Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๓. กลฺยาณวโคฺค
3. Kalyāṇavaggo
[๑๗๑] ๑. กลฺยาณธมฺมชาตกวณฺณนา
[171] 1. Kalyāṇadhammajātakavaṇṇanā
กลฺยาณธโมฺมติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ พธิรสสฺสุํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยญฺหิ เอโก กุฎุมฺพิโก สโทฺธ ปสโนฺน ติสรณคโต ปญฺจสีเลน สมนฺนาคโตฯ โส เอกทิวสํ พหูนิ สปฺปิอาทีนิ เภสชฺชานิ เจว ปุปฺผคนฺธวตฺถาทีนิ จ คเหตฺวา ‘‘เชตวเน สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ โสสฺสามี’’ติ อคมาสิฯ ตสฺส ตตฺถ คตกาเล สสฺสุ ขาทนียโภชนียํ คเหตฺวา ธีตรํ ทฎฺฐุกามา ตํ เคหํ อคมาสิ, สา จ โถกํ พธิรธาตุกา โหติฯ สา ธีตรา สทฺธิํ ภุตฺตโภชนา ภตฺตสมฺมทํ วิโนทยมานา ธีตรํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ, อมฺม, ภตฺตา เต สโมฺมทมาโน อวิวทมาโน ปิยสํวาสํ วสตี’’ติฯ ‘‘กิํ, อมฺม, กเถถ ยาทิโส ตุมฺหากํ ชามาตา สีเลน เจว อาจารสมฺปทาย จ, ตาทิโส ปพฺพชิโตปิ ทุลฺลโภ’’ติฯ อุปาสิกา ธีตุ วจนํ สาธุกํ อสลฺลเกฺขตฺวา ‘‘ปพฺพชิโต’’ติ ปทเมว คเหตฺวา ‘‘อมฺม, กสฺมา เต ภตฺตา ปพฺพชิโต’’ติ มหาสทฺทํ อกาสิฯ ตํ สุตฺวา สกลเคหวาสิโน ‘‘อมฺหากํ กิร กุฎุมฺพิโก ปพฺพชิโต’’ติ วิรวิํสุฯ เตสํ สทฺทํ สุตฺวา ทฺวาเรน สญฺจรนฺตา ‘‘กิํ นาม กิเรต’’นฺติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘อิมสฺมิํ กิร เคเห กุฎุมฺพิโก ปพฺพชิโต’’ติฯ โสปิ โข กุฎุมฺพิโก ทสพลสฺส ธมฺมํ สุตฺวา วิหารา นิกฺขมฺม นครํ ปาวิสิฯ
Kalyāṇadhammoti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ badhirasassuṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyañhi eko kuṭumbiko saddho pasanno tisaraṇagato pañcasīlena samannāgato. So ekadivasaṃ bahūni sappiādīni bhesajjāni ceva pupphagandhavatthādīni ca gahetvā ‘‘jetavane satthu santike dhammaṃ sossāmī’’ti agamāsi. Tassa tattha gatakāle sassu khādanīyabhojanīyaṃ gahetvā dhītaraṃ daṭṭhukāmā taṃ gehaṃ agamāsi, sā ca thokaṃ badhiradhātukā hoti. Sā dhītarā saddhiṃ bhuttabhojanā bhattasammadaṃ vinodayamānā dhītaraṃ pucchi – ‘‘kiṃ, amma, bhattā te sammodamāno avivadamāno piyasaṃvāsaṃ vasatī’’ti. ‘‘Kiṃ, amma, kathetha yādiso tumhākaṃ jāmātā sīlena ceva ācārasampadāya ca, tādiso pabbajitopi dullabho’’ti. Upāsikā dhītu vacanaṃ sādhukaṃ asallakkhetvā ‘‘pabbajito’’ti padameva gahetvā ‘‘amma, kasmā te bhattā pabbajito’’ti mahāsaddaṃ akāsi. Taṃ sutvā sakalagehavāsino ‘‘amhākaṃ kira kuṭumbiko pabbajito’’ti viraviṃsu. Tesaṃ saddaṃ sutvā dvārena sañcarantā ‘‘kiṃ nāma kireta’’nti pucchiṃsu. ‘‘Imasmiṃ kira gehe kuṭumbiko pabbajito’’ti. Sopi kho kuṭumbiko dasabalassa dhammaṃ sutvā vihārā nikkhamma nagaraṃ pāvisi.
อถ นํ อนฺตรามเคฺคเยว เอโก ปุริโส ทิสฺวา ‘‘สมฺม, ตฺวํ กิร ปพฺพชิโตติ ตว เคเห ปุตฺตทารปริชโน ปริเทวตี’’ติ อาหฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ อปพฺพชิตเมว กิร มํ ‘ปพฺพชิโต’ติ วทติ, อุปฺปโนฺน โข ปน เม กลฺยาณสโทฺท น อนฺตรธาเปตโพฺพ, อเชฺชว มยา ปพฺพชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตโตว นิวตฺติตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ นุ โข, อุปาสก, อิทาเนว พุทฺธุปฎฺฐานํ กตฺวา คนฺตฺวา อิทาเนว ปจฺจาคโตสี’’ติ วุเตฺต ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ภเนฺต, กลฺยาณสโทฺท นาม อุปฺปโนฺน น อนฺตรธาเปตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา ปพฺพชิตุกาโม หุตฺวา อาคโตมฺหี’’ติ อาหฯ โส ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิตฺวา สมฺมา ปฎิปโนฺน นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อิทํ กิร การณํ ภิกฺขุสเงฺฆ ปากฎํ ชาตํฯ อเถกทิวสํ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อสุโก นาม กุฎุมฺพิโก ‘อุปฺปโนฺน กลฺยาณสโทฺท น อนฺตรธาเปตโพฺพ’ติ ปพฺพชิตฺวา อิทานิ อรหตฺตํ ปโตฺต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขเว, โปราณกปณฺฑิตาปิ ‘อุปฺปโนฺน กลฺยาณสโทฺท วิราเธตุํ น วฎฺฎตี’ติ ปพฺพชิํสุเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Atha naṃ antarāmaggeyeva eko puriso disvā ‘‘samma, tvaṃ kira pabbajitoti tava gehe puttadāraparijano paridevatī’’ti āha. Athassa etadahosi – ‘‘ayaṃ apabbajitameva kira maṃ ‘pabbajito’ti vadati, uppanno kho pana me kalyāṇasaddo na antaradhāpetabbo, ajjeva mayā pabbajituṃ vaṭṭatī’’ti tatova nivattitvā satthu santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ nu kho, upāsaka, idāneva buddhupaṭṭhānaṃ katvā gantvā idāneva paccāgatosī’’ti vutte tamatthaṃ ārocetvā ‘‘bhante, kalyāṇasaddo nāma uppanno na antaradhāpetuṃ vaṭṭati, tasmā pabbajitukāmo hutvā āgatomhī’’ti āha. So pabbajjañca upasampadañca labhitvā sammā paṭipanno nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi. Idaṃ kira kāraṇaṃ bhikkhusaṅghe pākaṭaṃ jātaṃ. Athekadivasaṃ dhammasabhāyaṃ bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, asuko nāma kuṭumbiko ‘uppanno kalyāṇasaddo na antaradhāpetabbo’ti pabbajitvā idāni arahattaṃ patto’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘bhikkhave, porāṇakapaṇḍitāpi ‘uppanno kalyāṇasaddo virādhetuṃ na vaṭṭatī’ti pabbajiṃsuyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ปิตุ อจฺจเยน เสฎฺฐิฎฺฐานํ ปาปุณิฯ โส เอกทิวสํ นิเวสนา นิกฺขมิตฺวา ราชุปฎฺฐานํ อคมาสิฯ อถสฺส สสฺสุ ‘‘ธีตรํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ ตํ เคหํ อคมาสิ, สา โถกํ พธิรธาตุกาติ สพฺพํ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุสทิสเมวฯ ตํ ปน ราชุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา อตฺตโน ฆรํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา เอโก ปุริโส ‘‘ตุเมฺห กิร ปพฺพชิตาติ ตุมฺหากํ เคเห มหาปริเทโว ปวตฺตตี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ‘‘อุปฺปโนฺน กลฺยาณสโทฺท นาม น อนฺตรธาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตโตว นิวตฺติตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ, มหาเสฎฺฐิ, อิทาเนว คนฺตฺวา ปุน อาคโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘เทว, เคหชโน กิร มํ อปพฺพชิตเมว ‘ปพฺพชิโต’ติ วตฺวา ปริเทวติ, อุปฺปโนฺน โข ปน กลฺยาณสโทฺท น อนฺตรธาเปตโพฺพ, ปพฺพชิสฺสามหํ, ปพฺพชฺชํ เม อนุชานาหี’’ติ เอตมตฺถํ ปกาเสตุํ อิมา คาถา อาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto seṭṭhikule nibbattitvā vayappatto pitu accayena seṭṭhiṭṭhānaṃ pāpuṇi. So ekadivasaṃ nivesanā nikkhamitvā rājupaṭṭhānaṃ agamāsi. Athassa sassu ‘‘dhītaraṃ passissāmī’’ti taṃ gehaṃ agamāsi, sā thokaṃ badhiradhātukāti sabbaṃ paccuppannavatthusadisameva. Taṃ pana rājupaṭṭhānaṃ gantvā attano gharaṃ āgacchantaṃ disvā eko puriso ‘‘tumhe kira pabbajitāti tumhākaṃ gehe mahāparidevo pavattatī’’ti āha. Bodhisatto ‘‘uppanno kalyāṇasaddo nāma na antaradhāpetuṃ vaṭṭatī’’ti tatova nivattitvā rañño santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ, mahāseṭṭhi, idāneva gantvā puna āgatosī’’ti vutte ‘‘deva, gehajano kira maṃ apabbajitameva ‘pabbajito’ti vatvā paridevati, uppanno kho pana kalyāṇasaddo na antaradhāpetabbo, pabbajissāmahaṃ, pabbajjaṃ me anujānāhī’’ti etamatthaṃ pakāsetuṃ imā gāthā āha –
๔๑.
41.
‘‘กลฺยาณธโมฺมติ ยทา ชนินฺท, โลเก สมญฺญํ อนุปาปุณาติ;
‘‘Kalyāṇadhammoti yadā janinda, loke samaññaṃ anupāpuṇāti;
ตสฺมา น หิเยฺยถ นโร สปโญฺญ, หิริยาปิ สโนฺต ฆุรมาทิยนฺติฯ
Tasmā na hiyyetha naro sapañño, hiriyāpi santo ghuramādiyanti.
๔๒.
42.
‘‘สายํ สมญฺญา อิธ มชฺช ปตฺตา, กลฺยาณธโมฺมติ ชนินฺท โลเก;
‘‘Sāyaṃ samaññā idha majja pattā, kalyāṇadhammoti janinda loke;
ตาหํ สเมกฺขํ อิธ ปพฺพชิสฺสํ, น หิ มตฺถิ ฉโนฺท อิธ กามโภเค’’ติฯ
Tāhaṃ samekkhaṃ idha pabbajissaṃ, na hi matthi chando idha kāmabhoge’’ti.
ตตฺถ กลฺยาณธโมฺมติ สุนฺทรธโมฺมฯ สมญฺญํ อนุปาปุณาตีติ ยทา สีลวา กลฺยาณธโมฺม ปพฺพชิโตติ อิทํ ปญฺญตฺติโวหารํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา น หิเยฺยถาติ ตโต สามญฺญโต น ปริหาเยถฯ หิริยาปิ สโนฺต ธุรมาทิยนฺตีติ, มหาราช, สปฺปุริสา นาม อชฺฌตฺตสมุฎฺฐิตาย หิริยา พหิทฺธสมุฎฺฐิเตน โอตฺตเปฺปนปิ เอตํ ปพฺพชิตธุรํ คณฺหนฺติฯ อิธ มชฺช ปตฺตาติ อิธ มยา อชฺช ปตฺตาฯ ตาหํ สเมกฺขนฺติ ตํ อหํ คุณวเสน ลทฺธสมญฺญํ สเมกฺขโนฺต ปสฺสโนฺตฯ น หิ มตฺถิ ฉโนฺทติ น หิ เม อตฺถิ ฉโนฺทฯ อิธ กามโภเคติ อิมสฺมิํ โลเก กิเลสกามวตฺถุกามปริโภเคหิฯ
Tattha kalyāṇadhammoti sundaradhammo. Samaññaṃ anupāpuṇātīti yadā sīlavā kalyāṇadhammo pabbajitoti idaṃ paññattivohāraṃ pāpuṇāti. Tasmā na hiyyethāti tato sāmaññato na parihāyetha. Hiriyāpi santo dhuramādiyantīti, mahārāja, sappurisā nāma ajjhattasamuṭṭhitāya hiriyā bahiddhasamuṭṭhitena ottappenapi etaṃ pabbajitadhuraṃ gaṇhanti. Idha majja pattāti idha mayā ajja pattā. Tāhaṃ samekkhanti taṃ ahaṃ guṇavasena laddhasamaññaṃ samekkhanto passanto. Na hi matthi chandoti na hi me atthi chando. Idha kāmabhogeti imasmiṃ loke kilesakāmavatthukāmaparibhogehi.
โพธิสโตฺต เอวํ วตฺวา ราชานํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา หิมวนฺตปเทสํ คนฺตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ
Bodhisatto evaṃ vatvā rājānaṃ pabbajjaṃ anujānāpetvā himavantapadesaṃ gantvā isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, พาราณสิเสฎฺฐิ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, bārāṇasiseṭṭhi pana ahameva ahosi’’nti.
กลฺยาณธมฺมชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Kalyāṇadhammajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๗๑. กลฺยาณธมฺมชาตกํ • 171. Kalyāṇadhammajātakaṃ