Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๖๗] ๔. กามชาตกวณฺณนา
[467] 4. Kāmajātakavaṇṇanā
กามํ กามยมานสฺสาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ พฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถสิฯ เอโก กิร สาวตฺถิวาสี พฺราหฺมโณ อจิรวตีตีเร เขตฺตกรณตฺถาย อรญฺญํ โกเฎสิฯ สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต มคฺคา โอกฺกมฺม เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กิํ กโรสิ พฺราหฺมณา’’ติ วตฺวา ‘‘เขตฺตฎฺฐานํ โกฎาเปมิ โภ, โคตมา’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ, พฺราหฺมณ, กมฺมํ กโรหี’’ติ วตฺวา อคมาสิฯ เอเตเนว อุปาเยน ฉินฺนรุเกฺข หาเรตฺวา เขตฺตสฺส โสธนกาเล กสนกาเล เกทารพนฺธนกาเล วปนกาเลติ ปุนปฺปุนํ คนฺตฺวา เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารมกาสิฯ วปนทิวเส ปน โส พฺราหฺมโณ ‘‘อชฺช, โภ โคตม, มยฺหํ วปฺปมงฺคลํ, อหํ อิมสฺมิํ สเสฺส นิปฺผเนฺน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ สตฺถา ตุณฺหีภาเวน อธิวาเสตฺวา ปกฺกามิฯ ปุเนกทิวสํ พฺราหฺมโณ สสฺสํ โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ สตฺถาปิ ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘กิํ กโรสิ พฺราหฺมณา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สสฺสํ โอโลเกมิ โภ โคตมา’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ พฺราหฺมณา’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ ตทา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ ‘‘สมโณ โคตโม อภิณฺหํ อาคจฺฉติ, นิสฺสํสยํ ภเตฺตน อตฺถิโก, ทสฺสามหํ ตสฺส ภตฺต’’นฺติฯ ตเสฺสวํ จิเนฺตตฺวา เคหํ คตทิวเส สตฺถาปิ ตตฺถ อคมาสิฯ อถ พฺราหฺมณสฺส อติวิย วิสฺสาโส อโหสิฯ อปรภาเค ปริณเต สเสฺส ‘‘เสฺว เขตฺตํ ลายิสฺสามี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา นิปเนฺน พฺราหฺมเณ อจิรวติยา อุปริ สพฺพรตฺติํ กรกวสฺสํ วสฺสิฯ มโหโฆ อาคนฺตฺวา เอกนาฬิมตฺตมฺปิ อนวเสสํ กตฺวา สพฺพํ สสฺสํ สมุทฺทํ ปเวเสสิฯ พฺราหฺมโณ โอฆมฺหิ ปติเต สสฺสวินาสํ โอโลเกตฺวา สกภาเวน สณฺฐาตุํ นาโหสิ, พลวโสกาภิภูโต หเตฺถน อุรํ ปหริตฺวา ปริเทวมาโน โรทโนฺต นิปชฺชิฯ
Kāmaṃkāmayamānassāti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ brāhmaṇaṃ ārabbha kathesi. Eko kira sāvatthivāsī brāhmaṇo aciravatītīre khettakaraṇatthāya araññaṃ koṭesi. Satthā tassa upanissayaṃ disvā sāvatthiṃ piṇḍāya pavisanto maggā okkamma tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘‘kiṃ karosi brāhmaṇā’’ti vatvā ‘‘khettaṭṭhānaṃ koṭāpemi bho, gotamā’’ti vutte ‘‘sādhu, brāhmaṇa, kammaṃ karohī’’ti vatvā agamāsi. Eteneva upāyena chinnarukkhe hāretvā khettassa sodhanakāle kasanakāle kedārabandhanakāle vapanakāleti punappunaṃ gantvā tena saddhiṃ paṭisanthāramakāsi. Vapanadivase pana so brāhmaṇo ‘‘ajja, bho gotama, mayhaṃ vappamaṅgalaṃ, ahaṃ imasmiṃ sasse nipphanne buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ dassāmī’’ti āha. Satthā tuṇhībhāvena adhivāsetvā pakkāmi. Punekadivasaṃ brāhmaṇo sassaṃ olokento aṭṭhāsi. Satthāpi tattha gantvā ‘‘kiṃ karosi brāhmaṇā’’ti pucchitvā ‘‘sassaṃ olokemi bho gotamā’’ti vutte ‘‘sādhu brāhmaṇā’’ti vatvā pakkāmi. Tadā brāhmaṇo cintesi ‘‘samaṇo gotamo abhiṇhaṃ āgacchati, nissaṃsayaṃ bhattena atthiko, dassāmahaṃ tassa bhatta’’nti. Tassevaṃ cintetvā gehaṃ gatadivase satthāpi tattha agamāsi. Atha brāhmaṇassa ativiya vissāso ahosi. Aparabhāge pariṇate sasse ‘‘sve khettaṃ lāyissāmī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā nipanne brāhmaṇe aciravatiyā upari sabbarattiṃ karakavassaṃ vassi. Mahogho āgantvā ekanāḷimattampi anavasesaṃ katvā sabbaṃ sassaṃ samuddaṃ pavesesi. Brāhmaṇo oghamhi patite sassavināsaṃ oloketvā sakabhāvena saṇṭhātuṃ nāhosi, balavasokābhibhūto hatthena uraṃ paharitvā paridevamāno rodanto nipajji.
