หิ สเจตนกิริยมาโรเปตฺวา โวหรนฺติ, ยถา กุลํ ปติตุกามนฺติ, ผลานิ คเหตุมารทฺธา สมฺปตฺติผลคหณกาลาติ อโตฺถฯ ฉทนํ วิปฺปหายาติ ปุราณปณฺณานิ ปชหิตฺวา สมฺปนฺนปณฺฑุปลาสาติ อโตฺถฯ เตติ ทุมาฯ อจฺจิมโนฺตว ปภาสยนฺตีติ ทีปสิขาวโนฺต วิย ชลิตอคฺคี วิย วา โอภาสยนฺติ สพฺพา ทิสาติ อธิปฺปาโยฯ สมโยติ กาโล, ‘‘อนุคฺคหายา’’ติ วจนเสโสฯ มหาวีราติ มหาวิกฺกนฺตฯ ภาคี รสานนฺติ อตฺถรสาทีนํ ภาคีฯ วุตฺตเญฺหตํ ธมฺมเสนาปตินา – ‘‘ภาคี วา ภควา อตฺถรสสฺส ธมฺมรสสฺสา’’ติอาทิ (จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒)ฯ มหาวีร, ภาคีติ จ อิทมฺปิ ทฺวยํ สโมฺพธนวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ภาคีรถานนฺติ ปน ปาเฐ ภคีรโถ นาม อาทิราชาฯ ตพฺพํสชาตตาย สากิยา ภาคีรถา, เตสํ ภาคีรถานํ อุปการตฺถนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    Tattha aṅgārinoti aṅgārāni viyāti aṅgārāni, rattapavāḷavaṇṇāni rukkhānaṃ pupphapallavāni, tāni etesaṃ santīti aṅgārino, atilohitakusumakisalayehi aṅgāravuṭṭhisaṃparikiṇṇā viyāti attho. Idānīti imasmiṃ kāle. Dumāti rukkhā. Bhadanteti, bhaddaṃ ante etassāti bhadanteti ekassa dakārassa lopaṃ katvā vuccati, guṇavisesayutto, guṇavisesayuttānañca aggabhūto satthā. Tasmā bhadanteti satthu ālapanaṃ. Paccattavacanañcetaṃ ekārantaṃ ‘‘sukaṭe paṭikamme sukhe dukkhepi ce’’tiādīsu viya. Idha pana sambodhanatthe daṭṭhabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘bhadanteti ālapana’’nti. ‘‘Bhaddasaddasamānatthaṃ padantarameka’’nti keci. Phalāni esantīti phalesino. Acetanepi hi sacetanakiriyamāropetvā voharanti, yathā kulaṃ patitukāmanti, phalāni gahetumāraddhā sampattiphalagahaṇakālāti attho. Chadanaṃ vippahāyāti purāṇapaṇṇāni pajahitvā sampannapaṇḍupalāsāti attho. Teti dumā. Accimantova pabhāsayantīti dīpasikhāvanto viya jalitaaggī viya vā obhāsayanti sabbā disāti adhippāyo. Samayoti kālo, ‘‘anuggahāyā’’ti vacanaseso. Mahāvīrāti mahāvikkanta. Bhāgī rasānanti attharasādīnaṃ bhāgī. Vuttañhetaṃ dhammasenāpatinā – ‘‘bhāgī vā bhagavā attharasassa dhammarasassā’’tiādi (cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 2). Mahāvīra, bhāgīti ca idampi dvayaṃ sambodhanavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Bhāgīrathānanti pana pāṭhe bhagīratho nāma ādirājā. Tabbaṃsajātatāya sākiyā bhāgīrathā, tesaṃ bhāgīrathānaṃ upakāratthanti adhippāyo.

    ทุมานีติ ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํ, ทุมา รุกฺขาติ อโตฺถฯ สมนฺตโต สพฺพทิสา ปวนฺตีติ, สมนฺตโต สพฺพภาคโต สพฺพทิสาสุ จ ผุลฺลานิ, ตถา ผุลฺลตฺตา เอว สพฺพทิสา ปวนฺติ คนฺธํ วิสฺสเชฺชนฺติฯ อาสมานาติ อาสีสนฺตา คหิตุกามาฯ เอวํ รุกฺขโสภาย คมนมคฺคสฺส รามเณยฺยตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ‘‘เนวาติสีต’’นฺติอาทินา อุตุสมฺปตฺติํ ทเสฺสติฯ สุขาติ นาติสีตนาติอุณฺหภาเวเนว สุขา อิฎฺฐาฯ อุตุ อทฺธนิยาติ อทฺธานคมนโยคฺคา อุตุฯ ปสฺสนฺตุ ตํ สากิยา โกฬิยา จ, ปจฺฉามุขํ โรหินิยํ ตรนฺตนฺติ โรหินี นาม นที สากิยโกฬิยชนปทานํ อนฺตเร อุตฺตรทิสโต ทกฺขิณมุขา สนฺทติ, ราชคหํ จสฺสา ปุรตฺถิมทกฺขิณาย ทิสาย, ตสฺมา ราชคหโต กปิลวตฺถุํ คนฺตุํ ตํ นทิํ ตรนฺตา ปจฺฉามุขา หุตฺวา ตรนฺติฯ เตนาห ‘‘ปสฺสนฺตุ ตํ…เป.… ตรนฺต’’นฺติฯ ‘‘ภควนฺตํ ปจฺฉามุขํ โรหินิํ นาม นทิํ อติกฺกมนฺตํ สากิยโกฬิยชนปทวาสิโน ปสฺสนฺตู’’ติ กปิลวตฺถุคมนาย ภควนฺตํ อายาจโนฺต อุสฺสาเหติฯ

    Dumānīti liṅgavipallāsena vuttaṃ, dumā rukkhāti attho. Samantato sabbadisā pavantīti, samantato sabbabhāgato sabbadisāsu ca phullāni, tathā phullattā eva sabbadisā pavanti gandhaṃ vissajjenti. Āsamānāti āsīsantā gahitukāmā. Evaṃ rukkhasobhāya gamanamaggassa rāmaṇeyyataṃ dassetvā idāni ‘‘nevātisīta’’ntiādinā utusampattiṃ dasseti. Sukhāti nātisītanātiuṇhabhāveneva sukhā iṭṭhā. Utu addhaniyāti addhānagamanayoggā utu. Passantu taṃ sākiyā koḷiyā ca, pacchāmukhaṃ rohiniyaṃ tarantanti rohinī nāma nadī sākiyakoḷiyajanapadānaṃ antare uttaradisato dakkhiṇamukhā sandati, rājagahaṃ cassā puratthimadakkhiṇāya disāya, tasmā rājagahato kapilavatthuṃ gantuṃ taṃ nadiṃ tarantā pacchāmukhā hutvā taranti. Tenāha ‘‘passantu taṃ…pe… taranta’’nti. ‘‘Bhagavantaṃ pacchāmukhaṃ rohiniṃ nāma nadiṃ atikkamantaṃ sākiyakoḷiyajanapadavāsino passantū’’ti kapilavatthugamanāya bhagavantaṃ āyācanto ussāheti.

    อิทานิ อตฺตโน ปตฺถนํ อุปมาหิ ปกาเสโนฺต ‘‘อาสาย กสเต’’ติ คาถมาหฯ อาสาย กสเต เขตฺตนฺติ กสฺสโก กสโนฺต เขตฺตํ ผลาสาย กสติฯ พีชํ อาสาย วปฺปตีติ กสิตฺวา จ วปเนฺตน ผลาสาย เอว พีชํ วปฺปติ นิกฺขิปียติฯ อาสาย วาณิชา ยนฺตีติ ธนหารกา วาณิชา ธนาสาย สมุทฺทํ ตริตุํ เทสํ อุปคนฺตุํ สมุทฺทํ นาวาย ยนฺติ คจฺฉนฺติฯ ยาย อาสาย ติฎฺฐามีติ เอวํ อหมฺปิ ยาย อาสาย ปตฺถนาย ภควา ตุมฺหากํ กปิลปุรคมนปตฺถนาย อิธ ติฎฺฐามิฯ สา เม อาสา สมิชฺฌตุ, ตุเมฺหหิ ‘‘กปิลวตฺถุ คนฺตพฺพ’’นฺติ วทติ, อาสาย สทิสตาย เจตฺถ กตฺตุกมฺยตาฉนฺทํ อาสาติ อาหฯ

