Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
กามาวจรกุสลํ นิเทฺทสวารกถา
Kāmāvacarakusalaṃ niddesavārakathā
๒. อิทานิ ตาเนว ธมฺมุเทฺทสวาเร ปาฬิอารุฬฺหานิ ฉปฺปญฺญาส ปทานิ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘กตโม ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหตี’ติอาทินา นเยน นิเทฺทสวาโร อารโทฺธฯ
2. Idāni tāneva dhammuddesavāre pāḷiāruḷhāni chappaññāsa padāni vibhajitvā dassetuṃ ‘katamo tasmiṃ samaye phasso hotī’tiādinā nayena niddesavāro āraddho.
ตตฺถ ปุจฺฉาย ตาว อยมโตฺถ – ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ โสมนสฺสสหคตํ ติเหตุกํ อสงฺขาริกํ มหาจิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหตีติ วุโตฺต, กตโม โส ผโสฺสติ อิมินา นเยน สพฺพปุจฺฉาสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tattha pucchāya tāva ayamattho – yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ somanassasahagataṃ tihetukaṃ asaṅkhārikaṃ mahācittaṃ uppajjati, tasmiṃ samaye phasso hotīti vutto, katamo so phassoti iminā nayena sabbapucchāsu attho veditabbo.
โย ตสฺมิํ สมเย ผโสฺสติ ตสฺมิํ สมเย โย ผุสนกวเสน อุปฺปโนฺน ผโสฺส, โส ผโสฺสติฯ อิทํ ผสฺสสฺส สภาวทีปนโต สภาวปทํ นามฯ ผุสนาติ ผุสนากาโรฯ สมฺผุสนาติ ผุสนากาโรว อุปสเคฺคน ปทํ วเฑฺฒตฺวา วุโตฺตฯ สมฺผุสิตตฺตนฺติ สมฺผุสิตภาโวฯ อยํ ปเนตฺถ โยชนา – โย ตสฺมิํ สมเย ผุสนกวเสน ผโสฺส, ยา ตสฺมิํ สมเย ผุสนา, ยา ตสฺมิํ สมเย สมฺผุสนา, ยํ ตสฺมิํ สมเย สมฺผุสิตตฺตํ; อถ วา, โย ตสฺมิํ สมเย ผุสนวเสน ผโสฺส, อเญฺญนาปิ ปริยาเยน ผุสนา สมฺผุสนา สมฺผุสิตตฺตนฺติ วุจฺจติ, อยํ ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหตีติฯ เวทนาทีนมฺปิ นิเทฺทเสสุ อิมินาว นเยน ปทโยชนา เวทิตพฺพาฯ
Yo tasmiṃ samaye phassoti tasmiṃ samaye yo phusanakavasena uppanno phasso, so phassoti. Idaṃ phassassa sabhāvadīpanato sabhāvapadaṃ nāma. Phusanāti phusanākāro. Samphusanāti phusanākārova upasaggena padaṃ vaḍḍhetvā vutto. Samphusitattanti samphusitabhāvo. Ayaṃ panettha yojanā – yo tasmiṃ samaye phusanakavasena phasso, yā tasmiṃ samaye phusanā, yā tasmiṃ samaye samphusanā, yaṃ tasmiṃ samaye samphusitattaṃ; atha vā, yo tasmiṃ samaye phusanavasena phasso, aññenāpi pariyāyena phusanā samphusanā samphusitattanti vuccati, ayaṃ tasmiṃ samaye phasso hotīti. Vedanādīnampi niddesesu imināva nayena padayojanā veditabbā.
อยํ ปเนตฺถ สพฺพสาธารโณ วิภตฺติวินิจฺฉโยฯ ยานิมานิ ภควตา ปฐมํ กามาวจรํ กุสลํ มหาจิตฺตํ ภาเชตฺวา ทเสฺสเนฺตน อติเรกปณฺณาสปทานิ มาติกาวเสน ฐเปตฺวา ปุน เอเกกปทํ คเหตฺวา วิภตฺติํ อาโรปิตานิ, ตานิ วิภตฺติํ คจฺฉนฺตานิ ตีหิ การเณหิ วิภตฺติํ คจฺฉนฺติ; นานา โหนฺตานิ จตูหิ การเณหิ นานา ภวนฺติฯ อปรทีปนา ปเนตฺถ เทฺว ฐานานิ คจฺฉติฯ กถํ? เอตานิหิ พฺยญฺชนวเสน อุปสคฺควเสน อตฺถวเสนาติ อิเมหิ ตีหิ การเณหิ วิภตฺติํ คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ โกโธ กุชฺฌนา กุชฺฌิตตฺตํ, โทโส ทุสฺสนา ทุสฺสิตตฺตนฺติ เอวํ พฺยญฺชนวเสน วิภตฺติคมนํ เวทิตพฺพํฯ เอตฺถ หิ เอโกว โกโธ พฺยญฺชนวเสน เอวํ วิภตฺติํ คโตฯ จาโร วิจาโร อนุวิจาโร อุปวิจาโรติ เอวํ ปน อุปสคฺควเสน วิภตฺติคมนํ เวทิตพฺพํฯ ปณฺฑิจฺจํ โกสลฺลํ เนปุญฺญํ เวภพฺยา จินฺตา อุปปริกฺขาติ เอวํ อตฺถวเสน วิภตฺติคมนํ เวทิตพฺพํฯ เตสุ ผสฺสปทนิเทฺทเส ตาว อิมา ติโสฺสปิ วิภตฺติโย ลพฺภนฺติฯ ‘ผโสฺส ผุสนา’ติ หิ พฺยญฺชนวเสน วิภตฺติคมนํ โหติฯ ‘สมฺผุสนา’ติ อุปสคฺควเสนฯ ‘สมฺผุสิตตฺต’นฺติ อตฺถวเสนฯ อิมินา นเยน สพฺพปทนิเทฺทเสสุ วิภตฺติคมนํ เวทิตพฺพํฯ
Ayaṃ panettha sabbasādhāraṇo vibhattivinicchayo. Yānimāni bhagavatā paṭhamaṃ kāmāvacaraṃ kusalaṃ mahācittaṃ bhājetvā dassentena atirekapaṇṇāsapadāni mātikāvasena ṭhapetvā puna ekekapadaṃ gahetvā vibhattiṃ āropitāni, tāni vibhattiṃ gacchantāni tīhi kāraṇehi vibhattiṃ gacchanti; nānā hontāni catūhi kāraṇehi nānā bhavanti. Aparadīpanā panettha dve ṭhānāni gacchati. Kathaṃ? Etānihi byañjanavasena upasaggavasena atthavasenāti imehi tīhi kāraṇehi vibhattiṃ gacchanti. Tattha kodho kujjhanā kujjhitattaṃ, doso dussanā dussitattanti evaṃ byañjanavasena vibhattigamanaṃ veditabbaṃ. Ettha hi ekova kodho byañjanavasena evaṃ vibhattiṃ gato. Cāro vicāro anuvicāro upavicāroti evaṃ pana upasaggavasena vibhattigamanaṃ veditabbaṃ. Paṇḍiccaṃ kosallaṃ nepuññaṃ vebhabyā cintā upaparikkhāti evaṃ atthavasena vibhattigamanaṃ veditabbaṃ. Tesu phassapadaniddese tāva imā tissopi vibhattiyo labbhanti. ‘Phasso phusanā’ti hi byañjanavasena vibhattigamanaṃ hoti. ‘Samphusanā’ti upasaggavasena. ‘Samphusitatta’nti atthavasena. Iminā nayena sabbapadaniddesesu vibhattigamanaṃ veditabbaṃ.
นานา โหนฺตานิปิ ปน นามนานเตฺตน ลกฺขณนานเตฺตน กิจฺจนานเตฺตน ปฎิเกฺขปนานเตฺตนาติ อิเมหิ จตูหิ การเณหิ นานา โหนฺติฯ ตตฺถ กตโม ตสฺมิํ สมเย พฺยาปาโท โหติ? โย ตสฺมิํ สมเย โทโส ทุสฺสนาติ (ธ. ส. ๔๑๙) เอตฺถ พฺยาปาโทติ วา, โทโสติ วา, เทฺวปิ เอเต โกโธ เอว, นาเมน นานตฺตํ คตาติฯ เอวํ ‘นามนานเตฺตน’ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Nānā hontānipi pana nāmanānattena lakkhaṇanānattena kiccanānattena paṭikkhepanānattenāti imehi catūhi kāraṇehi nānā honti. Tattha katamo tasmiṃ samaye byāpādo hoti? Yo tasmiṃ samaye doso dussanāti (dha. sa. 419) ettha byāpādoti vā, dosoti vā, dvepi ete kodho eva, nāmena nānattaṃ gatāti. Evaṃ ‘nāmanānattena’ nānattaṃ veditabbaṃ.
ราสเฎฺฐน จ ปญฺจปิ ขนฺธา เอโกว ขโนฺธ โหติฯ เอตฺถ ปน รูปํ รุปฺปนลกฺขณํ, เวทนา เวทยิตลกฺขณา, สญฺญา สญฺชานนลกฺขณา, เจตนา เจตยิตลกฺขณา, วิญฺญาณํ วิชานนลกฺขณนฺติ อิมินา ลกฺขณนานเตฺตน ปญฺจกฺขนฺธา โหนฺติฯ เอวํ ‘ลกฺขณนานเตฺตน’ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Rāsaṭṭhena ca pañcapi khandhā ekova khandho hoti. Ettha pana rūpaṃ ruppanalakkhaṇaṃ, vedanā vedayitalakkhaṇā, saññā sañjānanalakkhaṇā, cetanā cetayitalakkhaṇā, viññāṇaṃ vijānanalakkhaṇanti iminā lakkhaṇanānattena pañcakkhandhā honti. Evaṃ ‘lakkhaṇanānattena’ nānattaṃ veditabbaṃ.
จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา – ‘‘อิธ ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย…เป.… จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหตี’’ติ (วิภ. ๓๙๐; ที. นิ. ๒.๔๐๒) เอกเมว วีริยํ กิจฺจนานเตฺตน จตูสุ ฐาเนสุ อาคตํฯ เอวํ ‘กิจฺจนานเตฺตน’ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Cattāro sammappadhānā – ‘‘idha bhikkhu anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya…pe… cittaṃ paggaṇhāti padahatī’’ti (vibha. 390; dī. ni. 2.402) ekameva vīriyaṃ kiccanānattena catūsu ṭhānesu āgataṃ. Evaṃ ‘kiccanānattena’ nānattaṃ veditabbaṃ.
จตฺตาโร อสทฺธมฺมา – โกธครุตา น สทฺธมฺมครุตา, มกฺขครุตา น สทฺธมฺมครุตา, ลาภครุตา น สทฺธมฺมครุตา, สกฺการครุตา น สทฺธมฺมครุตาติ, เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๔.๔๔) ปน ‘ปฎิเกฺขปนานเตฺตน’ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Cattāro asaddhammā – kodhagarutā na saddhammagarutā, makkhagarutā na saddhammagarutā, lābhagarutā na saddhammagarutā, sakkāragarutā na saddhammagarutāti, evamādīsu (a. ni. 4.44) pana ‘paṭikkhepanānattena’ nānattaṃ veditabbaṃ.
อิมานิ ปน จตฺตาริ นานตฺตานิ น ผเสฺสเยว ลพฺภนฺติ, สเพฺพสุปิ ผสฺสปญฺจกาทีสุ ลพฺภนฺติฯ ผสฺสสฺส หิ ผโสฺสติ นามํ…เป.… จิตฺตสฺส จิตฺตนฺติฯ ผโสฺส จ ผุสนลกฺขโณ, เวทนา เวทยิตลกฺขณา, สญฺญา สญฺชานนลกฺขณา, เจตนา เจตยิตลกฺขณา, วิญฺญาณํ วิชานนลกฺขณํฯ ตถา ผโสฺส ผุสนกิโจฺจ, เวทนา อนุภวนกิจฺจา, สญฺญา สญฺชานนกิจฺจา, เจตนา เจตยิตกิจฺจา, วิญฺญาณํ วิชานนกิจฺจนฺติฯ เอวํ กิจฺจนานเตฺตน นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Imāni pana cattāri nānattāni na phasseyeva labbhanti, sabbesupi phassapañcakādīsu labbhanti. Phassassa hi phassoti nāmaṃ…pe… cittassa cittanti. Phasso ca phusanalakkhaṇo, vedanā vedayitalakkhaṇā, saññā sañjānanalakkhaṇā, cetanā cetayitalakkhaṇā, viññāṇaṃ vijānanalakkhaṇaṃ. Tathā phasso phusanakicco, vedanā anubhavanakiccā, saññā sañjānanakiccā, cetanā cetayitakiccā, viññāṇaṃ vijānanakiccanti. Evaṃ kiccanānattena nānattaṃ veditabbaṃ.
ปฎิเกฺขปนานตฺตํ ผสฺสปญฺจมเก นตฺถิฯ อโลภาทินิเทฺทเส ปน อโลโภ อลุพฺภนา อลุพฺภิตตฺตนฺติอาทินา นเยน ลพฺภตีติ เอวํ ปฎิเกฺขปนานเตฺตน นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ เอวํ สพฺพปทนิเทฺทเสสุ ลพฺภมานวเสน จตุพฺพิธมฺปิ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Paṭikkhepanānattaṃ phassapañcamake natthi. Alobhādiniddese pana alobho alubbhanā alubbhitattantiādinā nayena labbhatīti evaṃ paṭikkhepanānattena nānattaṃ veditabbaṃ. Evaṃ sabbapadaniddesesu labbhamānavasena catubbidhampi nānattaṃ veditabbaṃ.
อปรทีปนา ปน ปทตฺถุติ วา โหติ ทฬฺหีกมฺมํ วาติ เอวํ เทฺว ฐานานิ คจฺฉติฯ ยฎฺฐิโกฎิยา อุปฺปีเฬเนฺตน วิย หิ สกิเมว ผโสฺสติ วุเตฺต เอตํ ปทํ ผุลฺลิตมณฺฑิตวิภูสิตํ นาม น โหติฯ ปุนปฺปุนํ พฺยญฺชนวเสน อุปสคฺควเสน อตฺถวเสน ‘ผโสฺส ผุสนา สมฺผุสนา สมฺผุสิตตฺต’นฺติ วุเตฺต ผุลฺลิตมณฺฑิตวิภูสิตํ นาม โหติฯ ยถา หิ ทหรกุมารํ นฺหาเปตฺวา, มโนรมํ วตฺถํ ปริทหาเปตฺวา ปุปฺผานิ ปิฬนฺธาเปตฺวา อกฺขีนิ อเญฺชตฺวา อถสฺส นลาเฎ เอกเมว มโนสิลาพินฺทุํ กเรยฺยุํ, ตสฺส น เอตฺตาวตา จิตฺตติลโก นาม โหติฯ นานาวเณฺณหิ ปน ปริวาเรตฺวา พินฺทูสุ กเตสุ จิตฺตติลโก นาม โหติฯ เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ อยํ ‘ปทตฺถุติ’ นามฯ
Aparadīpanā pana padatthuti vā hoti daḷhīkammaṃ vāti evaṃ dve ṭhānāni gacchati. Yaṭṭhikoṭiyā uppīḷentena viya hi sakimeva phassoti vutte etaṃ padaṃ phullitamaṇḍitavibhūsitaṃ nāma na hoti. Punappunaṃ byañjanavasena upasaggavasena atthavasena ‘phasso phusanā samphusanā samphusitatta’nti vutte phullitamaṇḍitavibhūsitaṃ nāma hoti. Yathā hi daharakumāraṃ nhāpetvā, manoramaṃ vatthaṃ paridahāpetvā pupphāni piḷandhāpetvā akkhīni añjetvā athassa nalāṭe ekameva manosilābinduṃ kareyyuṃ, tassa na ettāvatā cittatilako nāma hoti. Nānāvaṇṇehi pana parivāretvā bindūsu katesu cittatilako nāma hoti. Evaṃsampadamidaṃ veditabbaṃ. Ayaṃ ‘padatthuti’ nāma.
พฺยญฺชนวเสน อุปสคฺควเสน อตฺถวเสน จ ปุนปฺปุนํ ภณนเมว ทฬฺหีกมฺมํ นามฯ ยถา หิ ‘อาวุโส’ติ วา ‘ภเนฺต’ติ วา ‘ยโกฺข’ติ วา ‘สโปฺป’ติ วา วุเตฺต ทฬฺหีกมฺมํ นาม น โหติฯ ‘อาวุโส อาวุโส’‘ภเนฺต ภเนฺต’‘ยโกฺข ยโกฺข’‘สโปฺป สโปฺป’ติ วุเตฺต ปน ทฬฺหีกมฺมํ นาม โหติฯ เอวเมว สกิเทว ยฎฺฐิโกฎิยา อุปฺปีเฬเนฺตน วิย ‘ผโสฺส’ติ วุเตฺต ปทํ ทฬฺหีกมฺมํ นาม น โหติฯ ปุนปฺปุนํ พฺยญฺชนวเสน อุปสคฺควเสน อตฺถวเสน ‘ผโสฺส ผุสนา สมฺผุสนา สมฺผุสิตตฺต’นฺติ วุเตฺตเยว ‘ทฬฺหีกมฺมํ’ นาม โหตีติฯ เอวํ อปรทีปนา เทฺว ฐานานิ คจฺฉติฯ เอตสฺสาปิ วเสน ลพฺภมานกปทนิเทฺทเสสุ สพฺพตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Byañjanavasena upasaggavasena atthavasena ca punappunaṃ bhaṇanameva daḷhīkammaṃ nāma. Yathā hi ‘āvuso’ti vā ‘bhante’ti vā ‘yakkho’ti vā ‘sappo’ti vā vutte daḷhīkammaṃ nāma na hoti. ‘Āvuso āvuso’‘bhante bhante’‘yakkho yakkho’‘sappo sappo’ti vutte pana daḷhīkammaṃ nāma hoti. Evameva sakideva yaṭṭhikoṭiyā uppīḷentena viya ‘phasso’ti vutte padaṃ daḷhīkammaṃ nāma na hoti. Punappunaṃ byañjanavasena upasaggavasena atthavasena ‘phasso phusanā samphusanā samphusitatta’nti vutteyeva ‘daḷhīkammaṃ’ nāma hotīti. Evaṃ aparadīpanā dve ṭhānāni gacchati. Etassāpi vasena labbhamānakapadaniddesesu sabbattha attho veditabbo.
อยํ ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหตีติ ยสฺมิํ สมเย ปฐมํ กามาวจรํ มหากุสลจิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมิํ สมเย อยํ ผโสฺส นาม โหตีติ อโตฺถฯ อยํ ตาว ผสฺสปทนิเทฺทสสฺส วณฺณนาฯ อิโต ปเรสุ ปน เวทนาทีนํ ปทานํ นิเทฺทเสสุ วิเสสมตฺตเมว วณฺณยิสฺสามฯ เสสํ อิธ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Ayaṃ tasmiṃ samaye phasso hotīti yasmiṃ samaye paṭhamaṃ kāmāvacaraṃ mahākusalacittaṃ uppajjati, tasmiṃ samaye ayaṃ phasso nāma hotīti attho. Ayaṃ tāva phassapadaniddesassa vaṇṇanā. Ito paresu pana vedanādīnaṃ padānaṃ niddesesu visesamattameva vaṇṇayissāma. Sesaṃ idha vuttanayeneva veditabbaṃ.
๓. ยํ ตสฺมิํ สมเยติ เอตฺถ กิญฺจาปิ กตมา ตสฺมิํ สมเย เวทนา โหตีติ อารทฺธํ, ‘สาตปทวเสน ปน ‘ย’นฺติ วุตฺตํฯ ตชฺชามโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชนฺติ เอตฺถ ‘ตชฺชา’ วุจฺจติ ตสฺส สาตสุขสฺส อนุจฺฉวิกา สารุปฺปาฯ อนุจฺฉวิกโตฺถปิ หิ อยํ ‘ตชฺชา’-สโทฺท โหติฯ ยถาห – ‘‘ตชฺชํ ตสฺสารุปฺปํ กถํ มเนฺตตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๔๖)ฯ เตหิ วา รูปาทีหิ อารมฺมเณหิ อิมสฺส จ สุขสฺส ปจฺจเยหิ ชาตาติปิ ตชฺชาฯ มโนวิญฺญาณเมว นิสฺสตฺตเฎฺฐน ธาตูติ มโนวิญฺญาณธาตุฯ สมฺผสฺสโต ชาตํ, สมฺผเสฺส วา ชาตนฺติ สมฺผสฺสชํฯ จิตฺตนิสฺสิตตฺตา เจตสิกํฯ มธุรเฎฺฐน สาตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ ตสฺมิํ สมเย ยถาวุเตฺตน อเตฺถน ตชฺชาย มโนวิญฺญาณธาตุยา สมฺผสฺสชํ เจตสิกํ สาตํ, อยํ ตสฺมิํ สมเย เวทนา โหตีติฯ เอวํ สพฺพปเทหิ สทฺธิํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
3. Yaṃ tasmiṃ samayeti ettha kiñcāpi katamā tasmiṃ samaye vedanā hotīti āraddhaṃ, ‘sātapadavasena pana ‘ya’nti vuttaṃ. Tajjāmanoviññāṇadhātusamphassajanti ettha ‘tajjā’ vuccati tassa sātasukhassa anucchavikā sāruppā. Anucchavikatthopi hi ayaṃ ‘tajjā’-saddo hoti. Yathāha – ‘‘tajjaṃ tassāruppaṃ kathaṃ mantetī’’ti (ma. ni. 3.246). Tehi vā rūpādīhi ārammaṇehi imassa ca sukhassa paccayehi jātātipi tajjā. Manoviññāṇameva nissattaṭṭhena dhātūti manoviññāṇadhātu. Samphassato jātaṃ, samphasse vā jātanti samphassajaṃ. Cittanissitattā cetasikaṃ. Madhuraṭṭhena sātaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ tasmiṃ samaye yathāvuttena atthena tajjāya manoviññāṇadhātuyā samphassajaṃ cetasikaṃ sātaṃ, ayaṃ tasmiṃ samaye vedanā hotīti. Evaṃ sabbapadehi saddhiṃ yojanā veditabbā.
อิทานิ เจตสิกํ สุขนฺติอาทีสุ เจตสิกปเทน กายิกสุขํ ปฎิกฺขิปติ, สุขปเทน เจตสิกํ ทุกฺขํฯ เจโตสมฺผสฺสชนฺติ จิตฺตสมฺผเสฺส ชาตํฯ สาตํ สุขํ เวทยิตนฺติ สาตํ เวทยิตํ, น อสาตํ เวทยิตํ; สุขํ เวทยิตํ, น ทุกฺขํ เวทยิตํฯ ปรโต ตีณิ ปทานิ อิตฺถิลิงฺควเสน วุตฺตานิฯ สาตา เวทนา, น อสาตา; สุขา เวทนา, น ทุกฺขาติฯ อยเมว ปเนตฺถ อโตฺถฯ
Idāni cetasikaṃ sukhantiādīsu cetasikapadena kāyikasukhaṃ paṭikkhipati, sukhapadena cetasikaṃ dukkhaṃ. Cetosamphassajanti cittasamphasse jātaṃ. Sātaṃ sukhaṃ vedayitanti sātaṃ vedayitaṃ, na asātaṃ vedayitaṃ; sukhaṃ vedayitaṃ, na dukkhaṃ vedayitaṃ. Parato tīṇi padāni itthiliṅgavasena vuttāni. Sātā vedanā, na asātā; sukhā vedanā, na dukkhāti. Ayameva panettha attho.
๔. สญฺญานิเทฺทเส ตชฺชามโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชาติ ตสฺสากุสลสญฺญาย อนุจฺฉวิกาย มโนวิญฺญาณธาตุยา สมฺผสฺสมฺหิ ชาตาฯ สญฺญาติ สภาวนามํฯ สญฺชานนาติ สญฺชานนากาโรฯ สญฺชานิตตฺตนฺติ สญฺชานิตภาโวฯ
4. Saññāniddese tajjāmanoviññāṇadhātusamphassajāti tassākusalasaññāya anucchavikāya manoviññāṇadhātuyā samphassamhi jātā. Saññāti sabhāvanāmaṃ. Sañjānanāti sañjānanākāro. Sañjānitattanti sañjānitabhāvo.
๕. เจตนานิเทฺทเสปิ อิมินาว นเยน เวทิตโพฺพฯ
5. Cetanāniddesepi imināva nayena veditabbo.
จิตฺตนิเทฺทเส จิตฺตวิจิตฺตตาย จิตฺตํฯ อารมฺมณํ มินมานํ ชานาตีติ มโนฯ มานสนฺติ มโน เอวฯ ‘‘อนฺตลิกฺขจโร ปาโส ยฺวายํ จรติ มานโส’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๕๑; มหาว. ๓๓) หิ เอตฺถ ปน สมฺปยุตฺตกธโมฺม ‘มานโส’ติ วุโตฺตฯ
Cittaniddese cittavicittatāya cittaṃ. Ārammaṇaṃ minamānaṃ jānātīti mano. Mānasanti mano eva. ‘‘Antalikkhacaro pāso yvāyaṃ carati mānaso’’ti (saṃ. ni. 1.151; mahāva. 33) hi ettha pana sampayuttakadhammo ‘mānaso’ti vutto.
‘‘กถญฺหิ ภควา ตุยฺหํ, สาวโก สาสเน รโต;
‘‘Kathañhi bhagavā tuyhaṃ, sāvako sāsane rato;
อปฺปตฺตมานโส เสโกฺข, กาลํ กยิรา ชเน สุตา’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๕๙);
Appattamānaso sekkho, kālaṃ kayirā jane sutā’’ti. (saṃ. ni. 1.159);
เอตฺถ อรหตฺตํ ‘มานส’นฺติ วุตฺตํฯ อิธ ปน ‘มโนว’ มานสํฯ พฺยญฺชนวเสน เหตํ ปทํ วฑฺฒิตํฯ
Ettha arahattaṃ ‘mānasa’nti vuttaṃ. Idha pana ‘manova’ mānasaṃ. Byañjanavasena hetaṃ padaṃ vaḍḍhitaṃ.
หทยนฺติ จิตฺตํฯ ‘‘จิตฺตํ วา เต ขิปิสฺสามิ, หทยํ วา เต ผาเลสฺสามี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๓๗; สุ. นิ. อาฬวกสุตฺต) เอตฺถ อุโร หทยนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘หทยา หทยํ มเญฺญ อญฺญาย ตจฺฉตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๖๓) เอตฺถ จิตฺตํฯ ‘‘วกฺกํ หทย’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๓๗๗; ม. นิ. ๑.๑๑๐) เอตฺถ หทยวตฺถุฯ อิธ ปน จิตฺตเมว อพฺภนฺตรเฎฺฐน ‘หทย’นฺติ วุตฺตํฯ ตเมว ปริสุทฺธเฎฺฐน ปณฺฑรํฯ ภวงฺคํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ยถาห – ‘‘ปภสฺสรมิทํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฎฺฐ’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๔๙)ฯ ตโต นิกฺขนฺตตฺตา ปน อกุสลมฺปิ, คงฺคาย นิกฺขนฺตา นที คงฺคา วิย, โคธาวริโต นิกฺขนฺตา โคธาวรี วิย จ, ปณฺฑรเนฺตฺวว วุตฺตํฯ
Hadayanti cittaṃ. ‘‘Cittaṃ vā te khipissāmi, hadayaṃ vā te phālessāmī’’ti (saṃ. ni. 1.237; su. ni. āḷavakasutta) ettha uro hadayanti vuttaṃ. ‘‘Hadayā hadayaṃ maññe aññāya tacchatī’’ti (ma. ni. 1.63) ettha cittaṃ. ‘‘Vakkaṃ hadaya’’nti (dī. ni. 2.377; ma. ni. 1.110) ettha hadayavatthu. Idha pana cittameva abbhantaraṭṭhena ‘hadaya’nti vuttaṃ. Tameva parisuddhaṭṭhena paṇḍaraṃ. Bhavaṅgaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yathāha – ‘‘pabhassaramidaṃ, bhikkhave, cittaṃ, tañca kho āgantukehi upakkilesehi upakkiliṭṭha’’nti (a. ni. 1.49). Tato nikkhantattā pana akusalampi, gaṅgāya nikkhantā nadī gaṅgā viya, godhāvarito nikkhantā godhāvarī viya ca, paṇḍarantveva vuttaṃ.
มโน มนายตนนฺติ อิธ ปน มโนคฺคหณํ มนเสฺสว อายตนภาวทีปนตฺถํฯ เตเนตํ ทีเปติ – ‘นยิทํ เทวายตนํ วิย มนสฺส อายตนตฺตา มนายตนํ, อถ โข มโน เอว อายตนํ มนายตน’นฺติฯ ตตฺถ นิวาสฐานเฎฺฐน อากรเฎฺฐน สโมสรณฐานเฎฺฐน สญฺชาติเทสเฎฺฐน การณเฎฺฐน จ อายตนํ เวทิตพฺพํฯ ตถา หิ โลเก ‘อิสฺสรายตนํ วาสุเทวายตน’นฺติอาทีสุ นิวาสฎฺฐานํ อายตนนฺติ วุจฺจติฯ ‘สุวณฺณายตนํ รชตายตน’นฺติอาทีสุ อากโรฯ สาสเน ปน ‘‘มโนรเม อายตเน เสวนฺติ นํ วิหงฺคมา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๓๘) สโมสรณฎฺฐานํฯ ‘‘ทกฺขิณาปโถ คุนฺนํ อายตน’’นฺติอาทีสุ สญฺชาติเทโสฯ ‘‘ตตฺร ตเตฺรว สกฺขิภพฺพตํ ปาปุณาติ สติ สติอายตเน’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๕๘) การณํฯ อิธ ปน สญฺชาติเทสเฎฺฐน สโมสรณฐานเฎฺฐน การณเฎฺฐนาติ ติธาปิ วฎฺฎติฯ
Mano manāyatananti idha pana manoggahaṇaṃ manasseva āyatanabhāvadīpanatthaṃ. Tenetaṃ dīpeti – ‘nayidaṃ devāyatanaṃ viya manassa āyatanattā manāyatanaṃ, atha kho mano eva āyatanaṃ manāyatana’nti. Tattha nivāsaṭhānaṭṭhena ākaraṭṭhena samosaraṇaṭhānaṭṭhena sañjātidesaṭṭhena kāraṇaṭṭhena ca āyatanaṃ veditabbaṃ. Tathā hi loke ‘issarāyatanaṃ vāsudevāyatana’ntiādīsu nivāsaṭṭhānaṃ āyatananti vuccati. ‘Suvaṇṇāyatanaṃ rajatāyatana’ntiādīsu ākaro. Sāsane pana ‘‘manorame āyatane sevanti naṃ vihaṅgamā’’tiādīsu (a. ni. 5.38) samosaraṇaṭṭhānaṃ. ‘‘Dakkhiṇāpatho gunnaṃ āyatana’’ntiādīsu sañjātideso. ‘‘Tatra tatreva sakkhibhabbataṃ pāpuṇāti sati satiāyatane’’tiādīsu (ma. ni. 3.158) kāraṇaṃ. Idha pana sañjātidesaṭṭhena samosaraṇaṭhānaṭṭhena kāraṇaṭṭhenāti tidhāpi vaṭṭati.
ผสฺสาทโย หิ ธมฺมา เอตฺถ สญฺชายนฺตีติ สญฺชาติเทสเฎฺฐนปิ เอตํ อายตนํฯ พหิทฺธา รูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพา อารมฺมณภาเวเนตฺถ โอสรนฺตีติ สโมสรณฐานเฎฺฐนปิ อายตนํฯ ผสฺสาทีนํ ปน สหชาตาทิปจฺจยเฎฺฐน การณตฺตา การณเฎฺฐนปิ อายตนนฺติ เวทิตพฺพํฯ มนินฺทฺริยํ วุตฺตตฺถเมวฯ
Phassādayo hi dhammā ettha sañjāyantīti sañjātidesaṭṭhenapi etaṃ āyatanaṃ. Bahiddhā rūpasaddagandharasaphoṭṭhabbā ārammaṇabhāvenettha osarantīti samosaraṇaṭhānaṭṭhenapi āyatanaṃ. Phassādīnaṃ pana sahajātādipaccayaṭṭhena kāraṇattā kāraṇaṭṭhenapi āyatananti veditabbaṃ. Manindriyaṃ vuttatthameva.
วิชานาตีติ วิญฺญาณํ วิญฺญาณเมว ขโนฺธ วิญฺญาณกฺขโนฺธฯ ตสฺส ราสิอาทิวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ มหาอุทกกฺขโนฺธเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉตีติ (อ. นิ. ๔.๕๑)ฯ เอตฺถ หิ ราสเฎฺฐน ขโนฺธ วุโตฺตฯ ‘‘สีลกฺขโนฺธ สมาธิกฺขโนฺธ’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๕๕) คุณเฎฺฐนฯ ‘‘อทฺทสา โข ภควา มหนฺตํ ทารุกฺขนฺธ’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) เอตฺถ ปณฺณตฺติมตฺตเฎฺฐนฯ อิธ ปน รุฬฺหิโต ขโนฺธ วุโตฺตฯ ราสเฎฺฐน หิ วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส เอกเทโส เอกํ วิญฺญาณํฯ ตสฺมา ยถา รุกฺขสฺส เอกเทสํ ฉินฺทโนฺต รุกฺขํ ฉินฺทตีติ วุจฺจติ, เอวเมว วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส เอกเทสภูตํ เอกมฺปิ วิญฺญาณํ รุฬฺหิโต วิญฺญาณกฺขโนฺธติ วุตฺตํฯ
Vijānātīti viññāṇaṃ viññāṇameva khandho viññāṇakkhandho. Tassa rāsiādivasena attho veditabbo. Mahāudakakkhandhotveva saṅkhyaṃ gacchatīti (a. ni. 4.51). Ettha hi rāsaṭṭhena khandho vutto. ‘‘Sīlakkhandho samādhikkhandho’’tiādīsu (dī. ni. 3.355) guṇaṭṭhena. ‘‘Addasā kho bhagavā mahantaṃ dārukkhandha’’nti (saṃ. ni. 4.241) ettha paṇṇattimattaṭṭhena. Idha pana ruḷhito khandho vutto. Rāsaṭṭhena hi viññāṇakkhandhassa ekadeso ekaṃ viññāṇaṃ. Tasmā yathā rukkhassa ekadesaṃ chindanto rukkhaṃ chindatīti vuccati, evameva viññāṇakkhandhassa ekadesabhūtaṃ ekampi viññāṇaṃ ruḷhito viññāṇakkhandhoti vuttaṃ.
ตชฺชามโนวิญฺญาณธาตูติ เตสํ ผสฺสาทีนํ ธมฺมานํ อนุจฺฉวิกา มโนวิญฺญาณธาตุฯ อิมสฺมิญฺหิ ปเท เอกเมว จิตฺตํ มินนเฎฺฐน มโน, วิชานนเฎฺฐน วิญฺญาณํ, สภาวเฎฺฐน นิสฺสตฺตเฎฺฐน วา ธาตูติ ตีหิ นาเมหิ วุตฺตํฯ อิติ อิมสฺมิํ ผสฺสปญฺจมเก ผโสฺส ตาว ยสฺมา ผโสฺส เอว, น ตชฺชามโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสโช, จิตฺตญฺจ ยสฺมา ตชฺชามโนวิญฺญาณธาตุ เอว, ตสฺมา อิมสฺมิํ ปททฺวเย ‘ตชฺชามโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชา’ติ ปญฺญตฺติ น อาโรปิตาฯ วิตกฺกปทาทีสุ ปน ลพฺภมานาปิ อิธ ปจฺฉินฺนตฺตา น อุทฺธฎาฯ
Tajjāmanoviññāṇadhātūti tesaṃ phassādīnaṃ dhammānaṃ anucchavikā manoviññāṇadhātu. Imasmiñhi pade ekameva cittaṃ minanaṭṭhena mano, vijānanaṭṭhena viññāṇaṃ, sabhāvaṭṭhena nissattaṭṭhena vā dhātūti tīhi nāmehi vuttaṃ. Iti imasmiṃ phassapañcamake phasso tāva yasmā phasso eva, na tajjāmanoviññāṇadhātusamphassajo, cittañca yasmā tajjāmanoviññāṇadhātu eva, tasmā imasmiṃ padadvaye ‘tajjāmanoviññāṇadhātusamphassajā’ti paññatti na āropitā. Vitakkapadādīsu pana labbhamānāpi idha pacchinnattā na uddhaṭā.
อิเมสญฺจ ปน ผสฺสปญฺจมกานํ ธมฺมานํ ปาฎิเยกฺกํ ปาฎิเยกฺกํ วินิโพฺภคํ กตฺวา ปญฺญตฺติํ อุทฺธรมาเนน ภควตา ทุกฺกรํ กตํฯ นานาอุทกานญฺหิ นานาเตลานํ วา เอกภาชเน ปกฺขิปิตฺวา ทิวสํ นิมฺมถิตานํ วณฺณ คนฺธรสานํ นานตาย ทิสฺวา วา ฆายิตฺวา วา สายิตฺวา วา นานากรณํ สกฺกา ภเวยฺย ญาตุํฯ เอวํ สเนฺตปิ ตํ ทุกฺกรนฺติ วุตฺตํฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธน ปน อิเมสํ อรูปีนํ จิตฺตเจตสิกานํ ธมฺมานํ เอการมฺมเณ ปวตฺตมานานํ ปาฎิเยกฺกํ ปาฎิเยกฺกํ วินิโพฺภคํ กตฺวา ปญฺญตฺติํ อุทฺธรมาเนน อติทุกฺกรํ กตํฯ เตนาห อายสฺมา นาคเสนเตฺถโร –
Imesañca pana phassapañcamakānaṃ dhammānaṃ pāṭiyekkaṃ pāṭiyekkaṃ vinibbhogaṃ katvā paññattiṃ uddharamānena bhagavatā dukkaraṃ kataṃ. Nānāudakānañhi nānātelānaṃ vā ekabhājane pakkhipitvā divasaṃ nimmathitānaṃ vaṇṇa gandharasānaṃ nānatāya disvā vā ghāyitvā vā sāyitvā vā nānākaraṇaṃ sakkā bhaveyya ñātuṃ. Evaṃ santepi taṃ dukkaranti vuttaṃ. Sammāsambuddhena pana imesaṃ arūpīnaṃ cittacetasikānaṃ dhammānaṃ ekārammaṇe pavattamānānaṃ pāṭiyekkaṃ pāṭiyekkaṃ vinibbhogaṃ katvā paññattiṃ uddharamānena atidukkaraṃ kataṃ. Tenāha āyasmā nāgasenatthero –
‘‘ทุกฺกรํ, มหาราช, ภควตา กตนฺติฯ ‘กิํ, ภเนฺต นาคเสน, ภควตา ทุกฺกรํ กต’นฺติฯ ‘ทุกฺกรํ, มหาราช, ภควตา กตํ, ยํ อิเมสํ อรูปีนํ จิตฺตเจตสิกานํ ธมฺมานํ เอการมฺมเณ ปวตฺตมานานํ ววตฺถานํ อกฺขาตํ – อยํ ผโสฺส, อยํ เวทนา, อยํ สญฺญา, อยํ เจตนา, อิทํ จิตฺต’นฺติฯ ‘โอปมฺมํ, ภเนฺต, กโรหี’ติฯ ‘ยถา, มหาราช, โกจิเทว ปุริโส นาวาย สมุทฺทํ อโชฺฌคาเหตฺวา หตฺถปุเฎน อุทกํ คเหตฺวา ชิวฺหาย สายิตฺวา ชาเนยฺย นุ โข, มหาราช, โส ปุริโส – อิทํ คงฺคาย อุทกํ, อิทํ ยมุนาย อุทกํ, อิทํ อจิรวติยา อุทกํ, อิทํ สรภุยา อุทกํ, อิทํ มหิยา อุทก’นฺติ? ‘ทุกฺกรํ, ภเนฺต, ชานิตุ’นฺติฯ ‘ตโต ทุกฺกรตรํ โข, มหาราช, ภควตา กตํ ยํ อิเมสํ อรูปีนํ จิตฺตเจตสิกานํ ธมฺมานํ…เป.… อิทํ จิตฺต’’’นฺติ (มิ. ป. ๒.๗.๑๖)ฯ
‘‘Dukkaraṃ, mahārāja, bhagavatā katanti. ‘Kiṃ, bhante nāgasena, bhagavatā dukkaraṃ kata’nti. ‘Dukkaraṃ, mahārāja, bhagavatā kataṃ, yaṃ imesaṃ arūpīnaṃ cittacetasikānaṃ dhammānaṃ ekārammaṇe pavattamānānaṃ vavatthānaṃ akkhātaṃ – ayaṃ phasso, ayaṃ vedanā, ayaṃ saññā, ayaṃ cetanā, idaṃ citta’nti. ‘Opammaṃ, bhante, karohī’ti. ‘Yathā, mahārāja, kocideva puriso nāvāya samuddaṃ ajjhogāhetvā hatthapuṭena udakaṃ gahetvā jivhāya sāyitvā jāneyya nu kho, mahārāja, so puriso – idaṃ gaṅgāya udakaṃ, idaṃ yamunāya udakaṃ, idaṃ aciravatiyā udakaṃ, idaṃ sarabhuyā udakaṃ, idaṃ mahiyā udaka’nti? ‘Dukkaraṃ, bhante, jānitu’nti. ‘Tato dukkarataraṃ kho, mahārāja, bhagavatā kataṃ yaṃ imesaṃ arūpīnaṃ cittacetasikānaṃ dhammānaṃ…pe… idaṃ citta’’’nti (mi. pa. 2.7.16).
๗. วิตกฺกนิเทฺทเส ตกฺกนวเสน ตโกฺกฯ ตสฺส ติตฺตกํ ตเกฺกสิ กุมฺภํ ตเกฺกสิ สกฎํ ตเกฺกสิ โยชนํ ตเกฺกสิ อทฺธโยชนํ ตเกฺกสีติ เอวํ ตกฺกนวเสน ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ อิทํ ตกฺกสฺส สภาวปทํฯ วิตกฺกนวเสน วิตโกฺกฯ พลวตรตกฺกเสฺสตํ นามํฯ สุฎฺฐุ กปฺปนวเสน สงฺกโปฺปฯ เอกคฺคํ จิตฺตํ อารมฺมเณ อเปฺปตีติ อปฺปนาฯ ทุติยปทํ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตํ ฯ พลวตรา วา อปฺปนา พฺยปฺปนาฯ อารมฺมเณ จิตฺตํ อภินิโรเปติ ปติฎฺฐาเปตีติ เจตโส อภินิโรปนาฯ ยาถาวตาย นิยฺยานิกตาย จ กุสลภาวปฺปโตฺต ปสโตฺถ สงฺกโปฺปติ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ
7. Vitakkaniddese takkanavasena takko. Tassa tittakaṃ takkesi kumbhaṃ takkesi sakaṭaṃ takkesi yojanaṃ takkesi addhayojanaṃ takkesīti evaṃ takkanavasena pavatti veditabbā. Idaṃ takkassa sabhāvapadaṃ. Vitakkanavasena vitakko. Balavataratakkassetaṃ nāmaṃ. Suṭṭhu kappanavasena saṅkappo. Ekaggaṃ cittaṃ ārammaṇe appetīti appanā. Dutiyapadaṃ upasaggavasena vaḍḍhitaṃ . Balavatarā vā appanā byappanā. Ārammaṇe cittaṃ abhiniropeti patiṭṭhāpetīti cetaso abhiniropanā. Yāthāvatāya niyyānikatāya ca kusalabhāvappatto pasattho saṅkappoti sammāsaṅkappo.
๘. วิจารนิเทฺทเส อารมฺมเณ จรณกวเสน จาโรฯ อิทมสฺส สภาวปทํฯ วิจรณวเสน วิจาโร ฯ อนุคนฺตฺวา วิจรณวเสน อนุวิจาโรฯ อุปคนฺตฺวา วิจรณวเสน อุปวิจาโรติฯ อุปสคฺควเสน วา ปทานิ วฑฺฒิตานิฯ อารมฺมเณ จิตฺตํ, สรํ วิย ชิยาย, อนุสนฺทหิตฺวา ฐปนโต จิตฺตสฺส อนุสนฺธานตาฯ อารมฺมณํ อนุเปกฺขมาโน วิย ติฎฺฐตีติ อนุเปกฺขนตาฯ วิจรณวเสน วา อุเปกฺขนตา อนุเปกฺขนตาฯ
8. Vicāraniddese ārammaṇe caraṇakavasena cāro. Idamassa sabhāvapadaṃ. Vicaraṇavasena vicāro. Anugantvā vicaraṇavasena anuvicāro. Upagantvā vicaraṇavasena upavicāroti. Upasaggavasena vā padāni vaḍḍhitāni. Ārammaṇe cittaṃ, saraṃ viya jiyāya, anusandahitvā ṭhapanato cittassa anusandhānatā. Ārammaṇaṃ anupekkhamāno viya tiṭṭhatīti anupekkhanatā. Vicaraṇavasena vā upekkhanatā anupekkhanatā.
๙. ปีตินิเทฺทเส ปีตีติ สภาวปทํฯ ปมุทิตสฺส ภาโว ปาโมชฺชํฯ อาโมทนากาโร อาโมทนาฯ ปโมทนากาโร ปโมทนาฯ ยถา วา เภสชฺชานํ วา เตลานํ วา อุโณฺหทกสีโตทกานํ วา เอกโตกรณํ โมทนาติ วุจฺจติ, เอวมยมฺปิ ปีติ ธมฺมานํ เอกโตกรเณน โมทนาฯ อุปสคฺควเสน ปน มเณฺฑตฺวา อาโมทนา ปโมทนาติ วุตฺตาฯ หาเสตีติ หาโสฯ ปหาเสตีติ ปหาโสฯ หฎฺฐปหฎฺฐาการานเมตํ อธิวจนํฯ วิตฺตีติ วิตฺตํ; ธนเสฺสตํ นามํฯ อยํ ปน โสมนสฺสปจฺจยตฺตา วิตฺติสริกฺขตาย วิตฺติฯ ยถา หิ ธนิโน ธนํ ปฎิจฺจ โสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, เอวํ ปีติมโตปิ ปีติํ ปฎิจฺจ โสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา วิตฺตีติ วุตฺตาฯ ตุฎฺฐิสภาวสณฺฐิตาย ปีติยา เอตํ นามํฯ ปีติมา ปน ปุคฺคโล กายจิตฺตานํ อุคฺคตตฺตา อพฺภุคฺคตตฺตา อุทโคฺคติ วุจฺจติ ฯ อุทคฺคสฺส ภาโว โอทคฺยํฯ อตฺตโน มนตา อตฺตมนตาฯ อนภิรทฺธสฺส หิ มโน ทุกฺขปทฎฺฐานตฺตา อตฺตโน มโน นาม น โหติ, อภิรทฺธสฺส ปน สุขปทฎฺฐานตฺตา อตฺตโน มโน นาม โหติฯ อิติ อตฺตโน มนตา อตฺตมนตา, สกมนตาฯ สกมนสฺส ภาโวติ อโตฺถฯ สา ปน ยสฺมา น อญฺญสฺส กสฺสจิ อตฺตโน มนตา, จิตฺตเสฺสว ปเนโส ภาโว, เจตสิโก ธโมฺม, ตสฺมา อตฺตมนตา จิตฺตสฺสาติ วุตฺตาฯ
9. Pītiniddese pītīti sabhāvapadaṃ. Pamuditassa bhāvo pāmojjaṃ. Āmodanākāro āmodanā. Pamodanākāro pamodanā. Yathā vā bhesajjānaṃ vā telānaṃ vā uṇhodakasītodakānaṃ vā ekatokaraṇaṃ modanāti vuccati, evamayampi pīti dhammānaṃ ekatokaraṇena modanā. Upasaggavasena pana maṇḍetvā āmodanā pamodanāti vuttā. Hāsetīti hāso. Pahāsetīti pahāso. Haṭṭhapahaṭṭhākārānametaṃ adhivacanaṃ. Vittīti vittaṃ; dhanassetaṃ nāmaṃ. Ayaṃ pana somanassapaccayattā vittisarikkhatāya vitti. Yathā hi dhanino dhanaṃ paṭicca somanassaṃ uppajjati, evaṃ pītimatopi pītiṃ paṭicca somanassaṃ uppajjati, tasmā vittīti vuttā. Tuṭṭhisabhāvasaṇṭhitāya pītiyā etaṃ nāmaṃ. Pītimā pana puggalo kāyacittānaṃ uggatattā abbhuggatattā udaggoti vuccati . Udaggassa bhāvo odagyaṃ. Attano manatā attamanatā. Anabhiraddhassa hi mano dukkhapadaṭṭhānattā attano mano nāma na hoti, abhiraddhassa pana sukhapadaṭṭhānattā attano mano nāma hoti. Iti attano manatā attamanatā, sakamanatā. Sakamanassa bhāvoti attho. Sā pana yasmā na aññassa kassaci attano manatā, cittasseva paneso bhāvo, cetasiko dhammo, tasmā attamanatā cittassāti vuttā.
๑๑. เอกคฺคตานิเทฺทเส อจลภาเวน อารมฺมเณ ติฎฺฐตีติ ฐิติฯ ปรโต ปททฺวยํ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตํฯ อปิจ สมฺปยุตฺตธเมฺม อารมฺมณมฺหิ สมฺปิเณฺฑตฺวา ติฎฺฐตีติ สณฺฐิติฯ อารมฺมณํ โอคาเหตฺวา อนุปวิสิตฺวา ติฎฺฐตีติ อวฎฺฐิติฯ กุสลปกฺขสฺมิญฺหิ จตฺตาโร ธมฺมา อารมฺมณํ โอคาหนฺติ – สทฺธา สติ สมาธิ ปญฺญาติฯ เตเนว สทฺธา โอกปฺปนาติ วุตฺตา, สติ อปิลาปนตาติ, สมาธิ อวฎฺฐิตีติ, ปญฺญา ปริโยคาหนาติฯ อกุสลปเกฺข ปน ตโย ธมฺมา อารมฺมณํ โอคาหนฺติ – ตณฺหา ทิฎฺฐิ อวิชฺชาติฯ เตเนว เต โอฆาติ วุตฺตาฯ จิเตฺตกคฺคตา ปเนตฺถ น พลวตี โหติฯ ยถา หิ รชุฎฺฐานฎฺฐาเน อุทเกน สิญฺจิตฺวา สมฺมเฎฺฐ โถกเมว กาลํ รโช สนฺนิสีทติ, สุกฺขเนฺต สุกฺขเนฺต ปุน ปกติภาเวน วุฎฺฐาติ, เอวเมว อกุสลปเกฺข จิเตฺตกคฺคตา น พลวตี โหติฯ ยถา ปน ตสฺมิํ ฐาเน ฆเฎหิ อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา กุทาเลน ขนิตฺวา อาโกฎนมทฺทนฆฎฺฎนานิ กตฺวา อุปลิเตฺต อาทาเส วิย ฉายา ปญฺญายติ, วสฺสสตาติกฺกเมปิ ตํมุหุตฺตกตํ วิย โหติ, เอวเมว กุสลปเกฺข จิเตฺตกคฺคตา พลวตี โหติฯ
11. Ekaggatāniddese acalabhāvena ārammaṇe tiṭṭhatīti ṭhiti. Parato padadvayaṃ upasaggavasena vaḍḍhitaṃ. Apica sampayuttadhamme ārammaṇamhi sampiṇḍetvā tiṭṭhatīti saṇṭhiti. Ārammaṇaṃ ogāhetvā anupavisitvā tiṭṭhatīti avaṭṭhiti. Kusalapakkhasmiñhi cattāro dhammā ārammaṇaṃ ogāhanti – saddhā sati samādhi paññāti. Teneva saddhā okappanāti vuttā, sati apilāpanatāti, samādhi avaṭṭhitīti, paññā pariyogāhanāti. Akusalapakkhe pana tayo dhammā ārammaṇaṃ ogāhanti – taṇhā diṭṭhi avijjāti. Teneva te oghāti vuttā. Cittekaggatā panettha na balavatī hoti. Yathā hi rajuṭṭhānaṭṭhāne udakena siñcitvā sammaṭṭhe thokameva kālaṃ rajo sannisīdati, sukkhante sukkhante puna pakatibhāvena vuṭṭhāti, evameva akusalapakkhe cittekaggatā na balavatī hoti. Yathā pana tasmiṃ ṭhāne ghaṭehi udakaṃ āsiñcitvā kudālena khanitvā ākoṭanamaddanaghaṭṭanāni katvā upalitte ādāse viya chāyā paññāyati, vassasatātikkamepi taṃmuhuttakataṃ viya hoti, evameva kusalapakkhe cittekaggatā balavatī hoti.
อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาวเสน ปวตฺตสฺส วิสาหารสฺส ปฎิปกฺขโต อวิสาหาโรฯ อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาวเสเนว คจฺฉนฺตํ จิตฺตํ วิกฺขิปติ นามฯ อยํ ปน ตถาวิโธ วิเกฺขโป น โหตีติ อวิเกฺขโปฯ อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาวเสเนว จ จิตฺตํ วิสาหฎํ นาม โหติ, อิโต จิโต จ หรียติฯ อยํ ปน เอวํ อวิสาหฎสฺส มานสสฺส ภาโวติ อวิสาหฎมานสตาฯ
Uddhaccavicikicchāvasena pavattassa visāhārassa paṭipakkhato avisāhāro. Uddhaccavicikicchāvaseneva gacchantaṃ cittaṃ vikkhipati nāma. Ayaṃ pana tathāvidho vikkhepo na hotīti avikkhepo. Uddhaccavicikicchāvaseneva ca cittaṃ visāhaṭaṃ nāma hoti, ito cito ca harīyati. Ayaṃ pana evaṃ avisāhaṭassa mānasassa bhāvoti avisāhaṭamānasatā.
สมโถติ ติวิโธ สมโถ – จิตฺตสมโถ, อธิกรณสมโถ, สพฺพสงฺขารสมโถติฯ ตตฺถ อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ จิเตฺตกคฺคตา จิตฺตสมโถ นามฯ ตญฺหิ อาคมฺม จิตฺตจลนํ จิตฺตวิปฺผนฺทิตํ สมฺมติ วูปสมฺมติ, ตสฺมา โส จิตฺตสมโถติ วุจฺจติฯ สมฺมุขาวินยาทิสตฺตวิโธ สมโถ อธิกรณสมโถ นามฯ ตญฺหิ อาคมฺม ตานิ ตานิ อธิกรณานิ สมฺมนฺติ วูปสมฺมนฺติ, ตสฺมา โส อธิกรณสมโถติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ปน สเพฺพ สงฺขารา นิพฺพานํ อาคมฺม สมฺมนฺติ วูปสมฺมนฺติ, ตสฺมา ตํ สพฺพสงฺขารสมโถติ วุจฺจติฯ อิมสฺมิํ อเตฺถ จิตฺตสมโถ อธิเปฺปโตฯ สมาธิลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ สมาธินฺทฺริยํฯ อุทฺธเจฺจ น กมฺปตีติ สมาธิพลํฯ สมฺมาสมาธีติ ยาถาวสมาธิ นิยฺยานิกสมาธิ กุสลสมาธิฯ
Samathoti tividho samatho – cittasamatho, adhikaraṇasamatho, sabbasaṅkhārasamathoti. Tattha aṭṭhasu samāpattīsu cittekaggatā cittasamatho nāma. Tañhi āgamma cittacalanaṃ cittavipphanditaṃ sammati vūpasammati, tasmā so cittasamathoti vuccati. Sammukhāvinayādisattavidho samatho adhikaraṇasamatho nāma. Tañhi āgamma tāni tāni adhikaraṇāni sammanti vūpasammanti, tasmā so adhikaraṇasamathoti vuccati. Yasmā pana sabbe saṅkhārā nibbānaṃ āgamma sammanti vūpasammanti, tasmā taṃ sabbasaṅkhārasamathoti vuccati. Imasmiṃ atthe cittasamatho adhippeto. Samādhilakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti samādhindriyaṃ. Uddhacce na kampatīti samādhibalaṃ. Sammāsamādhīti yāthāvasamādhi niyyānikasamādhi kusalasamādhi.
๑๒. สทฺธินฺทฺริยนิเทฺทเส พุทฺธาทิคุณานํ สทฺทหนวเสน สทฺธาฯ พุทฺธาทีนิ วา รตนานิ สทฺทหติ ปตฺติยายตีติ สทฺธาฯ สทฺทหนาติ สทฺทหนากาโรฯ พุทฺธาทีนํ คุเณ โอคาหติ, ภินฺทิตฺวา วิย อนุปวิสตีติ โอกปฺปนาฯ พุทฺธาทีนํ คุเณสุ เอตาย สตฺตา อติวิย ปสีทนฺติ, สยํ วา อภิปฺปสีทตีติ อภิปฺปสาโทฯ อิทานิ ยสฺมา สทฺธินฺทฺริยาทีนํ สมาสปทานํ วเสน อญฺญสฺมิํ ปริยาเย อารเทฺธ อาทิปทํ คเหตฺวาว ปทภาชนํ กรียติ – อยํ อภิธเมฺม ธมฺมตา – ตสฺมา ปุน สทฺธาติ วุตฺตํฯ ยถา วา อิตฺถิยา อินฺทฺริยํ อิตฺถินฺทฺริยํ, น ตถา อิทํฯ อิทํ ปน สทฺธาว อินฺทฺริยํ สทฺธินฺทฺริยนฺติฯ เอวํ สมานาธิกรณภาวญาปนตฺถมฺปิ ปุน สทฺธาติ วุตฺตํฯ เอวํ สพฺพปทนิเทฺทเสสุ อาทิปทสฺส ปุน วจเน ปโยชนํ เวทิตพฺพํฯ อธิโมกฺขลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ สทฺธินฺทฺริยํฯ อสทฺธิเย น กมฺปตีติ สทฺธาพลํฯ
12. Saddhindriyaniddese buddhādiguṇānaṃ saddahanavasena saddhā. Buddhādīni vā ratanāni saddahati pattiyāyatīti saddhā. Saddahanāti saddahanākāro. Buddhādīnaṃ guṇe ogāhati, bhinditvā viya anupavisatīti okappanā. Buddhādīnaṃ guṇesu etāya sattā ativiya pasīdanti, sayaṃ vā abhippasīdatīti abhippasādo. Idāni yasmā saddhindriyādīnaṃ samāsapadānaṃ vasena aññasmiṃ pariyāye āraddhe ādipadaṃ gahetvāva padabhājanaṃ karīyati – ayaṃ abhidhamme dhammatā – tasmā puna saddhāti vuttaṃ. Yathā vā itthiyā indriyaṃ itthindriyaṃ, na tathā idaṃ. Idaṃ pana saddhāva indriyaṃ saddhindriyanti. Evaṃ samānādhikaraṇabhāvañāpanatthampi puna saddhāti vuttaṃ. Evaṃ sabbapadaniddesesu ādipadassa puna vacane payojanaṃ veditabbaṃ. Adhimokkhalakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti saddhindriyaṃ. Asaddhiye na kampatīti saddhābalaṃ.
๑๓. วีริยินฺทฺริยนิเทฺทเส เจตสิโกติ อิทํ วีริยสฺส นิยมโต เจตสิกภาวทีปนตฺถํ วุตฺตํฯ อิทญฺหิ วีริยํ ‘‘ยทปิ, ภิกฺขเว, กายิกํ วีริยํ ตทปิ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺค, ยทปิ เจตสิกํ วีริยํ ตทปิ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺคติฯ อิติหิทํ อุเทฺทสํ คจฺฉตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๓) เอวมาทีสุ สุเตฺตสุ จงฺกมาทีนิ กโรนฺตสฺส อุปฺปนฺนตฺตา ‘กายิก’นฺติ วุจฺจมานมฺปิ กายวิญฺญาณํ วิย กายิกํ นาม นตฺถิ, เจตสิกเมว ปเนตนฺติ ทเสฺสตุํ ‘เจตสิโก’ติ วุตฺตํฯ วีริยารโมฺภติ วีริยสงฺขาโต อารโมฺภฯ อิมินา เสสารเมฺภ ปฎิกฺขิปติฯ อยญฺหิ ‘อารมฺภ’-สโทฺท กเมฺม อาปตฺติยํ กิริยายํ วีริเย หิํสาย วิโกปเนติ อเนเกสุ อเตฺถสุ อาคโตฯ
13. Vīriyindriyaniddese cetasikoti idaṃ vīriyassa niyamato cetasikabhāvadīpanatthaṃ vuttaṃ. Idañhi vīriyaṃ ‘‘yadapi, bhikkhave, kāyikaṃ vīriyaṃ tadapi vīriyasambojjhaṅgo, yadapi cetasikaṃ vīriyaṃ tadapi vīriyasambojjhaṅgoti. Itihidaṃ uddesaṃ gacchatī’’ti (saṃ. ni. 5.233) evamādīsu suttesu caṅkamādīni karontassa uppannattā ‘kāyika’nti vuccamānampi kāyaviññāṇaṃ viya kāyikaṃ nāma natthi, cetasikameva panetanti dassetuṃ ‘cetasiko’ti vuttaṃ. Vīriyārambhoti vīriyasaṅkhāto ārambho. Iminā sesārambhe paṭikkhipati. Ayañhi ‘ārambha’-saddo kamme āpattiyaṃ kiriyāyaṃ vīriye hiṃsāya vikopaneti anekesu atthesu āgato.
‘‘ยํกิญฺจิ ทุกฺขํ สโมฺภติ, สพฺพํ อารมฺภปจฺจยา;
‘‘Yaṃkiñci dukkhaṃ sambhoti, sabbaṃ ārambhapaccayā;
อารมฺภานํ นิโรเธน, นตฺถิ ทุกฺขสฺส สมฺภโว’’ติฯ (สุ. นิ. ๗๔๙);
Ārambhānaṃ nirodhena, natthi dukkhassa sambhavo’’ti. (su. ni. 749);
เอตฺถ หิ กมฺมํ ‘อารโมฺภ’ติ อาคตํฯ ‘‘อารมฺภติ จ วิปฺปฎิสารี จ โหตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๔๒; ปุ. ป. ๑๙๑) เอตฺถ อาปตฺติฯ ‘‘มหายญฺญา มหารมฺภา น เต โหนฺติ มหปฺผลา’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๙; สํ. นิ. ๑.๑๒๐) เอตฺถ ยูปุสฺสาปนาทิกิริยาฯ ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถ ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๘๕) เอตฺถ วีริยํฯ ‘‘สมณํ โคตมํ อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๕๑-๕๒) เอตฺถ หิํสาฯ ‘‘พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรโต โหตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๐; ม. นิ. ๑.๒๙๓) เอตฺถ เฉทนภญฺชนาทิกํ วิโกปนํฯ อิธ ปน วีริยเมว อธิเปฺปตํฯ เตนาห – ‘วีริยารโมฺภติ วีริยสงฺขาโต อารโมฺภ’ติฯ วีริยญฺหิ อารมฺภนกวเสน อารโมฺภติ วุจฺจติฯ อิทมสฺส สภาวปทํฯ โกสชฺชโต นิกฺขมนวเสน นิกฺกโมฯ ปรํ ปรํ ฐานํ อกฺกมนวเสน ปรกฺกโมฯ อุคฺคนฺตฺวา ยมนวเสน อุยฺยาโมฯ พฺยายมนวเสน วายาโมฯ อุสฺสาหนวเสน อุสฺสาโหฯ อธิมตฺตุสฺสาหนวเสน อุโสฺสฬฺหีฯ ถิรภาวเฎฺฐน ถาโมฯ จิตฺตเจตสิกานํ ธารณวเสน อวิเจฺฉทโต วา ปวตฺตนวเสน กุสลสนฺตานํ ธาเรตีติ ธิติฯ
Ettha hi kammaṃ ‘ārambho’ti āgataṃ. ‘‘Ārambhati ca vippaṭisārī ca hotī’’ti (a. ni. 5.142; pu. pa. 191) ettha āpatti. ‘‘Mahāyaññā mahārambhā na te honti mahapphalā’’ti (a. ni. 4.39; saṃ. ni. 1.120) ettha yūpussāpanādikiriyā. ‘‘Ārambhatha nikkamatha yuñjatha buddhasāsane’’ti (saṃ. ni. 1.185) ettha vīriyaṃ. ‘‘Samaṇaṃ gotamaṃ uddissa pāṇaṃ ārabhantī’’ti (ma. ni. 2.51-52) ettha hiṃsā. ‘‘Bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirato hotī’’ti (dī. ni. 1.10; ma. ni. 1.293) ettha chedanabhañjanādikaṃ vikopanaṃ. Idha pana vīriyameva adhippetaṃ. Tenāha – ‘vīriyārambhoti vīriyasaṅkhāto ārambho’ti. Vīriyañhi ārambhanakavasena ārambhoti vuccati. Idamassa sabhāvapadaṃ. Kosajjato nikkhamanavasena nikkamo. Paraṃ paraṃ ṭhānaṃ akkamanavasena parakkamo. Uggantvā yamanavasena uyyāmo. Byāyamanavasena vāyāmo. Ussāhanavasena ussāho. Adhimattussāhanavasena ussoḷhī. Thirabhāvaṭṭhena thāmo. Cittacetasikānaṃ dhāraṇavasena avicchedato vā pavattanavasena kusalasantānaṃ dhāretīti dhiti.
อปโร นโย – นิกฺกโม เจโส กามานํ ปนุทนาย, ปรกฺกโม เจโส พนฺธนเจฺฉทาย, อุยฺยาโม เจโส โอฆนิตฺถรณาย, วายาโม เจโส ปารงฺคมนเฎฺฐน, อุสฺสาโห เจโส ปุพฺพงฺคมเฎฺฐน, อุโสฺสฬฺหี เจโส อธิมตฺตเฎฺฐน, ถาโม เจโส ปลิฆุคฺฆาฎนตาย, ธิติ เจโส อวฎฺฐิติการิตายาติฯ
Aparo nayo – nikkamo ceso kāmānaṃ panudanāya, parakkamo ceso bandhanacchedāya, uyyāmo ceso oghanittharaṇāya, vāyāmo ceso pāraṅgamanaṭṭhena, ussāho ceso pubbaṅgamaṭṭhena, ussoḷhī ceso adhimattaṭṭhena, thāmo ceso palighugghāṭanatāya, dhiti ceso avaṭṭhitikāritāyāti.
‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตู’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๔; สํ. นิ. ๒.๒๒, ๒๓๗; อ. นิ. ๒.๕; มหานิ. ๑๙๖; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๕๔) เอวํ ปวตฺติกาเล อสิถิลปรกฺกมวเสน อสิถิลปรกฺกมตา; ถิรปรกฺกโม, ทฬฺหปรกฺกโมติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปเนตํ วีริยํ กุสลกมฺมกรณฎฺฐาเน ฉนฺทํ น นิกฺขิปติ, ธุรํ น นิกฺขิปติ, น โอตาเรติ, น วิสฺสเชฺชติ, อโนสกฺกิตมานสตํ อาวหติ, ตสฺมา อนิกฺขิตฺตฉนฺทตา อนิกฺขิตฺตธุรตาติ วุตฺตํฯ ยถา ปน ตชฺชาติเก อุทกสมฺภินฺนฎฺฐาเน ธุรวาหโคณํ คณฺหถาติ วทนฺติ , โส ชณฺณุนา ภูมิํ อุปฺปีเฬตฺวาปิ ธุรํ วหติ, ภูมิยํ ปติตุํ น เทติ, เอวเมว วีริยํ กุสลกมฺมกรณฎฺฐาเน ธุรํ อุกฺขิปติ ปคฺคณฺหาติ, ตสฺมา ธุรสมฺปคฺคาโหติ วุตฺตํฯ ปคฺคหลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ วีริยินฺทฺริยํฯ โกสเชฺช น กมฺปตีติ วีริยพลํฯ ยาถาวนิยฺยานิกกุสลวายามตาย สมฺมาวายาโมฯ
‘‘Kāmaṃ taco ca nhāru ca aṭṭhi ca avasissatū’’ti (ma. ni. 2.184; saṃ. ni. 2.22, 237; a. ni. 2.5; mahāni. 196; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 154) evaṃ pavattikāle asithilaparakkamavasena asithilaparakkamatā; thiraparakkamo, daḷhaparakkamoti attho. Yasmā panetaṃ vīriyaṃ kusalakammakaraṇaṭṭhāne chandaṃ na nikkhipati, dhuraṃ na nikkhipati, na otāreti, na vissajjeti, anosakkitamānasataṃ āvahati, tasmā anikkhittachandatā anikkhittadhuratāti vuttaṃ. Yathā pana tajjātike udakasambhinnaṭṭhāne dhuravāhagoṇaṃ gaṇhathāti vadanti , so jaṇṇunā bhūmiṃ uppīḷetvāpi dhuraṃ vahati, bhūmiyaṃ patituṃ na deti, evameva vīriyaṃ kusalakammakaraṇaṭṭhāne dhuraṃ ukkhipati paggaṇhāti, tasmā dhurasampaggāhoti vuttaṃ. Paggahalakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti vīriyindriyaṃ. Kosajje na kampatīti vīriyabalaṃ. Yāthāvaniyyānikakusalavāyāmatāya sammāvāyāmo.
๑๔. สตินฺทฺริยนิเทฺทเส สรณกวเสน สติฯ อิทํ สติยา สภาวปทํฯ ปุนปฺปุนํ สรณโต อนุสฺสรณวเสน อนุสฺสติฯ อภิมุขํ คนฺตฺวา วิย สรณโต ปฎิสรณวเสน ปฎิสฺสติฯ อุปสคฺควเสน วา วฑฺฒิตมตฺตเมตํฯ สรณากาโร สรณตาฯ ยสฺมา ปน สรณตาติ ติณฺณํ สรณานมฺปิ นามํ, ตสฺมา ตํ ปฎิเสเธตุํ ปุน สติคฺคหณํ กตํฯ สติสงฺขาตา สรณตาติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ สุตปริยตฺตสฺส ธารณภาวโต ธารณตาฯ อนุปวิสนสงฺขาเตน โอคาหนเฎฺฐน อปิลาปนภาโว อปิลาปนตาฯ ยถา หิ ลาพุกฎาหาทีนิ อุทเก ปฺลวนฺติ, น อนุปวิสนฺติ, น ตถา อารมฺมเณ สติฯ อารมฺมณเญฺหสา อนุปวิสติ, ตสฺมา อปิลาปนตาติ วุตฺตาฯ จิรกตจิรภาสิตานํ อสมฺมุสฺสนภาวโต อสมฺมุสฺสนตาฯ อุปฎฺฐานลกฺขเณ โชตนลกฺขเณ จ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ สติสงฺขาตํ อินฺทฺริยํ สตินฺทฺริยํฯ ปมาเท น กมฺปตีติ สติพลํฯ ยาถาวสติ นิยฺยานิกสติ กุสลสตีติ สมฺมาสติฯ
14. Satindriyaniddese saraṇakavasena sati. Idaṃ satiyā sabhāvapadaṃ. Punappunaṃ saraṇato anussaraṇavasena anussati. Abhimukhaṃ gantvā viya saraṇato paṭisaraṇavasena paṭissati. Upasaggavasena vā vaḍḍhitamattametaṃ. Saraṇākāro saraṇatā. Yasmā pana saraṇatāti tiṇṇaṃ saraṇānampi nāmaṃ, tasmā taṃ paṭisedhetuṃ puna satiggahaṇaṃ kataṃ. Satisaṅkhātā saraṇatāti ayañhettha attho. Sutapariyattassa dhāraṇabhāvato dhāraṇatā. Anupavisanasaṅkhātena ogāhanaṭṭhena apilāpanabhāvo apilāpanatā. Yathā hi lābukaṭāhādīni udake plavanti, na anupavisanti, na tathā ārammaṇe sati. Ārammaṇañhesā anupavisati, tasmā apilāpanatāti vuttā. Cirakatacirabhāsitānaṃ asammussanabhāvato asammussanatā. Upaṭṭhānalakkhaṇe jotanalakkhaṇe ca indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Satisaṅkhātaṃ indriyaṃ satindriyaṃ. Pamāde na kampatīti satibalaṃ. Yāthāvasati niyyānikasati kusalasatīti sammāsati.
๑๖. ปญฺญินฺทฺริยนิเทฺทเส ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส ปากฎกรณสงฺขาเตน ปญฺญาปนเฎฺฐน ปญฺญาฯ เตน เตน วา อนิจฺจาทินา ปกาเรน ธเมฺม ชานาตีติปิ ปญฺญาฯ อิทมสฺสา สภาวปทํฯ ปชานนากาโร ปชานนาฯ อนิจฺจาทีนิ วิจินาตีติ วิจโยฯ ปวิจโยติ อุปสเคฺคน ปทํ วฑฺฒิตํ ฯ จตุสจฺจธเมฺม วิจินาตีติ ธมฺมวิจโยฯ อนิจฺจาทีนํ สลฺลกฺขณวเสน สลฺลกฺขณาฯ สาเยว ปุน อุปสคฺคนานเตฺตน อุปลกฺขณา ปจฺจุปลกฺขณาติ วุตฺตาฯ ปณฺฑิตสฺส ภาโว ปณฺฑิจฺจํฯ กุสลสฺส ภาโว โกสลฺลํฯ นิปุณสฺส ภาโว เนปุญฺญํฯ อนิจฺจาทีนํ วิภาวนวเสน เวภพฺยาฯ อนิจฺจาทีนํ จินฺตนกวเสน จินฺตาฯ ยสฺส วา อุปฺปชฺชติ ตํ อนิจฺจาทีนิ จินฺตาเปตีติปิ จินฺตาฯ อนิจฺจาทีนิ อุปปริกฺขตีติ อุปปริกฺขาฯ ภูรีติ ปถวิยา นามํฯ อยมฺปิ สณฺหเฎฺฐน วิตฺถฎเฎฺฐน จ ภูรี วิยาติ ภูรีฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ภูรี วุจฺจติ ปถวี ฯ ตาย ปถวีสมาย วิตฺถฎาย วิปุลาย ปญฺญาย สมนฺนาคโตติ ภูริปโญฺญติ (มหานิ. ๒๗)ฯ อปิจ ปญฺญาย เอตํ อธิวจนํ ภูรี’’ติฯ ภูเต อเตฺถ รมตีติปิ ภูรีฯ อสนิ วิย สิลุจฺจเย กิเลเส เมธติ หิํสตีติ เมธาฯ ขิปฺปํ คหณธารณเฎฺฐน วา เมธาฯ ยสฺส อุปฺปชฺชติ ตํ อตฺตหิตปฎิปตฺติยํ สมฺปยุตฺตธเมฺม จ ยาถาวลกฺขณปฎิเวเธ ปริเนตีติ ปริณายิกาฯ อนิจฺจาทิวเสน ธเมฺม วิปสฺสตีติ วิปสฺสนาฯ สมฺมา ปกาเรหิ อนิจฺจาทีนิ ชานาตีติ สมฺปชญฺญํฯ อุปฺปถปฎิปเนฺน สินฺธเว วีถิอาโรปนตฺถํ ปโตโท วิย อุปฺปเถ ธาวนกํ กูฎจิตฺตํ วีถิอาโรปนตฺถํ วิชฺฌตีติ ปโตโท วิย ปโตโทฯ ทสฺสนลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํฯ ปญฺญาสงฺขาตํ อินฺทฺริยํ ปญฺญินฺทฺริยํฯ อวิชฺชาย น กมฺปตีติ ปญฺญาพลํฯ กิเลสเจฺฉทนเฎฺฐน ปญฺญาว สตฺถํ ปญฺญาสตฺถํฯ อจฺจุคฺคตเฎฺฐน ปญฺญาว ปาสาโท ปญฺญาปาสาโทฯ
16. Paññindriyaniddese tassa tassa atthassa pākaṭakaraṇasaṅkhātena paññāpanaṭṭhena paññā. Tena tena vā aniccādinā pakārena dhamme jānātītipi paññā. Idamassā sabhāvapadaṃ. Pajānanākāro pajānanā. Aniccādīni vicinātīti vicayo. Pavicayoti upasaggena padaṃ vaḍḍhitaṃ . Catusaccadhamme vicinātīti dhammavicayo. Aniccādīnaṃ sallakkhaṇavasena sallakkhaṇā. Sāyeva puna upasagganānattena upalakkhaṇā paccupalakkhaṇāti vuttā. Paṇḍitassa bhāvo paṇḍiccaṃ. Kusalassa bhāvo kosallaṃ. Nipuṇassa bhāvo nepuññaṃ. Aniccādīnaṃ vibhāvanavasena vebhabyā. Aniccādīnaṃ cintanakavasena cintā. Yassa vā uppajjati taṃ aniccādīni cintāpetītipi cintā. Aniccādīni upaparikkhatīti upaparikkhā. Bhūrīti pathaviyā nāmaṃ. Ayampi saṇhaṭṭhena vitthaṭaṭṭhena ca bhūrī viyāti bhūrī. Tena vuttaṃ – ‘‘bhūrī vuccati pathavī . Tāya pathavīsamāya vitthaṭāya vipulāya paññāya samannāgatoti bhūripaññoti (mahāni. 27). Apica paññāya etaṃ adhivacanaṃ bhūrī’’ti. Bhūte atthe ramatītipi bhūrī. Asani viya siluccaye kilese medhati hiṃsatīti medhā. Khippaṃ gahaṇadhāraṇaṭṭhena vā medhā. Yassa uppajjati taṃ attahitapaṭipattiyaṃ sampayuttadhamme ca yāthāvalakkhaṇapaṭivedhe parinetīti pariṇāyikā. Aniccādivasena dhamme vipassatīti vipassanā. Sammā pakārehi aniccādīni jānātīti sampajaññaṃ. Uppathapaṭipanne sindhave vīthiāropanatthaṃ patodo viya uppathe dhāvanakaṃ kūṭacittaṃ vīthiāropanatthaṃ vijjhatīti patodo viya patodo. Dassanalakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ. Paññāsaṅkhātaṃ indriyaṃ paññindriyaṃ. Avijjāya na kampatīti paññābalaṃ. Kilesacchedanaṭṭhena paññāva satthaṃ paññāsatthaṃ. Accuggataṭṭhena paññāva pāsādo paññāpāsādo.
อาโลกนเฎฺฐน ปญฺญาว อาโลโก ปญฺญาอาโลโกฯ โอภาสนเฎฺฐน ปญฺญาว โอภาโส ปญฺญาโอภาโสฯ ปโชฺชตนเฎฺฐน ปญฺญาว ปโชฺชโต ปญฺญาปโชฺชโตฯ ปญฺญวโต หิ เอกปลฺลเงฺกน นิสินฺนสฺส ทสสหสฺสิโลกธาตุ เอกาโลกา เอโกภาสา เอกปโชฺชตา โหติ, เตเนตํ วุตฺตํฯ อิเมสุ ปน ตีสุ ปเทสุ เอกปเทนปิ เอตสฺมิํ อเตฺถ สิเทฺธ, ยานิ ปเนตานิ ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อาโลกาฯ กตเม จตฺตาโร? จนฺทาโลโก สูริยาโลโก อคฺยาโลโก ปญฺญาโลโกฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อาโลกาฯ เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, อิเมสํ จตุนฺนํ อาโลกานํ ยทิทํ ปญฺญาโลโก’’ฯ ตถา ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, โอภาสา…เป.… จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, ปโชฺชตา’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๔๔) สตฺตานํ อชฺฌาสยวเสน สุตฺตานิ เทสิตานิ, ตทนุรูเปเนว อิธาปิ เทสนา กตาฯ อโตฺถ หิ อเนเกหิ อากาเรหิ วิภชฺชมาโน สุวิภโตฺต โหติฯ อญฺญถา จ อโญฺญ พุชฺฌติ, อญฺญถา จ อโญฺญติฯ
Ālokanaṭṭhena paññāva āloko paññāāloko. Obhāsanaṭṭhena paññāva obhāso paññāobhāso. Pajjotanaṭṭhena paññāva pajjoto paññāpajjoto. Paññavato hi ekapallaṅkena nisinnassa dasasahassilokadhātu ekālokā ekobhāsā ekapajjotā hoti, tenetaṃ vuttaṃ. Imesu pana tīsu padesu ekapadenapi etasmiṃ atthe siddhe, yāni panetāni ‘‘cattārome, bhikkhave, ālokā. Katame cattāro? Candāloko sūriyāloko agyāloko paññāloko. Ime kho, bhikkhave, cattāro ālokā. Etadaggaṃ, bhikkhave, imesaṃ catunnaṃ ālokānaṃ yadidaṃ paññāloko’’. Tathā ‘‘cattārome, bhikkhave, obhāsā…pe… cattārome, bhikkhave, pajjotā’’ti (a. ni. 4.144) sattānaṃ ajjhāsayavasena suttāni desitāni, tadanurūpeneva idhāpi desanā katā. Attho hi anekehi ākārehi vibhajjamāno suvibhatto hoti. Aññathā ca añño bujjhati, aññathā ca aññoti.
รติกรณเฎฺฐน ปน รติทายกเฎฺฐน รติชนกเฎฺฐน จิตฺตีกตเฎฺฐน ทุลฺลภปาตุภาวเฎฺฐน อตุลเฎฺฐน อโนมสตฺตปริโภคเฎฺฐน จ ปญฺญาว รตนํ ปญฺญารตนํฯ น เตน สตฺตา มุยฺหนฺติ, สยํ วา อารมฺมเณ น มุยฺหตีติ อโมโหฯ ธมฺมวิจยปทํ วุตฺตตฺถเมวฯ กสฺมา ปเนตํ ปุน วุตฺตนฺติ? อโมหสฺส โมหปฎิปกฺขภาวทีปนตฺถํ ฯ เตเนตํ ทีเปติ – ยฺวายํ อโมโห โส น เกวลํ โมหโต อโญฺญ ธโมฺม, โมหสฺส ปน ปฎิปโกฺข, ธมฺมวิจยสงฺขาโต อโมโห นาม อิธ อธิเปฺปโตติฯ สมฺมาทิฎฺฐีติ ยาถาวนิยฺยานิกกุสลทิฎฺฐิฯ
Ratikaraṇaṭṭhena pana ratidāyakaṭṭhena ratijanakaṭṭhena cittīkataṭṭhena dullabhapātubhāvaṭṭhena atulaṭṭhena anomasattaparibhogaṭṭhena ca paññāva ratanaṃ paññāratanaṃ. Na tena sattā muyhanti, sayaṃ vā ārammaṇe na muyhatīti amoho. Dhammavicayapadaṃ vuttatthameva. Kasmā panetaṃ puna vuttanti? Amohassa mohapaṭipakkhabhāvadīpanatthaṃ . Tenetaṃ dīpeti – yvāyaṃ amoho so na kevalaṃ mohato añño dhammo, mohassa pana paṭipakkho, dhammavicayasaṅkhāto amoho nāma idha adhippetoti. Sammādiṭṭhīti yāthāvaniyyānikakusaladiṭṭhi.
๑๙. ชีวิตินฺทฺริยนิเทฺทเส โย เตสํ อรูปีนํ ธมฺมานํ อายูติ เตสํ สมฺปยุตฺตกานํ อรูปธมฺมานํ โย อายาปนเฎฺฐน อายุ, ตสฺมิญฺหิ สติ อรูปธมฺมา อยนฺติ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺติ, ตสฺมา อายูติ วุจฺจติฯ อิทมสฺส สภาวปทํฯ ยสฺมา ปเนเต ธมฺมา อายุสฺมิํเยว สติ ติฎฺฐนฺติ ยเปนฺติ ยาเปนฺติ อิริยนฺติ วตฺตนฺติ ปาลยนฺติ, ตสฺมา ฐิตีติอาทีนิ วุตฺตานิฯ วจนโตฺถ ปเนตฺถ – เอตาย ติฎฺฐนฺตีติ ฐิติฯ ยเปนฺตีติ ยปนาฯ ตถา ยาปนาฯ เอวํ พุชฺฌนฺตานํ ปน วเสน ปุริมปเท รสฺสตฺตํ กตํฯ เอตาย อิริยนฺตีติ อิริยนาฯ วตฺตนฺตีติ วตฺตนาฯ ปาลยนฺตีติ ปาลนาฯ ชีวนฺติ เอเตนาติ ชีวิตํฯ อนุปาลนลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ ชีวิตินฺทฺริยํฯ
19. Jīvitindriyaniddese yo tesaṃ arūpīnaṃ dhammānaṃ āyūti tesaṃ sampayuttakānaṃ arūpadhammānaṃ yo āyāpanaṭṭhena āyu, tasmiñhi sati arūpadhammā ayanti gacchanti pavattanti, tasmā āyūti vuccati. Idamassa sabhāvapadaṃ. Yasmā panete dhammā āyusmiṃyeva sati tiṭṭhanti yapenti yāpenti iriyanti vattanti pālayanti, tasmā ṭhitītiādīni vuttāni. Vacanattho panettha – etāya tiṭṭhantīti ṭhiti. Yapentīti yapanā. Tathā yāpanā. Evaṃ bujjhantānaṃ pana vasena purimapade rassattaṃ kataṃ. Etāya iriyantīti iriyanā. Vattantīti vattanā. Pālayantīti pālanā. Jīvanti etenāti jīvitaṃ. Anupālanalakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti jīvitindriyaṃ.
๓๐. หิริพลนิเทฺทเส ยํ ตสฺมิํ สมเยติ เยน ธเมฺมน ตสฺมิํ สมเยฯ ลิงฺควิปลฺลาสํ วา กตฺวา โย ธโมฺม ตสฺมิํ สมเยติปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ หิริยิตเพฺพนาติ อุปโยคเตฺถ กรณวจนํฯ หิริยิตพฺพยุตฺตกํ กายทุจฺจริตาทิธมฺมํ หิริยติ ชิคุจฺฉตีติ อโตฺถฯ ปาปกานนฺติ ลามกานํฯ อกุสลานํ ธมฺมานนฺติ อโกสลฺลสมฺภูตานํ ธมฺมานํฯ สมาปตฺติยาติ อิทมฺปิ อุปโยคเตฺถ กรณวจนํฯ เตสํ ธมฺมานํ สมาปตฺติํ ปฎิลาภํ สมงฺคีภาวํ หิริยติ ชิคุจฺฉตีติ อโตฺถฯ
30. Hiribalaniddese yaṃ tasmiṃ samayeti yena dhammena tasmiṃ samaye. Liṅgavipallāsaṃ vā katvā yo dhammo tasmiṃ samayetipi attho veditabbo. Hiriyitabbenāti upayogatthe karaṇavacanaṃ. Hiriyitabbayuttakaṃ kāyaduccaritādidhammaṃ hiriyati jigucchatīti attho. Pāpakānanti lāmakānaṃ. Akusalānaṃ dhammānanti akosallasambhūtānaṃ dhammānaṃ. Samāpattiyāti idampi upayogatthe karaṇavacanaṃ. Tesaṃ dhammānaṃ samāpattiṃ paṭilābhaṃ samaṅgībhāvaṃ hiriyati jigucchatīti attho.
๓๑. โอตฺตปฺปพลนิเทฺทเส โอตฺตปฺปิตเพฺพนาติ เหตฺวเตฺถ กรณวจนํฯ โอตฺตปฺปิตพฺพยุตฺตเกน โอตฺตปฺปสฺส เหตุภูเตน กายทุจฺจริตาทินา วุตฺตปฺปการาย จ สมาปตฺติยา โอตฺตปฺปสฺส เหตุภูตาย โอตฺตปฺปติ, ภายตีติ อโตฺถฯ
31. Ottappabalaniddese ottappitabbenāti hetvatthe karaṇavacanaṃ. Ottappitabbayuttakena ottappassa hetubhūtena kāyaduccaritādinā vuttappakārāya ca samāpattiyā ottappassa hetubhūtāya ottappati, bhāyatīti attho.
๓๒. อโลภนิเทฺทเส อลุพฺภนกวเสน อโลโภฯ น ลุพฺภตีติปิ อโลโภฯ อิทมสฺส สภาวปทํฯ อลุพฺภนาติ อลุพฺภนากาโรฯ โลภสมงฺคี ปุคฺคโล ลุพฺภิโต นามฯ น ลุพฺภิโต อลุพฺภิโต ฯ อลุพฺภิตสฺส ภาโว อลุพฺภิตตฺตํฯ สาราคปฎิปกฺขโต น สาราโคติ อสาราโคฯ อสารชฺชนาติ อสารชฺชนากาโรฯ อสารชฺชิตสฺส ภาโว อสารชฺชิตตฺตํฯ น อภิชฺฌายตีติ อนภิชฺฌาฯ อโลโภ กุสลมูลนฺติ อโลภสงฺขาตํ กุสลมูลํฯ อโลโภ หิ กุสลานํ ธมฺมานํ มูลํ ปจฺจยเฎฺฐนาติ กุสลมูลํฯ กุสลญฺจ ตํ ปจฺจยเฎฺฐน มูลญฺจาติปิ กุสลมูลํฯ
32. Alobhaniddese alubbhanakavasena alobho. Na lubbhatītipi alobho. Idamassa sabhāvapadaṃ. Alubbhanāti alubbhanākāro. Lobhasamaṅgī puggalo lubbhito nāma. Na lubbhito alubbhito . Alubbhitassa bhāvo alubbhitattaṃ. Sārāgapaṭipakkhato na sārāgoti asārāgo. Asārajjanāti asārajjanākāro. Asārajjitassa bhāvo asārajjitattaṃ. Na abhijjhāyatīti anabhijjhā. Alobho kusalamūlanti alobhasaṅkhātaṃ kusalamūlaṃ. Alobho hi kusalānaṃ dhammānaṃ mūlaṃ paccayaṭṭhenāti kusalamūlaṃ. Kusalañca taṃ paccayaṭṭhena mūlañcātipi kusalamūlaṃ.
๓๓. อโทสนิเทฺทเส อทุสฺสนกวเสน อโทโสฯ น ทุสฺสตีติปิ อโทโสฯ อิทมสฺส สภาวปทํฯ อทุสฺสนาติ อทุสฺสนากาโรฯ อทุสฺสิตสฺส ภาโว อทุสฺสิตตฺตํฯ พฺยาปาทปฎิปกฺขโต น พฺยาปาโทติ อพฺยาปาโทฯ โกธทุกฺขปฎิปกฺขโต น พฺยาปโชฺชติ อพฺยาปโชฺชฯ อโทสสงฺขาตํ กุสลมูลํ อโทโส กุสลมูลํฯ ตํ วุตฺตตฺถเมวฯ
33. Adosaniddese adussanakavasena adoso. Na dussatītipi adoso. Idamassa sabhāvapadaṃ. Adussanāti adussanākāro. Adussitassa bhāvo adussitattaṃ. Byāpādapaṭipakkhato na byāpādoti abyāpādo. Kodhadukkhapaṭipakkhato na byāpajjoti abyāpajjo. Adosasaṅkhātaṃ kusalamūlaṃ adoso kusalamūlaṃ. Taṃ vuttatthameva.
๔๐-๔๑. กายปสฺสทฺธินิเทฺทสาทีสุ ยสฺมา กาโยติ ตโย ขนฺธา อธิเปฺปตา, ตสฺมา เวทนากฺขนฺธสฺสาติอาทิ วุตฺตํฯ ปสฺสมฺภนฺติ เอตาย เต ธมฺมา, วิคตทรถา ภวนฺติ, สมสฺสาสปฺปตฺตาติ ปสฺสทฺธิฯ ทุติยปทํ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตํฯ ปสฺสมฺภนาติ ปสฺสมฺภนากาโรฯ ทุติยปทํ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตํฯ ปสฺสทฺธิสมงฺคิตาย ปฎิปฺปสฺสมฺภิตสฺส ขนฺธตฺตยสฺส ภาโว ปฎิปฺปสฺสมฺภิตตฺตํฯ สพฺพปเทหิปิ ติณฺณํ ขนฺธานํ กิเลสทรถปฎิปฺปสฺสทฺธิ เอว กถิตาฯ ทุติยนเยน วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส ทรถปฎิปฺปสฺสทฺธิ กถิตาฯ
40-41. Kāyapassaddhiniddesādīsu yasmā kāyoti tayo khandhā adhippetā, tasmā vedanākkhandhassātiādi vuttaṃ. Passambhanti etāya te dhammā, vigatadarathā bhavanti, samassāsappattāti passaddhi. Dutiyapadaṃ upasaggavasena vaḍḍhitaṃ. Passambhanāti passambhanākāro. Dutiyapadaṃ upasaggavasena vaḍḍhitaṃ. Passaddhisamaṅgitāya paṭippassambhitassa khandhattayassa bhāvo paṭippassambhitattaṃ. Sabbapadehipi tiṇṇaṃ khandhānaṃ kilesadarathapaṭippassaddhi eva kathitā. Dutiyanayena viññāṇakkhandhassa darathapaṭippassaddhi kathitā.
๔๒-๔๓. ลหุตาติ ลหุตากาโรฯ ลหุปริณามตาติ ลหุปริณาโม เอเตสํ ธมฺมานนฺติ ลหุปริณามา; เตสํ ภาโว ลหุปริณามตา; สีฆํ สีฆํ ปริวตฺตนสมตฺถตาติ วุตฺตํ โหติฯ อทนฺธนตาติ ครุภาวปฎิเกฺขปวจนเมตํ; อภาริยตาติ อโตฺถฯ อวิตฺถนตาติ มานาทิกิเลสภารสฺส อภาเวน อถทฺธตาฯ เอวํ ปฐเมน ติณฺณํ ขนฺธานํ ลหุตากาโร กถิโตฯ ทุติเยน วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส ลหุตากาโร กถิโตฯ
42-43. Lahutāti lahutākāro. Lahupariṇāmatāti lahupariṇāmo etesaṃ dhammānanti lahupariṇāmā; tesaṃ bhāvo lahupariṇāmatā; sīghaṃ sīghaṃ parivattanasamatthatāti vuttaṃ hoti. Adandhanatāti garubhāvapaṭikkhepavacanametaṃ; abhāriyatāti attho. Avitthanatāti mānādikilesabhārassa abhāvena athaddhatā. Evaṃ paṭhamena tiṇṇaṃ khandhānaṃ lahutākāro kathito. Dutiyena viññāṇakkhandhassa lahutākāro kathito.
๔๔-๔๕. มุทุตาติ มุทุภาโวฯ มทฺทวตาติ มทฺทวํ วุจฺจติ สินิทฺธํ, มฎฺฐํ; มทฺทวสฺส ภาโว มทฺทวตาฯ อกกฺขฬตาติ อกกฺขฬภาโวฯ อกถินตาติ อกถินภาโวฯ อิธาปิ ปุริมนเยน ติณฺณํ ขนฺธานํ, ปจฺฉิมนเยน วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส มุทุตากาโรว กถิโตฯ
44-45. Mudutāti mudubhāvo. Maddavatāti maddavaṃ vuccati siniddhaṃ, maṭṭhaṃ; maddavassa bhāvo maddavatā. Akakkhaḷatāti akakkhaḷabhāvo. Akathinatāti akathinabhāvo. Idhāpi purimanayena tiṇṇaṃ khandhānaṃ, pacchimanayena viññāṇakkhandhassa mudutākārova kathito.
๔๖-๔๗. กมฺมญฺญตาติ กมฺมนิ สาธุตา; กุสลกิริยาย วินิโยคกฺขมตาติ อโตฺถฯ เสสปททฺวยํ พฺยญฺชนวเสน วฑฺฒิตํฯ ปททฺวเยนาปิ หิ ปุริมนเยน ติณฺณํ ขนฺธานํ, ปจฺฉิมนเยน วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส กมฺมนิยากาโรว กถิโตฯ
46-47. Kammaññatāti kammani sādhutā; kusalakiriyāya viniyogakkhamatāti attho. Sesapadadvayaṃ byañjanavasena vaḍḍhitaṃ. Padadvayenāpi hi purimanayena tiṇṇaṃ khandhānaṃ, pacchimanayena viññāṇakkhandhassa kammaniyākārova kathito.
๔๘-๔๙. ปคุณตาติ ปคุณภาโว, อนาตุรตา นิคฺคิลานตาติ อโตฺถฯ เสสปททฺวยํ พฺยญฺชนวเสน วฑฺฒิตํฯ อิธาปิ ปุริมนเยน ติณฺณํ ขนฺธานํ, ปจฺฉิมนเยน วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส นิคฺคิลานากาโรว กถิโตฯ
48-49. Paguṇatāti paguṇabhāvo, anāturatā niggilānatāti attho. Sesapadadvayaṃ byañjanavasena vaḍḍhitaṃ. Idhāpi purimanayena tiṇṇaṃ khandhānaṃ, pacchimanayena viññāṇakkhandhassa niggilānākārova kathito.
๕๐-๕๑. อุชุกตาติ อุชุกภาโว, อุชุเกนากาเรน ปวตฺตนตาติ อโตฺถฯ อุชุกสฺส ขนฺธตฺตยสฺส วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส จ ภาโว อุชุกตาฯ อชิมฺหตาติ โคมุตฺตวงฺกภาวปฎิเกฺขโปฯ อวงฺกตาติ จนฺทเลขาวงฺกภาวปฎิเกฺขโปฯ อกุฎิลตาติ นงฺคลโกฎิวงฺกภาวปฎิเกฺขโปฯ
50-51. Ujukatāti ujukabhāvo, ujukenākārena pavattanatāti attho. Ujukassa khandhattayassa viññāṇakkhandhassa ca bhāvo ujukatā. Ajimhatāti gomuttavaṅkabhāvapaṭikkhepo. Avaṅkatāti candalekhāvaṅkabhāvapaṭikkhepo. Akuṭilatāti naṅgalakoṭivaṅkabhāvapaṭikkhepo.
โย หิ ปาปํ กตฺวาว ‘น กโรมี’ติ ภาสติ, โส คนฺตฺวา ปโจฺจสกฺกนตาย ‘โคมุตฺตวโงฺก’ นาม โหติฯ โย ปาปํ กโรโนฺตว ‘ภายามหํ ปาปสฺสา’ติ ภาสติ, โส เยภุเยฺยน กุฎิลตาย ‘จนฺทเลขาวโงฺก’ นาม โหติฯ โย ปาปํ กโรโนฺตว ‘โก ปาปสฺส น ภาเยยฺยา’ติ ภาสติ, โส นาติกุฎิลตาย ‘นงฺคลโกฎิวโงฺก’ นาม โหติฯ ยสฺส วา ตีณิปิ กมฺมทฺวารานิ อสุทฺธานิ, โส ‘โคมุตฺตวโงฺก’ นาม โหติฯ ยสฺส ยานิ กานิจิ เทฺว, โส ‘จนฺทเลขาวโงฺก’ นามฯ ยสฺส ยํกิญฺจิ เอกํ, โส ‘นงฺคลโกฎิวโงฺก นามฯ
Yo hi pāpaṃ katvāva ‘na karomī’ti bhāsati, so gantvā paccosakkanatāya ‘gomuttavaṅko’ nāma hoti. Yo pāpaṃ karontova ‘bhāyāmahaṃ pāpassā’ti bhāsati, so yebhuyyena kuṭilatāya ‘candalekhāvaṅko’ nāma hoti. Yo pāpaṃ karontova ‘ko pāpassa na bhāyeyyā’ti bhāsati, so nātikuṭilatāya ‘naṅgalakoṭivaṅko’ nāma hoti. Yassa vā tīṇipi kammadvārāni asuddhāni, so ‘gomuttavaṅko’ nāma hoti. Yassa yāni kānici dve, so ‘candalekhāvaṅko’ nāma. Yassa yaṃkiñci ekaṃ, so ‘naṅgalakoṭivaṅko nāma.
ทีฆภาณกา ปนาหุ – เอกโจฺจ ภิกฺขุ สพฺพวเย เอกวีสติยา อเนสนาสุ, ฉสุ จ อโคจเรสุ จรติ, อยํ ‘โคมุตฺตวโงฺก’ นามฯ เอโก ปฐมวเย จตุปาริสุทฺธิสีลํ ปริปูเรติ, ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโม โหติ, มชฺฌิมวยปจฺฉิมวเยสุ ปุริมสทิโส, อยํ ‘จนฺทเลขาวโงฺก’ นามฯ เอโก ปฐมวเย มชฺฌิมวเยปิ จตุปาริสุทฺธิสีลํ ปูเรติ, ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโม โหติ, ปจฺฉิมวเย ปุริมสทิโสฯ อยํ ‘นงฺคลโกฎิวโงฺก’ นามฯ
Dīghabhāṇakā panāhu – ekacco bhikkhu sabbavaye ekavīsatiyā anesanāsu, chasu ca agocaresu carati, ayaṃ ‘gomuttavaṅko’ nāma. Eko paṭhamavaye catupārisuddhisīlaṃ paripūreti, lajjī kukkuccako sikkhākāmo hoti, majjhimavayapacchimavayesu purimasadiso, ayaṃ ‘candalekhāvaṅko’ nāma. Eko paṭhamavaye majjhimavayepi catupārisuddhisīlaṃ pūreti, lajjī kukkuccako sikkhākāmo hoti, pacchimavaye purimasadiso. Ayaṃ ‘naṅgalakoṭivaṅko’ nāma.
ตสฺส กิเลสวเสน เอวํ วงฺกสฺส ปุคฺคลสฺส ภาโว ชิมฺหตา วงฺกตา กุฎิลตาติ วุจฺจติฯ ตาสํ ปฎิเกฺขปวเสน อชิมฺหตาทิกา วุตฺตาฯ ขนฺธาธิฎฺฐานาว เทสนา กตาฯ ขนฺธานญฺหิ เอตา อชิมฺหตาทิกา, โน ปุคฺคลสฺสาติฯ เอวํ สเพฺพหิปิ อิเมหิ ปเทหิ ปุริมนเยน ติณฺณํ ขนฺธานํ, ปจฺฉิมนเยน วิญฺญาณกฺขนฺธสฺสาติ อรูปีนํ ธมฺมานํ นิกฺกิเลสตาย อุชุตากาโรว กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Tassa kilesavasena evaṃ vaṅkassa puggalassa bhāvo jimhatā vaṅkatā kuṭilatāti vuccati. Tāsaṃ paṭikkhepavasena ajimhatādikā vuttā. Khandhādhiṭṭhānāva desanā katā. Khandhānañhi etā ajimhatādikā, no puggalassāti. Evaṃ sabbehipi imehi padehi purimanayena tiṇṇaṃ khandhānaṃ, pacchimanayena viññāṇakkhandhassāti arūpīnaṃ dhammānaṃ nikkilesatāya ujutākārova kathitoti veditabbo.
อิทานิ ยฺวายํ เยวาปนาติ อปฺปนาวาโร วุโตฺต, เตน ธมฺมุเทฺทสวาเร ทสฺสิตานํ ‘เยวาปนกานํ’เยว สเงฺขปโต นิเทฺทโส กถิโต โหตีติฯ
Idāni yvāyaṃ yevāpanāti appanāvāro vutto, tena dhammuddesavāre dassitānaṃ ‘yevāpanakānaṃ’yeva saṅkhepato niddeso kathito hotīti.
นิเทฺทสวารกถา นิฎฺฐิตาฯ
Niddesavārakathā niṭṭhitā.
เอตฺตาวตา ปุจฺฉา สมยนิเทฺทโส ธมฺมุเทฺทโส อปฺปนาติ อุเทฺทสวาเร จตูหิ ปริเจฺฉเทหิ, ปุจฺฉา สมยนิเทฺทโส ธมฺมุเทฺทโส อปฺปนาติ นิเทฺทสวาเร จตูหิ ปริเจฺฉเทหีติ อฎฺฐปริเจฺฉทปฎิมณฺฑิโต ธมฺมววตฺถานวาโร นิฎฺฐิโตว โหติฯ
Ettāvatā pucchā samayaniddeso dhammuddeso appanāti uddesavāre catūhi paricchedehi, pucchā samayaniddeso dhammuddeso appanāti niddesavāre catūhi paricchedehīti aṭṭhaparicchedapaṭimaṇḍito dhammavavatthānavāro niṭṭhitova hoti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / กามาวจรกุสลํ • Kāmāvacarakusalaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / นิเทฺทสวารกถาวณฺณนา • Niddesavārakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / นิเทฺทสวารกถาวณฺณนา • Niddesavārakathāvaṇṇanā