สตฺถา ปจฺจูสสมเย โสกาภิภูตํ พฺราหฺมณํ ทิสฺวา ‘‘พฺราหฺมณสฺสาวสฺสโย ภวิสฺสามี’’ติ ปุนทิวเส สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ภิกฺขู วิหารํ เปเสตฺวา ปจฺฉาสมเณน สทฺธิํ ตสฺส เคหทฺวารํ อคมาสิฯ พฺราหฺมโณ สตฺถุ อาคตภาวํ สุตฺวา ‘‘ปฎิสนฺถารตฺถาย เม สหาโย อาคโต ภวิสฺสตี’’ติ ปฎิลทฺธสฺสาโส อาสนํ ปญฺญเปสิฯ สตฺถา ปวิสิตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, กสฺมา ตฺวํ ทุมฺมโนสิ, กิํ เต อผาสุก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โภ โคตม, อจิรวตีตีเร มยา รุกฺขเจฺฉทนโต ปฎฺฐาย กตํ กมฺมํ ตุเมฺห ชานาถ, อหํ ‘‘อิมสฺมิํ สเสฺส นิปฺผเนฺน ตุมฺหากํ ทานํ ทสฺสามี’’ติ วิจรามิ, อิทานิ เม สพฺพํ ตํ สสฺสํ มโหโฆ สมุทฺทเมว ปเวเสสิ, กิญฺจิ อวสิฎฺฐํ นตฺถิ, สกฎสตมตฺตํ ธญฺญํ วินฎฺฐํ, เตน เม มหาโสโก อุปฺปโนฺนติฯ ‘‘กิํ ปน, พฺราหฺมณ, โสจนฺตสฺส นฎฺฐํ ปุนาคจฺฉตี’’ติฯ ‘‘โน เหตํ โภ โคตมา’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต กสฺมา โสจสิ, อิเมสํ สตฺตานํ ธนธญฺญํ นาม อุปฺปชฺชนกาเล อุปฺปชฺชติ, นสฺสนกาเล นสฺสติ, กิญฺจิ สงฺขารคตํ อนสฺสนธมฺมํ นาม นตฺถิ, มา จินฺตยี’’ติฯ อิติ นํ สตฺถา สมสฺสาเสตฺวา ตสฺส สปฺปายธมฺมํ เทเสโนฺต กามสุตฺตํ (สุ. นิ. ๗๗๒ อาทโย) กเถสิฯ สุตฺตปริโยสาเน โสจโนฺต พฺราหฺมโณ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ สตฺถา ตํ นิโสฺสกํ กตฺวา อุฎฺฐายาสนา วิหารํ อคมาสิฯ ‘‘สตฺถา อสุกํ นาม พฺราหฺมณํ โสกสลฺลสมปฺปิตํ นิโสฺสกํ กตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสี’’ติ สกลนครํ อญฺญาสิฯ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, ทสพโล พฺราหฺมเณน สทฺธิํ มิตฺตํ กตฺวา วิสฺสาสิโก หุตฺวา อุปาเยเนว ตสฺส โสกสลฺลสมปฺปิตสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา ตํ นิโสฺสกํ กตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปาหํ เอตํ นิโสฺสกมกาสิ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Satthā paccūsasamaye sokābhibhūtaṃ brāhmaṇaṃ disvā ‘‘brāhmaṇassāvassayo bhavissāmī’’ti punadivase sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā piṇḍapātapaṭikkanto bhikkhū vihāraṃ pesetvā pacchāsamaṇena saddhiṃ tassa gehadvāraṃ agamāsi. Brāhmaṇo satthu āgatabhāvaṃ sutvā ‘‘paṭisanthāratthāya me sahāyo āgato bhavissatī’’ti paṭiladdhassāso āsanaṃ paññapesi. Satthā pavisitvā paññattāsane nisīditvā ‘‘brāhmaṇa, kasmā tvaṃ dummanosi, kiṃ te aphāsuka’’nti pucchi. Bho gotama, aciravatītīre mayā rukkhacchedanato paṭṭhāya kataṃ kammaṃ tumhe jānātha, ahaṃ ‘‘imasmiṃ sasse nipphanne tumhākaṃ dānaṃ dassāmī’’ti vicarāmi, idāni me sabbaṃ taṃ sassaṃ mahogho samuddameva pavesesi, kiñci avasiṭṭhaṃ natthi, sakaṭasatamattaṃ dhaññaṃ vinaṭṭhaṃ, tena me mahāsoko uppannoti. ‘‘Kiṃ pana, brāhmaṇa, socantassa naṭṭhaṃ punāgacchatī’’ti. ‘‘No hetaṃ bho gotamā’’ti. ‘‘Evaṃ sante kasmā socasi, imesaṃ sattānaṃ dhanadhaññaṃ nāma uppajjanakāle uppajjati, nassanakāle nassati, kiñci saṅkhāragataṃ anassanadhammaṃ nāma natthi, mā cintayī’’ti. Iti naṃ satthā samassāsetvā tassa sappāyadhammaṃ desento kāmasuttaṃ (su. ni. 772 ādayo) kathesi. Suttapariyosāne socanto brāhmaṇo sotāpattiphale patiṭṭhahi. Satthā taṃ nissokaṃ katvā uṭṭhāyāsanā vihāraṃ agamāsi. ‘‘Satthā asukaṃ nāma brāhmaṇaṃ sokasallasamappitaṃ nissokaṃ katvā sotāpattiphale patiṭṭhāpesī’’ti sakalanagaraṃ aññāsi. Bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, dasabalo brāhmaṇena saddhiṃ mittaṃ katvā vissāsiko hutvā upāyeneva tassa sokasallasamappitassa dhammaṃ desetvā taṃ nissokaṃ katvā sotāpattiphale patiṭṭhāpesī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepāhaṃ etaṃ nissokamakāsi’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺตสฺส รโญฺญ เทฺว ปุตฺตา อเหสุํฯ โส เชฎฺฐกสฺส อุปรชฺชํ อทาสิ, กนิฎฺฐสฺส เสนาปติฎฺฐานํฯ อปรภาเค พฺรหฺมทเตฺต กาลกเต อมจฺจา เชฎฺฐกสฺส อภิเสกํ ปฎฺฐเปสุํฯ โส ‘‘น มยฺหํ รเชฺชนโตฺถ, กนิฎฺฐสฺส เม เทถา’’ติ วตฺวา ปุนปฺปุนํ ยาจิยมาโนปิ ปฎิกฺขิปิตฺวา กนิฎฺฐสฺส อภิเสเก กเต ‘‘น เม อิสฺสริเยนโตฺถ’’ติ อุปรชฺชาทีนิปิ น อิจฺฉิฯ ‘‘เตน หิ สาทูนิ โภชนานิ ภุญฺชโนฺต อิเธว วสาหี’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘น เม อิมสฺมิํ นคเร กิจฺจํ อตฺถี’’ติ พาราณสิโต นิกฺขมิตฺวา ปจฺจนฺตํ คนฺตฺวา เอกํ เสฎฺฐิกุลํ นิสฺสาย สหเตฺถน กมฺมํ กโรโนฺต วสิฯ เต อปรภาเค ตสฺส ราชกุมารภาวํ ญตฺวา กมฺมํ กาตุํ นาทํสุ, กุมารปริหาเรเนว ตํ ปริหริํสุฯ อปรภาเค ราชกมฺมิกา เขตฺตปฺปมาณคฺคหณตฺถาย ตํ คามํ อคมํสุฯ เสฎฺฐิ ราชกุมารํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘สามิ, มยํ ตุเมฺห โปเสม, กนิฎฺฐภาติกสฺส ปณฺณํ เปเสตฺวา อมฺหากํ พลิํ หาเรถา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘อหํ อสุกเสฎฺฐิกุลํ นาม อุปนิสฺสาย วสามิ, มํ นิสฺสาย เอเตสํ พลิํ วิสฺสเชฺชหี’’ติ ปณฺณํ เปเสสิฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา ตถา กาเรสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadattassa rañño dve puttā ahesuṃ. So jeṭṭhakassa uparajjaṃ adāsi, kaniṭṭhassa senāpatiṭṭhānaṃ. Aparabhāge brahmadatte kālakate amaccā jeṭṭhakassa abhisekaṃ paṭṭhapesuṃ. So ‘‘na mayhaṃ rajjenattho, kaniṭṭhassa me dethā’’ti vatvā punappunaṃ yāciyamānopi paṭikkhipitvā kaniṭṭhassa abhiseke kate ‘‘na me issariyenattho’’ti uparajjādīnipi na icchi. ‘‘Tena hi sādūni bhojanāni bhuñjanto idheva vasāhī’’ti vuttepi ‘‘na me imasmiṃ nagare kiccaṃ atthī’’ti bārāṇasito nikkhamitvā paccantaṃ gantvā ekaṃ seṭṭhikulaṃ nissāya sahatthena kammaṃ karonto vasi. Te aparabhāge tassa rājakumārabhāvaṃ ñatvā kammaṃ kātuṃ nādaṃsu, kumāraparihāreneva taṃ parihariṃsu. Aparabhāge rājakammikā khettappamāṇaggahaṇatthāya taṃ gāmaṃ agamaṃsu. Seṭṭhi rājakumāraṃ upasaṅkamitvā ‘‘sāmi, mayaṃ tumhe posema, kaniṭṭhabhātikassa paṇṇaṃ pesetvā amhākaṃ baliṃ hārethā’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘ahaṃ asukaseṭṭhikulaṃ nāma upanissāya vasāmi, maṃ nissāya etesaṃ baliṃ vissajjehī’’ti paṇṇaṃ pesesi. Rājā ‘‘sādhū’’ti vatvā tathā kāresi.
อถ นํ สกลคามวาสิโนปิ ชนปทวาสิโนปิ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘มยํ ตุมฺหากเญฺญว พลิํ ทสฺสาม, อมฺหากมฺปิ สุงฺกํ วิสฺสชฺชาเปหี’’ติ อาหํสุฯ โส เตสมฺปิ อตฺถาย ปณฺณํ เปเสตฺวา วิสฺสชฺชาเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย เต ตเสฺสว พลิํ อทํสุฯ อถสฺส มหาลาภสกฺกาโร อโหสิ, เตน สทฺธิเญฺญวสฺส ตณฺหาปิ มหตี ชาตาฯ โส อปรภาเคปิ สพฺพํ ชนปทํ ยาจิ, อุปฑฺฒรชฺชํ ยาจิ, กนิโฎฺฐปิ ตสฺส อทาสิเยวฯ โส ตณฺหาย วฑฺฒมานาย อุปฑฺฒรเชฺชนปิ อสนฺตุโฎฺฐ ‘‘รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ชนปทปริวุโต ตํ นครํ คนฺตฺวา พหินคเร ฐตฺวา ‘‘รชฺชํ วา เม เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติ กนิฎฺฐสฺส ปณฺณํ ปหิณิฯ กนิโฎฺฐ จิเนฺตสิ ‘‘อยํ พาโล ปุเพฺพ รชฺชมฺปิ อุปรชฺชาทีนิปิ ปฎิกฺขิปิตฺวา อิทานิ ‘ยุเทฺธน คณฺหามี’ติ วทติ, สเจ โข ปนาหํ อิมํ ยุเทฺธน มาเรสฺสามิ, ครหา เม ภวิสฺสติ, กิํ เม รเชฺชนา’’ติฯ อถสฺส ‘‘อลํ ยุเทฺธน, รชฺชํ คณฺหตู’’ติ เปเสสิฯ โส รชฺชํ คณฺหิตฺวา กนิฎฺฐสฺส อุปรชฺชํ ทตฺวา ตโต ปฎฺฐาย รชฺชํ กาเรโนฺต ตณฺหาวสิโก หุตฺวา เอเกน รเชฺชน อสนฺตุโฎฺฐ เทฺว ตีณิ รชฺชานิ ปเตฺถตฺวา ตณฺหาย โกฎิํ นาทฺทสฯ
Atha naṃ sakalagāmavāsinopi janapadavāsinopi upasaṅkamitvā ‘‘mayaṃ tumhākaññeva baliṃ dassāma, amhākampi suṅkaṃ vissajjāpehī’’ti āhaṃsu. So tesampi atthāya paṇṇaṃ pesetvā vissajjāpesi. Tato paṭṭhāya te tasseva baliṃ adaṃsu. Athassa mahālābhasakkāro ahosi, tena saddhiññevassa taṇhāpi mahatī jātā. So aparabhāgepi sabbaṃ janapadaṃ yāci, upaḍḍharajjaṃ yāci, kaniṭṭhopi tassa adāsiyeva. So taṇhāya vaḍḍhamānāya upaḍḍharajjenapi asantuṭṭho ‘‘rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti janapadaparivuto taṃ nagaraṃ gantvā bahinagare ṭhatvā ‘‘rajjaṃ vā me detu yuddhaṃ vā’’ti kaniṭṭhassa paṇṇaṃ pahiṇi. Kaniṭṭho cintesi ‘‘ayaṃ bālo pubbe rajjampi uparajjādīnipi paṭikkhipitvā idāni ‘yuddhena gaṇhāmī’ti vadati, sace kho panāhaṃ imaṃ yuddhena māressāmi, garahā me bhavissati, kiṃ me rajjenā’’ti. Athassa ‘‘alaṃ yuddhena, rajjaṃ gaṇhatū’’ti pesesi. So rajjaṃ gaṇhitvā kaniṭṭhassa uparajjaṃ datvā tato paṭṭhāya rajjaṃ kārento taṇhāvasiko hutvā ekena rajjena asantuṭṭho dve tīṇi rajjāni patthetvā taṇhāya koṭiṃ nāddasa.
ตทา สโกฺก เทวราชา ‘‘เก นุ โข โลเก มาตาปิตโร อุปฎฺฐหนฺติ, เก ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรนฺติ, เก ตณฺหาวสิกา’’ติ โอโลเกโนฺต ตสฺส ตณฺหาวสิกภาวํ ญตฺวา ‘‘อยํ พาโล พาราณสิรเชฺชนปิ น ตุสฺสติ, อหํ สิกฺขาเปสฺสามิ น’’นฺติ มาณวกเวเสน ราชทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘เอโก อุปายกุสโล มาณโว ทฺวาเร ฐิโต’’ติ อาโรจาเปตฺวา ‘‘ปวิสตู’’ติ วุเตฺต ปวิสิตฺวา ราชานํ ชยาเปตฺวา ‘‘กิํการณา อาคโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘มหาราช ตุมฺหากํ กิญฺจิ วตฺตพฺพํ อตฺถิ, รโห ปจฺจาสีสามี’’ติ อาหฯ สกฺกานุภาเวน ตาวเทว มนุสฺสา ปฎิกฺกมิํสุฯ อถ นํ มาณโว ‘‘อหํ, มหาราช, ผีตานิ อากิณฺณมนุสฺสานิ สมฺปนฺนพลวาหนานิ ตีณิ นครานิ ปสฺสามิ, อหํ เต อตฺตโน อานุภาเวน เตสุ รชฺชํ คเหตฺวา ทสฺสามิ, ปปญฺจํ อกตฺวา สีฆํ คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ โส ตณฺหาวสิโก ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สกฺกานุภาเวน ‘‘โก วา ตฺวํ, กุโต วา อาคโต, กิํ วา เต ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ น ปุจฺฉิฯ โสปิ เอตฺตกํ วตฺวา ตาวติํสภวนเมว อคมาสิฯ
Tadā sakko devarājā ‘‘ke nu kho loke mātāpitaro upaṭṭhahanti, ke dānādīni puññāni karonti, ke taṇhāvasikā’’ti olokento tassa taṇhāvasikabhāvaṃ ñatvā ‘‘ayaṃ bālo bārāṇasirajjenapi na tussati, ahaṃ sikkhāpessāmi na’’nti māṇavakavesena rājadvāre ṭhatvā ‘‘eko upāyakusalo māṇavo dvāre ṭhito’’ti ārocāpetvā ‘‘pavisatū’’ti vutte pavisitvā rājānaṃ jayāpetvā ‘‘kiṃkāraṇā āgatosī’’ti vutte ‘‘mahārāja tumhākaṃ kiñci vattabbaṃ atthi, raho paccāsīsāmī’’ti āha. Sakkānubhāvena tāvadeva manussā paṭikkamiṃsu. Atha naṃ māṇavo ‘‘ahaṃ, mahārāja, phītāni ākiṇṇamanussāni sampannabalavāhanāni tīṇi nagarāni passāmi, ahaṃ te attano ānubhāvena tesu rajjaṃ gahetvā dassāmi, papañcaṃ akatvā sīghaṃ gantuṃ vaṭṭatī’’ti āha. So taṇhāvasiko rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā sakkānubhāvena ‘‘ko vā tvaṃ, kuto vā āgato, kiṃ vā te laddhuṃ vaṭṭatī’’ti na pucchi. Sopi ettakaṃ vatvā tāvatiṃsabhavanameva agamāsi.
ราชา อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอโก มาณโว ‘อมฺหากํ ตีณิ รชฺชานิ คเหตฺวา ทสฺสามี’ติ อาห, ตํ ปโกฺกสถ, นคเร เภริํ จราเปตฺวา พลกายํ สนฺนิปาตาเปถ, ปปญฺจํ อกตฺวา ตีณิ รชฺชานิ คณฺหิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘กิํ ปน เต, มหาราช, ตสฺส มาณวสฺส สกฺกาโร วา กโต, นิวาสฎฺฐานํ วา ปุจฺฉิต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เนว สกฺการํ อกาสิํ, น นิวาสฎฺฐานํ ปุจฺฉิํ, คจฺฉถ นํ อุปธาเรถา’’ติ อาหฯ อุปธาเรนฺตา นํ อทิสฺวา ‘‘มหาราช, สกลนคเร มาณวํ น ปสฺสามา’’ติ อาโรเจสุํฯ ตํ สุตฺวา ราชา โทมนสฺสชาโต ‘‘ตีสุ นคเรสุ รชฺชํ นฎฺฐํ, มหเนฺตนมฺหิ ยเสน ปริหีโน, ‘เนว เม ปริพฺพยํ อทาสิ, น จ ปุจฺฉิ นิวาสฎฺฐาน’นฺติ มยฺหํ กุชฺฌิตฺวา มาณโว อนาคโต ภวิสฺสตี’’ติ ปุนปฺปุนํ จิเนฺตสิฯ อถสฺส ตณฺหาวสิกสฺส สรีเร ฑาโห อุปฺปชฺชิ, สรีเร ปริฑยฺหเนฺต อุทรํ โขเภตฺวา โลหิตปกฺขนฺทิกา อุทปาทิฯ เอกํ ภาชนํ ปวิสติ, เอกํ นิกฺขมติ, เวชฺชา ติกิจฺฉิตุํ น สโกฺกนฺติ, ราชา กิลมติฯ อถสฺส พฺยาธิตภาโว สกลนคเร ปากโฎ อโหสิฯ
Rājā amacce pakkosāpetvā ‘‘eko māṇavo ‘amhākaṃ tīṇi rajjāni gahetvā dassāmī’ti āha, taṃ pakkosatha, nagare bheriṃ carāpetvā balakāyaṃ sannipātāpetha, papañcaṃ akatvā tīṇi rajjāni gaṇhissāmī’’ti vatvā ‘‘kiṃ pana te, mahārāja, tassa māṇavassa sakkāro vā kato, nivāsaṭṭhānaṃ vā pucchita’’nti vutte ‘‘neva sakkāraṃ akāsiṃ, na nivāsaṭṭhānaṃ pucchiṃ, gacchatha naṃ upadhārethā’’ti āha. Upadhārentā naṃ adisvā ‘‘mahārāja, sakalanagare māṇavaṃ na passāmā’’ti ārocesuṃ. Taṃ sutvā rājā domanassajāto ‘‘tīsu nagaresu rajjaṃ naṭṭhaṃ, mahantenamhi yasena parihīno, ‘neva me paribbayaṃ adāsi, na ca pucchi nivāsaṭṭhāna’nti mayhaṃ kujjhitvā māṇavo anāgato bhavissatī’’ti punappunaṃ cintesi. Athassa taṇhāvasikassa sarīre ḍāho uppajji, sarīre pariḍayhante udaraṃ khobhetvā lohitapakkhandikā udapādi. Ekaṃ bhājanaṃ pavisati, ekaṃ nikkhamati, vejjā tikicchituṃ na sakkonti, rājā kilamati. Athassa byādhitabhāvo sakalanagare pākaṭo ahosi.
ตทา โพธิสโตฺต ตกฺกสิลโต สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา พาราณสินคเร มาตาปิตูนํ สนฺติกํ อาคโต ตํ รโญฺญ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘อหํ ติกิจฺฉิสฺสามี’’ติ ราชทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘เอโก กิร ตรุณมาณโว ตุเมฺห ติกิจฺฉิตุํ อาคโต’’ติ อาโรจาเปสิฯ ราชา ‘‘มหนฺตมหนฺตา ทิสาปาโมกฺขเวชฺชาปิ มํ ติกิจฺฉิตุํ น สโกฺกนฺติ, กิํ ตรุณมาณโว สกฺขิสฺสติ, ปริพฺพยํ ทตฺวา วิสฺสเชฺชถ น’’นฺติ อาหฯ ตํ สุตฺวา มาณโว ‘‘มยฺหํ เวชฺชกเมฺมน เวตนํ นตฺถิ, อหํ ติกิจฺฉามิ, เกวลํ เภสชฺชมูลมตฺตํ เทตู’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘สาธู’’ติ ปโกฺกสาเปสิฯ มาณโว ราชานํ วนฺทิตฺวา ‘‘มา ภายิ, มหาราช, อหํ เต ติกิจฺฉามิ, อปิจ โข ปน เม โรคสฺส สมุฎฺฐานํ อาจิกฺขาหี’’ติ อาหฯ ราชา หรายมาโน ‘‘กิํ เต สมุฎฺฐาเนน, เภสชฺชํ เอว กโรหี’’ติ อาหฯ มหาราช, เวชฺชา นาม ‘‘อยํ พฺยาธิ อิมํ นิสฺสาย สมุฎฺฐิโต’’ติ ญตฺวา อนุจฺฉวิกํ เภสชฺชํ กโรนฺตีติฯ ราชา ‘‘สาธุ ตาตา’’ติ สมุฎฺฐานํ กเถโนฺต ‘‘เอเกน มาณเวน อาคนฺตฺวา ตีสุ นคเรสุ รชฺชํ คเหตฺวา ทสฺสามี’’ติอาทิํ กตฺวา สพฺพํ กเถตฺวา ‘‘อิติ เม ตาต, ตณฺหํ นิสฺสาย พฺยาธิ อุปฺปโนฺน, สเจ ติกิจฺฉิตุํ สโกฺกสิ, ติกิจฺฉาหี’’ติ อาหฯ กิํ ปน มหาราช, โสจนาย ตานิ นครานิ สกฺกา ลทฺธุนฺติ? ‘‘น สกฺกา ตาตา’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต กสฺมา โสจสิ, มหาราช, สพฺพเมว หิ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกวตฺถุํ อตฺตโน กายํ อาทิํ กตฺวา ปหาย คมนียํ , จตูสุ นคเรสุ รชฺชํ คเหตฺวาปิ ตฺวํ เอกปฺปหาเรเนว น จตโสฺส ภตฺตปาติโย ภุญฺชิสฺสสิ, น จตูสุ สยเนสุ สยิสฺสสิ, น จตฺตาริ วตฺถยุคานิ อจฺฉาเทสฺสสิ, ตณฺหาวสิเกน นาม ภวิตุํ น วฎฺฎติ, อยญฺหิ ตณฺหา นาม วฑฺฒมานา จตูหิ อปาเยหิ มุจฺจิตุํ น เทตีติฯ
Tadā bodhisatto takkasilato sabbasippāni uggaṇhitvā bārāṇasinagare mātāpitūnaṃ santikaṃ āgato taṃ rañño pavattiṃ sutvā ‘‘ahaṃ tikicchissāmī’’ti rājadvāraṃ gantvā ‘‘eko kira taruṇamāṇavo tumhe tikicchituṃ āgato’’ti ārocāpesi. Rājā ‘‘mahantamahantā disāpāmokkhavejjāpi maṃ tikicchituṃ na sakkonti, kiṃ taruṇamāṇavo sakkhissati, paribbayaṃ datvā vissajjetha na’’nti āha. Taṃ sutvā māṇavo ‘‘mayhaṃ vejjakammena vetanaṃ natthi, ahaṃ tikicchāmi, kevalaṃ bhesajjamūlamattaṃ detū’’ti āha. Taṃ sutvā rājā ‘‘sādhū’’ti pakkosāpesi. Māṇavo rājānaṃ vanditvā ‘‘mā bhāyi, mahārāja, ahaṃ te tikicchāmi, apica kho pana me rogassa samuṭṭhānaṃ ācikkhāhī’’ti āha. Rājā harāyamāno ‘‘kiṃ te samuṭṭhānena, bhesajjaṃ eva karohī’’ti āha. Mahārāja, vejjā nāma ‘‘ayaṃ byādhi imaṃ nissāya samuṭṭhito’’ti ñatvā anucchavikaṃ bhesajjaṃ karontīti. Rājā ‘‘sādhu tātā’’ti samuṭṭhānaṃ kathento ‘‘ekena māṇavena āgantvā tīsu nagaresu rajjaṃ gahetvā dassāmī’’tiādiṃ katvā sabbaṃ kathetvā ‘‘iti me tāta, taṇhaṃ nissāya byādhi uppanno, sace tikicchituṃ sakkosi, tikicchāhī’’ti āha. Kiṃ pana mahārāja, socanāya tāni nagarāni sakkā laddhunti? ‘‘Na sakkā tātā’’ti. ‘‘Evaṃ sante kasmā socasi, mahārāja, sabbameva hi saviññāṇakāviññāṇakavatthuṃ attano kāyaṃ ādiṃ katvā pahāya gamanīyaṃ , catūsu nagaresu rajjaṃ gahetvāpi tvaṃ ekappahāreneva na catasso bhattapātiyo bhuñjissasi, na catūsu sayanesu sayissasi, na cattāri vatthayugāni acchādessasi, taṇhāvasikena nāma bhavituṃ na vaṭṭati, ayañhi taṇhā nāma vaḍḍhamānā catūhi apāyehi muccituṃ na detīti.
อิติ นํ มหาสโตฺต โอวทิตฺวา อถสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมา คาถา อภาสิ –
Iti naṃ mahāsatto ovaditvā athassa dhammaṃ desento imā gāthā abhāsi –
๓๗.
37.
‘‘กามํ กามยมานสฺส, ตสฺส เจ ตํ สมิชฺฌติ;
‘‘Kāmaṃ kāmayamānassa, tassa ce taṃ samijjhati;
อทฺธา ปีติมโน โหติ, ลทฺธา มโจฺจ ยทิจฺฉติฯ
Addhā pītimano hoti, laddhā macco yadicchati.
๓๘.
38.
‘‘กามํ กามยมานสฺส, ตสฺส เจ ตํ สมิชฺฌติ;
‘‘Kāmaṃ kāmayamānassa, tassa ce taṃ samijjhati;
ตโต นํ อปรํ กาเม, ฆเมฺม ตณฺหํว วินฺทติฯ
Tato naṃ aparaṃ kāme, ghamme taṇhaṃva vindati.
๓๙.
39.
‘‘ควํว สิงฺคิโน สิงฺคํ, วฑฺฒมานสฺส วฑฺฒติ;
‘‘Gavaṃva siṅgino siṅgaṃ, vaḍḍhamānassa vaḍḍhati;
เอวํ มนฺทสฺส โปสสฺส, พาลสฺส อวิชานโต;
Evaṃ mandassa posassa, bālassa avijānato;
ภิโยฺย ตณฺหา ปิปาสา จ, วฑฺฒมานสฺส วฑฺฒติฯ
Bhiyyo taṇhā pipāsā ca, vaḍḍhamānassa vaḍḍhati.
๔๐.
40.
‘‘ปถพฺยา สาลิยวกํ, ควาสฺสํ ทาสโปริสํ;
‘‘Pathabyā sāliyavakaṃ, gavāssaṃ dāsaporisaṃ;
ทตฺวา จ นาลเมกสฺส, อิติ วิทฺวา สมํ จเรฯ
Datvā ca nālamekassa, iti vidvā samaṃ care.
๔๑.
41.
‘‘ราชา ปสยฺห ปถวิํ วิชิตฺวา, สสาครนฺตํ มหิมาวสโนฺต;
‘‘Rājā pasayha pathaviṃ vijitvā, sasāgarantaṃ mahimāvasanto;
โอรํ สมุทฺทสฺส อติตฺตรูโป, ปารํ สมุทฺทสฺสปิ ปตฺถเยถฯ
Oraṃ samuddassa atittarūpo, pāraṃ samuddassapi patthayetha.
๔๒.
42.
‘‘ยาว อนุสฺสรํ กาเม, มนสา ติตฺติ นาชฺฌคา;
‘‘Yāva anussaraṃ kāme, manasā titti nājjhagā;
ตโต นิวตฺตา ปฎิกฺกมฺม ทิสฺวา, เต เว สุติตฺตา เย ปญฺญาย ติตฺตาฯ
Tato nivattā paṭikkamma disvā, te ve sutittā ye paññāya tittā.
๔๓.
43.
‘‘ปญฺญาย ติตฺตินํ เสฎฺฐํ, น โส กาเมหิ ตปฺปติ;
‘‘Paññāya tittinaṃ seṭṭhaṃ, na so kāmehi tappati;
ปญฺญาย ติตฺตํ ปุริสํ, ตณฺหา น กุรุเต วสํฯ
Paññāya tittaṃ purisaṃ, taṇhā na kurute vasaṃ.
๔๔.
44.
‘‘อปจิเนเถว กามานํ, อปฺปิจฺฉสฺส อโลลุโป;
‘‘Apacinetheva kāmānaṃ, appicchassa alolupo;
สมุทฺทมโตฺต ปุริโส, น โส กาเมหิ ตปฺปติฯ
Samuddamatto puriso, na so kāmehi tappati.
๔๕.
45.
‘‘รถกาโรว จมฺมสฺส, ปริกนฺตํ อุปาหนํ;
‘‘Rathakārova cammassa, parikantaṃ upāhanaṃ;
ยํ ยํ จชติ กามานํ, ตํ ตํ สมฺปชฺชเต สุขํ;
Yaṃ yaṃ cajati kāmānaṃ, taṃ taṃ sampajjate sukhaṃ;
สพฺพเญฺจ สุขมิเจฺฉยฺย, สเพฺพ กาเม ปริจฺจเช’’ติฯ
Sabbañce sukhamiccheyya, sabbe kāme pariccaje’’ti.
ตตฺถ กามนฺติ วตฺถุกามมฺปิ กิเลสกามมฺปิฯ กามยมานสฺสาติ ปตฺถยมานสฺสฯ ตสฺส เจ ตํ สมิชฺฌตีติ ตสฺส ปุคฺคลสฺส ตํ กามิตวตฺถุ สมิชฺฌติ เจ, นิปฺผชฺชติ เจติ อโตฺถฯ ตโต นํ อปรํ กาเมติ เอตฺถ นนฺติ นิปาตมตฺตํฯ อปรนฺติ ปรภาคทีปนํฯ กาเมติ อุปโยคพหุวจนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ กามํ กามยมานสฺส ตํ กามิตวตฺถุ สมิชฺฌติ, ตสฺมิํ สมิเทฺธ ตโต ปรํ โส ปุคฺคโล กามยมาโน ยถา นาม ฆเมฺม คิมฺหกาเล วาตาตเปน กิลโนฺต ตณฺหํ วินฺทติ, ปานียปิปาสํ ปฎิลภติ, เอวํ ภิโยฺย กามตณฺหาสงฺขาเต กาเม วินฺทติ ปฎิลภติ, รูปตณฺหาทิกา ตณฺหา จสฺส วฑฺฒติเยวาติฯ ควํวาติ โครูปสฺส วิยฯ สิงฺคิโนติ มตฺถกํ ปทาเลตฺวา อุฎฺฐิตสิงฺคสฺสฯ มนฺทสฺสาติ มนฺทปญฺญสฺสฯ พาลสฺสาติ พาลธเมฺม ยุตฺตสฺสฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา วจฺฉกสฺส วฑฺฒนฺตสฺส สรีเรเนว สทฺธิํ สิงฺคํ วฑฺฒติ, เอวํ อนฺธพาลสฺสปิ อปฺปตฺตกามตณฺหา จ ปตฺตกามปิปาสา จ อปราปรํ วฑฺฒตีติฯ
Tattha kāmanti vatthukāmampi kilesakāmampi. Kāmayamānassāti patthayamānassa. Tassa ce taṃ samijjhatīti tassa puggalassa taṃ kāmitavatthu samijjhati ce, nipphajjati ceti attho. Tato naṃ aparaṃ kāmeti ettha nanti nipātamattaṃ. Aparanti parabhāgadīpanaṃ. Kāmeti upayogabahuvacanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace kāmaṃ kāmayamānassa taṃ kāmitavatthu samijjhati, tasmiṃ samiddhe tato paraṃ so puggalo kāmayamāno yathā nāma ghamme gimhakāle vātātapena kilanto taṇhaṃ vindati, pānīyapipāsaṃ paṭilabhati, evaṃ bhiyyo kāmataṇhāsaṅkhāte kāme vindati paṭilabhati, rūpataṇhādikā taṇhā cassa vaḍḍhatiyevāti. Gavaṃvāti gorūpassa viya. Siṅginoti matthakaṃ padāletvā uṭṭhitasiṅgassa. Mandassāti mandapaññassa. Bālassāti bāladhamme yuttassa. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā vacchakassa vaḍḍhantassa sarīreneva saddhiṃ siṅgaṃ vaḍḍhati, evaṃ andhabālassapi appattakāmataṇhā ca pattakāmapipāsā ca aparāparaṃ vaḍḍhatīti.
สาลิยวกนฺติ สาลิเขตฺตยวเขตฺตํฯ เอเตน สาลิยวาทิกํ สพฺพํ ธญฺญํ ทเสฺสติ, ทุติยปเทน สพฺพํ ทฺวิปทจตุปฺปทํ ทเสฺสติฯ ปฐมปเทน วา สพฺพํ อวิญฺญาณกํ, อิตเรน สวิญฺญาณกํฯ ทตฺวา จาติ ทตฺวาปิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ติฎฺฐนฺตุ ตีณิ รชฺชานิ, สเจ โส มาณโว อญฺญํ วา สกลมฺปิ ปถวิํ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกรตนปูรํ กสฺสจิ ทตฺวา คเจฺฉยฺย, อิทมฺปิ เอตฺตกํ วตฺถุ เอกเสฺสว อปริยนฺตํ, เอวํ ทุปฺปูรา เอสา ตณฺหา นามฯ อิติ วิทฺวา สมํ จเรติ เอวํ ชานโนฺต ปุริโส ตณฺหาวสิโก อหุตฺวา กายสมาจาราทีนิ ปูเรโนฺต จเรยฺยฯ
Sāliyavakanti sālikhettayavakhettaṃ. Etena sāliyavādikaṃ sabbaṃ dhaññaṃ dasseti, dutiyapadena sabbaṃ dvipadacatuppadaṃ dasseti. Paṭhamapadena vā sabbaṃ aviññāṇakaṃ, itarena saviññāṇakaṃ. Datvā cāti datvāpi. Idaṃ vuttaṃ hoti – tiṭṭhantu tīṇi rajjāni, sace so māṇavo aññaṃ vā sakalampi pathaviṃ saviññāṇakāviññāṇakaratanapūraṃ kassaci datvā gaccheyya, idampi ettakaṃ vatthu ekasseva apariyantaṃ, evaṃ duppūrā esā taṇhā nāma. Iti vidvā samaṃ careti evaṃ jānanto puriso taṇhāvasiko ahutvā kāyasamācārādīni pūrento careyya.
โอรนฺติ โอริมโกฎฺฐาสํ ปตฺวา เตน อติตฺตรูโป ปุน สมุทฺทปารมฺปิ ปตฺถเยถฯ เอวํ ตณฺหาวสิกสตฺตา นาม ทุปฺปูราติ ทเสฺสติฯ ยาวาติ อนิยามิตปริเจฺฉโทฯ อนุสฺสรนฺติ อนุสฺสรโนฺตฯ นาชฺฌคาติ น วินฺทติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาราช, ปุริโส อปริยเนฺตปิ กาเม มนสา อนุสฺสรโนฺต ติตฺติํ น วินฺทติ, ปตฺตุกาโมว โหติ, เอวํ กาเมสุ สตฺตานํ ตณฺหา วฑฺฒเตวฯ ตโต นิวตฺตาติ ตโต ปน วตฺถุกามกิเลสกามโต จิเตฺตน นิวตฺติตฺวา กาเยน ปฎิกฺกมฺม ญาเณน อาทีนวํ ทิสฺวา เย ปญฺญาย ติตฺตา ปริปุณฺณา, เต ติตฺตา นามฯ
Oranti orimakoṭṭhāsaṃ patvā tena atittarūpo puna samuddapārampi patthayetha. Evaṃ taṇhāvasikasattā nāma duppūrāti dasseti. Yāvāti aniyāmitaparicchedo. Anussaranti anussaranto. Nājjhagāti na vindati. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahārāja, puriso apariyantepi kāme manasā anussaranto tittiṃ na vindati, pattukāmova hoti, evaṃ kāmesu sattānaṃ taṇhā vaḍḍhateva. Tato nivattāti tato pana vatthukāmakilesakāmato cittena nivattitvā kāyena paṭikkamma ñāṇena ādīnavaṃ disvā ye paññāya tittā paripuṇṇā, te tittā nāma.
ปญฺญาย ติตฺตินํ เสฎฺฐนฺติ ปญฺญาย ติตฺตีนํ อยํ ปริปุณฺณเสโฎฺฐ, อยเมว วา ปาโฐฯ น โส กาเมหิ ตปฺปตีติ ‘‘น หี’’ติปิ ปาโฐฯ ยสฺมา ปญฺญาย ติโตฺต ปุริโส กาเมหิ น ปริฑยฺหตีติ อโตฺถฯ น กุรุเต วสนฺติ ตาทิสญฺหิ ปุริสํ ตณฺหา วเส วเตฺตตุํ น สโกฺกติ, เสฺวว ปน ตณฺหาย อาทีนวํ ทิสฺวา สรภงฺคมาณโว วิย จ อฑฺฒมาสกราชา วิย จ ตณฺหาวเส น ปวตฺตตีติ อโตฺถฯ อปจิเนเถวาติ วิทฺธํเสเถวฯ สมุทฺทมโตฺตติ มหติยา ปญฺญาย สมนฺนาคตตฺตา สมุทฺทปฺปมาโณฯ โส มหเนฺตน อคฺคินาปิ สมุโทฺท วิย กิเลสกาเมหิ น ตปฺปติ น ฑยฺหติฯ
Paññāya tittinaṃ seṭṭhanti paññāya tittīnaṃ ayaṃ paripuṇṇaseṭṭho, ayameva vā pāṭho. Na so kāmehi tappatīti ‘‘na hī’’tipi pāṭho. Yasmā paññāya titto puriso kāmehi na pariḍayhatīti attho. Na kurute vasanti tādisañhi purisaṃ taṇhā vase vattetuṃ na sakkoti, sveva pana taṇhāya ādīnavaṃ disvā sarabhaṅgamāṇavo viya ca aḍḍhamāsakarājā viya ca taṇhāvase na pavattatīti attho. Apacinethevāti viddhaṃsetheva. Samuddamattoti mahatiyā paññāya samannāgatattā samuddappamāṇo. So mahantena aggināpi samuddo viya kilesakāmehi na tappati na ḍayhati.
รถกาโรติ จมฺมกาโรฯ ปริกนฺตนฺติ ปริกนฺตโนฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา จมฺมกาโร อุปาหนํ ปริกนฺตโนฺต ยํ ยํ จมฺมสฺส อคยฺหูปคฎฺฐานํ โหติ, ตํ ตํ จชิตฺวา อุปาหนํ กตฺวา อุปาหนมูลํ ลภิตฺวา สุขิโต โหติ, เอวเมว ปณฺฑิโต จมฺมการสตฺถสทิสาย ปญฺญาย กนฺตโนฺต ยํ ยํ โอธิํ กามานํ จชติ, เตน เตนสฺส กาโมธินา รหิตํ ตํ ตํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺมญฺจ สุขํ สมฺปชฺชติ วิคตทรถํ, สเจ ปน สพฺพมฺปิ กายกมฺมาทิสุขํ วิคตปริฬาหเมว อิเจฺฉยฺย, กสิณํ ภาเวตฺวา ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา สเพฺพ กาเม ปริจฺจเชติฯ
Rathakāroti cammakāro. Parikantanti parikantanto. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā cammakāro upāhanaṃ parikantanto yaṃ yaṃ cammassa agayhūpagaṭṭhānaṃ hoti, taṃ taṃ cajitvā upāhanaṃ katvā upāhanamūlaṃ labhitvā sukhito hoti, evameva paṇḍito cammakārasatthasadisāya paññāya kantanto yaṃ yaṃ odhiṃ kāmānaṃ cajati, tena tenassa kāmodhinā rahitaṃ taṃ taṃ kāyakammaṃ vacīkammaṃ manokammañca sukhaṃ sampajjati vigatadarathaṃ, sace pana sabbampi kāyakammādisukhaṃ vigatapariḷāhameva iccheyya, kasiṇaṃ bhāvetvā jhānaṃ nibbattetvā sabbe kāme pariccajeti.
โพธิสตฺตสฺส ปน อิมํ คาถํ กเถนฺตสฺส รโญฺญ เสตจฺฉตฺตํ อารมฺมณํ กตฺวา โอทาตกสิณชฺฌานํ อุทปาทิ, ราชาปิ อโรโค อโหสิฯ โส ตุโฎฺฐ สยนา วุฎฺฐหิตฺวา ‘‘เอตฺตกา เวชฺชา มํ ติกิจฺฉิตุํ นาสกฺขิํสุ, ปณฺฑิตมาณโว ปน อตฺตโน ญาโณสเธน มํ นิโรคํ อกาสี’’ติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ทสมํ คาถมาห –
Bodhisattassa pana imaṃ gāthaṃ kathentassa rañño setacchattaṃ ārammaṇaṃ katvā odātakasiṇajjhānaṃ udapādi, rājāpi arogo ahosi. So tuṭṭho sayanā vuṭṭhahitvā ‘‘ettakā vejjā maṃ tikicchituṃ nāsakkhiṃsu, paṇḍitamāṇavo pana attano ñāṇosadhena maṃ nirogaṃ akāsī’’ti tena saddhiṃ sallapanto dasamaṃ gāthamāha –
๔๖.
46.
‘‘อฎฺฐ เต ภาสิตา คาถา, สพฺพา โหนฺติ สหสฺสิยา;
‘‘Aṭṭha te bhāsitā gāthā, sabbā honti sahassiyā;
ปฎิคณฺห มหาพฺรเหฺม, สาเธตํ ตว ภาสิต’’นฺติฯ
Paṭigaṇha mahābrahme, sādhetaṃ tava bhāsita’’nti.
ตตฺถ อฎฺฐาติ ทุติยคาถํ อาทิํ กตฺวา กามาทีนวสํยุตฺตา อฎฺฐฯ สหสฺสิยาติ สหสฺสารหาฯ ปฎิคณฺหาติ อฎฺฐ สหสฺสานิ คณฺหฯ สาเธตํ ตว ภาสิตนฺติ สาธุ เอตํ ตว วจนํฯ
Tattha aṭṭhāti dutiyagāthaṃ ādiṃ katvā kāmādīnavasaṃyuttā aṭṭha. Sahassiyāti sahassārahā. Paṭigaṇhāti aṭṭha sahassāni gaṇha. Sādhetaṃ tava bhāsitanti sādhu etaṃ tava vacanaṃ.
ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต เอกาทสมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā mahāsatto ekādasamaṃ gāthamāha –
๔๗.
47.
‘‘น เม อโตฺถ สหเสฺสหิ, สเตหิ นหุเตหิ วา;
‘‘Na me attho sahassehi, satehi nahutehi vā;
ปจฺฉิมํ ภาสโต คาถํ, กาเม เม น รโต มโน’’ติฯ
Pacchimaṃ bhāsato gāthaṃ, kāme me na rato mano’’ti.
ตตฺถ ปจฺฉิมนฺติ ‘‘รถกาโรว จมฺมสฺสา’’ติ คาถํฯ กาเม เม น รโต มโนติ อิมํ คาถํ ภาสมานเสฺสว มม วตฺถุกาเมปิ กิเลสกาเมปิ มโน นาภิรมามิฯ อหญฺหิ อิมํ คาถํ ภาสมาโน อตฺตโนว ธมฺมเทสนาย ฌานํ นิพฺพเตฺตสิํ, มหาราชาติฯ
Tattha pacchimanti ‘‘rathakārova cammassā’’ti gāthaṃ. Kāme me na rato manoti imaṃ gāthaṃ bhāsamānasseva mama vatthukāmepi kilesakāmepi mano nābhiramāmi. Ahañhi imaṃ gāthaṃ bhāsamāno attanova dhammadesanāya jhānaṃ nibbattesiṃ, mahārājāti.
ราชา ภิโยฺยโสมตฺตาย ตุสฺสิตฺวา มหาสตฺตํ วเณฺณโนฺต โอสานคาถมาห –
Rājā bhiyyosomattāya tussitvā mahāsattaṃ vaṇṇento osānagāthamāha –
๔๘.
48.
‘‘ภทฺรโก วตายํ มาณวโก, สพฺพโลกวิทู มุนิ;
‘‘Bhadrako vatāyaṃ māṇavako, sabbalokavidū muni;
โย อิมํ ตณฺหํ ทุกฺขชนนิํ, ปริชานาติ ปณฺฑิโต’’ติฯ
Yo imaṃ taṇhaṃ dukkhajananiṃ, parijānāti paṇḍito’’ti.
ตตฺถ ทุกฺขชนนินฺติ สกลวฎฺฎทุกฺขชนนิํฯ ปริชานาตีติ ปริชานิ ปริจฺฉินฺทิ, ลุญฺจิตฺวา นีหรีติ โพธิสตฺตํ วเณฺณโนฺต เอวมาหฯ
Tattha dukkhajananinti sakalavaṭṭadukkhajananiṃ. Parijānātīti parijāni paricchindi, luñcitvā nīharīti bodhisattaṃ vaṇṇento evamāha.
โพธิสโตฺตปิ ‘‘มหาราช, อปฺปมโตฺต หุตฺวา ธมฺมํ จรา’’ติ ราชานํ โอวทิตฺวา อากาเสน หิมวนฺตํ คนฺตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ยาวตายุกํ ฐตฺวา พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา อปริหีนชฺฌาโน หุตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
Bodhisattopi ‘‘mahārāja, appamatto hutvā dhammaṃ carā’’ti rājānaṃ ovaditvā ākāsena himavantaṃ gantvā isipabbajjaṃ pabbajitvā yāvatāyukaṃ ṭhatvā brahmavihāre bhāvetvā aparihīnajjhāno hutvā brahmalokūpago ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพปาหํ เอตํ พฺราหฺมณํ นิโสฺสกมกาสิ’’นฺติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา เอส พฺราหฺมโณ อโหสิ, ปณฺฑิตมาณโว ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, pubbepāhaṃ etaṃ brāhmaṇaṃ nissokamakāsi’’nti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā esa brāhmaṇo ahosi, paṇḍitamāṇavo pana ahameva ahosi’’nti.
กามชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ
Kāmajātakavaṇṇanā catutthā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๖๗. กามชาตกํ • 467. Kāmajātakaṃ