Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๒๘] ๘. กามนีตชาตกวณฺณนา
[228] 8. Kāmanītajātakavaṇṇanā
ตโย คิรินฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต กามนีตพฺราหฺมณํ นาม อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ อตีตญฺจ ทฺวาทสกนิปาเต กามชาตเก (ชา. ๑.๑๒.๓๗ อาทโย) อาวิภวิสฺสติฯ เตสุ ปน ทฺวีสุ ราชปุเตฺตสุ เชฎฺฐโก อาคนฺตฺวา พาราณสิยํ ราชา อโหสิ, กนิโฎฺฐ อุปราชาฯ เตสุ ราชา วตฺถุกามกิเลสกาเมสุ อติโตฺต ธนโลโล อโหสิฯ ตทา โพธิสโตฺต สโกฺก เทวราชา หุตฺวา ชมฺพุทีปํ โอโลเกโนฺต ตสฺส รโญฺญ ทฺวีสุปิ กาเมสุ อติตฺตภาวํ ญตฺวา ‘‘อิมํ ราชานํ นิคฺคณฺหิตฺวา ลชฺชาเปสฺสามี’’ติ พฺราหฺมณมาณววเณฺณน อาคนฺตฺวา ราชานํ ปสฺสิ, รญฺญา จ ‘‘เกนเตฺถน อาคโตสิ มาณวา’’ติ วุเตฺต ‘‘อหํ, มหาราช, ตีณิ นครานิ ปสฺสามิ เขมานิ สุภิกฺขานิ ปหูตหตฺถิอสฺสรถปตฺตีนิ หิรญฺญสุวณฺณาลงฺการภริตานิ, สกฺกา จ ปน ตานิ อปฺปเกเนว พเลน คณฺหิตุํ, อหํ เต ตานิ คเหตฺวา ทาตุํ อาคโต’’ติ อาหฯ ‘‘กทา คจฺฉาม, มาณวา’’ติ วุเตฺต ‘‘เสฺว มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ คจฺฉ, ปาโตว อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติฯ ‘‘สาธุ, มหาราช, เวเคน พลํ สเชฺชหี’’ติ วตฺวา สโกฺก สกฎฺฐานเมว คโตฯ
Tayogirinti idaṃ satthā jetavane viharanto kāmanītabrāhmaṇaṃ nāma ārabbha kathesi. Vatthu paccuppannañca atītañca dvādasakanipāte kāmajātake (jā. 1.12.37 ādayo) āvibhavissati. Tesu pana dvīsu rājaputtesu jeṭṭhako āgantvā bārāṇasiyaṃ rājā ahosi, kaniṭṭho uparājā. Tesu rājā vatthukāmakilesakāmesu atitto dhanalolo ahosi. Tadā bodhisatto sakko devarājā hutvā jambudīpaṃ olokento tassa rañño dvīsupi kāmesu atittabhāvaṃ ñatvā ‘‘imaṃ rājānaṃ niggaṇhitvā lajjāpessāmī’’ti brāhmaṇamāṇavavaṇṇena āgantvā rājānaṃ passi, raññā ca ‘‘kenatthena āgatosi māṇavā’’ti vutte ‘‘ahaṃ, mahārāja, tīṇi nagarāni passāmi khemāni subhikkhāni pahūtahatthiassarathapattīni hiraññasuvaṇṇālaṅkārabharitāni, sakkā ca pana tāni appakeneva balena gaṇhituṃ, ahaṃ te tāni gahetvā dātuṃ āgato’’ti āha. ‘‘Kadā gacchāma, māṇavā’’ti vutte ‘‘sve mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi gaccha, pātova āgaccheyyāsī’’ti. ‘‘Sādhu, mahārāja, vegena balaṃ sajjehī’’ti vatvā sakko sakaṭṭhānameva gato.
ราชา ปุนทิวเส เภริํ จราเปตฺวา พลสชฺชํ กาเรตฺวา อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา หิโยฺย เอโก พฺราหฺมณมาณโว ‘‘อุตฺตรปญฺจาเล อินฺทปเตฺต เกกเกติ อิเมสุ ตีสุ นคเรสุ รชฺชํ คเหตฺวา ทสฺสามี’’ติ อาห, ตํ มาณวํ อาทาย ตีสุ นคเรสุ รชฺชํ คณฺหิสฺสาม, เวเคน นํ ปโกฺกสถาติฯ ‘‘กตฺถสฺส, เทว, นิวาโส ทาปิโต’’ติ? ‘‘น เม ตสฺส นิวาสเคหํ ทาปิต’’นฺติฯ ‘‘นิวาสปริพฺพโย ปน ทิโนฺน’’ติ? ‘‘โสปิ น ทิโนฺน’’ติฯ อถ ‘‘กหํ นํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ? ‘‘นครวีถีสุ โอโลเกถา’’ติฯ เต โอโลเกนฺตา อทิสฺวา ‘‘น ปสฺสาม, มหาราชา’’ติ อาหํสุฯ รโญฺญ มาณวํ อปสฺสนฺตสฺส ‘‘เอวํ มหนฺตา นาม อิสฺสริยา ปริหีโนมฺหี’’ติ มหาโสโก อุทปาทิ, หทยวตฺถุ อุณฺหํ อโหสิ, วตฺถุโลหิตํ กุปฺปิ, โลหิตปกฺขนฺทิกา อุทปาทิ, เวชฺชา ติกิจฺฉิตุํ นาสกฺขิํสุฯ
Rājā punadivase bheriṃ carāpetvā balasajjaṃ kāretvā amacce pakkosāpetvā hiyyo eko brāhmaṇamāṇavo ‘‘uttarapañcāle indapatte kekaketi imesu tīsu nagaresu rajjaṃ gahetvā dassāmī’’ti āha, taṃ māṇavaṃ ādāya tīsu nagaresu rajjaṃ gaṇhissāma, vegena naṃ pakkosathāti. ‘‘Katthassa, deva, nivāso dāpito’’ti? ‘‘Na me tassa nivāsagehaṃ dāpita’’nti. ‘‘Nivāsaparibbayo pana dinno’’ti? ‘‘Sopi na dinno’’ti. Atha ‘‘kahaṃ naṃ passissāmā’’ti? ‘‘Nagaravīthīsu olokethā’’ti. Te olokentā adisvā ‘‘na passāma, mahārājā’’ti āhaṃsu. Rañño māṇavaṃ apassantassa ‘‘evaṃ mahantā nāma issariyā parihīnomhī’’ti mahāsoko udapādi, hadayavatthu uṇhaṃ ahosi, vatthulohitaṃ kuppi, lohitapakkhandikā udapādi, vejjā tikicchituṃ nāsakkhiṃsu.
ตโต ตีหจตูหจฺจเยน สโกฺก อาวชฺชมาโน ตสฺส ตํ อาพาธํ ญตฺวา ‘‘ติกิจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติ พฺราหฺมณวเณฺณน อาคนฺตฺวา ทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘เวชฺชพฺราหฺมโณ ตุมฺหากํ ติกิจฺฉนตฺถาย อาคโต’’ติ อาโรจาเปสิฯ ราชา ตํ สุตฺวา ‘‘มหนฺตมหนฺตา ราชเวชฺชา มํ ติกิจฺฉิตุํ นาสกฺขิํสุ, ปริพฺพยมสฺส ทาเปตฺวา อุโยฺยเชถา’’ติ อาหฯ สโกฺก ตํ สุตฺวา ‘‘มยฺหํ เนว นิวาสปริพฺพเยน อโตฺถ, เวชฺชลาภมฺปิ น คณฺหิสฺสามิ, ติกิจฺฉิสฺสามิ นํ, ปุน ราชา มํ ปสฺสตู’’ติ อาหฯ ราชา ตํ สุตฺวา ‘‘เตน หิ อาคจฺฉตู’’ติ อาหฯ สโกฺก ปวิสิตฺวา ชยาเปตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิ, ราชา ‘‘ตฺวํ มํ ติกิจฺฉสี’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ติกิจฺฉสฺสู’’ติฯ ‘‘สาธุ, มหาราช, พฺยาธิโน เม ลกฺขณํ กเถถ, เกน การเณน อุปฺปโนฺน, กิํ ขาทิตํ วา ปีตํ วา นิสฺสาย, อุทาหุ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’ติ? ‘‘ตาต, มยฺหํ พฺยาธิ สุตํ นิสฺสาย อุปฺปโนฺน’’ติฯ ‘‘กิํ เต สุต’’นฺติฯ ‘‘ตาต เอโก มาณโว อาคนฺตฺวา มยฺหํ ‘ตีสุ นคเรสุ รชฺชํ คณฺหิตฺวา ทสฺสามี’ติ อาห, อหํ ตสฺส นิวาสฎฺฐานํ วา นิวาสปริพฺพยํ วา น ทาเปสิํ, โส มยฺหํ กุชฺฌิตฺวา อญฺญสฺส รโญฺญ สนฺติกํ คโต ภวิสฺสติฯ อถ เม ‘เอวํ มหนฺตา นาม อิสฺสริยา ปริหีโนมฺหี’ติ จิเนฺตนฺตสฺส อยํ พฺยาธิ อุปฺปโนฺนฯ สเจ สโกฺกสิ ตฺวํ เม กามจิตฺตํ นิสฺสาย อุปฺปนฺนํ พฺยาธิํ ติกิจฺฉิตุํ, ติกิจฺฉาหี’’ติ เอตมตฺถํ ปกาเสโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Tato tīhacatūhaccayena sakko āvajjamāno tassa taṃ ābādhaṃ ñatvā ‘‘tikicchissāmi na’’nti brāhmaṇavaṇṇena āgantvā dvāre ṭhatvā ‘‘vejjabrāhmaṇo tumhākaṃ tikicchanatthāya āgato’’ti ārocāpesi. Rājā taṃ sutvā ‘‘mahantamahantā rājavejjā maṃ tikicchituṃ nāsakkhiṃsu, paribbayamassa dāpetvā uyyojethā’’ti āha. Sakko taṃ sutvā ‘‘mayhaṃ neva nivāsaparibbayena attho, vejjalābhampi na gaṇhissāmi, tikicchissāmi naṃ, puna rājā maṃ passatū’’ti āha. Rājā taṃ sutvā ‘‘tena hi āgacchatū’’ti āha. Sakko pavisitvā jayāpetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi, rājā ‘‘tvaṃ maṃ tikicchasī’’ti āha. ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Tena hi tikicchassū’’ti. ‘‘Sādhu, mahārāja, byādhino me lakkhaṇaṃ kathetha, kena kāraṇena uppanno, kiṃ khāditaṃ vā pītaṃ vā nissāya, udāhu diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’ti? ‘‘Tāta, mayhaṃ byādhi sutaṃ nissāya uppanno’’ti. ‘‘Kiṃ te suta’’nti. ‘‘Tāta eko māṇavo āgantvā mayhaṃ ‘tīsu nagaresu rajjaṃ gaṇhitvā dassāmī’ti āha, ahaṃ tassa nivāsaṭṭhānaṃ vā nivāsaparibbayaṃ vā na dāpesiṃ, so mayhaṃ kujjhitvā aññassa rañño santikaṃ gato bhavissati. Atha me ‘evaṃ mahantā nāma issariyā parihīnomhī’ti cintentassa ayaṃ byādhi uppanno. Sace sakkosi tvaṃ me kāmacittaṃ nissāya uppannaṃ byādhiṃ tikicchituṃ, tikicchāhī’’ti etamatthaṃ pakāsento paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๕๕.
155.
‘‘ตโย คิริํ อนฺตรํ กามยามิ, ปญฺจาลา กุรุโย เกกเก จ;
‘‘Tayo giriṃ antaraṃ kāmayāmi, pañcālā kuruyo kekake ca;
ตตุตฺตริํ พฺราหฺมณ กามยามิ, ติกิจฺฉ มํ พฺราหฺมณ กามนีต’’นฺติฯ
Tatuttariṃ brāhmaṇa kāmayāmi, tikiccha maṃ brāhmaṇa kāmanīta’’nti.
ตตฺถ ตโย คิรินฺติ ตโย คิรี, อยเมว วา ปาโฐฯ ยถา ‘‘สุทสฺสนสฺส คิริโน, ทฺวารเญฺหตํ ปกาสตี’’ติ เอตฺถ สุทสฺสนํ เทวนครํ ยุชฺฌิตฺวา ทุคฺคณฺหตาย ทุจฺจลนตาย ‘‘สุทสฺสนคิรี’’ติ วุตฺตํ, เอวมิธาปิ ตีณิ นครานิ ‘‘ตโย คิริ’’นฺติ อธิเปฺปตานิฯ ตสฺมา อยเมตฺถ อโตฺถ – ตีณิ จ นครานิ เตสญฺจ อนฺตรํ ติวิธมฺปิ รฎฺฐํ กามยามิฯ ‘‘ปญฺจาลา กุรุโย เกกเก จา’’ติ อิมานิ เตสํ รฎฺฐานํ นามานิฯ เตสุ ปญฺจาลาติ อุตฺตรปญฺจาลา, ตตฺถ กปิลํ นาม นครํฯ กุรุโยติ กุรุรฎฺฐํ, ตตฺถ อินฺทปตฺตํ นาม นครํฯ เกกเก จาติ ปจฺจเตฺต อุปโยควจนํ, เตน เกกกรฎฺฐํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ เกกกราชธานีเยว นครํฯ ตตุตฺตรินฺติ ตํ อหํ อิโต ปฎิลทฺธา พาราณสิรชฺชา ตตุตฺตริํ ติวิธํ รชฺชํ กามยามิฯ ติกิจฺฉ มํ, พฺราหฺมณ, กามนีตนฺติ อิเมหิ วตฺถุกาเมหิ จ กิเลสกาเมหิ จ นีตํ หตํ ปหตํ สเจ สโกฺกสิ, ติกิจฺฉ มํ พฺราหฺมณาติฯ
Tattha tayo girinti tayo girī, ayameva vā pāṭho. Yathā ‘‘sudassanassa girino, dvārañhetaṃ pakāsatī’’ti ettha sudassanaṃ devanagaraṃ yujjhitvā duggaṇhatāya duccalanatāya ‘‘sudassanagirī’’ti vuttaṃ, evamidhāpi tīṇi nagarāni ‘‘tayo giri’’nti adhippetāni. Tasmā ayamettha attho – tīṇi ca nagarāni tesañca antaraṃ tividhampi raṭṭhaṃ kāmayāmi. ‘‘Pañcālā kuruyo kekake cā’’ti imāni tesaṃ raṭṭhānaṃ nāmāni. Tesu pañcālāti uttarapañcālā, tattha kapilaṃ nāma nagaraṃ. Kuruyoti kururaṭṭhaṃ, tattha indapattaṃ nāma nagaraṃ. Kekake cāti paccatte upayogavacanaṃ, tena kekakaraṭṭhaṃ dasseti. Tattha kekakarājadhānīyeva nagaraṃ. Tatuttarinti taṃ ahaṃ ito paṭiladdhā bārāṇasirajjā tatuttariṃ tividhaṃ rajjaṃ kāmayāmi. Tikiccha maṃ, brāhmaṇa, kāmanītanti imehi vatthukāmehi ca kilesakāmehi ca nītaṃ hataṃ pahataṃ sace sakkosi, tikiccha maṃ brāhmaṇāti.
อถ นํ สโกฺก ‘‘มหาราช, ตฺวํ มูโลสธาทีหิ อเตกิโจฺฉฯ ญาโณสเธเนว ติกิจฺฉิตโพฺพ’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Atha naṃ sakko ‘‘mahārāja, tvaṃ mūlosadhādīhi atekiccho. Ñāṇosadheneva tikicchitabbo’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –
๑๕๖.
156.
‘‘กณฺหาหิทฎฺฐสฺส กโรนฺติ เหเก, อมนุสฺสปวิฎฺฐสฺส กโรนฺติ ปณฺฑิตา;
‘‘Kaṇhāhidaṭṭhassa karonti heke, amanussapaviṭṭhassa karonti paṇḍitā;
น กามนีตสฺส กโรติ โกจิ, โอกฺกนฺตสุกฺกสฺส หิ กา ติกิจฺฉา’’ติฯ
Na kāmanītassa karoti koci, okkantasukkassa hi kā tikicchā’’ti.
ตตฺถ กณฺหาหิทฎฺฐสฺส กโรนฺติ เหเกติ เอกเจฺจ หิ ติกิจฺฉกา โฆรวิเสน กาฬสเปฺปน ทฎฺฐสฺส มเนฺตหิ เจว โอสเธหิ จ ติกิจฺฉํ กโรนฺติฯ อมนุสฺสปวิฎฺฐสฺส กโรนฺติ ปณฺฑิตาติ อปเร ปณฺฑิตา ภูตเวชฺชา ภูตยกฺขาทีหิ อมนุเสฺสหิ ปวิฎฺฐสฺส อภิภูตสฺส คหิตสฺส พลิกมฺมปริตฺตกรณโอสธปริภาวิตาทีหิ ติกิจฺฉํ กโรนฺติฯ น กามนีตสฺส กโรติ โกจีติ กาเมหิ ปน นีตสฺส กามวสิกสฺส ปุคฺคลสฺส อญฺญตฺร ปณฺฑิเตหิ อโญฺญ โกจิ ติกิจฺฉํ น กโรติ, กโรโนฺตปิ กาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ กิํการณา? โอกฺกนฺตสุกฺกสฺส หิ กา ติกิจฺฉาติ, โอกฺกนฺตสุกฺกสฺส อวกฺกนฺตสฺส กุสลธมฺมมริยาทํ อติกฺกนฺตสฺส อกุสลธเมฺม ปติฎฺฐิตสฺส ปุคฺคลสฺส มโนฺตสธาทีหิ กา นาม ติกิจฺฉา, น สกฺกา โอสเธหิ ติกิจฺฉิตุนฺติฯ
Tattha kaṇhāhidaṭṭhassa karonti heketi ekacce hi tikicchakā ghoravisena kāḷasappena daṭṭhassa mantehi ceva osadhehi ca tikicchaṃ karonti. Amanussapaviṭṭhassa karonti paṇḍitāti apare paṇḍitā bhūtavejjā bhūtayakkhādīhi amanussehi paviṭṭhassa abhibhūtassa gahitassa balikammaparittakaraṇaosadhaparibhāvitādīhi tikicchaṃ karonti. Na kāmanītassa karoti kocīti kāmehi pana nītassa kāmavasikassa puggalassa aññatra paṇḍitehi añño koci tikicchaṃ na karoti, karontopi kātuṃ samattho nāma natthi. Kiṃkāraṇā? Okkantasukkassa hi kā tikicchāti, okkantasukkassa avakkantassa kusaladhammamariyādaṃ atikkantassa akusaladhamme patiṭṭhitassa puggalassa mantosadhādīhi kā nāma tikicchā, na sakkā osadhehi tikicchitunti.
อิติสฺส มหาสโตฺต อิมํ การณํ ทเสฺสตฺวา อุตฺตริ เอวมาห – ‘‘มหาราช, สเจ ตฺวํ ตานิ ตีณิ รชฺชานิ ลจฺฉสิ, อปิ นุ โข อิเมสุ จตูสุ นคเรสุ รชฺชํ กโรโนฺต เอกปฺปหาเรเนว จตฺตาริ สาฎกยุคานิ ปริทเหยฺยาสิ, จตูสุ วา สุวณฺณปาตีสุ ภุเญฺชยฺยาสิ, จตูสุ วา สยเนสุ สเยยฺยาสิ, มหาราช, ตณฺหาวสิเกน นาม ภวิตุํ น วฎฺฎติ, ตณฺหา หิ นาเมสา วิปตฺติมูลาฯ สา วฑฺฒมานา โย ตํ วเฑฺฒติ, ตํ ปุคฺคลํ อฎฺฐสุ มหานิรเยสุ โสฬสสุ อุสฺสทนิรเยสุ นานปฺปการเภเทสุ จ อวเสเสสุ อปาเยสุ ขิปตี’’ติฯ เอวํ ราชานํ นิรยาทิภเยน ตเชฺชตฺวา มหาสโตฺต ธมฺมํ เทเสสิฯ ราชาปิสฺส ธมฺมํ สุตฺวา วิคตโสโก หุตฺวา ตาวเทว นิพฺยาธิตํ ปาปุณิ ฯ สโกฺกปิสฺส โอวาทํ ทตฺวา สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา เทวโลกเมว คโตฯ โสปิ ตโต ปฎฺฐาย ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Itissa mahāsatto imaṃ kāraṇaṃ dassetvā uttari evamāha – ‘‘mahārāja, sace tvaṃ tāni tīṇi rajjāni lacchasi, api nu kho imesu catūsu nagaresu rajjaṃ karonto ekappahāreneva cattāri sāṭakayugāni paridaheyyāsi, catūsu vā suvaṇṇapātīsu bhuñjeyyāsi, catūsu vā sayanesu sayeyyāsi, mahārāja, taṇhāvasikena nāma bhavituṃ na vaṭṭati, taṇhā hi nāmesā vipattimūlā. Sā vaḍḍhamānā yo taṃ vaḍḍheti, taṃ puggalaṃ aṭṭhasu mahānirayesu soḷasasu ussadanirayesu nānappakārabhedesu ca avasesesu apāyesu khipatī’’ti. Evaṃ rājānaṃ nirayādibhayena tajjetvā mahāsatto dhammaṃ desesi. Rājāpissa dhammaṃ sutvā vigatasoko hutvā tāvadeva nibyādhitaṃ pāpuṇi . Sakkopissa ovādaṃ datvā sīlesu patiṭṭhāpetvā devalokameva gato. Sopi tato paṭṭhāya dānādīni puññāni katvā yathākammaṃ gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา กามนีตพฺราหฺมโณ อโหสิ, สโกฺก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā kāmanītabrāhmaṇo ahosi, sakko pana ahameva ahosi’’nti.
กามนีตชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Kāmanītajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๒๘. กามนีตชาตกํ • 228. Kāmanītajātakaṃ