    Idāni attano patthanaṃ upamāhi pakāsento ‘‘āsāya kasate’’ti gāthamāha. Āsāya kasate khettanti kassako kasanto khettaṃ phalāsāya kasati. Bījaṃ āsāya vappatīti kasitvā ca vapantena phalāsāya eva bījaṃ vappati nikkhipīyati. Āsāya vāṇijā yantīti dhanahārakā vāṇijā dhanāsāya samuddaṃ tarituṃ desaṃ upagantuṃ samuddaṃ nāvāya yanti gacchanti. Yāya āsāya tiṭṭhāmīti evaṃ ahampi yāya āsāya patthanāya bhagavā tumhākaṃ kapilapuragamanapatthanāya idha tiṭṭhāmi. Sā me āsā samijjhatu, tumhehi ‘‘kapilavatthu gantabba’’nti vadati, āsāya sadisatāya cettha kattukamyatāchandaṃ āsāti āha.

    คมนมคฺคสํวณฺณนาทินา อเนกวารํ ยาจนาย การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปุนปฺปุน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺสโตฺถ – สกิํ วุตฺตมเตฺตน วเปฺป อสมฺปชฺชมาเน กสฺสกา ปุนปฺปุนํ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ พีชํ วปนฺติฯ ปชฺชุโนฺน เทวราชาปิ เอกวารเมว อวสฺสิตฺวา ปุนปฺปุนํ กาเลน กาลํ วสฺสติฯ กสฺสกาปิ เอกวารเมว อกสิตฺวา สสฺสสมฺปตฺติอตฺถํ ปํสุํ กทฺทมํ วา มุทุํ กาตุํ เขตฺตํ ปุนปฺปุนํ กสนฺติฯ เอกวารเมว ธญฺญํ สงฺคหํ กตฺวา ‘‘อลเมตฺตาวตา’’ติ อปริตุสฺสนโต โกฎฺฐาคาราทีสุ ปฎิสามนวเสน มนุเสฺสหิ อุปนียมานํ ปุนปฺปุนํ สาลิอาทิธญฺญํ รฎฺฐํ อุเปติ อุปคจฺฉติฯ

    Gamanamaggasaṃvaṇṇanādinā anekavāraṃ yācanāya kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘punappuna’’ntiādi vuttaṃ. Tassattho – sakiṃ vuttamattena vappe asampajjamāne kassakā punappunaṃ dutiyampi tatiyampi bījaṃ vapanti. Pajjunno devarājāpi ekavārameva avassitvā punappunaṃ kālena kālaṃ vassati. Kassakāpi ekavārameva akasitvā sassasampattiatthaṃ paṃsuṃ kaddamaṃ vā muduṃ kātuṃ khettaṃ punappunaṃ kasanti. Ekavārameva dhaññaṃ saṅgahaṃ katvā ‘‘alamettāvatā’’ti aparitussanato koṭṭhāgārādīsu paṭisāmanavasena manussehi upanīyamānaṃ punappunaṃ sāliādidhaññaṃ raṭṭhaṃ upeti upagacchati.

    ยาจนกาปิ ยาจนฺตา ปุนปฺปุนํ กุลานิ จรนฺติ อุปคจฺฉนฺติ, น เอกวารเมว, ยาจิตา ปน เตสํ ปุนปฺปุนํ ทานปตี ททนฺติ, น สกิํเยวฯ ตถา ปน เทยฺยธมฺมํ ปุนปฺปุนํ ทานปตี ททิตฺวา ทานมยํ ปุญฺญํ อุปจินิตฺวา ปุนปฺปุนํ อปราปรํ สคฺคมุเปนฺติ ฐานํ ปฎิสนฺธิวเสน เทวโลกํ อุปคจฺฉนฺติฯ ตสฺมา อหมฺปิ ปุนปฺปุนํ ยาจามิ ภควา มยฺหํ มโนรถํ มตฺถกํ ปาเปหีติ อธิปฺปาโยฯ

    Yācanakāpi yācantā punappunaṃ kulāni caranti upagacchanti, na ekavārameva, yācitā pana tesaṃ punappunaṃ dānapatī dadanti, na sakiṃyeva. Tathā pana deyyadhammaṃ punappunaṃ dānapatī daditvā dānamayaṃ puññaṃ upacinitvā punappunaṃ aparāparaṃ saggamupenti ṭhānaṃ paṭisandhivasena devalokaṃ upagacchanti. Tasmā ahampi punappunaṃ yācāmi bhagavā mayhaṃ manorathaṃ matthakaṃ pāpehīti adhippāyo.

    อิทานิ ยทตฺถํ สตฺถารํ กปิลวตฺถุคมนํ ยาจติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘วีโร หเว’’ติคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – วีโร วีริยวา มหาวิกฺกโนฺต ภูริปโญฺญ มหาปโญฺญ ปุริโส ยสฺมิํ กุเล ชายติ นิพฺพตฺตติ, ตตฺถ หเว เอกํเสน สตฺตยุคํ สตฺตปุริสยุคํ ยาวสตฺตมํ ปิตามหยุคํ สมฺมาปฎิปตฺติยา ปุเนติ โสเธตีติ โลกวาโท อติวาโท อเญฺญสุฯ ภควา ปน สเพฺพสํ เทวานํ อุตฺตมเทวตาย เทวเทโว ปาปนิวารเณน กลฺยาณปติฎฺฐาปเนน ตโต ปรมฺปิ โสเธตุํ สกฺกติ สโกฺกตีติ มญฺญามิ อหํฯ กสฺมา? ตยา หิ ชาโต มุนิ สจฺจนาโม ยสฺมา ตยา สตฺถารา อริยาย ชาติยา ชาโต มุนิภาโว, มุนิ วา สมาโน อตฺตหิตปรหิตานํ อิธโลกปรโลกานญฺจ มุนนเฎฺฐน ‘‘มุนี’’ติ อวิตถนาโม, โมนวา วา มุนิ, ‘‘สมโณ ปพฺพชิโต อิสี’’ติ อวิตถนาโม ตยา ชาโตฯ ตสฺมา สตฺตานํ เอกนฺตหิตปฎิลาภเหตุภาวโต ภควา ตว ตตฺถ คมนํ ยาจามาติ อโตฺถฯ

    Idāni yadatthaṃ satthāraṃ kapilavatthugamanaṃ yācati, taṃ dassetuṃ ‘‘vīro have’’tigāthamāha. Tassattho – vīro vīriyavā mahāvikkanto bhūripañño mahāpañño puriso yasmiṃ kule jāyati nibbattati, tattha have ekaṃsena sattayugaṃ sattapurisayugaṃ yāvasattamaṃ pitāmahayugaṃ sammāpaṭipattiyā puneti sodhetīti lokavādo ativādo aññesu. Bhagavā pana sabbesaṃ devānaṃ uttamadevatāya devadevo pāpanivāraṇena kalyāṇapatiṭṭhāpanena tato parampi sodhetuṃ sakkati sakkotīti maññāmi ahaṃ. Kasmā? Tayā hi jāto muni saccanāmo yasmā tayā satthārā ariyāya jātiyā jāto munibhāvo, muni vā samāno attahitaparahitānaṃ idhalokaparalokānañca munanaṭṭhena ‘‘munī’’ti avitathanāmo, monavā vā muni, ‘‘samaṇo pabbajito isī’’ti avitathanāmo tayā jāto. Tasmā sattānaṃ ekantahitapaṭilābhahetubhāvato bhagavā tava tattha gamanaṃ yācāmāti attho.

    อิทานิ ‘‘สตฺตยุค’’นฺติ วุเตฺต ปิตุยุคํ ทเสฺสตุํ ‘‘สุโทฺธทโน นามา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สุทฺธํ โอทนํ ชีวนํ เอตสฺสาติ สุโทฺธทโนฯ พุทฺธปิตา หิ เอกํสโต สุวิสุทฺธกายวจีมโนสมาจาโร สุวิสุทฺธาชีโว โหติ ตถา อภินีหารสมฺปนฺนตฺตาฯ มายนามาติ กุลรูปสีลาจาราทิสมฺปตฺติยา ญาติมิตฺตาทีหิ ‘‘มา ยาหี’’ติ วตฺตพฺพคุณตาย ‘‘มายา’’ติ ลทฺธนามาฯ ปริหริยาติ ธาเรตฺวาฯ กายสฺส เภทาติ สเทวกสฺส โลกสฺส เจติยสทิสสฺส อตฺตโน กายสฺส วินาสโต อุทฺธํฯ ติทิวมฺหีติ ตุสิตเทวโลเกฯ

    Idāni ‘‘sattayuga’’nti vutte pituyugaṃ dassetuṃ ‘‘suddhodano nāmā’’tiādi vuttaṃ. Suddhaṃ odanaṃ jīvanaṃ etassāti suddhodano. Buddhapitā hi ekaṃsato suvisuddhakāyavacīmanosamācāro suvisuddhājīvo hoti tathā abhinīhārasampannattā. Māyanāmāti kularūpasīlācārādisampattiyā ñātimittādīhi ‘‘mā yāhī’’ti vattabbaguṇatāya ‘‘māyā’’ti laddhanāmā. Parihariyāti dhāretvā. Kāyassa bhedāti sadevakassa lokassa cetiyasadisassa attano kāyassa vināsato uddhaṃ. Tidivamhīti tusitadevaloke.

    สาติ มายาเทวีฯ โคตมีติ โคเตฺตน ตํ กิเตฺตติฯ ทิเพฺพหิ กาเมหีติ, ตุสิตภวนปริยาปเนฺนหิ ทิเพฺพหิ วตฺถุกาเมหิฯ สมงฺคิภูตาติ สมนฺนาคตาฯ กามคุเณหีติ กามโกฎฺฐาเสหิ, ‘‘กาเมหี’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘กามคุเณหี’’ติ วจเนน อเนกภาเคหิ วตฺถุกาเมหิ ปริจาริยตีติ ทีเปติฯ เตหีติ ยสฺมิํ เทวนิกาเย นิพฺพตฺติ, เตหิ ตุสิตเทวคเณหิ, เตหิ วา กามคุเณหิฯ ‘‘สมงฺคิภูตา ปริวาริตา’’ติ จ อิตฺถิลิงฺคนิเทฺทโส ปุริมตฺตภาวสิทฺธํ อิตฺถิภาวํ, เทวตาภาวํ วา สนฺธาย กโต, เทวูปปตฺติ ปน ปุริสภาเวเนว ชาตาฯ

    ti māyādevī. Gotamīti gottena taṃ kitteti. Dibbehi kāmehīti, tusitabhavanapariyāpannehi dibbehi vatthukāmehi. Samaṅgibhūtāti samannāgatā. Kāmaguṇehīti kāmakoṭṭhāsehi, ‘‘kāmehī’’ti vatvā puna ‘‘kāmaguṇehī’’ti vacanena anekabhāgehi vatthukāmehi paricāriyatīti dīpeti. Tehīti yasmiṃ devanikāye nibbatti, tehi tusitadevagaṇehi, tehi vā kāmaguṇehi. ‘‘Samaṅgibhūtā parivāritā’’ti ca itthiliṅganiddeso purimattabhāvasiddhaṃ itthibhāvaṃ, devatābhāvaṃ vā sandhāya kato, devūpapatti pana purisabhāveneva jātā.

    เอวํ เถเรน ยาจิโต ภควา ตตฺถ คมเน พหูนํ วิเสสาธิคมํ ทิสฺวา วีสติสหสฺส ขีณาสวปริวุโต ราชคหโต อตุริตจาริกาวเสน กปิลวตฺถุคามิมคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ เถโร อิทฺธิยา กปิลวตฺถุํ คนฺตฺวา รโญฺญ ปุรโต อากาเส ฐิโต อทิฎฺฐปุพฺพํ เวสํ ทิสฺวา รญฺญา ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิโต, ‘‘สเจ อมจฺจปุตฺตํ ตยา ภควโต สนฺติกํ เปสิตํ มํ น ชานาสิ, เอวํ ปน ชานาหี’’ติ ทเสฺสโนฺต –

    Evaṃ therena yācito bhagavā tattha gamane bahūnaṃ visesādhigamaṃ disvā vīsatisahassa khīṇāsavaparivuto rājagahato aturitacārikāvasena kapilavatthugāmimaggaṃ paṭipajji. Thero iddhiyā kapilavatthuṃ gantvā rañño purato ākāse ṭhito adiṭṭhapubbaṃ vesaṃ disvā raññā ‘‘kosi tva’’nti pucchito, ‘‘sace amaccaputtaṃ tayā bhagavato santikaṃ pesitaṃ maṃ na jānāsi, evaṃ pana jānāhī’’ti dassento –

    ‘‘พุทฺธสฺส ปุโตฺตมฺหิ อสยฺหสาหิโน, องฺคีรสสฺสปฺปฎิมสฺส ตาทิโน;

    ‘‘Buddhassa puttomhi asayhasāhino, aṅgīrasassappaṭimassa tādino;

    ปิตุปิตา มยฺหํ ตุวํสิ สกฺก, ธเมฺมน เม โคตม อยฺยโกสี’’ติฯ –

    Pitupitā mayhaṃ tuvaṃsi sakka, dhammena me gotama ayyakosī’’ti. –

    โอสานคาถมาหฯ

    Osānagāthamāha.

    ตตฺถ พุทฺธสฺส ปุโตฺตมฺหีติ, สพฺพญฺญุพุทฺธสฺส อุเร ชาตตาย โอรสปุโตฺต อมฺหิฯ อสยฺหสาหิโนติ, อภิสโมฺพธิโต ปุเพฺพ ฐเปตฺวา มหาโพธิสตฺตํ อเญฺญหิ สหิตุํ วหิตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา อสยฺหสฺส สกลสฺส โพธิสมฺภารสฺส มหาการุณิกาธิการสฺส จ สหนโต วหนโต, ตโต ปรมฺปิ อเญฺญหิ สหิตุํ อภิภวิตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา อสยฺหานํ ปญฺจนฺนํ มารานํ สหนโต อภิภวนโต, อาสยานุสยจริตาธิมุตฺติอาทิวิภาคาวโพธเนน ยถารหํ เวเนยฺยานํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ อนุสาสนีสงฺขาตสฺส อเญฺญหิ อสยฺหสฺส พุทฺธกิจฺจสฺส จ สหนโต, ตตฺถ วา สาธุการีภาวโต อสยฺหสาหิโนฯ องฺคีรสสฺสาติ องฺคีกตสีลาทิสมฺปตฺติกสฺสฯ ‘‘องฺคมเงฺคหิ นิจฺฉรณกโอภาสสฺสา’’ติ อปเรฯ เกจิ ปน ‘‘องฺคีรโส, สิทฺธโตฺถติ เทฺว นามานิ ปิตราเยว คหิตานี’’ติ วทนฺติฯ อปฺปฎิมสฺสาติ อนูปมสฺสฯ อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ ตาทิลกฺขณปฺปตฺติยา ตาทิโนฯ ปิตุปิตา มยฺหํ ตุวํสีติ อริยชาติวเสน มยฺหํ ปิตุ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โลกโวหาเรน ตฺวํ ปิตา อสิฯ สกฺกาติ ชาติวเสน ราชานํ อาลปติฯ ธเมฺมนาติ สภาเวน อริยชาติ โลกิยชาตีติ ทฺวินฺนํ ชาตีนํ สภาวสโมธาเนน โคตมาติ ราชานํ โคเตฺตน อาลปติฯ อยฺยโกสีติ ปิตามโห อสิฯ เอตฺถ จ ‘‘พุทฺธสฺส ปุโตฺตมฺหี’’ติอาทิํ วทโนฺต เถโร อญฺญํ พฺยากาสิฯ

    Tattha buddhassa puttomhīti, sabbaññubuddhassa ure jātatāya orasaputto amhi. Asayhasāhinoti, abhisambodhito pubbe ṭhapetvā mahābodhisattaṃ aññehi sahituṃ vahituṃ asakkuṇeyyattā asayhassa sakalassa bodhisambhārassa mahākāruṇikādhikārassa ca sahanato vahanato, tato parampi aññehi sahituṃ abhibhavituṃ asakkuṇeyyattā asayhānaṃ pañcannaṃ mārānaṃ sahanato abhibhavanato, āsayānusayacaritādhimuttiādivibhāgāvabodhanena yathārahaṃ veneyyānaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi anusāsanīsaṅkhātassa aññehi asayhassa buddhakiccassa ca sahanato, tattha vā sādhukārībhāvato asayhasāhino. Aṅgīrasassāti aṅgīkatasīlādisampattikassa. ‘‘Aṅgamaṅgehi niccharaṇakaobhāsassā’’ti apare. Keci pana ‘‘aṅgīraso, siddhatthoti dve nāmāni pitarāyeva gahitānī’’ti vadanti. Appaṭimassāti anūpamassa. Iṭṭhāniṭṭhesu tādilakkhaṇappattiyā tādino. Pitupitā mayhaṃ tuvaṃsīti ariyajātivasena mayhaṃ pitu sammāsambuddhassa lokavohārena tvaṃ pitā asi. Sakkāti jātivasena rājānaṃ ālapati. Dhammenāti sabhāvena ariyajāti lokiyajātīti dvinnaṃ jātīnaṃ sabhāvasamodhānena gotamāti rājānaṃ gottena ālapati. Ayyakosīti pitāmaho asi. Ettha ca ‘‘buddhassa puttomhī’’tiādiṃ vadanto thero aññaṃ byākāsi.

    เอวํ ปน อตฺตานํ ชานาเปตฺวา หฎฺฐตุเฎฺฐน รญฺญา มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา อตฺตโน ปฎิยาทิตสฺส นานคฺครสสฺส โภชนสฺส ปตฺตํ ปูเรตฺวา ทิเนฺน คมนาการํ ทเสฺสติฯ ‘‘กสฺมา คนฺตุกามตฺถ, ภุญฺชถา’’ติ จ วุเตฺต, ‘‘สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ภุญฺชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘กหํ ปน สตฺถา’’ติ? ‘‘วีสติสหสฺสภิกฺขุปริวาโร ตุมฺหากํ ทสฺสนตฺถาย มคฺคํ ปฎิปโนฺน’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห อิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ยาว มม ปุโตฺต อิมํ นครํ สมฺปาปุณาติ, ตาวสฺส อิโตว ปิณฺฑปาตํ หรถา’’ติฯ เถโร ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา รโญฺญ ปริสาย จ ธมฺมํ กเถตฺวา สตฺถุ อาคมนโต ปุเรตรเมว สกลํ ราชนิเวสนํ รตนตฺตเย อภิปฺปสนฺนํ กโรโนฺต สเพฺพสํ ปสฺสนฺตานํเยว สตฺถุ อาหริตพฺพภตฺตปุณฺณํ ปตฺตํ อากาเส วิสฺสเชฺชตฺวา สยมฺปิ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปิณฺฑปาตํ อุปเนตฺวา สตฺถุ หเตฺถ ฐเปสิฯ สตฺถา ตํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิฯ เอวํ สฎฺฐิโยชนํ มคฺคํ ทิวเส ทิวเส โยชนํ คจฺฉนฺตสฺส สตฺถุ ราชเคหโตว ภตฺตํ อาหริตฺวา อทาสิฯ อถ นํ ภควา ‘‘มยฺหํ ปิตุ มหาราชสฺส สกลนิเวสนํ ปสาเทสี’’ติ กุลปฺปสาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Evaṃ pana attānaṃ jānāpetvā haṭṭhatuṭṭhena raññā mahārahe pallaṅke nisīdāpetvā attano paṭiyāditassa nānaggarasassa bhojanassa pattaṃ pūretvā dinne gamanākāraṃ dasseti. ‘‘Kasmā gantukāmattha, bhuñjathā’’ti ca vutte, ‘‘satthu santikaṃ gantvā bhuñjissāmī’’ti. ‘‘Kahaṃ pana satthā’’ti? ‘‘Vīsatisahassabhikkhuparivāro tumhākaṃ dassanatthāya maggaṃ paṭipanno’’ti. ‘‘Tumhe imaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā yāva mama putto imaṃ nagaraṃ sampāpuṇāti, tāvassa itova piṇḍapātaṃ harathā’’ti. Thero bhattakiccaṃ katvā rañño parisāya ca dhammaṃ kathetvā satthu āgamanato puretarameva sakalaṃ rājanivesanaṃ ratanattaye abhippasannaṃ karonto sabbesaṃ passantānaṃyeva satthu āharitabbabhattapuṇṇaṃ pattaṃ ākāse vissajjetvā sayampi vehāsaṃ abbhuggantvā piṇḍapātaṃ upanetvā satthu hatthe ṭhapesi. Satthā taṃ piṇḍapātaṃ paribhuñji. Evaṃ saṭṭhiyojanaṃ maggaṃ divase divase yojanaṃ gacchantassa satthu rājagehatova bhattaṃ āharitvā adāsi. Atha naṃ bhagavā ‘‘mayhaṃ pitu mahārājassa sakalanivesanaṃ pasādesī’’ti kulappasādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กาฬุทายิเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kāḷudāyittheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑. กาฬุทายิเตฺถรคาถา • 1. Kāḷudāyittheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact