Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    ๘. กลฺยาณสีลสุตฺตวณฺณนา

    8. Kalyāṇasīlasuttavaṇṇanā

    ๙๗. อฎฺฐเม กลฺยาณสีโลติ สุนฺทรสีโล, ปสตฺถสีโล, ปริปุณฺณสีโลฯ ตตฺถ สีลปาริปูรี ทฺวีหิ การเณหิ โหติ สมฺมเทว สีลวิปตฺติยา อาทีนวทสฺสเนน, สีลสมฺปตฺติยา จ อานิสํสทสฺสเนนฯ อิธ ปน สพฺพปริพนฺธวิปฺปมุตฺตสฺส สพฺพาการปริปุณฺณสฺส มคฺคสีลสฺส ผลสีลสฺส จ วเสน กลฺยาณตา เวทิตพฺพาฯ กลฺยาณธโมฺมติ สเพฺพ โพธิปกฺขิยธมฺมา อธิเปฺปตา, ตสฺมา กลฺยาณา สติปฎฺฐานาทิโพธิปกฺขิยธมฺมา เอตสฺสาติ กลฺยาณธโมฺมฯ กลฺยาณปโญฺญติ จ มคฺคผลปญฺญาวเสเนว กลฺยาณปโญฺญฯ โลกุตฺตรา เอว หิ สีลาทิธมฺมา เอกนฺตกลฺยาณา นาม อกุปฺปสภาวตฺตาฯ เกจิ ปน ‘‘จตุปาริสุทฺธิสีลวเสน กลฺยาณสีโล, วิปสฺสนามคฺคธมฺมวเสน กลฺยาณธโมฺม, มคฺคผลปญฺญาวเสน กลฺยาณปโญฺญ’’ติ วทนฺติฯ อเสกฺขา เอว เต สีลธมฺมปญฺญาติ เอเกฯ อปเร ปน ภณนฺติ – โสตาปนฺนสกทาคามีนํ มคฺคผลสีลํ กลฺยาณสีลํ นาม, ตสฺมา ‘‘กลฺยาณสีโล’’ติ อิมินา โสตาปโนฺน สกทาคามี จ คหิตา โหนฺติฯ เต หิ สีเลสุ ปริปูรการิโน นามฯ อนาคามิมคฺคผลธมฺมา อคฺคมคฺคธมฺมา จ กลฺยาณธมฺมา นามฯ ตตฺถ หิ โพธิปกฺขิยธมฺมา ภาวนาปาริปูริํ คจฺฉนฺติฯ ตสฺมา ‘‘กลฺยาณธโมฺม’’ติ อิมินา ตติยมคฺคฎฺฐโต ปฎฺฐาย ตโย อริยา คหิตา โหนฺติฯ ปญฺญากิจฺจสฺส มตฺถกปฺปตฺติยา อคฺคผเล ปญฺญา กลฺยาณปญฺญา นาม, ตสฺมา ปญฺญาเวปุลฺลปฺปโตฺต อรหา ‘‘กลฺยาณปโญฺญ’’ติ วุโตฺตฯ เอวเมว ปุคฺคลา คหิตา โหนฺตีติฯ กิํ อิมินา ปปเญฺจน? อคฺคมคฺคผลธมฺมา อิธ กลฺยาณสีลาทโย วุตฺตาติ อยมมฺหากํ ขนฺติฯ ธมฺมวิภาเคน หิ อยํ ปุคฺคลวิภาโค, น ธมฺมวิภาโคติฯ

    97. Aṭṭhame kalyāṇasīloti sundarasīlo, pasatthasīlo, paripuṇṇasīlo. Tattha sīlapāripūrī dvīhi kāraṇehi hoti sammadeva sīlavipattiyā ādīnavadassanena, sīlasampattiyā ca ānisaṃsadassanena. Idha pana sabbaparibandhavippamuttassa sabbākāraparipuṇṇassa maggasīlassa phalasīlassa ca vasena kalyāṇatā veditabbā. Kalyāṇadhammoti sabbe bodhipakkhiyadhammā adhippetā, tasmā kalyāṇā satipaṭṭhānādibodhipakkhiyadhammā etassāti kalyāṇadhammo. Kalyāṇapaññoti ca maggaphalapaññāvaseneva kalyāṇapañño. Lokuttarā eva hi sīlādidhammā ekantakalyāṇā nāma akuppasabhāvattā. Keci pana ‘‘catupārisuddhisīlavasena kalyāṇasīlo, vipassanāmaggadhammavasena kalyāṇadhammo, maggaphalapaññāvasena kalyāṇapañño’’ti vadanti. Asekkhā eva te sīladhammapaññāti eke. Apare pana bhaṇanti – sotāpannasakadāgāmīnaṃ maggaphalasīlaṃ kalyāṇasīlaṃ nāma, tasmā ‘‘kalyāṇasīlo’’ti iminā sotāpanno sakadāgāmī ca gahitā honti. Te hi sīlesu paripūrakārino nāma. Anāgāmimaggaphaladhammā aggamaggadhammā ca kalyāṇadhammā nāma. Tattha hi bodhipakkhiyadhammā bhāvanāpāripūriṃ gacchanti. Tasmā ‘‘kalyāṇadhammo’’ti iminā tatiyamaggaṭṭhato paṭṭhāya tayo ariyā gahitā honti. Paññākiccassa matthakappattiyā aggaphale paññā kalyāṇapaññā nāma, tasmā paññāvepullappatto arahā ‘‘kalyāṇapañño’’ti vutto. Evameva puggalā gahitā hontīti. Kiṃ iminā papañcena? Aggamaggaphaladhammā idha kalyāṇasīlādayo vuttāti ayamamhākaṃ khanti. Dhammavibhāgena hi ayaṃ puggalavibhāgo, na dhammavibhāgoti.

    เกวลีติ เอตฺถ เกวลํ วุจฺจติ เกนจิ อโวมิสฺสกตาย สพฺพสงฺขตวิวิตฺตํ นิพฺพานํ, ตสฺส อธิคตตฺตา อรหา เกวลีฯ อถ วา ปหานภาวนาปาริปูริยา ปริโยสานอนวชฺชธมฺมปาริปูริยา จ กลฺยาณกเฎฺฐน อพฺยาเสกสุขตาย จ เกวลํ อรหตฺตํ, ตทธิคเมน เกวลี ขีณาสโวฯ มคฺคพฺรหฺมจริยวาสํ วสิตฺวา ปริโยสาเปตฺวา ฐิโตติ วุสิตวาฯ อุตฺตเมหิ อคฺคภูเตหิ วา อเสกฺขธเมฺมหิ สมนฺนาคตตฺตา ‘‘อุตฺตมปุริโส’’ติ วุจฺจติฯ

    Kevalīti ettha kevalaṃ vuccati kenaci avomissakatāya sabbasaṅkhatavivittaṃ nibbānaṃ, tassa adhigatattā arahā kevalī. Atha vā pahānabhāvanāpāripūriyā pariyosānaanavajjadhammapāripūriyā ca kalyāṇakaṭṭhena abyāsekasukhatāya ca kevalaṃ arahattaṃ, tadadhigamena kevalī khīṇāsavo. Maggabrahmacariyavāsaṃ vasitvā pariyosāpetvā ṭhitoti vusitavā. Uttamehi aggabhūtehi vā asekkhadhammehi samannāgatattā ‘‘uttamapuriso’’ti vuccati.

    สีลวาติ เอตฺถ เกนเฎฺฐน สีลํ? สีลนเฎฺฐน สีลํฯ กิมิทํ สีลนํ นาม? สมาธานํ, สุสีลฺยวเสน กายกมฺมาทีนํ อวิปฺปกิณฺณตาติ อโตฺถฯ อถ วา อุปธารณํ, ฌานาทิกุสลธมฺมานํ ปติฎฺฐานวเสน อาธารภาโวติ อโตฺถฯ ตสฺมา สีลติ, สีเลตีติ วา สีลํฯ อยํ ตาว สทฺทลกฺขณนเยน สีลโฎฺฐฯ อปเร ปน ‘‘สิรโฎฺฐ สีลโฎฺฐ, สีตลโฎฺฐ สีลโฎฺฐ, สิวโฎฺฐ สีลโฎฺฐ’’ติ นิรุตฺตินเยน อตฺถํ วณฺณยนฺติฯ ตยิทํ ปาริปูริโต อติสยโต วา สีลํ อสฺส อตฺถีติ สีลวา, จตุปาริสุทฺธิสีลวเสน สีลสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ ตตฺถ ยํ เชฎฺฐกสีลํ , ตํ วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ เอกจฺจานํ อาจริยานํ อธิปฺปาโยฯ

    Sīlavāti ettha kenaṭṭhena sīlaṃ? Sīlanaṭṭhena sīlaṃ. Kimidaṃ sīlanaṃ nāma? Samādhānaṃ, susīlyavasena kāyakammādīnaṃ avippakiṇṇatāti attho. Atha vā upadhāraṇaṃ, jhānādikusaladhammānaṃ patiṭṭhānavasena ādhārabhāvoti attho. Tasmā sīlati, sīletīti vā sīlaṃ. Ayaṃ tāva saddalakkhaṇanayena sīlaṭṭho. Apare pana ‘‘siraṭṭho sīlaṭṭho, sītalaṭṭho sīlaṭṭho, sivaṭṭho sīlaṭṭho’’ti niruttinayena atthaṃ vaṇṇayanti. Tayidaṃ pāripūrito atisayato vā sīlaṃ assa atthīti sīlavā, catupārisuddhisīlavasena sīlasampannoti attho. Tattha yaṃ jeṭṭhakasīlaṃ , taṃ vitthāretvā dassetuṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’tiādi vuttanti ekaccānaṃ ācariyānaṃ adhippāyo.

    อปเรน ปน ภณนฺติ – อุภยตฺถาปิ ปาติโมกฺขสํวโร ภควตา วุโตฺตฯ ปาติโมกฺขสํวโร เอว หิ สีลํ, อิตเรสุ อินฺทฺริยสํวโร ฉทฺวารรกฺขณมตฺตเมว, อาชีวปาริสุทฺธิ ธเมฺมน ปจฺจยุปฺปาทนมตฺตเมว, ปจฺจยสนฺนิสฺสิตํ ปฎิลทฺธปจฺจเย ‘‘อิทมตฺถ’’นฺติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชนมตฺตเมวฯ นิปฺปริยาเยน ปาติโมกฺขสํวโรว สีลํฯ ยสฺส โส ภิโนฺน, โส สีสจฺฉิโนฺน ปุริโส วิย หตฺถปาเท ‘‘เสสานิ รกฺขิสฺสตี’’ติ น วตฺตโพฺพฯ ยสฺส ปน โส อโรโค, อจฺฉินฺนสีโส วิย ปุริโส, ตานิ ปุน ปากติกานิ กตฺวา รกฺขิตุํ สโกฺกติฯ ตสฺมา สีลวาติ อิมินา ปาติโมกฺขสีลเมว อุทฺทิสิตฺวา ตํ วิตฺถาเรตุํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติอาทิ วุตฺตนฺติฯ

    Aparena pana bhaṇanti – ubhayatthāpi pātimokkhasaṃvaro bhagavatā vutto. Pātimokkhasaṃvaro eva hi sīlaṃ, itaresu indriyasaṃvaro chadvārarakkhaṇamattameva, ājīvapārisuddhi dhammena paccayuppādanamattameva, paccayasannissitaṃ paṭiladdhapaccaye ‘‘idamattha’’nti paccavekkhitvā paribhuñjanamattameva. Nippariyāyena pātimokkhasaṃvarova sīlaṃ. Yassa so bhinno, so sīsacchinno puriso viya hatthapāde ‘‘sesāni rakkhissatī’’ti na vattabbo. Yassa pana so arogo, acchinnasīso viya puriso, tāni puna pākatikāni katvā rakkhituṃ sakkoti. Tasmā sīlavāti iminā pātimokkhasīlameva uddisitvā taṃ vitthāretuṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’tiādi vuttanti.

    ตตฺถ ปาติโมกฺขนฺติ สิกฺขาปทสีลํฯ ตญฺหิ โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหีติ ปาติโมกฺขํฯ สํวรณํ สํวโร, กายวาจาหิ อวีติกฺกโมฯ ปาติโมกฺขเมว สํวโร ปาติโมกฺขสํวโร, เตน สํวุโต ปิหิตกายวาโจติ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตฯ อิทมสฺส ตสฺมิํ สีเล ปติฎฺฐิตภาวปริทีปนํฯ วิหรตีติ ตทนุรูปวิหารสมงฺคิภาวปริทีปนํฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ เหฎฺฐา ปาติโมกฺขสํวรสฺส, อุปริ วิเสสานุโยคสฺส จ อุปการกธมฺมปริทีปนํฯ อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวีติ ปาติโมกฺขสีลโต อจวนธมฺมตาปริทีปนํฯ สมาทายาติ สิกฺขาปทานํ อนวเสสโต อาทานปริทีปนํฯ สิกฺขตีติ สิกฺขาย สมงฺคิภาวปริทีปนํฯ สิกฺขาปเทสูติ สิกฺขิตพฺพธมฺมปริทีปนํฯ

    Tattha pātimokkhanti sikkhāpadasīlaṃ. Tañhi yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehīti pātimokkhaṃ. Saṃvaraṇaṃ saṃvaro, kāyavācāhi avītikkamo. Pātimokkhameva saṃvaro pātimokkhasaṃvaro, tena saṃvuto pihitakāyavācoti pātimokkhasaṃvarasaṃvuto. Idamassa tasmiṃ sīle patiṭṭhitabhāvaparidīpanaṃ. Viharatīti tadanurūpavihārasamaṅgibhāvaparidīpanaṃ. Ācāragocarasampannoti heṭṭhā pātimokkhasaṃvarassa, upari visesānuyogassa ca upakārakadhammaparidīpanaṃ. Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvīti pātimokkhasīlato acavanadhammatāparidīpanaṃ. Samādāyāti sikkhāpadānaṃ anavasesato ādānaparidīpanaṃ. Sikkhatīti sikkhāya samaṅgibhāvaparidīpanaṃ. Sikkhāpadesūti sikkhitabbadhammaparidīpanaṃ.

    อปโร นโย – กิเลสานํ พลวภาวโต ปาปกิริยาย สุกรภาวโต ปุญฺญกิริยาย จ ทุกฺกรภาวโต พหุกฺขตฺตุํ อปาเยสุ ปตนสีโลติ ปาตี, ปุถุชฺชโนฯ อนิจฺจตาย วา ภวาทีสุ กมฺมเวคกฺขิโตฺต ฆฎิยนฺตํ วิย อนวฎฺฐาเนน ปริพฺภมนโต คมนสีโลติ ปาตี, มรณวเสน วา ตมฺหิ ตมฺหิ สตฺตนิกาเย อตฺตภาวสฺส ปาตนสีโลติ ปาตี, สตฺตสนฺตาโน, จิตฺตเมว วาฯ ตํ ปาตินํ สํสารทุกฺขโต โมเกฺขตีติ ปาติโมโกฺขฯ จิตฺตสฺส หิ วิโมเกฺขน สโตฺต วิมุโตฺต ฯ ‘‘จิตฺตโวทานา วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐) ‘‘อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุตฺต’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๒๐๖) จ วุตฺตํฯ อถ วา อวิชฺชาทินา เหตุนา สํสาเร ปตติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ ปาติฯ ‘‘อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสํโยชนานํ สนฺธาวตํ สํสรต’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๒๔; ๕.๕๒๐) หิ วุตฺตํฯ ตสฺส ปาติโน สตฺตสฺส ตณฺหาทิสํกิเลสตฺตยโต โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมโกฺขฯ ‘‘กเณฺฐกาโล’’ติอาทีนํ วิยสฺส สมาสสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    Aparo nayo – kilesānaṃ balavabhāvato pāpakiriyāya sukarabhāvato puññakiriyāya ca dukkarabhāvato bahukkhattuṃ apāyesu patanasīloti pātī, puthujjano. Aniccatāya vā bhavādīsu kammavegakkhitto ghaṭiyantaṃ viya anavaṭṭhānena paribbhamanato gamanasīloti pātī, maraṇavasena vā tamhi tamhi sattanikāye attabhāvassa pātanasīloti pātī, sattasantāno, cittameva vā. Taṃ pātinaṃ saṃsāradukkhato mokkhetīti pātimokkho. Cittassa hi vimokkhena satto vimutto . ‘‘Cittavodānā visujjhantī’’ti (saṃ. ni. 3.100) ‘‘anupādāya āsavehi cittaṃ vimutta’’nti (ma. ni. 2.206) ca vuttaṃ. Atha vā avijjādinā hetunā saṃsāre patati gacchati pavattatīti pāti. ‘‘Avijjānīvaraṇānaṃ sattānaṃ taṇhāsaṃyojanānaṃ sandhāvataṃ saṃsarata’’nti (saṃ. ni. 2.124; 5.520) hi vuttaṃ. Tassa pātino sattassa taṇhādisaṃkilesattayato mokkho etenāti pātimokkho. ‘‘Kaṇṭhekālo’’tiādīnaṃ viyassa samāsasiddhi veditabbā.

    อถ วา ปาเตติ วินิปาเตติ ทุเกฺขติ ปาติ, จิตฺตํฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิเตฺตน นียติ โลโก, จิเตฺตน ปริกสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๖๒)ฯ ตสฺส ปาติโน โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมโกฺขฯ ปตติ วา เอเตน อปายทุเกฺข สํสารทุเกฺข จาติ ปาติ, ตณฺหาทิสํกิเลโสฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ (สํ. นิ. ๑.๕๖-๕๗), ตณฺหาทุติโย ปุริโส’’ติ (อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕; จูฬนิ. ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๐๗) จ อาทิฯ ตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ อถ วา ปตติ เอตฺถาติ ปาติ, ฉ อชฺฌตฺติกานิ พาหิรานิ จ อายตนานิฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ฉสุ โลโก สมุปฺปโนฺน, ฉสุ กุพฺพติ สนฺถว’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๗๐)ฯ ตโต ฉอชฺฌตฺติกพาหิรายตนสงฺขาตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ อถ วา ปาโต วินิปาโต อสฺส อตฺถีติ ปาตี, สํสาโรฯ ตโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ อถ วา สพฺพโลกาธิปติภาวโต ธมฺมิสฺสโร ภควา ปตีติ วุจฺจติ, มุจฺจติ เอเตนาติ โมโกฺข, ปติโน โมโกฺข เตน ปญฺญตฺตตฺตาติ ปติโมโกฺข, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ สพฺพคุณานํ วา มูลภาวโต อุตฺตมเฎฺฐน ปติ จ โส ยถาวุตฺตเฎฺฐน โมโกฺข จาติ ปติโมโกฺข, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘ปาติโมกฺขนฺติ มุขเมตํ ปมุขเมต’’นฺติ (มหาว. ๑๓๕) วิตฺถาโรฯ

    Atha vā pāteti vinipāteti dukkheti pāti, cittaṃ. Vuttañhi ‘‘cittena nīyati loko, cittena parikassatī’’ti (saṃ. ni. 1.62). Tassa pātino mokkho etenāti pātimokkho. Patati vā etena apāyadukkhe saṃsāradukkhe cāti pāti, taṇhādisaṃkileso. Vuttañhi ‘‘taṇhā janeti purisaṃ (saṃ. ni. 1.56-57), taṇhādutiyo puriso’’ti (itivu. 15, 105; cūḷani. pārāyanānugītigāthāniddesa 107) ca ādi. Tato pātito mokkhoti pātimokkho. Atha vā patati etthāti pāti, cha ajjhattikāni bāhirāni ca āyatanāni. Vuttañhi ‘‘chasu loko samuppanno, chasu kubbati santhava’’nti (saṃ. ni. 1.70). Tato chaajjhattikabāhirāyatanasaṅkhātato pātito mokkhoti pātimokkho. Atha vā pāto vinipāto assa atthīti pātī, saṃsāro. Tato mokkhoti pātimokkho. Atha vā sabbalokādhipatibhāvato dhammissaro bhagavā patīti vuccati, muccati etenāti mokkho, patino mokkho tena paññattattāti patimokkho, patimokkho eva pātimokkho. Sabbaguṇānaṃ vā mūlabhāvato uttamaṭṭhena pati ca so yathāvuttaṭṭhena mokkho cāti patimokkho, patimokkho eva pātimokkho. Tathā hi vuttaṃ ‘‘pātimokkhanti mukhametaṃ pamukhameta’’nti (mahāva. 135) vitthāro.

    อถ วา อิติ ปกาเร, อตีติ อจฺจนฺตเตฺถ นิปาโตฯ ตสฺมา ปกาเรหิ อจฺจนฺตํ โมเกฺขตีติ ปาติโมโกฺขฯ อิทญฺหิ สีลํ สยํ ตทงฺควเสน, สมาธิสหิตํ ปญฺญาสหิตญฺจ วิกฺขมฺภนวเสน สมุเจฺฉทวเสน จ อจฺจนฺตํ โมเกฺขติ โมเจตีติ ปาติโมกฺขํฯ ปติ ปติ โมโกฺขติ วา ปติโมโกฺข, ตมฺหา ตมฺหา วีติกฺกมิตพฺพโทสโต ปติ ปเจฺจกํ โมโกฺขติ อโตฺถฯ ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ โมโกฺขติ วา นิพฺพานํ, ตสฺส โมกฺขสฺส ปฎิพิมฺพภูตนฺติ ปติโมกฺขํฯ ปาติโมกฺขสีลสํวโร หิ สูริยสฺส อรุณุคฺคมนํ วิย นิพฺพานสฺส อุทยภูโต ตปฺปฎิภาโค วิย โหติ ยถารหํ กิเลสนิพฺพาปนโตติ ปติโมกฺขํ, ปติโมกฺขํ เอว ปาติโมกฺขํฯ อถ วา โมกฺขํ ปติ วตฺตติ โมกฺขาภิมุขนฺติ ปติโมกฺขํ, ปติโมกฺขเมว ปาติโมกฺขนฺติ เอวํ ตาเวตฺถ ปาติโมกฺขสทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Atha vā paiti pakāre, atīti accantatthe nipāto. Tasmā pakārehi accantaṃ mokkhetīti pātimokkho. Idañhi sīlaṃ sayaṃ tadaṅgavasena, samādhisahitaṃ paññāsahitañca vikkhambhanavasena samucchedavasena ca accantaṃ mokkheti mocetīti pātimokkhaṃ. Pati pati mokkhoti vā patimokkho, tamhā tamhā vītikkamitabbadosato pati paccekaṃ mokkhoti attho. Patimokkho eva pātimokkho. Mokkhoti vā nibbānaṃ, tassa mokkhassa paṭibimbabhūtanti patimokkhaṃ. Pātimokkhasīlasaṃvaro hi sūriyassa aruṇuggamanaṃ viya nibbānassa udayabhūto tappaṭibhāgo viya hoti yathārahaṃ kilesanibbāpanatoti patimokkhaṃ, patimokkhaṃ eva pātimokkhaṃ. Atha vā mokkhaṃ pati vattati mokkhābhimukhanti patimokkhaṃ, patimokkhameva pātimokkhanti evaṃ tāvettha pātimokkhasaddassa attho veditabbo.

    สํวรติ ปิทหติ เอเตนาติ สํวโร, ปาติโมกฺขเมว สํวโรติ ปาติโมกฺขสํวโรฯ อตฺถโต ปน ตโต ตโต วีติกฺกมิตพฺพโต วิรติโย เจตนา วา, เตน ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต สมนฺนาคโต ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตติ วุโตฺตฯ วุตฺตเญฺหตํ วิภเงฺค –

    Saṃvarati pidahati etenāti saṃvaro, pātimokkhameva saṃvaroti pātimokkhasaṃvaro. Atthato pana tato tato vītikkamitabbato viratiyo cetanā vā, tena pātimokkhasaṃvarena upeto samannāgato pātimokkhasaṃvarasaṃvutoti vutto. Vuttañhetaṃ vibhaṅge –

    ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปคโต สมุปคโต สมฺปโนฺน สมนฺนาคโตฯ เตน วุจฺจติ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑)ฯ

    ‘‘Iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto upagato samupagato sampanno samannāgato. Tena vuccati pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’ti (vibha. 511).

    วิหรตีติ อิริยาปถวิหาเรน วิหรติ, อิริยติ, วตฺตติฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ เวฬุทานาทิมิจฺฉาชีวสฺส กายปาคพฺภิยาทีนญฺจ อกรเณน, สพฺพโส อนาจารํ วเชฺชตฺวา ‘‘กายิโก อวีติกฺกโม, วาจสิโก อวีติกฺกโม’’ติ เอวํ วุตฺตภิกฺขุสารุปฺปอาจารสมฺปตฺติยา เวสิยาทิอโคจรํ วเชฺชตฺวา ปิณฺฑปาตาทิอตฺถํ อุปสงฺกมิตุํ ยุตฺตฎฺฐานสงฺขาตโคจเรน จ สมฺปนฺนตฺตา อาจารโคจรสมฺปโนฺนฯ อปิจ โย ภิกฺขุ สตฺถริ สคารโว สปฺปติโสฺส สพฺรหฺมจารีสุ สคารโว สปฺปติโสฺส หิโรตฺตปฺปสมฺปโนฺน สุนิวโตฺถ สุปารุโต ปาสาทิเกน อภิกฺกเนฺตน ปฎิกฺกเนฺตน อาโลกิเตน วิโลกิเตน สมิญฺชิเตน ปสาริเตน โอกฺขิตฺตจกฺขุ อิริยาปถสมฺปโนฺน อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โภชเน มตฺตญฺญู ชาคริยานุยุโตฺต สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต อปฺปิโจฺฉ สนฺตุโฎฺฐ ปวิวิโตฺต อสํสโฎฺฐ อาภิสมาจาริเกสุ สกฺกจฺจการี ครุจิตฺตีการพหุโล วิหรติ, อยํ วุจฺจติ อาจารสมฺปโนฺนฯ

    Viharatīti iriyāpathavihārena viharati, iriyati, vattati. Ācāragocarasampannoti veḷudānādimicchājīvassa kāyapāgabbhiyādīnañca akaraṇena, sabbaso anācāraṃ vajjetvā ‘‘kāyiko avītikkamo, vācasiko avītikkamo’’ti evaṃ vuttabhikkhusāruppaācārasampattiyā vesiyādiagocaraṃ vajjetvā piṇḍapātādiatthaṃ upasaṅkamituṃ yuttaṭṭhānasaṅkhātagocarena ca sampannattā ācāragocarasampanno. Apica yo bhikkhu satthari sagāravo sappatisso sabrahmacārīsu sagāravo sappatisso hirottappasampanno sunivattho supāruto pāsādikena abhikkantena paṭikkantena ālokitena vilokitena samiñjitena pasāritena okkhittacakkhu iriyāpathasampanno indriyesu guttadvāro bhojane mattaññū jāgariyānuyutto satisampajaññena samannāgato appiccho santuṭṭho pavivitto asaṃsaṭṭho ābhisamācārikesu sakkaccakārī garucittīkārabahulo viharati, ayaṃ vuccati ācārasampanno.

    โคจโร ปน – อุปนิสฺสยโคจโร, อารกฺขโคจโร, อุปนิพนฺธโคจโรติ ติวิโธฯ ตตฺถ ทสกถาวตฺถุคุณสมนฺนาคโต วุตฺตลกฺขโณ กลฺยาณมิโตฺต ยํ นิสฺสาย อสุตํ สุณาติ, สุตํ ปริโยทเปติ, กงฺขํ วิตรติ, ทิฎฺฐิํ อุชุกํ กโรติ, จิตฺตํ ปสาเทติ, ยสฺส จ อนุสิกฺขโนฺต สทฺธาย วฑฺฒติ, สีเลน, สุเตน, จาเคน, ปญฺญาย วฑฺฒติ, อยํ อุปนิสฺสยโคจโรฯ โย ภิกฺขุ อนฺตรฆรํ ปวิโฎฺฐ วีถิํ ปฎิปโนฺน โอกฺขิตฺตจกฺขุ ยุคมตฺตทสฺสาวี สํวุโต คจฺฉติ, น หตฺถิํ โอโลเกโนฺต, น อสฺสํ, น รถํ, น ปตฺติํ, น อิตฺถิํ, น ปุริสํ โอโลเกโนฺต, น อุทฺธํ โอโลเกโนฺต, น อโธ โอโลเกโนฺต, น ทิสาวิทิสา เปกฺขมาโน คจฺฉติ, อยํ อารกฺขโคจโรฯ อุปนิพนฺธโคจโร ปน จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, ยตฺถ ภิกฺขุ อตฺตโน จิตฺตํ อุปนิพนฺธติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Gocaro pana – upanissayagocaro, ārakkhagocaro, upanibandhagocaroti tividho. Tattha dasakathāvatthuguṇasamannāgato vuttalakkhaṇo kalyāṇamitto yaṃ nissāya asutaṃ suṇāti, sutaṃ pariyodapeti, kaṅkhaṃ vitarati, diṭṭhiṃ ujukaṃ karoti, cittaṃ pasādeti, yassa ca anusikkhanto saddhāya vaḍḍhati, sīlena, sutena, cāgena, paññāya vaḍḍhati, ayaṃ upanissayagocaro. Yo bhikkhu antaragharaṃ paviṭṭho vīthiṃ paṭipanno okkhittacakkhu yugamattadassāvī saṃvuto gacchati, na hatthiṃ olokento, na assaṃ, na rathaṃ, na pattiṃ, na itthiṃ, na purisaṃ olokento, na uddhaṃ olokento, na adho olokento, na disāvidisā pekkhamāno gacchati, ayaṃ ārakkhagocaro. Upanibandhagocaro pana cattāro satipaṭṭhānā, yattha bhikkhu attano cittaṃ upanibandhati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘โก จ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน โคจโร สโก เปตฺติโก วิสโย? ยทิทํ – จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๒)ฯ

    ‘‘Ko ca, bhikkhave, bhikkhuno gocaro sako pettiko visayo? Yadidaṃ – cattāro satipaṭṭhānā’’ti (saṃ. ni. 5.372).

    อิติ ยถาวุตฺตาย อาจารสมฺปตฺติยา อิมาย จ โคจรสมฺปตฺติยา สมนฺนาคตตฺตา อาจารโคจรสมฺปโนฺน

    Iti yathāvuttāya ācārasampattiyā imāya ca gocarasampattiyā samannāgatattā ācāragocarasampanno.

    อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวีติ อปฺปมตฺตเกสุ อณุปฺปมาเณสุ อสญฺจิจฺจ อาปนฺนเสขิยอกุสลจิตฺตุปฺปาทาทิเภเทสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสนสีโลฯ โย หิ ภิกฺขุ ปรมาณุมตฺตํ วชฺชํ อฎฺฐสฎฺฐิโยชนสตสหสฺสุเพฺพธสิเนรุปพฺพตราชสทิสํ กตฺวา ปสฺสติ, โยปิ ภิกฺขุ สพฺพลหุกํ ทุพฺภาสิตมตฺตํ ปาราชิกสทิสํ กตฺวา ปสฺสติ, อยํ อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี นามฯ สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสูติ ยํ กิญฺจิ สิกฺขาปเทสุ สิกฺขิตพฺพํ, ตํ สเพฺพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ อนวเสสํ สมาทิยิตฺวา สิกฺขติ วตฺตติ, ปูเรตีติ อโตฺถฯ อิติ กลฺยาณสีโลติ อิมินา ปกาเรน กลฺยาณสีโล สมาโนฯ ปุคฺคลาธิฎฺฐานวเสน หิ นิทฺทิฎฺฐํ สีลํ ‘‘เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กลฺยาณสีโล โหตี’’ติ วุตฺตปุคฺคลาธิฎฺฐานวเสเนว นิคเมตฺวา ‘‘กลฺยาณธโมฺม’’ติ เอตฺถ วุตฺตธเมฺม นิทฺทิสิตุกาเมน ‘‘เตสํ ธมฺมานํ อิทํ สีลํ อธิฎฺฐาน’’นฺติ ทเสฺสตุํ ปุน ‘‘อิติ กลฺยาณสีโล’’ติ วุตฺตํฯ สตฺตนฺนํ โพธิปกฺขิยานนฺติอาทิ สพฺพํ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถเมวฯ ปุน กลฺยาณสีโลติอาทิ นิคมนํฯ

    Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvīti appamattakesu aṇuppamāṇesu asañcicca āpannasekhiyaakusalacittuppādādibhedesu vajjesu bhayadassanasīlo. Yo hi bhikkhu paramāṇumattaṃ vajjaṃ aṭṭhasaṭṭhiyojanasatasahassubbedhasinerupabbatarājasadisaṃ katvā passati, yopi bhikkhu sabbalahukaṃ dubbhāsitamattaṃ pārājikasadisaṃ katvā passati, ayaṃ aṇumattesu vajjesu bhayadassāvī nāma. Samādāya sikkhati sikkhāpadesūti yaṃ kiñci sikkhāpadesu sikkhitabbaṃ, taṃ sabbena sabbaṃ sabbathā sabbaṃ anavasesaṃ samādiyitvā sikkhati vattati, pūretīti attho. Iti kalyāṇasīloti iminā pakārena kalyāṇasīlo samāno. Puggalādhiṭṭhānavasena hi niddiṭṭhaṃ sīlaṃ ‘‘evaṃ kho, bhikkhave, bhikkhu kalyāṇasīlo hotī’’ti vuttapuggalādhiṭṭhānavaseneva nigametvā ‘‘kalyāṇadhammo’’ti ettha vuttadhamme niddisitukāmena ‘‘tesaṃ dhammānaṃ idaṃ sīlaṃ adhiṭṭhāna’’nti dassetuṃ puna ‘‘iti kalyāṇasīlo’’ti vuttaṃ. Sattannaṃ bodhipakkhiyānantiādi sabbaṃ heṭṭhā vuttatthameva. Puna kalyāṇasīlotiādi nigamanaṃ.

    คาถาสุ ทุกฺกฎนฺติ ทุฎฺฐุ กตํ, ทุจฺจริตนฺติ อโตฺถฯ หิริมนนฺติ หิริมนฺตํ หิริสมฺปนฺนํ, สพฺพโส ปาปปวตฺติยา ชิคุจฺฉนสภาวนฺติ อโตฺถฯ หิริมนนฺติ วา หิริสหิตจิตฺตํฯ หิริคฺคหเณเนว เจตฺถ โอตฺตปฺปมฺปิ คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ หิโรตฺตปฺปคฺคหเณน จ สพฺพโส ทุจฺจริตาภาวสฺส เหตุํ ทเสฺสโนฺต กลฺยาณสีลตํ เหตุโต วิภาเวติฯ สโมฺพธีติ อริยญาณํ, ตํ คจฺฉนฺติ ภชนฺตีติ สโมฺพธิคามิโน, โพธิปกฺขิกาติ อโตฺถฯ อนุสฺสทนฺติ ราคุสฺสทาทิรหิตํฯ ‘‘ตถาวิธ’’นฺติปิ ปฐนฺติฯ ‘‘โพธิปกฺขิกานํ ธมฺมานํ ภาวนานุโยคมนุยุโตฺต’’ติ ยถา ยถา ปุเพฺพ วุตฺตํ, ตถาวิธํ ตาทิสนฺติ อโตฺถฯ ทุกฺขสฺสาติ วฎฺฎทุกฺขสฺส, วฎฺฎทุกฺขเหตุโน วาฯ อิเธว ขยมตฺตโนติ อาสวกฺขยาธิคเมน อตฺตโน วฎฺฎทุกฺขเหตุโน สมุทยปกฺขิยสฺส กิเลสคณสฺส อิเธว อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว ขยํ อนุปฺปาทํ ปชานาติ, วฎฺฎทุกฺขเสฺสว วา อิเธว จริมกจิตฺตนิโรเธน ขยํ ขีณภาวํ ปชานาติฯ เตหิ ธเมฺมหิ สมฺปนฺนนฺติ เตหิ ยถาวุตฺตสีลาทิธเมฺมหิ สมนฺนาคตํฯ อสิตนฺติ ตณฺหาทิฎฺฐินิสฺสยานํ ปหีนตฺตา อสิตํ, กตฺถจิ อนิสฺสิตํฯ สพฺพโลกสฺสาติ สพฺพสฺมิํ สตฺตโลเกฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Gāthāsu dukkaṭanti duṭṭhu kataṃ, duccaritanti attho. Hirimananti hirimantaṃ hirisampannaṃ, sabbaso pāpapavattiyā jigucchanasabhāvanti attho. Hirimananti vā hirisahitacittaṃ. Hiriggahaṇeneva cettha ottappampi gahitanti veditabbaṃ. Hirottappaggahaṇena ca sabbaso duccaritābhāvassa hetuṃ dassento kalyāṇasīlataṃ hetuto vibhāveti. Sambodhīti ariyañāṇaṃ, taṃ gacchanti bhajantīti sambodhigāmino, bodhipakkhikāti attho. Anussadanti rāgussadādirahitaṃ. ‘‘Tathāvidha’’ntipi paṭhanti. ‘‘Bodhipakkhikānaṃ dhammānaṃ bhāvanānuyogamanuyutto’’ti yathā yathā pubbe vuttaṃ, tathāvidhaṃ tādisanti attho. Dukkhassāti vaṭṭadukkhassa, vaṭṭadukkhahetuno vā. Idheva khayamattanoti āsavakkhayādhigamena attano vaṭṭadukkhahetuno samudayapakkhiyassa kilesagaṇassa idheva imasmiṃyeva attabhāve khayaṃ anuppādaṃ pajānāti, vaṭṭadukkhasseva vā idheva carimakacittanirodhena khayaṃ khīṇabhāvaṃ pajānāti. Tehi dhammehi sampannanti tehi yathāvuttasīlādidhammehi samannāgataṃ. Asitanti taṇhādiṭṭhinissayānaṃ pahīnattā asitaṃ, katthaci anissitaṃ. Sabbalokassāti sabbasmiṃ sattaloke. Sesaṃ vuttanayameva.

    อฎฺฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṭṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๘. กลฺยาณสีลสุตฺตํ • 8. Kalyāṇasīlasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact