Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
กามาวจรกุสลปทภาชนียํ
Kāmāvacarakusalapadabhājanīyaṃ
๑. อิทานิ ยถานิกฺขิตฺตาย มาติกาย สงฺคหิเต ธเมฺม ปเภทโต ทเสฺสตุํ กตเม ธมฺมา กุสลาติ อิทํ ปทภาชนียํ อารทฺธํฯ ตตฺถ ยเทตํ ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตีติ ปฐมํ กามาวจรกุสลํ ทสฺสิตํ, ตสฺส ตาว นิเทฺทเส ธมฺมววตฺถานวาโร สงฺคหวาโร สุญฺญตวาโรติ ตโย มหาวารา โหนฺติฯ เตสุ ธมฺมววตฺถานวาโร อุเทฺทสนิเทฺทสวเสน ทฺวิธา ฐิโตฯ เตสุ อุเทฺทสวารสฺส ปุจฺฉา, สมยนิเทฺทโส, ธมฺมุเทฺทโส, อปฺปนาติ จตฺตาโร ปริเจฺฉทาฯ เตสุ ‘กตเม ธมฺมา กุสลา’ติ อยํ ปุจฺฉา นามฯ ‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ…เป.… ตสฺมิํ สมเย’ติ อยํ สมยนิเทฺทโส นามฯ ‘ผโสฺส โหติ…เป.… อวิเกฺขโป โหตี’ติ อยํ ธมฺมุเทฺทโส นามฯ ‘เย วา ปน ตสฺมิํ สมเย อเญฺญปิ อตฺถิ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา อรูปิโน ธมฺมา อิเม ธมฺมา กุสลา’ติ อยํ อปฺปนา นามฯ
1. Idāni yathānikkhittāya mātikāya saṅgahite dhamme pabhedato dassetuṃ katame dhammā kusalāti idaṃ padabhājanīyaṃ āraddhaṃ. Tattha yadetaṃ yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hotīti paṭhamaṃ kāmāvacarakusalaṃ dassitaṃ, tassa tāva niddese dhammavavatthānavāro saṅgahavāro suññatavāroti tayo mahāvārā honti. Tesu dhammavavatthānavāro uddesaniddesavasena dvidhā ṭhito. Tesu uddesavārassa pucchā, samayaniddeso, dhammuddeso, appanāti cattāro paricchedā. Tesu ‘katame dhammā kusalā’ti ayaṃ pucchā nāma. ‘Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ…pe… tasmiṃ samaye’ti ayaṃ samayaniddeso nāma. ‘Phasso hoti…pe… avikkhepo hotī’ti ayaṃ dhammuddeso nāma. ‘Ye vā pana tasmiṃ samaye aññepi atthi paṭiccasamuppannā arūpino dhammā ime dhammā kusalā’ti ayaṃ appanā nāma.
เอวํ จตูหิ ปริเจฺฉเทหิ ฐิตสฺส อุเทฺทสวารสฺส ยฺวายํ ปฐโม ปุจฺฉาปริเจฺฉโท, ตตฺถ ‘กตเม ธมฺมา กุสลา’ติ อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ ปญฺจวิธาหิ ปุจฺฉา – อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา, ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา, วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา, อนุมติปุจฺฉา, กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติฯ ตาสํ อิทํ นานตฺตํ –
Evaṃ catūhi paricchedehi ṭhitassa uddesavārassa yvāyaṃ paṭhamo pucchāparicchedo, tattha ‘katame dhammā kusalā’ti ayaṃ kathetukamyatāpucchā. Pañcavidhāhi pucchā – adiṭṭhajotanāpucchā, diṭṭhasaṃsandanāpucchā, vimaticchedanāpucchā, anumatipucchā, kathetukamyatāpucchāti. Tāsaṃ idaṃ nānattaṃ –
กตมา อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา? ปกติยา ลกฺขณํ อญฺญาตํ โหติ, อทิฎฺฐํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อวิภาวิตํฯ ตสฺส ญาณาย ทสฺสนาย ตุลนาย ตีรณาย วิภูตตฺถาย วิภาวนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ อยํ อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา (มหานิ. ๑๕๐; จูฬนิ. ปุณฺณกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑๒)ฯ
Katamā adiṭṭhajotanāpucchā? Pakatiyā lakkhaṇaṃ aññātaṃ hoti, adiṭṭhaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ avibhāvitaṃ. Tassa ñāṇāya dassanāya tulanāya tīraṇāya vibhūtatthāya vibhāvanatthāya pañhaṃ pucchati. Ayaṃ adiṭṭhajotanāpucchā (mahāni. 150; cūḷani. puṇṇakamāṇavapucchāniddesa 12).
กตมา ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา? ปกติยา ลกฺขณํ ญาตํ โหติ, ทิฎฺฐํ ตุลิตํ ตีริตํ วิภูตํ วิภาวิตํ, โส อเญฺญหิ ปณฺฑิเตหิ สทฺธิํ สํสนฺทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ อยํ ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา (มหานิ. ๑๕๐; จูฬนิ. ปุณฺณกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑๒)ฯ
Katamā diṭṭhasaṃsandanāpucchā? Pakatiyā lakkhaṇaṃ ñātaṃ hoti, diṭṭhaṃ tulitaṃ tīritaṃ vibhūtaṃ vibhāvitaṃ, so aññehi paṇḍitehi saddhiṃ saṃsandanatthāya pañhaṃ pucchati. Ayaṃ diṭṭhasaṃsandanāpucchā (mahāni. 150; cūḷani. puṇṇakamāṇavapucchāniddesa 12).
กตมา วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา? ปกติยา สํสยปกฺขโนฺท โหติ, วิมติปกฺขโนฺท เทฺวฬฺหกชาโต – ‘เอวํ นุ โข, นนุ โข, กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’ติฯ โส วิมติเจฺฉทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ อยํ วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา (มหานิ. ๑๕๐; จูฬนิ. ปุณฺณกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑๒)ฯ
Katamā vimaticchedanāpucchā? Pakatiyā saṃsayapakkhando hoti, vimatipakkhando dveḷhakajāto – ‘evaṃ nu kho, nanu kho, kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’ti. So vimaticchedanatthāya pañhaṃ pucchati. Ayaṃ vimaticchedanāpucchā (mahāni. 150; cūḷani. puṇṇakamāṇavapucchāniddesa 12).
กตมา อนุมติปุจฺฉา? ภควา ภิกฺขูนํ อนุมติยา ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’ติ? ‘อนิจฺจํ, ภเนฺต’ฯ ‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา’ติ? ‘ทุกฺขํ, ภเนฺต’ ฯ ‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’ติ? ‘โนเหตํ, ภเนฺต’ติ (สํ. นิ. ๓.๗๙; มหาว. ๒๑)ฯ อยํ อนุมติปุจฺฉาฯ
Katamā anumatipucchā? Bhagavā bhikkhūnaṃ anumatiyā pañhaṃ pucchati – ‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’ti? ‘Aniccaṃ, bhante’. ‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vā’ti? ‘Dukkhaṃ, bhante’ . ‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu taṃ samanupassituṃ etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’ti? ‘Nohetaṃ, bhante’ti (saṃ. ni. 3.79; mahāva. 21). Ayaṃ anumatipucchā.
กตมา กเถตุกมฺยตาปุจฺฉา? ภควา ภิกฺขูนํ กเถตุกมฺยตาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, สติปฎฺฐานาฯ กตเม จตฺตาโร’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๗๓)? อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติฯ
Katamā kathetukamyatāpucchā? Bhagavā bhikkhūnaṃ kathetukamyatāya pañhaṃ pucchati. ‘‘Cattārome, bhikkhave, satipaṭṭhānā. Katame cattāro’’ti (dī. ni. 2.373)? Ayaṃ kathetukamyatāpucchāti.
ตตฺถ พุทฺธานํ ปุริมา ติโสฺส ปุจฺฉา นตฺถิฯ กสฺมา? พุทฺธานญฺหิ ตีสุ อทฺธาสุ กิญฺจิ สงฺขตํ, อทฺธาวิมุตฺตํ วา อสงฺขตํ, อทิฎฺฐํ อนญฺญาตํ อโชติตํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อวิภาวิตํ นาม นตฺถิฯ เตน เตสํ อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา นตฺถิฯ ยํ ปน ภควตา อตฺตโน ญาเณน ปฎิวิทฺธํ, ตสฺส อเญฺญน สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา สทฺธิํ สํสนฺทนกิจฺจํ นตฺถิฯ เตนสฺส ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา นตฺถิฯ ยสฺมา ปเนส อกถํกถี ติณฺณวิจิกิโจฺฉ สพฺพธเมฺมสุ วิหตสํสโย, เตนสฺส วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา นตฺถิฯ อิตรา เทฺว ปน ปุจฺฉา ภควโต อตฺถิฯ ตาสุ อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha buddhānaṃ purimā tisso pucchā natthi. Kasmā? Buddhānañhi tīsu addhāsu kiñci saṅkhataṃ, addhāvimuttaṃ vā asaṅkhataṃ, adiṭṭhaṃ anaññātaṃ ajotitaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ avibhāvitaṃ nāma natthi. Tena tesaṃ adiṭṭhajotanāpucchā natthi. Yaṃ pana bhagavatā attano ñāṇena paṭividdhaṃ, tassa aññena samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā saddhiṃ saṃsandanakiccaṃ natthi. Tenassa diṭṭhasaṃsandanāpucchā natthi. Yasmā panesa akathaṃkathī tiṇṇavicikiccho sabbadhammesu vihatasaṃsayo, tenassa vimaticchedanāpucchā natthi. Itarā dve pana pucchā bhagavato atthi. Tāsu ayaṃ kathetukamyatāpucchāti veditabbā.
ตตฺถ ‘กตเม’ติปเทน นิทฺทิสิตพฺพธเมฺม ปุจฺฉติฯ ‘ธมฺมา กุสลา’ติ หิ วจนมเตฺตน ‘กิํ กตา กิํ วา กโรนฺตี’ติ น สกฺกา ญาตุํฯ ‘กตเม’ติ วุเตฺต ปน เตสํ ปุฎฺฐภาโว ปญฺญายติฯ เตน วุตฺตํ ‘กตเมติปเทน นิทฺทิสิตพฺพธเมฺม ปุจฺฉตี’ติฯ ‘ธมฺมา กุสลา’ติปททฺวเยน ปุจฺฉาย ปุฎฺฐธเมฺม ทเสฺสติฯ เตสํ อโตฺถ เหฎฺฐา ปกาสิโตวฯ
Tattha ‘katame’tipadena niddisitabbadhamme pucchati. ‘Dhammā kusalā’ti hi vacanamattena ‘kiṃ katā kiṃ vā karontī’ti na sakkā ñātuṃ. ‘Katame’ti vutte pana tesaṃ puṭṭhabhāvo paññāyati. Tena vuttaṃ ‘katametipadena niddisitabbadhamme pucchatī’ti. ‘Dhammā kusalā’tipadadvayena pucchāya puṭṭhadhamme dasseti. Tesaṃ attho heṭṭhā pakāsitova.
กสฺมา ปเนตฺถ มาติกายํ วิย ‘กุสลา ธมฺมา’ติ อวตฺวา ‘ธมฺมา กุสลา’ติ ปทานุกฺกโม กโตติ? ปเภทโต ธมฺมานํ เทสนํ ทีเปตฺวา ปเภทวนฺตทสฺสนตฺถํฯ อิมสฺมิญฺหิ อภิธเมฺม ธมฺมาว เทเสตพฺพาฯ เต จ กุสลาทีหิ ปเภเทหิ อเนกปฺปเภทาฯ ตสฺมา ธมฺมาเยว อิธ เทเสตพฺพา ฯ นายํ โวหารเทสนาฯ เต จ อเนกปฺปเภทโต เทเสตพฺพา, น ธมฺมมตฺตโตฯ ปเภทโต หิ เทสนา ฆนวินิโพฺภคปฎิสมฺภิทาญาณาวหา โหตีติ ‘กุสลา ธมฺมา’ติ เอวํ ปเภทโต ธมฺมานํ เทสนํ ทีเปตฺวา, อิทานิ เย เตน ปเภเทน เทเสตพฺพา ธมฺมา เต ทเสฺสตุํ, อยํ ‘กตเม ธมฺมา กุสลา’ติ ปทานุกฺกโม กโตติ เวทิตโพฺพฯ ปเภทวเนฺตสุ หิ ทสฺสิเตสุ ปเภโท ทสฺสิยมาโน ยุชฺชติ สุวิเญฺญโยฺย จ โหตีติฯ
Kasmā panettha mātikāyaṃ viya ‘kusalā dhammā’ti avatvā ‘dhammā kusalā’ti padānukkamo katoti? Pabhedato dhammānaṃ desanaṃ dīpetvā pabhedavantadassanatthaṃ. Imasmiñhi abhidhamme dhammāva desetabbā. Te ca kusalādīhi pabhedehi anekappabhedā. Tasmā dhammāyeva idha desetabbā . Nāyaṃ vohāradesanā. Te ca anekappabhedato desetabbā, na dhammamattato. Pabhedato hi desanā ghanavinibbhogapaṭisambhidāñāṇāvahā hotīti ‘kusalā dhammā’ti evaṃ pabhedato dhammānaṃ desanaṃ dīpetvā, idāni ye tena pabhedena desetabbā dhammā te dassetuṃ, ayaṃ ‘katame dhammā kusalā’ti padānukkamo katoti veditabbo. Pabhedavantesu hi dassitesu pabhedo dassiyamāno yujjati suviññeyyo ca hotīti.
อิทานิ ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตนฺติฯ เอตฺถ –
Idāni yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittanti. Ettha –
สมเย นิทฺทิสิ จิตฺตํ, จิเตฺตน สมยํ มุนิ;
Samaye niddisi cittaṃ, cittena samayaṃ muni;
นิยเมตฺวาน ทีเปตุํ, ธเมฺม ตตฺถ ปเภทโตฯ
Niyametvāna dīpetuṃ, dhamme tattha pabhedato.
‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺต’นฺติ หิ นิทฺทิสโนฺต ภควา สมเย จิตฺตํ นิทฺทิสิฯ กิํการณา? เตน สมยนิยมิเตน จิเตฺตน ปริโยสาเน ‘ตสฺมิํ สมเย’ติ เอวํ สมยํ นิยเมตฺวาน, อถ วิชฺชมาเนปิ สมยนานเตฺต ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ ตสฺมิํเยว สมเย ผโสฺส โหติ, เวทนา โหตีติ เอวํ ตสฺมิํ จิตฺตนิยมิเต สมเย เอเต สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนวเสน ทุรนุโพธปฺปเภเท ผสฺสเวทนาทโย ธเมฺม โพเธตุนฺติ อโตฺถฯ
‘Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ citta’nti hi niddisanto bhagavā samaye cittaṃ niddisi. Kiṃkāraṇā? Tena samayaniyamitena cittena pariyosāne ‘tasmiṃ samaye’ti evaṃ samayaṃ niyametvāna, atha vijjamānepi samayanānatte yasmiṃ samaye cittaṃ tasmiṃyeva samaye phasso hoti, vedanā hotīti evaṃ tasmiṃ cittaniyamite samaye ete santatisamūhakiccārammaṇaghanavasena duranubodhappabhede phassavedanādayo dhamme bodhetunti attho.
อิทานิ ‘ยสฺมิํ สมเย’ติอาทีสุ อยมนุปุพฺพปทวณฺณนาฯ ยสฺมินฺติ อนิยมโต ภุมฺมนิเทฺทโสฯ สมเยติ อนิยมนิทฺทิฎฺฐปริทีปนํฯ เอตฺตาวตา อนิยมโต สมโย นิทฺทิโฎฺฐ โหติฯ ตตฺถ สมยสโทฺท –
Idāni ‘yasmiṃ samaye’tiādīsu ayamanupubbapadavaṇṇanā. Yasminti aniyamato bhummaniddeso. Samayeti aniyamaniddiṭṭhaparidīpanaṃ. Ettāvatā aniyamato samayo niddiṭṭho hoti. Tattha samayasaddo –
สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุ ทิฎฺฐิสุ;
Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetu diṭṭhisu;
ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสติฯ
Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissati.
ตถา หิสฺส ‘‘อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) เอวมาทีสุ สมวาโย อโตฺถฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) ขโณฯ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๓๕๘) กาโลฯ ‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิ’’นฺติอาทีสุ สมูโหฯ ‘‘สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ – ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ ‘ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติฯ อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๓๕) เหตุฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๖๐) ทิฎฺฐิฯ
Tathā hissa ‘‘appeva nāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti (dī. ni. 1.447) evamādīsu samavāyo attho. ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) khaṇo. ‘‘Uṇhasamayo pariḷāhasamayo’’tiādīsu (pāci. 358) kālo. ‘‘Mahāsamayo pavanasmi’’ntiādīsu samūho. ‘‘Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi – bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, bhagavāpi maṃ jānissati ‘bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti. Ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosī’’tiādīsu (ma. ni. 2.135) hetu. ‘‘Tena kho pana samayena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasatī’’tiādīsu (ma. ni. 2.260) diṭṭhi.
‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก;
‘‘Diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko;
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙) –
Atthābhisamayā dhīro, paṇḍitoti pavuccatī’’ti. (saṃ. ni. 1.129) –
อาทีสุ ปฎิลาโภฯ ‘‘สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๘) ปหานํฯ ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ อภิสมยโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๒.๘) ปฎิเวโธฯ เอวมเนเกสุ สมเยสุ –
Ādīsu paṭilābho. ‘‘Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassā’’tiādīsu (ma. ni. 1.28) pahānaṃ. ‘‘Dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho abhisamayaṭṭho’’tiādīsu (paṭi. ma. 2.8) paṭivedho. Evamanekesu samayesu –
สมวาโย ขโณ กาโล, สมูโห เหตุเยว จ;
Samavāyo khaṇo kālo, samūho hetuyeva ca;
เอเต ปญฺจปิ วิเญฺญยฺยา, สมยา อิธ วิญฺญุนาฯ
Ete pañcapi viññeyyā, samayā idha viññunā.
‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสล’นฺติ อิมสฺมิญฺหิ กุสลาธิกาเร เตสุ นวสุ สมเยสุ เอเต สมวายาทโย ปญฺจ สมยา ปณฺฑิเตน เวทิตพฺพาฯ
‘Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusala’nti imasmiñhi kusalādhikāre tesu navasu samayesu ete samavāyādayo pañca samayā paṇḍitena veditabbā.
เตสุ ปจฺจยสามคฺคี, สมวาโย ขโณ ปน;
Tesu paccayasāmaggī, samavāyo khaṇo pana;
เอโกว นวโม เญโยฺย, จกฺกานิ จตุโรปิ วาฯ
Ekova navamo ñeyyo, cakkāni caturopi vā.
ยา หิ เอสา สาธารณผลนิปฺผาทกเตฺตน สณฺฐิตา ปจฺจยานํ สามคฺคี, สา อิธ สมวาโยติ ญาตพฺพาฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติ (อ. นิ. ๘.๒๙) เอวํ วุโตฺต ปน นวโมว ขโณ เอโก ขโณติ เวทิตโพฺพฯ ยานิ วา ปเนตานิ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสานํ จตุจกฺกํ วตฺตตี’’ติ – เอตฺถ ‘ปติรูปเทสวาโส, สปฺปุริสูปนิสฺสโย, อตฺตสมฺมาปณิธิ, ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตา’ติ (อ. นิ. ๔.๓๑) จตฺตาริ จกฺกานิ วุตฺตานิ, เอตานิ วา เอกชฺฌํ กตฺวา โอกาสเฎฺฐน ขโณติ เวทิตพฺพานิฯ ตานิ หิ กุสลุปฺปตฺติยา โอกาสภูตานิฯ
Yā hi esā sādhāraṇaphalanipphādakattena saṇṭhitā paccayānaṃ sāmaggī, sā idha samavāyoti ñātabbā. ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’ti (a. ni. 8.29) evaṃ vutto pana navamova khaṇo eko khaṇoti veditabbo. Yāni vā panetāni ‘‘cattārimāni, bhikkhave, cakkāni yehi samannāgatānaṃ devamanussānaṃ catucakkaṃ vattatī’’ti – ettha ‘patirūpadesavāso, sappurisūpanissayo, attasammāpaṇidhi, pubbe ca katapuññatā’ti (a. ni. 4.31) cattāri cakkāni vuttāni, etāni vā ekajjhaṃ katvā okāsaṭṭhena khaṇoti veditabbāni. Tāni hi kusaluppattiyā okāsabhūtāni.
เอวํ สมวายญฺจ ขณญฺจ ญตฺวา อิตเรสุ –
Evaṃ samavāyañca khaṇañca ñatvā itaresu –
ตํ ตํ อุปาทาย ปญฺญโตฺต, กาโล โวหารมตฺตโก;
Taṃ taṃ upādāya paññatto, kālo vohāramattako;
ปุโญฺช ผสฺสาทิธมฺมานํ, สมูโหติ วิภาวิโตฯ
Puñjo phassādidhammānaṃ, samūhoti vibhāvito.
‘จิตฺตกาโล รูปกาโล’ติอาทินา หิ นเยน ธเมฺม วา, ‘อตีโต อนาคโต’ติอาทินา นเยน ธมฺมวุตฺติํ วา, ‘พีชกาโล องฺกุรกาโล’ติ อาทินา นเยน ธมฺมปฎิปาฎิํ วา, ‘อุปฺปาทกาโล ชรากาโล’ติอาทินา นเยน ธมฺมลกฺขณํ วา, ‘เวทิยนกาโล สญฺชานนกาโล’ติอาทินา นเยน ธมฺมกิจฺจํ วา, ‘นฺหานกาโล ปานกาโล’ติอาทินา นเยน สตฺตกิจฺจํ วา, ‘คมนกาโล ฐานกาโล’ติอาทินา นเยน อิริยาปถํ วา, ‘ปุพฺพโณฺห สายโนฺห ทิวา รตฺตี’ติอาทินา นเยน จนฺทิมสูริยาทิปริวตฺตนํ วา, ‘อฑฺฒมาโส มาโส’ติอาทินา นเยน อโหรตฺตาทิสงฺขาตํ กาลสญฺจยํ วาติ – เอวํ ตํ ตํ อุปาทาย ปญฺญโตฺต กาโล นามฯ โส ปเนส สภาวโต อวิชฺชมานตฺตา ปญฺญตฺติมตฺตโก เอวาติ เวทิตโพฺพฯ โย ปเนส ผสฺสเวทนาทีนํ ธมฺมานํ ปุโญฺช, โส อิธ สมูโหติ วิภาวิโตฯ เอวํ กาลสมูเหปิ ญตฺวา อิตโร ปน –
‘Cittakālo rūpakālo’tiādinā hi nayena dhamme vā, ‘atīto anāgato’tiādinā nayena dhammavuttiṃ vā, ‘bījakālo aṅkurakālo’ti ādinā nayena dhammapaṭipāṭiṃ vā, ‘uppādakālo jarākālo’tiādinā nayena dhammalakkhaṇaṃ vā, ‘vediyanakālo sañjānanakālo’tiādinā nayena dhammakiccaṃ vā, ‘nhānakālo pānakālo’tiādinā nayena sattakiccaṃ vā, ‘gamanakālo ṭhānakālo’tiādinā nayena iriyāpathaṃ vā, ‘pubbaṇho sāyanho divā rattī’tiādinā nayena candimasūriyādiparivattanaṃ vā, ‘aḍḍhamāso māso’tiādinā nayena ahorattādisaṅkhātaṃ kālasañcayaṃ vāti – evaṃ taṃ taṃ upādāya paññatto kālo nāma. So panesa sabhāvato avijjamānattā paññattimattako evāti veditabbo. Yo panesa phassavedanādīnaṃ dhammānaṃ puñjo, so idha samūhoti vibhāvito. Evaṃ kālasamūhepi ñatvā itaro pana –
เหตูติ ปจฺจโยเวตฺถ, ตสฺส ทฺวารวเสน วา;
Hetūti paccayovettha, tassa dvāravasena vā;
อเนกภาโว วิเญฺญโยฺย, ปจฺจยานํ วเสน วาฯ
Anekabhāvo viññeyyo, paccayānaṃ vasena vā.
เอตฺถ หิ ปจฺจโยว เหตุ นาม, ตสฺส ทฺวารานํ วา ปจฺจยานํ วา วเสน อเนกภาโว เวทิตโพฺพฯ กถํ? จกฺขุทฺวาราทีสุ หิ อุปฺปชฺชมานานํ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ จกฺขุรูปอาโลกมนสิการาทโย ปจฺจยา, มหาปกรเณ จ ‘‘เหตุปจฺจโย อารมฺมณปจฺจโย’’ติอาทินา นเยน จตุวีสติ ปจฺจยา วุตฺตาฯ เตสุ ฐเปตฺวา วิปากปจฺจยญฺจ ปจฺฉาชาตปจฺจยญฺจ, เสสา กุสลธมฺมานํ ปจฺจยา โหนฺติเยวฯ เต สเพฺพปิ อิธ เหตูติ อธิเปฺปตาฯ เอวมสฺส อิมินา ทฺวารวเสน วา ปจฺจยวเสน วา อเนกภาโว เวทิตโพฺพ ฯ เอวเมเต สมวายาทโย ปญฺจ อตฺถา อิธ สมยสเทฺทน ปริคฺคหิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Ettha hi paccayova hetu nāma, tassa dvārānaṃ vā paccayānaṃ vā vasena anekabhāvo veditabbo. Kathaṃ? Cakkhudvārādīsu hi uppajjamānānaṃ cakkhuviññāṇādīnaṃ cakkhurūpaālokamanasikārādayo paccayā, mahāpakaraṇe ca ‘‘hetupaccayo ārammaṇapaccayo’’tiādinā nayena catuvīsati paccayā vuttā. Tesu ṭhapetvā vipākapaccayañca pacchājātapaccayañca, sesā kusaladhammānaṃ paccayā hontiyeva. Te sabbepi idha hetūti adhippetā. Evamassa iminā dvāravasena vā paccayavasena vā anekabhāvo veditabbo . Evamete samavāyādayo pañca atthā idha samayasaddena pariggahitāti veditabbā.
‘กสฺมา ปน เอเตสุ ยํกิญฺจิ เอกํ อปริคฺคเหตฺวา สเพฺพสํ ปริคฺคโห กโต’ติ? ‘เตน เตน ตสฺส ตสฺส อตฺถวิเสสสฺส ทีปนโตฯ เอเตสุ หิ สมวายสงฺขาโต สมโย อเนกเหตุโต วุตฺติํ ทีเปติฯ เตน เอกการณวาโท ปฎิเสธิโต โหติฯ สมวาโย จ นาม สาธารณผลนิปฺผาทเน อญฺญมญฺญาเปโกฺข โหติฯ ตสฺมา ‘เอโก กตฺตา นาม นตฺถี’ติ อิมมฺปิ อตฺถํ ทีเปติฯ สภาเวน หิ การเณ สติ การณนฺตราเปกฺขา อยุตฺตาติฯ เอวํ เอกสฺส กสฺสจิ การณสฺส อภาวทีปเนน ‘‘สยํกตํ สุขทุกฺข’’นฺติอาทิ ปฎิเสธิตํ โหติฯ
‘Kasmā pana etesu yaṃkiñci ekaṃ apariggahetvā sabbesaṃ pariggaho kato’ti? ‘Tena tena tassa tassa atthavisesassa dīpanato. Etesu hi samavāyasaṅkhāto samayo anekahetuto vuttiṃ dīpeti. Tena ekakāraṇavādo paṭisedhito hoti. Samavāyo ca nāma sādhāraṇaphalanipphādane aññamaññāpekkho hoti. Tasmā ‘eko kattā nāma natthī’ti imampi atthaṃ dīpeti. Sabhāvena hi kāraṇe sati kāraṇantarāpekkhā ayuttāti. Evaṃ ekassa kassaci kāraṇassa abhāvadīpanena ‘‘sayaṃkataṃ sukhadukkha’’ntiādi paṭisedhitaṃ hoti.
ตตฺถ สิยา – ‘ยํ วุตฺตํ อเนกเหตุโต วุตฺติํ ทีเปตี’ติ, ตํ น ยุตฺตํฯ ‘กิํการณา’ ?‘อสามคฺคิยํ อเหตูนํ สามคฺคิยมฺปิ อเหตุภาวาปตฺติโต’ฯ ‘น หิ เอกสฺมิํ อเนฺธ ทฎฺฐุํ อสโกฺกเนฺต อนฺธสตํ ปสฺสตี’ติฯ ‘โน น ยุตฺตํ; สาธารณผลนิปฺผาทกเตฺตน หิ ฐิตภาโว สามคฺคี; น อเนเกสํ สโมธานมตฺตํฯ น จ อนฺธานํ ทสฺสนํ นาม สาธารณผลํ’ฯ ‘กสฺมา’?‘อนฺธสเต สติปิ ตสฺส อภาวโตฯ จกฺขาทีนํ ปน ตํ สาธารณผลํ, เตสํ ภาเว ภาวโตฯ อสามคฺคิยํ อเหตูนมฺปิ จ สามคฺคิยํ เหตุภาโว สิโทฺธฯ สฺวายํ อสามคฺคิยํ ผลาภาเวน, สามคฺคิยญฺจสฺส ภาเวน, เวทิตโพฺพฯ จกฺขาทีนญฺหิ เวกเลฺล จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ อภาโว, อเวกเลฺล จ ภาโว, ปจฺจกฺขสิโทฺธ โลกสฺสา’ติฯ อยํ ตาว สมวายสงฺขาเตน สมเยน อโตฺถ ทีปิโตฯ
Tattha siyā – ‘yaṃ vuttaṃ anekahetuto vuttiṃ dīpetī’ti, taṃ na yuttaṃ. ‘Kiṃkāraṇā’ ?‘Asāmaggiyaṃ ahetūnaṃ sāmaggiyampi ahetubhāvāpattito’. ‘Na hi ekasmiṃ andhe daṭṭhuṃ asakkonte andhasataṃ passatī’ti. ‘No na yuttaṃ; sādhāraṇaphalanipphādakattena hi ṭhitabhāvo sāmaggī; na anekesaṃ samodhānamattaṃ. Na ca andhānaṃ dassanaṃ nāma sādhāraṇaphalaṃ’. ‘Kasmā’?‘Andhasate satipi tassa abhāvato. Cakkhādīnaṃ pana taṃ sādhāraṇaphalaṃ, tesaṃ bhāve bhāvato. Asāmaggiyaṃ ahetūnampi ca sāmaggiyaṃ hetubhāvo siddho. Svāyaṃ asāmaggiyaṃ phalābhāvena, sāmaggiyañcassa bhāvena, veditabbo. Cakkhādīnañhi vekalle cakkhuviññāṇādīnaṃ abhāvo, avekalle ca bhāvo, paccakkhasiddho lokassā’ti. Ayaṃ tāva samavāyasaṅkhātena samayena attho dīpito.
โย ปเนส อฎฺฐหิ อกฺขเณหิ ปริวชฺชิโต นวโม ขโณ, ปติรูปเทสวาสาทิโก จ จตุจกฺกสงฺขาโต โอกาสเฎฺฐน ขโณ วุโตฺต, โส มนุสฺสตฺตพุทฺธุปฺปาทสทฺธมฺมฎฺฐิติอาทิกํ ขณสามคฺคิํ วินา นตฺถิฯ มนุสฺสตฺตาทีนญฺจ กาณกจฺฉโปปมาทีหิ (ม. นิ. ๓.๒๕๒) ทุลฺลภภาโวฯ อิติ ขณสฺส ทุลฺลภตฺตา สุฎฺฐุตรํ ขณายตฺตํ โลกุตฺตรธมฺมานํ อุปการภูตํ กุสลํ ทุลฺลภเมว ฯ เอวเมเตสุ ขณสงฺขาโต สมโย กุสลุปฺปตฺติยา ทุลฺลภภาวํ ทีเปติฯ เอวํ ทีเปเนฺตน อเนน อธิคตขณานํ ขณายตฺตเสฺสว ตสฺส กุสลสฺส อนนุฎฺฐาเนน โมฆขณํ กุรุมานานํ ปมาทวิหาโร ปฎิเสธิโต โหติฯ อยํ ขณสงฺขาเตน สมเยน อโตฺถ ทีปิโตฯ
Yo panesa aṭṭhahi akkhaṇehi parivajjito navamo khaṇo, patirūpadesavāsādiko ca catucakkasaṅkhāto okāsaṭṭhena khaṇo vutto, so manussattabuddhuppādasaddhammaṭṭhitiādikaṃ khaṇasāmaggiṃ vinā natthi. Manussattādīnañca kāṇakacchapopamādīhi (ma. ni. 3.252) dullabhabhāvo. Iti khaṇassa dullabhattā suṭṭhutaraṃ khaṇāyattaṃ lokuttaradhammānaṃ upakārabhūtaṃ kusalaṃ dullabhameva . Evametesu khaṇasaṅkhāto samayo kusaluppattiyā dullabhabhāvaṃ dīpeti. Evaṃ dīpentena anena adhigatakhaṇānaṃ khaṇāyattasseva tassa kusalassa ananuṭṭhānena moghakhaṇaṃ kurumānānaṃ pamādavihāro paṭisedhito hoti. Ayaṃ khaṇasaṅkhātena samayena attho dīpito.
โย ปเนตสฺส กุสลจิตฺตสฺส ปวตฺติกาโล นาม โหติ, โส อติปริโตฺตฯ สา จสฺส อติปริตฺตตา ‘‘ยถา จ, ภิกฺขเว, ตสฺส ปุริสสฺส ชโว, ยถา จ จนฺทิมสูริยานํ ชโว, ยถา จ ยา เทวตา จนฺทิมสูริยานํ ปุรโต ธาวนฺติ ตาสํ เทวตานํ ชโว, ตโต สีฆตรํ อายุสงฺขารา ขียนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๒๒๘) – อิมสฺส สุตฺตสฺส อฎฺฐกถาวเสน เวทิตพฺพาฯ ตตฺร หิ โส รูปชีวิตินฺทฺริยสฺส ตาว ปริตฺตโก กาโล วุโตฺตฯ ยาว ปฎุปฺปนฺนํ รูปํ ติฎฺฐติ ตาว โสฬส จิตฺตานิ อุปฺปชฺชิตฺวา ภิชฺชนฺติฯ อิติ เตสํ กาลปริตฺตตาย อุปมาปิ นตฺถิฯ เตเนวาห – ‘‘ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, อุปมาปิ น สุกรา ยาว ลหุปริวตฺตํ จิตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๔๘)ฯ เอวเมเตสุ กาลสงฺขาโต สมโย กุสลจิตฺตปฺปวตฺติกาลสฺส อติปริตฺตตํ ทีเปติฯ เอวํ ทีเปเนฺตน จาเนน อติปริตฺตกาลตาย, วิชฺชุลโตภาเสน มุตฺตาวุณนํ วิย, ทุปฺปฎิวิชฺฌมิทํ จิตฺตํ, ตสฺมา เอตสฺส ปฎิเวเธ มหาอุสฺสาโห จ อาทโร จ กตฺตโพฺพติ โอวาโท ทิโนฺน โหติฯ อยํ กาลสงฺขาเตน สมเยน อโตฺถ ทีปิโตฯ
Yo panetassa kusalacittassa pavattikālo nāma hoti, so atiparitto. Sā cassa atiparittatā ‘‘yathā ca, bhikkhave, tassa purisassa javo, yathā ca candimasūriyānaṃ javo, yathā ca yā devatā candimasūriyānaṃ purato dhāvanti tāsaṃ devatānaṃ javo, tato sīghataraṃ āyusaṅkhārā khīyantī’’ti (saṃ. ni. 2.228) – imassa suttassa aṭṭhakathāvasena veditabbā. Tatra hi so rūpajīvitindriyassa tāva parittako kālo vutto. Yāva paṭuppannaṃ rūpaṃ tiṭṭhati tāva soḷasa cittāni uppajjitvā bhijjanti. Iti tesaṃ kālaparittatāya upamāpi natthi. Tenevāha – ‘‘yāvañcidaṃ, bhikkhave, upamāpi na sukarā yāva lahuparivattaṃ citta’’nti (a. ni. 1.48). Evametesu kālasaṅkhāto samayo kusalacittappavattikālassa atiparittataṃ dīpeti. Evaṃ dīpentena cānena atiparittakālatāya, vijjulatobhāsena muttāvuṇanaṃ viya, duppaṭivijjhamidaṃ cittaṃ, tasmā etassa paṭivedhe mahāussāho ca ādaro ca kattabboti ovādo dinno hoti. Ayaṃ kālasaṅkhātena samayena attho dīpito.
สมูหสงฺขาโต ปน สมโย อเนเกสํ สหุปฺปตฺติํ ทีเปติฯ ผสฺสาทีนญฺหิ ธมฺมานํ ปุโญฺช สมูโหติ วุโตฺตฯ ตสฺมิญฺจ อุปฺปชฺชมานํ จิตฺตํ สห เตหิ ธเมฺมหิ อุปฺปชฺชตีติ อเนเกสํ สหุปฺปตฺติ ทีปิตาฯ เอวํ ทีเปเนฺตน จาเนน เอกเสฺสว ธมฺมสฺส อุปฺปตฺติ ปฎิเสธิตา โหติฯ อยํ สมูหสงฺขาเตน สมเยน อโตฺถ ทีปิโตฯ
Samūhasaṅkhāto pana samayo anekesaṃ sahuppattiṃ dīpeti. Phassādīnañhi dhammānaṃ puñjo samūhoti vutto. Tasmiñca uppajjamānaṃ cittaṃ saha tehi dhammehi uppajjatīti anekesaṃ sahuppatti dīpitā. Evaṃ dīpentena cānena ekasseva dhammassa uppatti paṭisedhitā hoti. Ayaṃ samūhasaṅkhātena samayena attho dīpito.
เหตุสงฺขาโต ปน สมโย ปรายตฺตวุตฺติตํ ทีเปติฯ ‘ยสฺมิํ สมเย’ติ หิ ปทสฺส ยสฺมา ‘ยสฺมิํ เหตุมฺหิ สติ’ อุปฺปนฺนํ โหตีติ อยมโตฺถ, ตสฺมา ‘เหตุมฺหิ สติ’ ปวตฺติโต ปรายตฺตวุตฺติตา ทีปิตาฯ เอวํ ทีเปเนฺตน จาเนน ธมฺมานํ สวสวตฺติตาภิมาโน ปฎิเสธิโต โหติฯ อยํ เหตุสงฺขาเตน สมเยน อโตฺถ ทีปิโตฯ
Hetusaṅkhāto pana samayo parāyattavuttitaṃ dīpeti. ‘Yasmiṃ samaye’ti hi padassa yasmā ‘yasmiṃ hetumhi sati’ uppannaṃ hotīti ayamattho, tasmā ‘hetumhi sati’ pavattito parāyattavuttitā dīpitā. Evaṃ dīpentena cānena dhammānaṃ savasavattitābhimāno paṭisedhito hoti. Ayaṃ hetusaṅkhātena samayena attho dīpito.
ตตฺถ ‘ยสฺมิํ สมเย’ติ กาลสงฺขาตสฺส สมยสฺส วเสน ‘ยสฺมิํ กาเล’ติ อโตฺถ; สมูหสงฺขาตสฺส ‘ยสฺมิํ สมูเห’ติฯ ขณสมวายเหตุสงฺขาตานํ ‘ยสฺมิํ ขเณ สติ, ยาย สามคฺคิยา สติ, ยมฺหิ เหตุมฺหิ สติ’ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว สติ ‘ผสฺสาทโยปี’ติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อธิกรณญฺหิ กาลสงฺขาโต สมูหสงฺขาโต จ สมโยฯ ตตฺถ วุตฺตธมฺมานนฺติ อธิกรณวเสเนตฺถ ภุมฺมํฯ ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺส จ สมยสฺส ภาเวน เตสํ ภาโว ลกฺขียตีติ ภาเวนภาวลกฺขณวเสเนตฺถ ภุมฺมํฯ
Tattha ‘yasmiṃ samaye’ti kālasaṅkhātassa samayassa vasena ‘yasmiṃ kāle’ti attho; samūhasaṅkhātassa ‘yasmiṃ samūhe’ti. Khaṇasamavāyahetusaṅkhātānaṃ ‘yasmiṃ khaṇe sati, yāya sāmaggiyā sati, yamhi hetumhi sati’ kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva sati ‘phassādayopī’ti ayamattho veditabbo. Adhikaraṇañhi kālasaṅkhāto samūhasaṅkhāto ca samayo. Tattha vuttadhammānanti adhikaraṇavasenettha bhummaṃ. Khaṇasamavāyahetusaṅkhātassa ca samayassa bhāvena tesaṃ bhāvo lakkhīyatīti bhāvenabhāvalakkhaṇavasenettha bhummaṃ.
กามาวจรนฺติ ‘‘กตเม ธมฺมา กามาวจรา? เหฎฺฐโต อวีจินิรยํ อุปริโต ปรนิมฺมิตวสวตฺติํ ปริยนฺตํ กตฺวา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๒๘๗) นเยน วุเตฺตสุ กามาวจรธเมฺมสุ ปริยาปนฺนํฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – อุทฺทานโต เทฺว กามา, วตฺถุกาโม จ กิเลสกาโม จฯ ตตฺถ กิเลสกาโม อตฺถโต ฉนฺทราโคว วตฺถุกาโม เตภูมกวฎฺฎํฯ กิเลสกาโม เจตฺถ กาเมตีติ กาโม; อิตโร ปน กามิยตีติ กาโมฯ ยสฺมิํ ปน ปเทเส ทุวิโธเปโส กาโม ปวตฺติวเสน อวจรติ, โส จตุนฺนํ อปายานํ, มนุสฺสานํ, ฉนฺนญฺจ เทวโลกานํ วเสน เอกาทสวิโธ ปเทโสฯ กาโม เอตฺถ อวจรตีติ กามาวจโร, สสตฺถาวจโร วิยฯ ยถา หิ ยสฺมิํ ปเทเส สสตฺถา ปุริสา อวจรนฺติ, โส วิชฺชมาเนสุปิ อเญฺญสุ ทฺวิปทจตุปฺปเทสุ อวจรเนฺตสุ, เตสํ อภิลกฺขิตตฺตา ‘สสตฺถาวจโร’เตฺวว วุจฺจติ, เอวํ วิชฺชมาเนสุปิ อเญฺญสุ รูปาวจราทีสุ ตตฺถ อวจรเนฺตสุ, เตสํ อภิลกฺขิตตฺตา อยํ ปเทโส ‘กามาวจโร’เตฺวว วุจฺจติฯ สฺวายํ ยถา รูปภโว รูปํ, เอวํ อุตฺตรปทโลปํ กตฺวา ‘กาโม’เตฺวว วุจฺจติฯ เอวมิทํ จิตฺตํ อิมสฺมิํ เอกาทสปเทสสงฺขาเต กาเม อวจรตีติ กามาวจรํฯ
Kāmāvacaranti ‘‘katame dhammā kāmāvacarā? Heṭṭhato avīcinirayaṃ uparito paranimmitavasavattiṃ pariyantaṃ katvā’’tiādinā (dha. sa. 1287) nayena vuttesu kāmāvacaradhammesu pariyāpannaṃ. Tatrāyaṃ vacanattho – uddānato dve kāmā, vatthukāmo ca kilesakāmo ca. Tattha kilesakāmo atthato chandarāgova vatthukāmo tebhūmakavaṭṭaṃ. Kilesakāmo cettha kāmetīti kāmo; itaro pana kāmiyatīti kāmo. Yasmiṃ pana padese duvidhopeso kāmo pavattivasena avacarati, so catunnaṃ apāyānaṃ, manussānaṃ, channañca devalokānaṃ vasena ekādasavidho padeso. Kāmo ettha avacaratīti kāmāvacaro, sasatthāvacaro viya. Yathā hi yasmiṃ padese sasatthā purisā avacaranti, so vijjamānesupi aññesu dvipadacatuppadesu avacarantesu, tesaṃ abhilakkhitattā ‘sasatthāvacaro’tveva vuccati, evaṃ vijjamānesupi aññesu rūpāvacarādīsu tattha avacarantesu, tesaṃ abhilakkhitattā ayaṃ padeso ‘kāmāvacaro’tveva vuccati. Svāyaṃ yathā rūpabhavo rūpaṃ, evaṃ uttarapadalopaṃ katvā ‘kāmo’tveva vuccati. Evamidaṃ cittaṃ imasmiṃ ekādasapadesasaṅkhāte kāme avacaratīti kāmāvacaraṃ.
กิญฺจาปิ หิ เอตํ รูปารูปภเวสุปิ อวจรติ, ยถา ปน สงฺคาเม อวจรณโต สงฺคามาวจโรติ ลทฺธนามโก นาโค นคเร จรโนฺตปิ ‘สงฺคามาวจโร’เตฺวว วุจฺจติ, ถลชลจรา จ ปาณา อถเล อชเล จ ฐิตาปิ ‘ถลจรา ชลจรา’เตฺวว วุจฺจนฺติ, เอวมิทํ อญฺญตฺถ อวจรนฺตมฺปิ กามาวจรเมวาติ เวทิตพฺพํฯ อารมฺมณกรณวเสน วา เอตฺถ กาโม อวจรตีติปิ กามาวจรํฯ กามเญฺจส รูปารูปาวจเรสุปิ อวจรติ, ยถา ปน วทตีติ ‘วโจฺฉ’, มหิยํ เสตีติ ‘มหิํโส’ติ วุเตฺต, น สตฺตา ยตฺตกา วทนฺติ, มหิยํ วา เสนฺติ สเพฺพสํ ตํ นามํ โหติ, เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ อปิจ กามภวสงฺขาเต กาเม ปฎิสนฺธิํ อวจาเรตีติปิ กามาวจรํฯ
Kiñcāpi hi etaṃ rūpārūpabhavesupi avacarati, yathā pana saṅgāme avacaraṇato saṅgāmāvacaroti laddhanāmako nāgo nagare carantopi ‘saṅgāmāvacaro’tveva vuccati, thalajalacarā ca pāṇā athale ajale ca ṭhitāpi ‘thalacarā jalacarā’tveva vuccanti, evamidaṃ aññattha avacarantampi kāmāvacaramevāti veditabbaṃ. Ārammaṇakaraṇavasena vā ettha kāmo avacaratītipi kāmāvacaraṃ. Kāmañcesa rūpārūpāvacaresupi avacarati, yathā pana vadatīti ‘vaccho’, mahiyaṃ setīti ‘mahiṃso’ti vutte, na sattā yattakā vadanti, mahiyaṃ vā senti sabbesaṃ taṃ nāmaṃ hoti, evaṃsampadamidaṃ veditabbaṃ. Apica kāmabhavasaṅkhāte kāme paṭisandhiṃ avacāretītipi kāmāvacaraṃ.
กุสลนฺติ กุจฺฉิตานํ สลนาทีหิ อเตฺถหิ กุสลํฯ อปิจ อาโรคฺยเฎฺฐน อนวชฺชเฎฺฐน โกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน จ กุสลํฯ ยเถว หิ ‘กจฺจิ นุ โภโต กุสล’นฺติ (ชา. ๑.๑๕.๑๔๖; ๒.๒๐.๑๒๙) รูปกาเย อนาตุรตาย อเคลเญฺญน นิพฺยาธิตาย อาโรคฺยเฎฺฐน กุสลํ วุตฺตํ, เอวํ อรูปธเมฺมปิ กิเลสาตุรตาย กิเลสเคลญฺญสฺส จ กิเลสพฺยาธิโน อภาเวน อาโรคฺยเฎฺฐน กุสลํ เวทิตพฺพํฯ กิเลสวชฺชสฺส ปน กิเลสโทสสฺส กิเลสทรถสฺส จ อภาวา อนวชฺชเฎฺฐน กุสลํฯ โกสลฺลํ วุจฺจติ ปญฺญา; โกสลฺลโต สมฺภูตตฺตา โกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน กุสลํฯ
Kusalanti kucchitānaṃ salanādīhi atthehi kusalaṃ. Apica ārogyaṭṭhena anavajjaṭṭhena kosallasambhūtaṭṭhena ca kusalaṃ. Yatheva hi ‘kacci nu bhoto kusala’nti (jā. 1.15.146; 2.20.129) rūpakāye anāturatāya agelaññena nibyādhitāya ārogyaṭṭhena kusalaṃ vuttaṃ, evaṃ arūpadhammepi kilesāturatāya kilesagelaññassa ca kilesabyādhino abhāvena ārogyaṭṭhena kusalaṃ veditabbaṃ. Kilesavajjassa pana kilesadosassa kilesadarathassa ca abhāvā anavajjaṭṭhena kusalaṃ. Kosallaṃ vuccati paññā; kosallato sambhūtattā kosallasambhūtaṭṭhena kusalaṃ.
‘ญาณสมฺปยุตฺตํ’ ตาว เอวํ โหตุ; ญาณวิปฺปยุตฺตํ กถนฺติฯ ตมฺปิ รุฬฺหีสเทฺทน กุสลเมวฯ ยถา หิ ตาลปเณฺณหิ อกตฺวา กิลญฺชาทีหิ กตมฺปิ ตํสริกฺขตฺตา รุฬฺหีสเทฺทน ตาลวณฺฎเนฺตฺวว วุจฺจติ, เอวํ ‘ญาณวิปฺปยุตฺต’มฺปิ กุสลเนฺตฺวว เวทิตพฺพํฯ นิปฺปริยาเยน ปน ‘ญาณสมฺปยุตฺตํ’ อาโรคฺยเฎฺฐน อนวชฺชเฎฺฐน โกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐนาติ ติวิเธนปิ กุสลนฺติ นามํ ลภติ, ญาณวิปฺปยุตฺตํ ทุวิเธเนวฯ อิติ ยญฺจ ชาตกปริยาเยน ยญฺจ พาหิติกสุตฺตปริยาเยน ยญฺจ อภิธมฺมปริยาเยน กุสลํ กถิตํ สพฺพํ ตํ ตีหิปิ อเตฺถหิ อิมสฺมิํ จิเตฺต ลพฺภติฯ
‘Ñāṇasampayuttaṃ’ tāva evaṃ hotu; ñāṇavippayuttaṃ kathanti. Tampi ruḷhīsaddena kusalameva. Yathā hi tālapaṇṇehi akatvā kilañjādīhi katampi taṃsarikkhattā ruḷhīsaddena tālavaṇṭantveva vuccati, evaṃ ‘ñāṇavippayutta’mpi kusalantveva veditabbaṃ. Nippariyāyena pana ‘ñāṇasampayuttaṃ’ ārogyaṭṭhena anavajjaṭṭhena kosallasambhūtaṭṭhenāti tividhenapi kusalanti nāmaṃ labhati, ñāṇavippayuttaṃ duvidheneva. Iti yañca jātakapariyāyena yañca bāhitikasuttapariyāyena yañca abhidhammapariyāyena kusalaṃ kathitaṃ sabbaṃ taṃ tīhipi atthehi imasmiṃ citte labbhati.
ตเทตํ ลกฺขณาทิวเสน อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณํ, อกุสลวิทฺธํสนรสํ, โวทานปจฺจุปฎฺฐานํ, โยนิโสมนสิการปทฎฺฐานํฯ อวชฺชปฎิปกฺขตฺตา วา อนวชฺชลกฺขณเมว กุสลํ, โวทานภาวรสํ, อิฎฺฐวิปากปจฺจุปฎฺฐานํ, ยถาวุตฺตปทฎฺฐานเมวฯ ลกฺขณาทีสุ หิ เตสํ เตสํ ธมฺมานํ สภาโว วา สามญฺญํ วา ลกฺขณํ นามฯ กิจฺจํ วา สมฺปตฺติ วา รโส นามฯ อุปฎฺฐานากาโร วา ผลํ วา ปจฺจุปฎฺฐานํ นามฯ อาสนฺนการณํ ปทฎฺฐานํ นามฯ อิติ ยตฺถ ยตฺถ ลกฺขณาทีนิ วกฺขาม ตตฺถ ตตฺถ อิมินาว นเยน เตสํ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Tadetaṃ lakkhaṇādivasena anavajjasukhavipākalakkhaṇaṃ, akusalaviddhaṃsanarasaṃ, vodānapaccupaṭṭhānaṃ, yonisomanasikārapadaṭṭhānaṃ. Avajjapaṭipakkhattā vā anavajjalakkhaṇameva kusalaṃ, vodānabhāvarasaṃ, iṭṭhavipākapaccupaṭṭhānaṃ, yathāvuttapadaṭṭhānameva. Lakkhaṇādīsu hi tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ sabhāvo vā sāmaññaṃ vā lakkhaṇaṃ nāma. Kiccaṃ vā sampatti vā raso nāma. Upaṭṭhānākāro vā phalaṃ vā paccupaṭṭhānaṃ nāma. Āsannakāraṇaṃ padaṭṭhānaṃ nāma. Iti yattha yattha lakkhaṇādīni vakkhāma tattha tattha imināva nayena tesaṃ nānattaṃ veditabbaṃ.
จิตฺตนฺติ อารมฺมณํ จิเนฺตตีติ จิตฺตํ; วิชานาตีติ อโตฺถฯ ยสฺมา วา ‘จิตฺต’นฺติ สพฺพจิตฺตสาธารโณ เอส สโทฺท, ตสฺมา ยเทตฺถ โลกิยกุสลากุสลกิริยจิตฺตํ, ตํ ชวนวีถิวเสน อตฺตโน สนฺตานํ จิโนตีติ จิตฺตํฯ วิปากํ กมฺมกิเลเสหิ จิตนฺติ จิตฺตํฯ อปิจ สพฺพมฺปิ ยถานุรูปโต จิตฺตตาย จิตฺตํฯ จิตฺตกรณตาย จิตฺตนฺติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ยสฺมา อญฺญเทว สราคํ จิตฺตํ, อญฺญํ สโทสํ , อญฺญํ สโมหํ; อญฺญํ กามาวจรํ, อญฺญํ รูปาวจราทิเภทํ; อญฺญํ รูปารมฺมณํ, อญฺญํ สทฺทาทิอารมฺมณํ; รูปารมฺมเณสุ จาปิ อญฺญํ นีลารมฺมณํ, อญฺญํ ปีตาทิอารมฺมณํ; สทฺทาทิอารมฺมเณสุปิ เอเสว นโย; สเพฺพสุปิ เจเตสุ อญฺญํ หีนํ อญฺญํ มชฺฌิมํ อญฺญํ ปณีตํ; หีนาทีสุปิ อญฺญํ ฉนฺทาธิปเตยฺยํ, อญฺญํ วีริยาธิปเตยฺยํ อญฺญํ จิตฺตาธิปเตยฺยํ, อญฺญํ วีมํสาธิปเตยฺยํ, ตสฺมา อสฺส อิเมสํ สมฺปยุตฺตภูมิอารมฺมณหีนมชฺฌิมปณีตาธิปตีนํ วเสน จิตฺตตา เวทิตพฺพาฯ กามเญฺจตฺถ เอกเมว เอวํ จิตฺตํ น โหติ, จิตฺตานํ ปน อโนฺตคธตฺตา เอเตสุ ยํกิญฺจิ เอกมฺปิ จิตฺตตาย จิตฺตนฺติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอวํ ตาว จิตฺตตาย จิตฺตํฯ
Cittanti ārammaṇaṃ cintetīti cittaṃ; vijānātīti attho. Yasmā vā ‘citta’nti sabbacittasādhāraṇo esa saddo, tasmā yadettha lokiyakusalākusalakiriyacittaṃ, taṃ javanavīthivasena attano santānaṃ cinotīti cittaṃ. Vipākaṃ kammakilesehi citanti cittaṃ. Apica sabbampi yathānurūpato cittatāya cittaṃ. Cittakaraṇatāya cittanti evampettha attho veditabbo. Tattha yasmā aññadeva sarāgaṃ cittaṃ, aññaṃ sadosaṃ , aññaṃ samohaṃ; aññaṃ kāmāvacaraṃ, aññaṃ rūpāvacarādibhedaṃ; aññaṃ rūpārammaṇaṃ, aññaṃ saddādiārammaṇaṃ; rūpārammaṇesu cāpi aññaṃ nīlārammaṇaṃ, aññaṃ pītādiārammaṇaṃ; saddādiārammaṇesupi eseva nayo; sabbesupi cetesu aññaṃ hīnaṃ aññaṃ majjhimaṃ aññaṃ paṇītaṃ; hīnādīsupi aññaṃ chandādhipateyyaṃ, aññaṃ vīriyādhipateyyaṃ aññaṃ cittādhipateyyaṃ, aññaṃ vīmaṃsādhipateyyaṃ, tasmā assa imesaṃ sampayuttabhūmiārammaṇahīnamajjhimapaṇītādhipatīnaṃ vasena cittatā veditabbā. Kāmañcettha ekameva evaṃ cittaṃ na hoti, cittānaṃ pana antogadhattā etesu yaṃkiñci ekampi cittatāya cittanti vattuṃ vaṭṭati. Evaṃ tāva cittatāya cittaṃ.
กถํ จิตฺตกรณตายาติ? โลกสฺมิญฺหิ จิตฺตกมฺมโต อุตฺตริ อญฺญํ จิตฺตํ นาม นตฺถิฯ ตสฺมิมฺปิ จรณํ นาม จิตฺตํ อติจิตฺตเมว โหติฯ ตํ กโรนฺตานํ จิตฺตการานํ ‘เอวํวิธานิ เอตฺถ รูปานิ กาตพฺพานี’ติ จิตฺตสญฺญา อุปฺปชฺชติฯ ตาย จิตฺตสญฺญาย เลขาคหนรญฺชนอุโชฺชตนวตฺตนาทินิปฺผาทิกา จิตฺตกิริยา อุปฺปชฺชนฺติ, ตโต จรณสงฺขาเต จิเตฺต อญฺญตรํ วิจิตฺตรูปํ นิปฺผชฺชติฯ ตโต ‘อิมสฺส รูปสฺส อุปริ อิทํ โหตุ, เหฎฺฐา อิทํ, อุภยปเสฺส อิท’นฺติ จิเนฺตตฺวา ยถาจินฺติเตน กเมน เสสจิตฺตรูปนิปฺผาทนํ โหติ, เอวํ ยํกิญฺจิ โลเก วิจิตฺตํ สิปฺปชาตํ สพฺพํ ตํ จิเตฺตเนว กริยติ, เอวํ อิมาย กรณวิจิตฺตตาย ตสฺส ตสฺส จิตฺตสฺส นิปฺผาทกํ จิตฺตมฺปิ ตเถว จิตฺตํ โหติฯ ยถาจินฺติตสฺส วา อนวเสสสฺส อนิปฺผชฺชนโต ตโตปิ จิตฺตเมว จิตฺตตรํฯ เตนาห ภควา –
Kathaṃ cittakaraṇatāyāti? Lokasmiñhi cittakammato uttari aññaṃ cittaṃ nāma natthi. Tasmimpi caraṇaṃ nāma cittaṃ aticittameva hoti. Taṃ karontānaṃ cittakārānaṃ ‘evaṃvidhāni ettha rūpāni kātabbānī’ti cittasaññā uppajjati. Tāya cittasaññāya lekhāgahanarañjanaujjotanavattanādinipphādikā cittakiriyā uppajjanti, tato caraṇasaṅkhāte citte aññataraṃ vicittarūpaṃ nipphajjati. Tato ‘imassa rūpassa upari idaṃ hotu, heṭṭhā idaṃ, ubhayapasse ida’nti cintetvā yathācintitena kamena sesacittarūpanipphādanaṃ hoti, evaṃ yaṃkiñci loke vicittaṃ sippajātaṃ sabbaṃ taṃ citteneva kariyati, evaṃ imāya karaṇavicittatāya tassa tassa cittassa nipphādakaṃ cittampi tatheva cittaṃ hoti. Yathācintitassa vā anavasesassa anipphajjanato tatopi cittameva cittataraṃ. Tenāha bhagavā –
‘‘ทิฎฺฐํ โว, ภิกฺขเว, จรณํ นาม จิตฺตนฺติ? ‘เอวํ, ภเนฺต’ฯ ตมฺปิ โข, ภิกฺขเว, จรณํ นาม จิตฺตํ จิเตฺตเนว จินฺติตํฯ เตนปิ โข, ภิกฺขเว, จรเณน จิเตฺตน จิตฺตํเยว จิตฺตตร’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐)ฯ
‘‘Diṭṭhaṃ vo, bhikkhave, caraṇaṃ nāma cittanti? ‘Evaṃ, bhante’. Tampi kho, bhikkhave, caraṇaṃ nāma cittaṃ citteneva cintitaṃ. Tenapi kho, bhikkhave, caraṇena cittena cittaṃyeva cittatara’’nti (saṃ. ni. 3.100).
ตถา ยเทตํ เทวมนุสฺสนิรยติรจฺฉานเภทาสุ คตีสุ กมฺมลิงฺคสญฺญาโวหาราทิเภทํ อชฺฌตฺติกํ จิตฺตํ ตมฺปิ จิตฺตกตเมวฯ กายกมฺมาทิเภทญฺหิ ทานสีลวิหิํสาสาเฐยฺยาทินยปฺปวตฺตํ กุสลากุสลกมฺมํ จิตฺตนิปฺผาทิตํ กมฺมนานตฺตํฯ กมฺมนานเตฺตเนว จ ตาสุ ตาสุ คตีสุ หตฺถปาทกณฺณอุทรคีวามุขาทิสณฺฐานภินฺนํ ลิงฺคนานตฺตํฯ ลิงฺคนานตฺตโต ยถาคหิตสณฺฐานวเสน ‘อยํ อิตฺถี อยํ ปุริโส’ติ อุปฺปชฺชมานาย สญฺญาย สญฺญานานตฺตํฯ สญฺญานานตฺตโต สญฺญานุรูเปน ‘อิตฺถี’ติ วา ‘ปุริโส’ติ วา โวหรนฺตานํ โวหารนานตฺตํฯ โวหารนานตฺตวเสน ปน ยสฺมา ‘อิตฺถี ภวิสฺสามิ ปุริโส ภวิสฺสามิ, ขตฺติโย ภวิสฺสามิ พฺราหฺมโณ ภวิสฺสามี’ติ เอวํ ตสฺส ตสฺส อตฺตภาวสฺส ชนกํ กมฺมํ กรียติ, ตสฺมา โวหารนานตฺตโต กมฺมนานตฺตํฯ ตํ ปเนตํ กมฺมนานตฺตํ ยถาปตฺถิตํ ภวํ นิพฺพเตฺตนฺตํ ยสฺมา คติวเสน นิพฺพเตฺตติ ตสฺมา กมฺมนานตฺตโต คตินานตฺตํฯ กมฺมนานเตฺตเนว จ เตสํ เตสํ สตฺตานํ ตสฺสา ตสฺสา คติยา อปาทกทฺวิปาทกาทิตา, ตสฺสา ตสฺสา อุปปตฺติยา อุจฺจนีจาทิตา, ตสฺมิํ ตสฺมิํ อตฺตภาเว สุวณฺณทุพฺพณฺณาทิตา, โลกธเมฺมสุ ลาภาลาภาทิตา จ ปญฺญายติฯ ตสฺมา สพฺพเมตํ เทวมนุสฺสนิรยติรจฺฉานเภทาสุ คตีสุ กมฺมลิงฺคสญฺญาโวหาราทิเภทํ อชฺฌตฺติกํ จิตฺตํ จิเตฺตเนว กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ สฺวายมโตฺถ อิมสฺส สงฺคีติอนารุฬฺหสฺส สุตฺตสฺส วเสน เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tathā yadetaṃ devamanussanirayatiracchānabhedāsu gatīsu kammaliṅgasaññāvohārādibhedaṃ ajjhattikaṃ cittaṃ tampi cittakatameva. Kāyakammādibhedañhi dānasīlavihiṃsāsāṭheyyādinayappavattaṃ kusalākusalakammaṃ cittanipphāditaṃ kammanānattaṃ. Kammanānatteneva ca tāsu tāsu gatīsu hatthapādakaṇṇaudaragīvāmukhādisaṇṭhānabhinnaṃ liṅganānattaṃ. Liṅganānattato yathāgahitasaṇṭhānavasena ‘ayaṃ itthī ayaṃ puriso’ti uppajjamānāya saññāya saññānānattaṃ. Saññānānattato saññānurūpena ‘itthī’ti vā ‘puriso’ti vā voharantānaṃ vohāranānattaṃ. Vohāranānattavasena pana yasmā ‘itthī bhavissāmi puriso bhavissāmi, khattiyo bhavissāmi brāhmaṇo bhavissāmī’ti evaṃ tassa tassa attabhāvassa janakaṃ kammaṃ karīyati, tasmā vohāranānattato kammanānattaṃ. Taṃ panetaṃ kammanānattaṃ yathāpatthitaṃ bhavaṃ nibbattentaṃ yasmā gativasena nibbatteti tasmā kammanānattato gatinānattaṃ. Kammanānatteneva ca tesaṃ tesaṃ sattānaṃ tassā tassā gatiyā apādakadvipādakāditā, tassā tassā upapattiyā uccanīcāditā, tasmiṃ tasmiṃ attabhāve suvaṇṇadubbaṇṇāditā, lokadhammesu lābhālābhāditā ca paññāyati. Tasmā sabbametaṃ devamanussanirayatiracchānabhedāsu gatīsu kammaliṅgasaññāvohārādibhedaṃ ajjhattikaṃ cittaṃ citteneva katanti veditabbaṃ. Svāyamattho imassa saṅgītianāruḷhassa suttassa vasena veditabbo. Vuttañhetaṃ –
‘‘กมฺมนานตฺตปุถุตฺตปฺปเภทววตฺถานวเสน ลิงฺคนานตฺตปุถุตฺตปฺปเภทววตฺถานํ ภวติ, ลิงฺคนานตฺตปุถุตฺตปฺปเภทววตฺถานวเสน สญฺญานานตฺตปุถุตฺตปฺปเภทววตฺถานํ ภวติ, สญฺญานานตฺตปุถุตฺตปฺปเภทววตฺถานวเสน โวหารนานตฺตปุถุตฺตปฺปเภทววตฺถานํ ภวติ, โวหารนานตฺตปุถุตฺตปฺปเภทววตฺถานวเสน กมฺมนานตฺตปุถุตฺตปฺปเภทววตฺถานํ ภวติฯ กมฺมนานากรณํ ปฎิจฺจ สตฺตานํ คติยา นานากรณํ ปญฺญายติ – อปทา ทฺวิปทา จตุปฺปทา พหุปฺปทา, รูปิโน อรูปิโน, สญฺญิโน อสญฺญิโน เนวสญฺญีนาสญฺญิโนฯ กมฺมนานากรณํ ปฎิจฺจ สตฺตานํ อุปปตฺติยา นานากรณํ ปญฺญายติ – อุจฺจนีจตา หีนปณีตตา สุคตทุคฺคตตาฯ กมฺมนานากรณํ ปฎิจฺจ สตฺตานํ อตฺตภาเว นานากรณํ ปญฺญายติ – สุวณฺณทุพฺพณฺณตา สุชาตทุชฺชาตตา สุสณฺฐิตทุสฺสณฺฐิตตาฯ กมฺมนานากรณํ ปฎิจฺจ สตฺตานํ โลกธเมฺม นานากรณํ ปญฺญายติ – ลาภาลาเภ ยสายเส นินฺทาปสํสายํ สุขทุเกฺข’’ติฯ
‘‘Kammanānattaputhuttappabhedavavatthānavasena liṅganānattaputhuttappabhedavavatthānaṃ bhavati, liṅganānattaputhuttappabhedavavatthānavasena saññānānattaputhuttappabhedavavatthānaṃ bhavati, saññānānattaputhuttappabhedavavatthānavasena vohāranānattaputhuttappabhedavavatthānaṃ bhavati, vohāranānattaputhuttappabhedavavatthānavasena kammanānattaputhuttappabhedavavatthānaṃ bhavati. Kammanānākaraṇaṃ paṭicca sattānaṃ gatiyā nānākaraṇaṃ paññāyati – apadā dvipadā catuppadā bahuppadā, rūpino arūpino, saññino asaññino nevasaññīnāsaññino. Kammanānākaraṇaṃ paṭicca sattānaṃ upapattiyā nānākaraṇaṃ paññāyati – uccanīcatā hīnapaṇītatā sugataduggatatā. Kammanānākaraṇaṃ paṭicca sattānaṃ attabhāve nānākaraṇaṃ paññāyati – suvaṇṇadubbaṇṇatā sujātadujjātatā susaṇṭhitadussaṇṭhitatā. Kammanānākaraṇaṃ paṭicca sattānaṃ lokadhamme nānākaraṇaṃ paññāyati – lābhālābhe yasāyase nindāpasaṃsāyaṃ sukhadukkhe’’ti.
อปรมฺปิ วุตฺตํ –
Aparampi vuttaṃ –
กมฺมโต ลิงฺคโต เจว, ลิงฺคสญฺญา ปวตฺตเร;
Kammato liṅgato ceva, liṅgasaññā pavattare;
สญฺญาโต เภทํ คจฺฉนฺติ, อิตฺถายํ ปุริโสติ วาฯ
Saññāto bhedaṃ gacchanti, itthāyaṃ purisoti vā.
‘‘กมฺมุนา วตฺตเต โลโก, กมฺมุนา วตฺตเต ปชา;
‘‘Kammunā vattate loko, kammunā vattate pajā;
กมฺมนิพนฺธนา สตฺตา, รถสฺสาณีว ยายโต’’ฯ (ม. นิ. ๒.๔๖๐; สุ. นิ. ๖๕๙);
Kammanibandhanā sattā, rathassāṇīva yāyato’’. (ma. ni. 2.460; su. ni. 659);
กเมฺมน กิตฺติํ ลภเต ปสํสํ,
Kammena kittiṃ labhate pasaṃsaṃ,
กเมฺมน ชานิญฺจ วธญฺจ พนฺธํ;
Kammena jāniñca vadhañca bandhaṃ;
ตํ กมฺมนานากรณํ วิทิตฺวา,
Taṃ kammanānākaraṇaṃ viditvā,
กสฺมา วเท นตฺถิ กมฺมนฺติ โลเกฯ (กถา. ๗๘๕);
Kasmā vade natthi kammanti loke. (kathā. 785);
‘‘กมฺมสฺสกา มาณว สตฺตา กมฺมทายาทา กมฺมโยนี กมฺมพนฺธู กมฺมปฎิสรณา; กมฺมํ สเตฺต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตายา’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๘๙)ฯ
‘‘Kammassakā māṇava sattā kammadāyādā kammayonī kammabandhū kammapaṭisaraṇā; kammaṃ satte vibhajati yadidaṃ hīnappaṇītatāyā’’ti (ma. ni. 3.289).
เอวํ อิมาย กรณจิตฺตตายปิ จิตฺตสฺส จิตฺตตา เวทิตพฺพาฯ สพฺพานิปิ หิ เอตานิ วิจิตฺรานิ จิเตฺตเนว กตานิฯ อลโทฺธกาสสฺส ปน จิตฺตสฺส ยํ วา ปน อวเสสปจฺจยวิกลํ ตสฺส เอกจฺจจิตฺตกรณาภาวโต ยเทตํ จิเตฺตน กตํ อชฺฌตฺติกํ จิตฺตํ วุตฺตํ, ตโตปิ จิตฺตเมว จิตฺตตรํฯ เตนาห ภควา –
Evaṃ imāya karaṇacittatāyapi cittassa cittatā veditabbā. Sabbānipi hi etāni vicitrāni citteneva katāni. Aladdhokāsassa pana cittassa yaṃ vā pana avasesapaccayavikalaṃ tassa ekaccacittakaraṇābhāvato yadetaṃ cittena kataṃ ajjhattikaṃ cittaṃ vuttaṃ, tatopi cittameva cittataraṃ. Tenāha bhagavā –
‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกนิกายมฺปิ สมนุปสฺสามิ เอวํ จิตฺตํ ยถยิทํ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา… เตหิปิ โข, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคเตหิ ปาเณหิ จิตฺตํเยว จิตฺตตร’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐)ฯ
‘‘Nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekanikāyampi samanupassāmi evaṃ cittaṃ yathayidaṃ, bhikkhave, tiracchānagatā pāṇā… tehipi kho, bhikkhave, tiracchānagatehi pāṇehi cittaṃyeva cittatara’’nti (saṃ. ni. 3.100).
อุปฺปนฺนํ โหตีติ เอตฺถ วตฺตมานภูตาปคโตกาสกตภูมิลทฺธวเสน อุปฺปนฺนํ นาม อเนกปฺปเภทํฯ ตตฺถ สพฺพมฺปิ อุปฺปาทชราภงฺคสมงฺคีสงฺขาตํ วตฺตมานุปฺปนฺนํ นามฯ อารมฺมณรสํ อนุภวิตฺวา นิรุทฺธํ, อนุภูตาปคตสงฺขาตํ กุสลากุสลํ , อุปฺปาทาทิตฺตยํ อนุปฺปตฺวา นิรุทฺธํ, ภูตาปคตสงฺขาตํ, เสสสงฺขตญฺจ ภูตาปคตุปฺปนฺนํ นามฯ ‘‘ยานิสฺส ตานิ ปุเพฺพ กตานิ กมฺมานี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๔๘) เอวมาทินา นเยน วุตฺตํ กมฺมํ อตีตมฺปิ สมานํ, อญฺญํ วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา อตฺตโน วิปากโสฺสกาสํ กตฺวา ฐิตตฺตา, ตถา กโตกาสญฺจ วิปากํ อนุปฺปนฺนมฺปิ สมานํ เอวํ กเต โอกาเส เอกเนฺตน อุปฺปชฺชนโต โอกาสกตุปฺปนฺนํ นามฯ ตาสุ ตาสุ ภูมีสุ อสมูหตํ อกุสลํ ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามฯ เอตฺถ จ ภูมิยา ภูมิลทฺธสฺส จ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ ภูมีติ วิปสฺสนาย อารมฺมณภูตา เตภูมกา ปญฺจกฺขนฺธาฯ ภูมิลทฺธํ นาม เตสุ ขเนฺธสุ อุปฺปตฺตารหํ กิเลสชาตํฯ เตน เหสา ภูมิ ลทฺธา นาม โหติ, ตสฺมา ภูมิลทฺธนฺติ วุจฺจติฯ เอวเมเตสุ จตูสุ อุปฺปเนฺนสุ อิธ ‘วตฺตมานุปฺปนฺนํ’ อธิเปฺปตํฯ
Uppannaṃ hotīti ettha vattamānabhūtāpagatokāsakatabhūmiladdhavasena uppannaṃ nāma anekappabhedaṃ. Tattha sabbampi uppādajarābhaṅgasamaṅgīsaṅkhātaṃ vattamānuppannaṃ nāma. Ārammaṇarasaṃ anubhavitvā niruddhaṃ, anubhūtāpagatasaṅkhātaṃ kusalākusalaṃ , uppādādittayaṃ anuppatvā niruddhaṃ, bhūtāpagatasaṅkhātaṃ, sesasaṅkhatañca bhūtāpagatuppannaṃ nāma. ‘‘Yānissa tāni pubbe katāni kammānī’’ti (ma. ni. 3.248) evamādinā nayena vuttaṃ kammaṃ atītampi samānaṃ, aññaṃ vipākaṃ paṭibāhitvā attano vipākassokāsaṃ katvā ṭhitattā, tathā katokāsañca vipākaṃ anuppannampi samānaṃ evaṃ kate okāse ekantena uppajjanato okāsakatuppannaṃ nāma. Tāsu tāsu bhūmīsu asamūhataṃ akusalaṃ bhūmiladdhuppannaṃ nāma. Ettha ca bhūmiyā bhūmiladdhassa ca nānattaṃ veditabbaṃ. Bhūmīti vipassanāya ārammaṇabhūtā tebhūmakā pañcakkhandhā. Bhūmiladdhaṃ nāma tesu khandhesu uppattārahaṃ kilesajātaṃ. Tena hesā bhūmi laddhā nāma hoti, tasmā bhūmiladdhanti vuccati. Evametesu catūsu uppannesu idha ‘vattamānuppannaṃ’ adhippetaṃ.
ตตฺรายํ วจนโตฺถ – ปุพฺพนฺตโต อุทฺธํ อุปฺปาทาทิอภิมุขํ ปนฺนนฺติ อุปฺปนฺนํฯ ‘อุปฺปนฺน’-สโทฺท ปเนส อตีเต ปฎิลเทฺธ สมุฎฺฐิเต อวิกฺขมฺภิเต อสมุจฺฉิเนฺน ขณตฺตยคเตติ อเนเกสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘เตน โข ปน, ภิกฺขเว, สมเยน กกุสโนฺธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๓) เอตฺถ อตีเต อาคโตฯ ‘‘อายสฺมโต อานนฺทสฺส อติเรกจีวรํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ (ปารา. ๔๖๑) เอตฺถ ปฎิลเทฺธฯ ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อุปฺปนฺนํ มหาเมฆํ ตเมนํ มหาวาโต อนฺตราเยว อนฺตรธาเปตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๕๗) เอตฺถ สมุฎฺฐิเตฯ ‘‘อุปฺปนฺนํ คมิยจิตฺตํ ทุปฺปฎิวิโนทนียํ (อ. นิ. ๕.๑๖๐; ปริ. ๓๒๕); อุปฺปนฺนุปฺปเนฺน ปาปเก อกุสเล ธเมฺม ฐานโส อนฺตรธาเปตี’’ติ (ปารา. ๑๖๕) เอตฺถ อวิกฺขมฺภิเตฯ ‘‘อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวโนฺต พหุลีกโรโนฺต อุปฺปนฺนุปฺปเนฺน ปาปเก อกุสเล ธเมฺม ฐานโส อนฺตราเยว อนฺตรธาเปตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๕๖-๑๕๗) เอตฺถ อสมุจฺฉิเนฺนฯ ‘‘อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปนฺนนฺติ? อามนฺตา’’ติ (ยม. ๒.จิตฺตยมก.๘๑) เอตฺถ ขณตฺตยคเตฯ สฺวายมิธาปิ ขณตฺตยคเตว ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา ‘อุปฺปนฺนํ โหตี’ติ เอตฺถ ขณตฺตยคตํ โหติ, วตฺตมานํ โหติ, ปจฺจุปฺปนฺนํ โหตีติฯ อยํ สเงฺขปโตฺถฯ
Tatrāyaṃ vacanattho – pubbantato uddhaṃ uppādādiabhimukhaṃ pannanti uppannaṃ. ‘Uppanna’-saddo panesa atīte paṭiladdhe samuṭṭhite avikkhambhite asamucchinne khaṇattayagateti anekesu atthesu dissati. Ayañhi ‘‘tena kho pana, bhikkhave, samayena kakusandho bhagavā arahaṃ sammāsambuddho loke uppanno’’ti (saṃ. ni. 2.143) ettha atīte āgato. ‘‘Āyasmato ānandassa atirekacīvaraṃ uppannaṃ hotī’’ti (pārā. 461) ettha paṭiladdhe. ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, uppannaṃ mahāmeghaṃ tamenaṃ mahāvāto antarāyeva antaradhāpetī’’ti (saṃ. ni. 5.157) ettha samuṭṭhite. ‘‘Uppannaṃ gamiyacittaṃ duppaṭivinodanīyaṃ (a. ni. 5.160; pari. 325); uppannuppanne pāpake akusale dhamme ṭhānaso antaradhāpetī’’ti (pārā. 165) ettha avikkhambhite. ‘‘Ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvento bahulīkaronto uppannuppanne pāpake akusale dhamme ṭhānaso antarāyeva antaradhāpetī’’ti (saṃ. ni. 5.156-157) ettha asamucchinne. ‘‘Uppajjamānaṃ uppannanti? Āmantā’’ti (yama. 2.cittayamaka.81) ettha khaṇattayagate. Svāyamidhāpi khaṇattayagateva daṭṭhabbo. Tasmā ‘uppannaṃ hotī’ti ettha khaṇattayagataṃ hoti, vattamānaṃ hoti, paccuppannaṃ hotīti. Ayaṃ saṅkhepattho.
จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตีติ เจตํ เทสนาสีสเมวฯ น ปน จิตฺตํ เอกกเมว อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา ยถา ราชา อาคโตติ วุเตฺต น ปริสํ ปหาย เอกโกว อาคโต, ราชปริสาย ปน สทฺธิํเยว อาคโตติ ปญฺญายติ , เอวมิทมฺปิ ปโรปณฺณาสกุสลธเมฺมหิ สทฺธิํเยว อุปฺปนฺนนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปุพฺพงฺคมเฎฺฐน ปน ‘‘จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ’’เจฺจว วุตฺตํฯ
Cittaṃ uppannaṃ hotīti cetaṃ desanāsīsameva. Na pana cittaṃ ekakameva uppajjati. Tasmā yathā rājā āgatoti vutte na parisaṃ pahāya ekakova āgato, rājaparisāya pana saddhiṃyeva āgatoti paññāyati , evamidampi paropaṇṇāsakusaladhammehi saddhiṃyeva uppannanti veditabbaṃ. Pubbaṅgamaṭṭhena pana ‘‘cittaṃ uppannaṃ hoti’’cceva vuttaṃ.
โลกิยธมฺมญฺหิ ปตฺวา จิตฺตํ เชฎฺฐกํ จิตฺตํ ธุรํ จิตฺตํ ปุพฺพงฺคมํ โหติฯ โลกุตฺตรธมฺมํ ปตฺวา ปญฺญา เชฎฺฐิกา ปญฺญา ธุรา ปญฺญา ปุพฺพงฺคมาฯ เตเนว ภควา วินยปริยายํ ปตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต ‘กิํผโสฺสสิ, กิํเวทโนสิ, กิํสโญฺญสิ, กิํเจตโนสี’ติ อปุจฺฉิตฺวา ‘‘กิํจิโตฺต ตฺวํ ภิกฺขู’’ติ จิตฺตเมว ธุรํ กตฺวา ปุจฺฉติฯ ‘‘อเถยฺยจิโตฺต อหํ ภควา’’ติ จ วุเตฺต ‘อนาปตฺติ อเถยฺยผสฺสสฺสา’ติอาทีนิ อวตฺวา ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ อเถยฺยจิตฺตสฺสา’’ติ วทติฯ
Lokiyadhammañhi patvā cittaṃ jeṭṭhakaṃ cittaṃ dhuraṃ cittaṃ pubbaṅgamaṃ hoti. Lokuttaradhammaṃ patvā paññā jeṭṭhikā paññā dhurā paññā pubbaṅgamā. Teneva bhagavā vinayapariyāyaṃ patvā pañhaṃ pucchanto ‘kiṃphassosi, kiṃvedanosi, kiṃsaññosi, kiṃcetanosī’ti apucchitvā ‘‘kiṃcitto tvaṃ bhikkhū’’ti cittameva dhuraṃ katvā pucchati. ‘‘Atheyyacitto ahaṃ bhagavā’’ti ca vutte ‘anāpatti atheyyaphassassā’tiādīni avatvā ‘‘anāpatti bhikkhu atheyyacittassā’’ti vadati.
น เกวลญฺจ วินยปริยายํ, อญฺญมฺปิ โลกิยเทสนํ เทเสโนฺต จิตฺตเมว ธุรํ กตฺวา เทเสติฯ ยถาห – ‘‘เย เกจิ, ภิกฺขเว, ธมฺมา อกุสลา อกุสลภาคิยา อกุสลปกฺขิกา สเพฺพเต มโนปุพฺพงฺคมาฯ มโน เตสํ ธมฺมานํ ปฐมํ อุปฺปชฺชติ’’ (อ. นิ. ๑.๕๖)ฯ
Na kevalañca vinayapariyāyaṃ, aññampi lokiyadesanaṃ desento cittameva dhuraṃ katvā deseti. Yathāha – ‘‘ye keci, bhikkhave, dhammā akusalā akusalabhāgiyā akusalapakkhikā sabbete manopubbaṅgamā. Mano tesaṃ dhammānaṃ paṭhamaṃ uppajjati’’ (a. ni. 1.56).
‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฎฺฐา มโนมยา;
‘‘Manopubbaṅgamā dhammā, manoseṭṭhā manomayā;
มนสา เจ ปทุเฎฺฐน, ภาสติ วา กโรติ วา;
Manasā ce paduṭṭhena, bhāsati vā karoti vā;
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ, จกฺกํว วหโต ปทํฯ
Tato naṃ dukkhamanveti, cakkaṃva vahato padaṃ.
‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฎฺฐา มโนมยา;
‘‘Manopubbaṅgamā dhammā, manoseṭṭhā manomayā;
มนสา เจ ปสเนฺนน, ภาสติ วา กโรติ วา;
Manasā ce pasannena, bhāsati vā karoti vā;
ตโต นํ สุขมเนฺวติ, ฉายาว อนปายินี’’ฯ (ธ. ป. ๑,๒);
Tato naṃ sukhamanveti, chāyāva anapāyinī’’. (dha. pa. 1,2);
‘‘จิเตฺตน นียติ โลโก, จิเตฺตน ปริกสฺสติ;
‘‘Cittena nīyati loko, cittena parikassati;
จิตฺตสฺส เอกธมฺมสฺส, สเพฺพว วสมนฺวคู’’ฯ (สํ. นิ. ๑.๖๒);
Cittassa ekadhammassa, sabbeva vasamanvagū’’. (saṃ. ni. 1.62);
‘‘จิตฺตสํกิเลสา, ภิกฺขเว, สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ จิตฺตโวทานา วิสุชฺฌนฺติ’’ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐);
‘‘Cittasaṃkilesā, bhikkhave, sattā saṃkilissanti cittavodānā visujjhanti’’ (saṃ. ni. 3.100);
‘‘ปภสฺสรมิทํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฎฺฐํ’’ (อ. นิ. ๑.๔๙);
‘‘Pabhassaramidaṃ, bhikkhave, cittaṃ, tañca kho āgantukehi upakkilesehi upakkiliṭṭhaṃ’’ (a. ni. 1.49);
‘‘จิเตฺต , คหปติ, อรกฺขิเต กายกมฺมมฺปิ อรกฺขิตํ โหติ, วจีกมฺมมฺปิ อรกฺขิตํ โหติ, มโนกมฺมมฺปิ อรกฺขิตํ โหติ; จิเตฺต, คหปติ, รกฺขิเต…เป.… จิเตฺต, คหปติ, พฺยาปเนฺน…เป.… จิเตฺต, คหปติ, อพฺยาปเนฺน…เป.… จิเตฺต, คหปติ, อวสฺสุเต…เป.… จิเตฺต, คหปติ, อนวสฺสุเต กายกมฺมมฺปิ อนวสฺสุตํ โหติ, วจีกมฺมมฺปิ อนวสฺสุตํ โหติ, มโนกมฺมมฺปิ อนวสฺสุตํ โหตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๑๐)ฯ
‘‘Citte , gahapati, arakkhite kāyakammampi arakkhitaṃ hoti, vacīkammampi arakkhitaṃ hoti, manokammampi arakkhitaṃ hoti; citte, gahapati, rakkhite…pe… citte, gahapati, byāpanne…pe… citte, gahapati, abyāpanne…pe… citte, gahapati, avassute…pe… citte, gahapati, anavassute kāyakammampi anavassutaṃ hoti, vacīkammampi anavassutaṃ hoti, manokammampi anavassutaṃ hotī’’ti (a. ni. 3.110).
เอวํ โลกิยธมฺมํ ปตฺวา จิตฺตํ เชฎฺฐกํ โหติ, จิตฺตํ ธุรํ โหติ, จิตฺตํ ปุพฺพงฺคมํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ อิเมสุ ปน สุเตฺตสุ เอกํ วา เทฺว วา อคฺคเหตฺวา สุตฺตานุรกฺขณตฺถาย สพฺพานิปิ คหิตานีติ เวทิตพฺพานิฯ
Evaṃ lokiyadhammaṃ patvā cittaṃ jeṭṭhakaṃ hoti, cittaṃ dhuraṃ hoti, cittaṃ pubbaṅgamaṃ hotīti veditabbaṃ. Imesu pana suttesu ekaṃ vā dve vā aggahetvā suttānurakkhaṇatthāya sabbānipi gahitānīti veditabbāni.
โลกุตฺตรธมฺมํ ปุจฺฉโนฺต ปน ‘กตรผสฺสํ อธิคโตสิ, กตรเวทนํ กตรสญฺญํ กตรเจตนํ กตรจิตฺต’นฺติ อปุจฺฉิตฺวา, ‘กตรปญฺญํ ตฺวํ ภิกฺขุ อธิคโต’สิ, ‘กิํ ปฐมํ มคฺคปญฺญํ, อุทาหุ ทุติยํ…เป.… ตติยํ…เป.… จตุตฺถํ มคฺคปญฺญํ อธิคโต’ติ ปญฺญํ เชฎฺฐิกํ ปญฺญํ ธุรํ กตฺวา ปุจฺฉติฯ ปญฺญุตฺตรา สเพฺพ กุสลา ธมฺมา น ปริหายนฺติฯ ปญฺญา ปน กิมตฺถิยา (ม. นิ. ๑.๔๕๑)? ‘‘ปญฺญวโต, ภิกฺขเว, อริยสาวกสฺส ตทนฺวยา สทฺธา สณฺฐาติ, ตทนฺวยํ วีริยํ สณฺฐาติ, ตทนฺวยา สติ สณฺฐาติ, ตทนฺวโย สมาธิ สณฺฐาตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๕๑๕) เอวมาทีนิ ปเนตฺถ สุตฺตานิ ทฎฺฐพฺพานิฯ อิติ โลกุตฺตรธมฺมํ ปตฺวา ปญฺญา เชฎฺฐิกา โหติ ปญฺญา ธุรา ปญฺญา ปุพฺพงฺคมาติ เวทิตพฺพาฯ อยํ ปน โลกิยเทสนาฯ ตสฺมา จิตฺตํ ธุรํ กตฺวา เทเสโนฺต ‘‘จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ อาหฯ
Lokuttaradhammaṃ pucchanto pana ‘kataraphassaṃ adhigatosi, kataravedanaṃ katarasaññaṃ kataracetanaṃ kataracitta’nti apucchitvā, ‘katarapaññaṃ tvaṃ bhikkhu adhigato’si, ‘kiṃ paṭhamaṃ maggapaññaṃ, udāhu dutiyaṃ…pe… tatiyaṃ…pe… catutthaṃ maggapaññaṃ adhigato’ti paññaṃ jeṭṭhikaṃ paññaṃ dhuraṃ katvā pucchati. Paññuttarā sabbe kusalā dhammā na parihāyanti. Paññā pana kimatthiyā (ma. ni. 1.451)? ‘‘Paññavato, bhikkhave, ariyasāvakassa tadanvayā saddhā saṇṭhāti, tadanvayaṃ vīriyaṃ saṇṭhāti, tadanvayā sati saṇṭhāti, tadanvayo samādhi saṇṭhātī’’ti (saṃ. ni. 5.515) evamādīni panettha suttāni daṭṭhabbāni. Iti lokuttaradhammaṃ patvā paññā jeṭṭhikā hoti paññā dhurā paññā pubbaṅgamāti veditabbā. Ayaṃ pana lokiyadesanā. Tasmā cittaṃ dhuraṃ katvā desento ‘‘cittaṃ uppannaṃ hotī’’ti āha.
โสมนสฺสสหคตนฺติ สาตมธุรเวทยิตสงฺขาเตน โสมนเสฺสน สห เอกุปฺปาทาทิภาวํ คตํฯ อยํ ปน ‘สหคต’-สโทฺท ตพฺภาเว โวกิเณฺณ นิสฺสเย อารมฺมเณ สํสเฎฺฐติ อิเมสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ ‘‘ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา นนฺทิราคสหคตา’’ติ (วิภ. ๒๐๓) ตพฺภาเว เวทิตโพฺพ; นนฺทิราคภูตาติ อโตฺถฯ ‘‘ยา, ภิกฺขเว, วีมํสา โกสชฺชสหคตา โกสชฺชสมฺปยุตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๘๓๒) โวกิเณฺณ เวทิตโพฺพ; อนฺตรนฺตรา อุปฺปชฺชมาเนน โกสเชฺชน โวกิณฺณาติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ‘‘อฎฺฐิกสญฺญาสหคตํ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๘) นิสฺสเย เวทิตโพฺพ; อฎฺฐิกสญฺญํ นิสฺสาย อฎฺฐิกสญฺญํ ภาเวตฺวา ปฎิลทฺธนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ลาภี โหติ รูปสหคตานํ วา สมาปตฺตีนํ อรูปสหคตานํ วา’’ติ (ปุ. ป. ๓-๕) อารมฺมเณ; เวทิตโพฺพ รูปารูปารมฺมณานนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคตํ โหติ สหชาตํ สํสฎฺฐํ สมฺปยุตฺต’’นฺติ (วิภ. ๕๗๘) สํสเฎฺฐฯ อิมสฺมิมฺปิ ปเท อยเมวโตฺถ อธิเปฺปโตฯ โสมนสฺสสํสฎฺฐญฺหิ อิธ โสมนสฺสสหคตนฺติ วุตฺตํฯ
Somanassasahagatanti sātamadhuravedayitasaṅkhātena somanassena saha ekuppādādibhāvaṃ gataṃ. Ayaṃ pana ‘sahagata’-saddo tabbhāve vokiṇṇe nissaye ārammaṇe saṃsaṭṭheti imesu atthesu dissati. Tattha ‘‘yāyaṃ taṇhā ponobbhavikā nandirāgasahagatā’’ti (vibha. 203) tabbhāve veditabbo; nandirāgabhūtāti attho. ‘‘Yā, bhikkhave, vīmaṃsā kosajjasahagatā kosajjasampayuttā’’ti (saṃ. ni. 5.832) vokiṇṇe veditabbo; antarantarā uppajjamānena kosajjena vokiṇṇāti ayamettha attho. ‘‘Aṭṭhikasaññāsahagataṃ satisambojjhaṅgaṃ bhāvetī’’ti (saṃ. ni. 5.238) nissaye veditabbo; aṭṭhikasaññaṃ nissāya aṭṭhikasaññaṃ bhāvetvā paṭiladdhanti attho. ‘‘Lābhī hoti rūpasahagatānaṃ vā samāpattīnaṃ arūpasahagatānaṃ vā’’ti (pu. pa. 3-5) ārammaṇe; veditabbo rūpārūpārammaṇānanti attho. ‘‘Idaṃ sukhaṃ imāya pītiyā sahagataṃ hoti sahajātaṃ saṃsaṭṭhaṃ sampayutta’’nti (vibha. 578) saṃsaṭṭhe. Imasmimpi pade ayamevattho adhippeto. Somanassasaṃsaṭṭhañhi idha somanassasahagatanti vuttaṃ.
‘สํสฎฺฐ’-สโทฺทปิ เจส สทิเส อวสฺสุเต มิตฺตสนฺถเว สหชาเตติ พหูสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘กิเส ถูเล วิวเชฺชตฺวา สํสฎฺฐา โยชิตา หยา’’ติ (ชา. ๒.๒๒.๗๐) เอตฺถ สทิเส อาคโตฯ ‘‘สํสฎฺฐาว ตุเมฺห อเยฺย วิหรถา’’ติ (ปาจิ. ๗๒๗) อวสฺสุเตฯ ‘‘คิหิ สํสโฎฺฐ วิหรตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๓) มิตฺตสนฺถเวฯ ‘‘อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคตํ โหติ สหชาตํ สํสฎฺฐํ สมฺปยุตฺต’’นฺติ สหชาเตฯ อิธาปิ สหชาเต อธิเปฺปโตฯ ตตฺถ ‘สหคตํ’ อสหชาตํ อสํสฎฺฐํ อสมฺปยุตฺตํ นาม นตฺถิฯ สหชาตํ ปน สํสฎฺฐํ สมฺปยุตฺตํ โหติปิ, น โหติปิ ฯ รูปารูปธเมฺมสุ หิ เอกโต ชาเตสุ รูปํ อรูเปน สหชาตํ โหติ, น สํสฎฺฐํ, น สมฺปยุตฺตํ; ตถา อรูปํ รูเปน; รูปญฺจ รูเปน; อรูปํ ปน อรูเปน สทฺธิํ นิยมโตว สหคตํ สหชาตํ สํสฎฺฐํ สมฺปยุตฺตเมว โหตีติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘โสมนสฺสสหคต’นฺติฯ
‘Saṃsaṭṭha’-saddopi cesa sadise avassute mittasanthave sahajāteti bahūsu atthesu dissati. Ayañhi ‘‘kise thūle vivajjetvā saṃsaṭṭhā yojitā hayā’’ti (jā. 2.22.70) ettha sadise āgato. ‘‘Saṃsaṭṭhāva tumhe ayye viharathā’’ti (pāci. 727) avassute. ‘‘Gihi saṃsaṭṭho viharatī’’ti (saṃ. ni. 3.3) mittasanthave. ‘‘Idaṃ sukhaṃ imāya pītiyā sahagataṃ hoti sahajātaṃ saṃsaṭṭhaṃ sampayutta’’nti sahajāte. Idhāpi sahajāte adhippeto. Tattha ‘sahagataṃ’ asahajātaṃ asaṃsaṭṭhaṃ asampayuttaṃ nāma natthi. Sahajātaṃ pana saṃsaṭṭhaṃ sampayuttaṃ hotipi, na hotipi . Rūpārūpadhammesu hi ekato jātesu rūpaṃ arūpena sahajātaṃ hoti, na saṃsaṭṭhaṃ, na sampayuttaṃ; tathā arūpaṃ rūpena; rūpañca rūpena; arūpaṃ pana arūpena saddhiṃ niyamatova sahagataṃ sahajātaṃ saṃsaṭṭhaṃ sampayuttameva hotīti. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘somanassasahagata’nti.
ญาณสมฺปยุตฺตนฺติ ญาเณน สมฺปยุตฺตํ, สมํ เอกุปฺปาทาทิปฺปกาเรหิ ยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ สิยา ตํ มาติกาวณฺณนาย เวทนาตฺติเก วุตฺตนยเมวฯ ตสฺมา เอกุปฺปาทา เอกนิโรธา เอกวตฺถุกา เอการมฺมณาติ อิมินา ลกฺขเณเนตํ สมฺปยุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทโส เจสฯ อรูเป ปน วินาปิ เอกวตฺถุกภาวํ สมฺปโยโค ลพฺภติฯ
Ñāṇasampayuttanti ñāṇena sampayuttaṃ, samaṃ ekuppādādippakārehi yuttanti attho. Yaṃ panettha vattabbaṃ siyā taṃ mātikāvaṇṇanāya vedanāttike vuttanayameva. Tasmā ekuppādā ekanirodhā ekavatthukā ekārammaṇāti iminā lakkhaṇenetaṃ sampayuttanti veditabbaṃ. Ukkaṭṭhaniddeso cesa. Arūpe pana vināpi ekavatthukabhāvaṃ sampayogo labbhati.
เอตฺตาวตา กิํ กถิตํ? กามาวจรกุสเลสุ โสมนสฺสสหคตํ ติเหตุกํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ มหาจิตฺตํ กถิตํฯ ‘‘กตเม ธมฺมา กุสลา’’ติ หิ อนิยมิตปุจฺฉาย จตุภูมกกุสลํ คหิตํฯ ‘กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’ติ วจเนน ปน เตภูมกํ กุสลํ ปริจฺจชิตฺวา, อฎฺฐวิธํ กามาวจรกุสลเมว คหิตํฯ ‘โสมนสฺสสหคต’นฺติ วจเนน ตโต จตุพฺพิธํ อุเปกฺขาสหคตํ ปริจฺจชิตฺวา จตุพฺพิธํ โสมนสฺสสหคตเมว คหิตํฯ ‘ญาณสมฺปยุตฺต’นฺติ วจเนน ตโต ทุวิธํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ ปริจฺจชิตฺวา เทฺว ญาณสมฺปยุตฺตาเนว คหิตานิฯ อสงฺขาริกภาโว ปน อนาภฎฺฐตาเยว น คหิโตฯ กิญฺจาปิ น คหิโต, ปรโต ปน ‘สสงฺขาเรนา’ติ วจนโต อิธ ‘อสงฺขาเรนา’ติ อวุเตฺตปิ อสงฺขาริกภาโว เวทิตโพฺพฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ หิ อาทิโตว อิทํ มหาจิตฺตํ ภาเชตฺวา ทเสฺสตุํ นิยเมตฺวาว อิมํ เทสนํ อารภีติ เอวเมตฺถ สนฺนิฎฺฐานํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ettāvatā kiṃ kathitaṃ? Kāmāvacarakusalesu somanassasahagataṃ tihetukaṃ ñāṇasampayuttaṃ asaṅkhārikaṃ mahācittaṃ kathitaṃ. ‘‘Katame dhammā kusalā’’ti hi aniyamitapucchāya catubhūmakakusalaṃ gahitaṃ. ‘Kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hotī’ti vacanena pana tebhūmakaṃ kusalaṃ pariccajitvā, aṭṭhavidhaṃ kāmāvacarakusalameva gahitaṃ. ‘Somanassasahagata’nti vacanena tato catubbidhaṃ upekkhāsahagataṃ pariccajitvā catubbidhaṃ somanassasahagatameva gahitaṃ. ‘Ñāṇasampayutta’nti vacanena tato duvidhaṃ ñāṇavippayuttaṃ pariccajitvā dve ñāṇasampayuttāneva gahitāni. Asaṅkhārikabhāvo pana anābhaṭṭhatāyeva na gahito. Kiñcāpi na gahito, parato pana ‘sasaṅkhārenā’ti vacanato idha ‘asaṅkhārenā’ti avuttepi asaṅkhārikabhāvo veditabbo. Sammāsambuddho hi āditova idaṃ mahācittaṃ bhājetvā dassetuṃ niyametvāva imaṃ desanaṃ ārabhīti evamettha sanniṭṭhānaṃ katanti veditabbaṃ.
อิทานิ ตเมว จิตฺตํ อารมฺมณโต ทเสฺสตุํ รูปารมฺมณํ วาติอาทิมาหฯ ภควา หิ อรูปธมฺมํ ทเสฺสโนฺต วตฺถุนา วา ทเสฺสติ, อารมฺมเณน วา, วตฺถารมฺมเณหิ วา, สรสภาเวน วาฯ ‘‘จกฺขุสมฺผโสฺส…เป.… มโนสมฺผโสฺส; จกฺขุสมฺผสฺสชา เวทนา…เป.… มโนสมฺผสฺสชา เวทนา; จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มโนวิญฺญาณ’’นฺติอาทีสุ หิ วตฺถุนา อรูปธมฺมา ทสฺสิตาฯ ‘‘รูปสญฺญา…เป.… ธมฺมสญฺญา, รูปสเญฺจตนา…เป.… ธมฺมสเญฺจตนา’’ติอาทีสุ อารมฺมเณนฯ ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ, ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส…เป.… มนญฺจ ปฎิจฺจ ธเมฺม จ อุปฺปชฺชติ มโนวิญฺญาณํ, ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๖๐) วตฺถารมฺมเณหิฯ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา , ภิกฺขเว, สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑) สรสภาเวน อรูปธมฺมา ทสฺสิตาฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน อารมฺมเณน ทเสฺสโนฺต ‘รูปารมฺมณํ’ วาติอาทิมาหฯ
Idāni tameva cittaṃ ārammaṇato dassetuṃ rūpārammaṇaṃ vātiādimāha. Bhagavā hi arūpadhammaṃ dassento vatthunā vā dasseti, ārammaṇena vā, vatthārammaṇehi vā, sarasabhāvena vā. ‘‘Cakkhusamphasso…pe… manosamphasso; cakkhusamphassajā vedanā…pe… manosamphassajā vedanā; cakkhuviññāṇaṃ…pe… manoviññāṇa’’ntiādīsu hi vatthunā arūpadhammā dassitā. ‘‘Rūpasaññā…pe… dhammasaññā, rūpasañcetanā…pe… dhammasañcetanā’’tiādīsu ārammaṇena. ‘‘Cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇaṃ, tiṇṇaṃ saṅgati phasso…pe… manañca paṭicca dhamme ca uppajjati manoviññāṇaṃ, tiṇṇaṃ saṅgati phasso’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.60) vatthārammaṇehi. ‘‘Avijjāpaccayā , bhikkhave, saṅkhārā, saṅkhārapaccayā viññāṇa’’ntiādīsu (saṃ. ni. 2.1) sarasabhāvena arūpadhammā dassitā. Imasmiṃ pana ṭhāne ārammaṇena dassento ‘rūpārammaṇaṃ’ vātiādimāha.
ตตฺถ จตุสมุฎฺฐานํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ รูปเมว รูปารมฺมณํฯ ทฺวิสมุฎฺฐาโน อตีตานาคตปจฺจุปฺปโนฺน สโทฺทว สทฺทารมฺมณํฯ จตุสมุฎฺฐาโน อตีตานาคตปจฺจุปฺปโนฺน คโนฺธว คนฺธารมฺมณํฯ จตุสมุฎฺฐาโน อตีตานาคตปจฺจุปฺปโนฺน รโสว รสารมฺมณํฯ จตุสมุฎฺฐานํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ โผฎฺฐพฺพเมว โผฎฺฐพฺพารมฺมณํฯ เอกสมุฎฺฐานา ทฺวิสมุฎฺฐานา ติสมุฎฺฐานา จตุสมุฎฺฐานา นกุโตจิสมุฎฺฐานา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา จิตฺตเจตสิกา, ตถา นวตฺตพฺพา จ, วุตฺตาวเสสา จิตฺตโคจรสงฺขาตา ธมฺมาเยว ธมฺมารมฺมณํฯ เย ปน อนาปาถคตา รูปาทโยปิ ธมฺมารมฺมณมิเจฺจว วทนฺติ เต อิมินา สุเตฺตน ปฎิกฺขิปิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tattha catusamuṭṭhānaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ rūpameva rūpārammaṇaṃ. Dvisamuṭṭhāno atītānāgatapaccuppanno saddova saddārammaṇaṃ. Catusamuṭṭhāno atītānāgatapaccuppanno gandhova gandhārammaṇaṃ. Catusamuṭṭhāno atītānāgatapaccuppanno rasova rasārammaṇaṃ. Catusamuṭṭhānaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ phoṭṭhabbameva phoṭṭhabbārammaṇaṃ. Ekasamuṭṭhānā dvisamuṭṭhānā tisamuṭṭhānā catusamuṭṭhānā nakutocisamuṭṭhānā atītānāgatapaccuppannā cittacetasikā, tathā navattabbā ca, vuttāvasesā cittagocarasaṅkhātā dhammāyeva dhammārammaṇaṃ. Ye pana anāpāthagatā rūpādayopi dhammārammaṇamicceva vadanti te iminā suttena paṭikkhipitabbā. Vuttañhetaṃ –
‘‘อิเมสํ โข, อาวุโส, ปญฺจนฺนํ อินฺทฺริยานํ นานาวิสยานํ นานาโคจรานํ น อญฺญมญฺญสฺส โคจรวิสยํ ปจฺจนุโภนฺตานํ มโน ปฎิสรณํ มโน เนสํ โคจรวิสยํ ปจฺจนุโภตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๕)ฯ
‘‘Imesaṃ kho, āvuso, pañcannaṃ indriyānaṃ nānāvisayānaṃ nānāgocarānaṃ na aññamaññassa gocaravisayaṃ paccanubhontānaṃ mano paṭisaraṇaṃ mano nesaṃ gocaravisayaṃ paccanubhotī’’ti (ma. ni. 1.455).
เอเตสญฺหิ รูปารมฺมณาทีนิ โคจรวิสโย นามฯ ตานิ มเนน ปจฺจนุภวิยมานานิปิ รูปารมฺมณาทีนิเยวาติ อยมโตฺถ สิโทฺธ โหติฯ ทิพฺพจกฺขุญาณาทีนญฺจ รูปาทิอารมฺมณตฺตาปิ อยมโตฺถ สิโทฺธเยว โหติฯ อนาปาถคตาเนว หิ รูปารมฺมณาทีนิ ทิพฺพจกฺขุอาทีนํ อารมฺมณานิ, น จ ตานิ ธมฺมารมฺมณานิ ภวนฺตีติ วุตฺตนเยเนว อารมฺมณววตฺถานํ เวทิตพฺพํฯ
Etesañhi rūpārammaṇādīni gocaravisayo nāma. Tāni manena paccanubhaviyamānānipi rūpārammaṇādīniyevāti ayamattho siddho hoti. Dibbacakkhuñāṇādīnañca rūpādiārammaṇattāpi ayamattho siddhoyeva hoti. Anāpāthagatāneva hi rūpārammaṇādīni dibbacakkhuādīnaṃ ārammaṇāni, na ca tāni dhammārammaṇāni bhavantīti vuttanayeneva ārammaṇavavatthānaṃ veditabbaṃ.
ตตฺถ เอเกกํ อารมฺมณํ ทฺวีสุ ทฺวีสุ ทฺวาเรสุ อาปาถมาคจฺฉติฯ รูปารมฺมณญฺหิ จกฺขุปสาทํ ฆเฎฺฎตฺวา ตงฺขณเญฺญว มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติ; ภวงฺคจลนสฺส ปจฺจโย โหตีติ อโตฺถฯ สทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพารมฺมเณสุปิ เอเสว นโยฯ ยถา หิ สกุโณ อากาเสนาคนฺตฺวา รุกฺขเคฺค นิลียมาโนว รุกฺขสาขญฺจ ฆเฎฺฎติ, ฉายา จสฺส ปถวิยํ ปฎิหญฺญติ สาขาฆฎฺฎนฉายาผรณานิ อปุพฺพํ อจริมํ เอกกฺขเณเยว ภวนฺติ, เอวํ ปจฺจุปฺปนฺนรูปาทีนํ จกฺขุปสาทาทิฆฎฺฎนญฺจ ภวงฺคจลนสมตฺถตาย มโนทฺวาเร อาปาถคมนญฺจ อปุพฺพํ อจริมํ เอกกฺขเณเยว โหติฯ ตโต ภวงฺคํ วิจฺฉินฺทิตฺวา จกฺขุทฺวาราทีสุ อุปฺปนฺนานํ อาวชฺชนาทีนํ โวฎฺฐพฺพนปริโยสานานํ อนนฺตรา เตสํ อารมฺมณานํ อญฺญตรสฺมิํ อิทํ มหาจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ
Tattha ekekaṃ ārammaṇaṃ dvīsu dvīsu dvāresu āpāthamāgacchati. Rūpārammaṇañhi cakkhupasādaṃ ghaṭṭetvā taṅkhaṇaññeva manodvāre āpāthamāgacchati; bhavaṅgacalanassa paccayo hotīti attho. Saddagandharasaphoṭṭhabbārammaṇesupi eseva nayo. Yathā hi sakuṇo ākāsenāgantvā rukkhagge nilīyamānova rukkhasākhañca ghaṭṭeti, chāyā cassa pathaviyaṃ paṭihaññati sākhāghaṭṭanachāyāpharaṇāni apubbaṃ acarimaṃ ekakkhaṇeyeva bhavanti, evaṃ paccuppannarūpādīnaṃ cakkhupasādādighaṭṭanañca bhavaṅgacalanasamatthatāya manodvāre āpāthagamanañca apubbaṃ acarimaṃ ekakkhaṇeyeva hoti. Tato bhavaṅgaṃ vicchinditvā cakkhudvārādīsu uppannānaṃ āvajjanādīnaṃ voṭṭhabbanapariyosānānaṃ anantarā tesaṃ ārammaṇānaṃ aññatarasmiṃ idaṃ mahācittaṃ uppajjati.
สุทฺธมโนทฺวาเร ปน ปสาทฆฎฺฎนกิจฺจํ นตฺถิฯ ปกติยา ทิฎฺฐสุตฆายิตสายิตผุฎฺฐวเสเนว เอตานิ อารมฺมณานิ อาปาถมาคจฺฉนฺติฯ กถํ? อิเธกโจฺจ กตสุธากมฺมํ หริตาลมโนสิลาทิวณฺณวิจิตฺตํ ปคฺคหิตนานปฺปการธชปฎากํ มาลาทามวินทฺธํ ทีปมาลาปริกฺขิตฺตํ อติมโนรมาย สิริยา วิโรจมานํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ มหาเจติยํ ปทกฺขิณํ กตฺวา โสฬสสุ ปาทปิฎฺฐิกาสุ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห อุโลฺลเกโนฺต พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา ติฎฺฐติฯ ตสฺส เอวํ เจติยํ ปสฺสิตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ นิพฺพเตฺตตฺวา อปรภาเค ยตฺถ กตฺถจิ คตสฺส รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเนสุ นิสินฺนสฺส อาวชฺชมานสฺส อลงฺกตปฎิยตฺตํ มหาเจติยํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถมาคตสทิสเมว โหติ, ปทกฺขิณํ กตฺวา เจติยวนฺทนกาโล วิย โหติฯ เอวํ ตาว ทิฎฺฐวเสน รูปารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติฯ
Suddhamanodvāre pana pasādaghaṭṭanakiccaṃ natthi. Pakatiyā diṭṭhasutaghāyitasāyitaphuṭṭhavaseneva etāni ārammaṇāni āpāthamāgacchanti. Kathaṃ? Idhekacco katasudhākammaṃ haritālamanosilādivaṇṇavicittaṃ paggahitanānappakāradhajapaṭākaṃ mālādāmavinaddhaṃ dīpamālāparikkhittaṃ atimanoramāya siriyā virocamānaṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ mahācetiyaṃ padakkhiṇaṃ katvā soḷasasu pādapiṭṭhikāsu pañcapatiṭṭhitena vanditvā añjaliṃ paggayha ullokento buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā tiṭṭhati. Tassa evaṃ cetiyaṃ passitvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ nibbattetvā aparabhāge yattha katthaci gatassa rattiṭṭhānadivāṭṭhānesu nisinnassa āvajjamānassa alaṅkatapaṭiyattaṃ mahācetiyaṃ cakkhudvāre āpāthamāgatasadisameva hoti, padakkhiṇaṃ katvā cetiyavandanakālo viya hoti. Evaṃ tāva diṭṭhavasena rūpārammaṇaṃ āpāthamāgacchati.
มธุเรน ปน สเรน ธมฺมกถิกสฺส วา ธมฺมํ กเถนฺตสฺส, สรภาณกสฺส วา สเรน ภณนฺตสฺส สทฺทํ สุตฺวา อปรภาเค ยตฺถ กตฺถจิ นิสีทิตฺวา อาวชฺชมานสฺส ธมฺมกถา วา สรภญฺญํ วา โสตทฺวาเร อาปาถมาคตํ วิย โหติ, สาธุการํ ทตฺวา สุณนกาโล วิย โหติฯ เอวํ สุตวเสน สทฺทารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติฯ
Madhurena pana sarena dhammakathikassa vā dhammaṃ kathentassa, sarabhāṇakassa vā sarena bhaṇantassa saddaṃ sutvā aparabhāge yattha katthaci nisīditvā āvajjamānassa dhammakathā vā sarabhaññaṃ vā sotadvāre āpāthamāgataṃ viya hoti, sādhukāraṃ datvā suṇanakālo viya hoti. Evaṃ sutavasena saddārammaṇaṃ āpāthamāgacchati.
สุคนฺธํ ปน คนฺธํ วา มาลํ วา ลภิตฺวา อาสเน วา เจติเย วา คนฺธารมฺมเณน จิเตฺตน ปูชํ กตฺวา อปรภาเค ยตฺถ กตฺถจิ นิสีทิตฺวา อาวชฺชมานสฺส ตํ คนฺธารมฺมณํ ฆานทฺวาเร อาปาถมาคตํ วิย โหติ, ปูชากรณกาโล วิย โหติฯ เอวํ ฆายิตวเสน คนฺธารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติฯ
Sugandhaṃ pana gandhaṃ vā mālaṃ vā labhitvā āsane vā cetiye vā gandhārammaṇena cittena pūjaṃ katvā aparabhāge yattha katthaci nisīditvā āvajjamānassa taṃ gandhārammaṇaṃ ghānadvāre āpāthamāgataṃ viya hoti, pūjākaraṇakālo viya hoti. Evaṃ ghāyitavasena gandhārammaṇaṃ āpāthamāgacchati.
ปณีตํ ปน ขาทนียํ วา โภชนียํ วา สพฺรหฺมจารีหิ สทฺธิํ สํวิภชิตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา อปรภาเค ยตฺถ กตฺถจิ กุทฺรูสกาทิโภชนํ ลภิตฺวา ‘อสุกกาเล ปณีตํ โภชนํ สพฺรหฺมจารีหิ สทฺธิํ สํวิภชิตฺวา ปริภุตฺต’นฺติ อาวชฺชมานสฺส ตํ รสารมฺมณํ ชิวฺหาทฺวาเร อาปาถมาคตํ วิย โหติ, ปริภุญฺชนกาโล วิย โหติฯ เอวํ สายิตวเสน รสารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติฯ
Paṇītaṃ pana khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā sabrahmacārīhi saddhiṃ saṃvibhajitvā paribhuñjitvā aparabhāge yattha katthaci kudrūsakādibhojanaṃ labhitvā ‘asukakāle paṇītaṃ bhojanaṃ sabrahmacārīhi saddhiṃ saṃvibhajitvā paribhutta’nti āvajjamānassa taṃ rasārammaṇaṃ jivhādvāre āpāthamāgataṃ viya hoti, paribhuñjanakālo viya hoti. Evaṃ sāyitavasena rasārammaṇaṃ āpāthamāgacchati.
มุทุกํ ปน สุขสมฺผสฺสํ มญฺจํ วา ปีฐํ วา อตฺถรณปาปุรณํ วา ปริภุญฺชิตฺวา อปรภาเค ยตฺถ กตฺถจิ ทุกฺขเสยฺยํ กเปฺปตฺวา ‘อสุกกาเล เม มุทุกํ มญฺจปีฐํ อตฺถรณปาวุรณํ ปริภุตฺต’นฺติ อาวชฺชมานสฺส ตํ โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ กายทฺวาเร อาปาถมาคตํ วิย โหติฯ สุขสมฺผสฺสํ เวทยิตกาโล วิย โหติฯ เอวํ ผุฎฺฐวเสน โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติฯ เอวํ สุทฺธมโนทฺวาเร ปสาทฆฎฺฎนกิจฺจํ นตฺถิฯ ปกติยา ทิฎฺฐสุตฆายิตสายิตผุฎฺฐวเสเนว เอตานิ อารมฺมณานิ อาปาถมาคจฺฉนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ
Mudukaṃ pana sukhasamphassaṃ mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā attharaṇapāpuraṇaṃ vā paribhuñjitvā aparabhāge yattha katthaci dukkhaseyyaṃ kappetvā ‘asukakāle me mudukaṃ mañcapīṭhaṃ attharaṇapāvuraṇaṃ paribhutta’nti āvajjamānassa taṃ phoṭṭhabbārammaṇaṃ kāyadvāre āpāthamāgataṃ viya hoti. Sukhasamphassaṃ vedayitakālo viya hoti. Evaṃ phuṭṭhavasena phoṭṭhabbārammaṇaṃ āpāthamāgacchati. Evaṃ suddhamanodvāre pasādaghaṭṭanakiccaṃ natthi. Pakatiyā diṭṭhasutaghāyitasāyitaphuṭṭhavaseneva etāni ārammaṇāni āpāthamāgacchantīti veditabbāni.
อิทานิ ปกติยา ทิฎฺฐาทีนํ วเสน อาปาถคมเน อยมปโรปิ อฎฺฐกถามุตฺตโก นโย โหติฯ ทิฎฺฐํ สุตํ อุภยสมฺพนฺธนฺติ อิเม ตาว ทิฎฺฐาทโย เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ‘ทิฎฺฐํ’ นาม ปญฺจทฺวารวเสน คหิตปุพฺพํฯ ‘สุต’นฺติ ปจฺจกฺขโต อทิสฺวา อนุสฺสววเสน คหิตา รูปาทโยวฯ เตหิ ทฺวีหิปิ สมฺพนฺธํ ‘อุภยสมฺพนฺธํ’ นามฯ อิติ อิเมสมฺปิ ทิฎฺฐาทีนํ วเสน เอตานิ มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ ตตฺถ ทิฎฺฐวเสน ตาว อาปาถคมนํ เหฎฺฐา ปญฺจหิ นเยหิ วุตฺตเมวฯ
Idāni pakatiyā diṭṭhādīnaṃ vasena āpāthagamane ayamaparopi aṭṭhakathāmuttako nayo hoti. Diṭṭhaṃ sutaṃ ubhayasambandhanti ime tāva diṭṭhādayo veditabbā. Tattha ‘diṭṭhaṃ’ nāma pañcadvāravasena gahitapubbaṃ. ‘Suta’nti paccakkhato adisvā anussavavasena gahitā rūpādayova. Tehi dvīhipi sambandhaṃ ‘ubhayasambandhaṃ’ nāma. Iti imesampi diṭṭhādīnaṃ vasena etāni manodvāre āpāthamāgacchantīti veditabbāni. Tattha diṭṭhavasena tāva āpāthagamanaṃ heṭṭhā pañcahi nayehi vuttameva.
เอกโจฺจ ปน สุณาติ – ‘ภควโต ปุญฺญาติสยนิพฺพตฺตํ เอวรูปํ นาม รูปํ, อติมธุโร สโทฺท, กิสฺมิญฺจิ ปเทเส เกสญฺจิ ปุปฺผานํ อติมนุโญฺญ คโนฺธ, เกสญฺจิ ผลานํ อติมธุโร รโส, เกสญฺจิ ปาวุรณาทีนํ อติสุโข สมฺผโสฺส’ติฯ ตสฺส, จกฺขุปสาทาทิฆฎฺฎนํ วินา, สุตมตฺตาเนว ตานิ มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉนฺติฯ อถสฺส ตํ จิตฺตํ ตสฺมิํ รูเป วา สเทฺท วา ปสาทวเสน คนฺธาทีสุ อริยานํ ทาตุกามตาวเสน อเญฺญหิ ทิเนฺนสุ อนุโมทนาวเสน วา ปวตฺตติฯ เอวํ สุตวเสน เอตานิ มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉนฺติฯ
Ekacco pana suṇāti – ‘bhagavato puññātisayanibbattaṃ evarūpaṃ nāma rūpaṃ, atimadhuro saddo, kismiñci padese kesañci pupphānaṃ atimanuñño gandho, kesañci phalānaṃ atimadhuro raso, kesañci pāvuraṇādīnaṃ atisukho samphasso’ti. Tassa, cakkhupasādādighaṭṭanaṃ vinā, sutamattāneva tāni manodvāre āpāthamāgacchanti. Athassa taṃ cittaṃ tasmiṃ rūpe vā sadde vā pasādavasena gandhādīsu ariyānaṃ dātukāmatāvasena aññehi dinnesu anumodanāvasena vā pavattati. Evaṃ sutavasena etāni manodvāre āpāthamāgacchanti.
อปเรน ปน ยถาวุตฺตานิ รูปาทีนิ ทิฎฺฐานิ วา สุตานิ วา โหนฺติฯ ตสฺส ‘อีทิสํ รูปํ อายติํ อุปฺปชฺชนกพุทฺธสฺสาปิ ภวิสฺสตี’ติอาทินา นเยน จกฺขุปสาทาทิฆฎฺฎนํ วินา ทิฎฺฐสุตสมฺพเนฺธเนว ตานิ มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉนฺติฯ อถสฺส เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เตสุ อญฺญตรารมฺมณํ อิทํ มหาจิตฺตํ ปวตฺตติฯ เอวํ อุภยสมฺพนฺธวเสน เอตานิ มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉนฺติฯ
Aparena pana yathāvuttāni rūpādīni diṭṭhāni vā sutāni vā honti. Tassa ‘īdisaṃ rūpaṃ āyatiṃ uppajjanakabuddhassāpi bhavissatī’tiādinā nayena cakkhupasādādighaṭṭanaṃ vinā diṭṭhasutasambandheneva tāni manodvāre āpāthamāgacchanti. Athassa heṭṭhā vuttanayeneva tesu aññatarārammaṇaṃ idaṃ mahācittaṃ pavattati. Evaṃ ubhayasambandhavasena etāni manodvāre āpāthamāgacchanti.
อิทมฺปิ จ มุขมตฺตเมวฯ สทฺธารุจิอาการปริวิตกฺกทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติอาทีนํ ปน วเสน วิตฺถารโต เอเตสํ มโนทฺวาเร อาปาถคมนํ เวทิตพฺพเมวฯ ยสฺมา ปน เอวํ อาปาถํ อาคจฺฉนฺตานิ ภูตานิปิ โหนฺติ อภูตานิปิ, ตสฺมา อยํ นโย อฎฺฐกถายํ น คหิโตฯ เอวํ เอเกการมฺมณํ ชวนํ ทฺวีสุ ทฺวีสุ ทฺวาเรสุ อุปฺปชฺชตีติ เวทิตพฺพํฯ รูปารมฺมณญฺหิ ชวนํ จกฺขุทฺวาเรปิ อุปฺปชฺชติ มโนทฺวาเรปิฯ สทฺทาทิอารมฺมเณสุปิ เอเสว นโยฯ
Idampi ca mukhamattameva. Saddhāruciākāraparivitakkadiṭṭhinijjhānakkhantiādīnaṃ pana vasena vitthārato etesaṃ manodvāre āpāthagamanaṃ veditabbameva. Yasmā pana evaṃ āpāthaṃ āgacchantāni bhūtānipi honti abhūtānipi, tasmā ayaṃ nayo aṭṭhakathāyaṃ na gahito. Evaṃ ekekārammaṇaṃ javanaṃ dvīsu dvīsu dvāresu uppajjatīti veditabbaṃ. Rūpārammaṇañhi javanaṃ cakkhudvārepi uppajjati manodvārepi. Saddādiārammaṇesupi eseva nayo.
ตตฺถ มโนทฺวาเร อุปฺปชฺชมานํ รูปารมฺมณํ ชวนํ ทานมยํ สีลมยํ ภาวนามยนฺติ ติวิธํ โหติ ฯ เตสุ เอเกกํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺมนฺติ ติวิธเมว โหติฯ สทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพธมฺมารมฺมเณสุปิ เอเสว นโยฯ
Tattha manodvāre uppajjamānaṃ rūpārammaṇaṃ javanaṃ dānamayaṃ sīlamayaṃ bhāvanāmayanti tividhaṃ hoti . Tesu ekekaṃ kāyakammaṃ vacīkammaṃ manokammanti tividhameva hoti. Saddagandharasaphoṭṭhabbadhammārammaṇesupi eseva nayo.
ตตฺถ รูปํ ตาว อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชมานํ เอตํ มหากุสลจิตฺตํ นีลปีตโลหิโตทาตวเณฺณสุ ปุปฺผวตฺถธาตูสุ อญฺญตรํ สุภนิมิตฺตสงฺขาตํ อิฎฺฐํ กนฺตํ มนาปํ รชนียํ วณฺณํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชติฯ นนุ เจตํ อิฎฺฐารมฺมณํ โลภสฺส วตฺถุ? กถํ เอตํ จิตฺตํ กุสลํ นาม ชาตนฺติ? นิยมิตวเสน ปริณามิตวเสน สมุทาจารวเสน อาภุชิตวเสนาติฯ ยสฺส หิ ‘กุสลเมว มยา กตฺตพฺพ’นฺติ กุสลกรเณ จิตฺตํ นิยมิตํ โหติ, อกุสลปฺปวตฺติโต นิวเตฺตตฺวา กุสลกรเณเยว ปริณามิตํ, อภิณฺหกรเณน กุสลสมุทาจาเรเนว สมุทาจริตํ, ปติรูปเทสวาสสปฺปุริสูปนิสฺสยสทฺธมฺมสวนปุเพฺพกตปุญฺญตาทีหิ จ อุปนิสฺสเยหิ โยนิโส จ อาโภโค ปวตฺตติ, ตสฺส อิมินา นิยมิตวเสน ปริณามิตวเสน สมุทาจารวเสน อาภุชิตวเสน จ กุสลํ นาม ชาตํ โหติฯ
Tattha rūpaṃ tāva ārammaṇaṃ katvā uppajjamānaṃ etaṃ mahākusalacittaṃ nīlapītalohitodātavaṇṇesu pupphavatthadhātūsu aññataraṃ subhanimittasaṅkhātaṃ iṭṭhaṃ kantaṃ manāpaṃ rajanīyaṃ vaṇṇaṃ ārammaṇaṃ katvā uppajjati. Nanu cetaṃ iṭṭhārammaṇaṃ lobhassa vatthu? Kathaṃ etaṃ cittaṃ kusalaṃ nāma jātanti? Niyamitavasena pariṇāmitavasena samudācāravasena ābhujitavasenāti. Yassa hi ‘kusalameva mayā kattabba’nti kusalakaraṇe cittaṃ niyamitaṃ hoti, akusalappavattito nivattetvā kusalakaraṇeyeva pariṇāmitaṃ, abhiṇhakaraṇena kusalasamudācāreneva samudācaritaṃ, patirūpadesavāsasappurisūpanissayasaddhammasavanapubbekatapuññatādīhi ca upanissayehi yoniso ca ābhogo pavattati, tassa iminā niyamitavasena pariṇāmitavasena samudācāravasena ābhujitavasena ca kusalaṃ nāma jātaṃ hoti.
อารมฺมณวเสน ปเนตฺถ โสมนสฺสสหคตภาโว เวทิตโพฺพฯ อิฎฺฐารมฺมณสฺมิญฺหิ อุปฺปนฺนตฺตา เอตํ โสมนสฺสสหคตํ ชาตํฯ สทฺธาพหุลตาทีนิเปตฺถ การณานิเยวฯ อสฺสทฺธานญฺหิ มิจฺฉาทิฎฺฐีนญฺจ เอกนฺตอิฎฺฐารมฺมณภูตํ ตถาคตรูปมฺปิ ทิสฺวา โสมนสฺสํ นุปฺปชฺชติฯ เย จ กุสลปฺปวตฺติยํ อานิสํสํ น ปสฺสนฺติ เตสํ ปเรหิ อุสฺสาหิตานํ กุสลํ กโรนฺตานมฺปิ โสมนสฺสํ นุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา สทฺธาพหุลตา วิสุทฺธทิฎฺฐิตา อานิสํสทสฺสาวิตาติฯ เอวเมฺปตฺถ โสมนสฺสสหคตภาโว เวทิตโพฺพฯ อปิจ เอกาทสธมฺมา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – พุทฺธานุสฺสติ ธมฺมานุสฺสติ สงฺฆานุสฺสติ สีลานุสฺสติ จาคานุสฺสติ เทวตานุสฺสติ อุปสมานุสฺสติ ลูขปุคฺคลปริวชฺชนตา สินิทฺธปุคฺคลเสวนตา ปสาทนียสุตฺตนฺตปจฺจเวกฺขณตา ตทธิมุตฺตตาติ ฯ อิเมหิปิ การเณเหตฺถ โสมนสฺสสหคตภาโว เวทิตโพฺพฯ อิเมสํ ปน วิตฺถาโร โพชฺฌงฺควิภเงฺค (วิภ. อฎฺฐ. ๓๖๗ โพชฺฌงฺคปพฺพวณฺณนา, ๔๖๘-๔๖๙) อาวิ ภวิสฺสติฯ
Ārammaṇavasena panettha somanassasahagatabhāvo veditabbo. Iṭṭhārammaṇasmiñhi uppannattā etaṃ somanassasahagataṃ jātaṃ. Saddhābahulatādīnipettha kāraṇāniyeva. Assaddhānañhi micchādiṭṭhīnañca ekantaiṭṭhārammaṇabhūtaṃ tathāgatarūpampi disvā somanassaṃ nuppajjati. Ye ca kusalappavattiyaṃ ānisaṃsaṃ na passanti tesaṃ parehi ussāhitānaṃ kusalaṃ karontānampi somanassaṃ nuppajjati. Tasmā saddhābahulatā visuddhadiṭṭhitā ānisaṃsadassāvitāti. Evampettha somanassasahagatabhāvo veditabbo. Apica ekādasadhammā pītisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – buddhānussati dhammānussati saṅghānussati sīlānussati cāgānussati devatānussati upasamānussati lūkhapuggalaparivajjanatā siniddhapuggalasevanatā pasādanīyasuttantapaccavekkhaṇatā tadadhimuttatāti . Imehipi kāraṇehettha somanassasahagatabhāvo veditabbo. Imesaṃ pana vitthāro bojjhaṅgavibhaṅge (vibha. aṭṭha. 367 bojjhaṅgapabbavaṇṇanā, 468-469) āvi bhavissati.
กมฺมโต, อุปปตฺติโต, อินฺทฺริยปริปากโต, กิเลสทูรีภาวโตติ อิเมหิ ปเนตฺถ การเณหิ ญาณสมฺปยุตฺตตา เวทิตพฺพาฯ โย หิ ปเรสํ ธมฺมํ เทเสติ อนวชฺชานิ สิปฺปายตนกมฺมายตนวิชฺชาฎฺฐานานิ สิกฺขาเปติ ธมฺมกถิกํ สกฺการํ กตฺวา ธมฺมํ กถาเปติ, ‘อายติํ ปญฺญวา ภวิสฺสามี’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปตฺวา นานปฺปการํ ทานํ เทติ, ตสฺส เอวรูปํ กมฺมํ อุปนิสฺสาย กุสลํ อุปฺปชฺชมานํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อพฺยาปเชฺช โลเก อุปฺปนฺนสฺส วาปิ ‘‘ตสฺส ตตฺถ สุขิโน ธมฺมปทา ปิลวนฺติ… ทโนฺธ, ภิกฺขเว, สตุปฺปาโท, อถ โส สโตฺต ขิปฺปํเยว วิเสสคามี โหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๙๑) อิมินา นเยน อุปปตฺติํ นิสฺสายปิ อุปฺปชฺชมานํ กุสลํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ ตถา อินฺทฺริยปริปากํ อุปคตานํ ปญฺญาทสกปฺปตฺตานํ อินฺทฺริยปริปากํ นิสฺสายปิ กุสลํ อุปฺปชฺชมานํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ เยหิ ปน กิเลสา วิกฺขมฺภิตา เตสํ กิเลสทูรีภาวํ นิสฺสายปิ อุปฺปชฺชมานํ กุสลํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Kammato, upapattito, indriyaparipākato, kilesadūrībhāvatoti imehi panettha kāraṇehi ñāṇasampayuttatā veditabbā. Yo hi paresaṃ dhammaṃ deseti anavajjāni sippāyatanakammāyatanavijjāṭṭhānāni sikkhāpeti dhammakathikaṃ sakkāraṃ katvā dhammaṃ kathāpeti, ‘āyatiṃ paññavā bhavissāmī’ti patthanaṃ paṭṭhapetvā nānappakāraṃ dānaṃ deti, tassa evarūpaṃ kammaṃ upanissāya kusalaṃ uppajjamānaṃ ñāṇasampayuttaṃ uppajjati. Abyāpajje loke uppannassa vāpi ‘‘tassa tattha sukhino dhammapadā pilavanti… dandho, bhikkhave, satuppādo, atha so satto khippaṃyeva visesagāmī hotī’’ti (a. ni. 4.191) iminā nayena upapattiṃ nissāyapi uppajjamānaṃ kusalaṃ ñāṇasampayuttaṃ uppajjati. Tathā indriyaparipākaṃ upagatānaṃ paññādasakappattānaṃ indriyaparipākaṃ nissāyapi kusalaṃ uppajjamānaṃ ñāṇasampayuttaṃ uppajjati. Yehi pana kilesā vikkhambhitā tesaṃ kilesadūrībhāvaṃ nissāyapi uppajjamānaṃ kusalaṃ ñāṇasampayuttaṃ uppajjati. Vuttampi cetaṃ –
‘‘โยคา เว ชายตี ภูริ, อโยคา ภูริสงฺขโย’’ติ (ธ. ป. ๒๘๒)ฯ
‘‘Yogā ve jāyatī bhūri, ayogā bhūrisaṅkhayo’’ti (dha. pa. 282).
เอวํ กมฺมโต อุปปตฺติโต อินฺทฺริยปริปากโต กิเลสทูรีภาวโตติ อิเมหิ การเณหิ ญาณสมฺปยุตฺตตา เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ kammato upapattito indriyaparipākato kilesadūrībhāvatoti imehi kāraṇehi ñāṇasampayuttatā veditabbā.
อปิจ สตฺต ธมฺมา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – ปริปุจฺฉกตา, วตฺถุวิสทกิริยา, อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนา, ทุปฺปญฺญปุคฺคลปริวชฺชนา, ปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนา, คมฺภีรญาณจริยปจฺจเวกฺขณา, ตทธิมุตฺตตาติฯ อิเมหิปิ การเณหิ ญาณสมฺปยุตฺตตา เวทิตพฺพาฯ อิเมสํ ปน วิตฺถาโร โพชฺฌงฺควิภเงฺค (วิภ. อฎฺฐ. ๓๖๗ โพชฺฌงฺคปพฺพวณฺณนา) อาวิ ภวิสฺสติฯ
Apica satta dhammā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – paripucchakatā, vatthuvisadakiriyā, indriyasamattapaṭipādanā, duppaññapuggalaparivajjanā, paññavantapuggalasevanā, gambhīrañāṇacariyapaccavekkhaṇā, tadadhimuttatāti. Imehipi kāraṇehi ñāṇasampayuttatā veditabbā. Imesaṃ pana vitthāro bojjhaṅgavibhaṅge (vibha. aṭṭha. 367 bojjhaṅgapabbavaṇṇanā) āvi bhavissati.
เอวํ ญาณสมฺปยุตฺตํ หุตฺวา อุปฺปนฺนเญฺจตํ อสงฺขาเรน อปฺปโยเคน อนุปายจินฺตนาย อุปฺปนฺนตฺตา อสงฺขารํ นาม ชาตํฯ ตยิทํ รชนียวณฺณารมฺมณํ หุตฺวา อุปฺปชฺชมานเมว ติวิเธน นิยเมน อุปฺปชฺชติ – ทานมยํ วา โหติ, สีลมยํ วา, ภาวนามยํ วาฯ
Evaṃ ñāṇasampayuttaṃ hutvā uppannañcetaṃ asaṅkhārena appayogena anupāyacintanāya uppannattā asaṅkhāraṃ nāma jātaṃ. Tayidaṃ rajanīyavaṇṇārammaṇaṃ hutvā uppajjamānameva tividhena niyamena uppajjati – dānamayaṃ vā hoti, sīlamayaṃ vā, bhāvanāmayaṃ vā.
กถํ? ยทา หิ นีลปีตโลหิโตทาเตสุ ปุปฺผาทีสุ อญฺญตรํ ลภิตฺวา วณฺณวเสน อาภุชิตฺวา ‘วณฺณทานํ มยฺห’นฺติ พุทฺธรตนาทีนิ ปูเชติ, ตทา ทานมยํ โหติฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – ภณฺฑาคาริกสงฺฆมิโตฺต กิร เอกํ สุวณฺณขจิตํ วตฺถํ ลภิตฺวา อิทมฺปิ วตฺถํ สุวณฺณวณฺณํ, สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ สุวณฺณวโณฺณ, สุวณฺณวณฺณํ วตฺถํ สุวณฺณวณฺณเสฺสว อนุจฺฉวิกํ, อมฺหากญฺจ วณฺณทานํ ภวิสฺสตีติ มหาเจติเย อาโรเปสิฯ เอวรูเป กาเล ทานมยํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ ยทา ปน ตถารูปเมว เทยฺยธมฺมํ ลภิตฺวา ‘มยฺหํ กุลวํโส, กุลตนฺติ กุลปฺปเวณี เอสา, กุลวตฺตํ เอต’นฺติ พุทฺธรตนาทีนิ ปูเชติ ตทา สีลมยํ โหติฯ ยทา ปน ตาทิเสเนว วตฺถุนา รตนตฺตยสฺส ปูชํ กตฺวา ‘อยํ วโณฺณ ขยํ คจฺฉิสฺสติ, วยํ คจฺฉิสฺสตี’ติ ขยวยํ ปฎฺฐเปติ, ตทา ภาวนามยํ โหติฯ
Kathaṃ? Yadā hi nīlapītalohitodātesu pupphādīsu aññataraṃ labhitvā vaṇṇavasena ābhujitvā ‘vaṇṇadānaṃ mayha’nti buddharatanādīni pūjeti, tadā dānamayaṃ hoti. Tatridaṃ vatthu – bhaṇḍāgārikasaṅghamitto kira ekaṃ suvaṇṇakhacitaṃ vatthaṃ labhitvā idampi vatthaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ, sammāsambuddhopi suvaṇṇavaṇṇo, suvaṇṇavaṇṇaṃ vatthaṃ suvaṇṇavaṇṇasseva anucchavikaṃ, amhākañca vaṇṇadānaṃ bhavissatīti mahācetiye āropesi. Evarūpe kāle dānamayaṃ hotīti veditabbaṃ. Yadā pana tathārūpameva deyyadhammaṃ labhitvā ‘mayhaṃ kulavaṃso, kulatanti kulappaveṇī esā, kulavattaṃ eta’nti buddharatanādīni pūjeti tadā sīlamayaṃ hoti. Yadā pana tādiseneva vatthunā ratanattayassa pūjaṃ katvā ‘ayaṃ vaṇṇo khayaṃ gacchissati, vayaṃ gacchissatī’ti khayavayaṃ paṭṭhapeti, tadā bhāvanāmayaṃ hoti.
ทานมยํ ปน หุตฺวา วตฺตมานมฺปิ ยทา ตีณิ รตนานิ สหเตฺถน ปูเชนฺตสฺส ปวตฺตตฺติ, ตทา กายกมฺมํ โหติฯ ยทา ตีณิ รตนานิ ปูเชโนฺต ปุตฺตทารทาสกมฺมกรโปริสาทโยปิ อาณาเปตฺวา ปูชาเปติ ตทา วจีกมฺมํ โหติฯ ยทา ตเทว วุตฺตปฺปการํ วิชฺชมานกวตฺถุํ อารพฺภ วณฺณทานํ ทสฺสามีติ จิเนฺตติ ตทา มโนกมฺมํ โหติฯ วินยปริยายํ ปตฺวา หิ ‘ทสฺสามิ กริสฺสามี’ติ วาจา ภินฺนา โหตีติ (ปารา. ๖๕๙) อิมินา ลกฺขเณน ทานํ นาม โหติฯ อภิธมฺมปริยายํ ปตฺวา ปน วิชฺชมานกวตฺถุํ อารพฺภ ‘ทสฺสามี’ติ มนสา จินฺติตกาลโต ปฎฺฐาย กุสลํ โหติฯ อปรภาเค กาเยน วา วาจาย วา กตฺตพฺพํ กริสฺสตีติ วุตฺตํฯ เอวํ ทานมยํ กายวจีมโนกมฺมวเสเนว ติวิธํ โหติฯ
Dānamayaṃ pana hutvā vattamānampi yadā tīṇi ratanāni sahatthena pūjentassa pavattatti, tadā kāyakammaṃ hoti. Yadā tīṇi ratanāni pūjento puttadāradāsakammakaraporisādayopi āṇāpetvā pūjāpeti tadā vacīkammaṃ hoti. Yadā tadeva vuttappakāraṃ vijjamānakavatthuṃ ārabbha vaṇṇadānaṃ dassāmīti cinteti tadā manokammaṃ hoti. Vinayapariyāyaṃ patvā hi ‘dassāmi karissāmī’ti vācā bhinnā hotīti (pārā. 659) iminā lakkhaṇena dānaṃ nāma hoti. Abhidhammapariyāyaṃ patvā pana vijjamānakavatthuṃ ārabbha ‘dassāmī’ti manasā cintitakālato paṭṭhāya kusalaṃ hoti. Aparabhāge kāyena vā vācāya vā kattabbaṃ karissatīti vuttaṃ. Evaṃ dānamayaṃ kāyavacīmanokammavaseneva tividhaṃ hoti.
ยทา ปน ตํ วุตฺตปฺปการํ วตฺถุํ ลภิตฺวา กุลวํสาทิวเสน สหตฺถา รตนตฺตยํ ปูเชติ ตทา สีลมยํ กายกมฺมํ โหติฯ ยทา กุลวํสาทิวเสเนว ปุตฺตทาราทโย อาณาเปตฺวา ปูชาเปติ ตทา วจีกมฺมํ โหติฯ ยทา ‘มยฺหํ กุลวํโส, กุลตนฺติ กุลปฺปเวณี เอสา, กุลวตฺตเมต’นฺติ วิชฺชมานกวตฺถุํ อารพฺภ ‘วณฺณทานํ ทสฺสามี’ติ จิเนฺตติ ตทา มโนกมฺมํ โหติฯ เอวํ สีลมยํ กายวจีมโนกมฺมวเสน ติวิธํ โหติฯ
Yadā pana taṃ vuttappakāraṃ vatthuṃ labhitvā kulavaṃsādivasena sahatthā ratanattayaṃ pūjeti tadā sīlamayaṃ kāyakammaṃ hoti. Yadā kulavaṃsādivaseneva puttadārādayo āṇāpetvā pūjāpeti tadā vacīkammaṃ hoti. Yadā ‘mayhaṃ kulavaṃso, kulatanti kulappaveṇī esā, kulavattameta’nti vijjamānakavatthuṃ ārabbha ‘vaṇṇadānaṃ dassāmī’ti cinteti tadā manokammaṃ hoti. Evaṃ sīlamayaṃ kāyavacīmanokammavasena tividhaṃ hoti.
ยทา ปน ตํ วุตฺตปฺปการํ วตฺถุํ ลภิตฺวา ตีณิ รตนานิ ปูเชตฺวา จงฺกมโนฺต ขยวยํ ปฎฺฐเปติ ตทา ภาวนามยํ กายกมฺมํ โหติฯ วาจาย สมฺมสนํ ปฎฺฐเปนฺตสฺส วจีกมฺมํ โหติ, กายงฺควาจงฺคานิ อโจเปตฺวา มนสาว สมฺมสนํ ปฎฺฐเปนฺตสฺส มโนกมฺมํ โหติฯ เอวํ ภาวนามยํ กายวจีมโนกมฺมวเสน ติวิธํ โหติฯ เอวเมตํ รูปารมฺมณํ กุสลํ ติวิธปุญฺญกิริยวตฺถุวเสน นวหิ กมฺมทฺวาเรหิ ภาเชตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ สทฺทารมฺมณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Yadā pana taṃ vuttappakāraṃ vatthuṃ labhitvā tīṇi ratanāni pūjetvā caṅkamanto khayavayaṃ paṭṭhapeti tadā bhāvanāmayaṃ kāyakammaṃ hoti. Vācāya sammasanaṃ paṭṭhapentassa vacīkammaṃ hoti, kāyaṅgavācaṅgāni acopetvā manasāva sammasanaṃ paṭṭhapentassa manokammaṃ hoti. Evaṃ bhāvanāmayaṃ kāyavacīmanokammavasena tividhaṃ hoti. Evametaṃ rūpārammaṇaṃ kusalaṃ tividhapuññakiriyavatthuvasena navahi kammadvārehi bhājetvā dassesi dhammarājā. Saddārammaṇādīsupi eseva nayo.
เภริสทฺทาทีสุ หิ รชนียสทฺทํ อารมฺมณํ กตฺวา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ตีหิ นิยเมเหตํ กุสลํ อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถ สทฺทํ กนฺทมูลํ วิย อุปฺปาเฎตฺวา นีลุปฺปลหตฺถกํ วิย จ หเตฺถ ฐเปตฺวา ทาตุํ นาม น สกฺกา, สวตฺถุกํ ปน กตฺวา เทโนฺต สทฺททานํ เทติ นามฯ ตสฺมา ยทา ‘สทฺททานํ ทสฺสามี’ติ เภริมุทิงฺคาทีสุ อญฺญตรตูริเยน ติณฺณํ รตนานํ อุปหารํ กโรติ, ‘สทฺททานํ เม’ติ เภริอาทีนิ ฐปาเปติ, ธมฺมกถิกภิกฺขูนํ สรเภสชฺชเตลผาณิตาทีนิ เทติ, ธมฺมสวนํ โฆเสติ, สรภญฺญํ ภณติ, ธมฺมกถํ กเถติ, อุปนิสินฺนกกถํ อนุโมทนกถํ กโรติ, ตทา ทานมยํเยว โหติฯ ยทา เอตเทว วิธานํ กุลวํสาทิวเสน วตฺตวเสน กโรติ ตทา สีลมยํ โหติฯ ยทา สพฺพเมฺปตํ กตฺวา อยํ เอตฺตโก สโทฺท พฺรหฺมโลกปฺปมาโณปิ หุตฺวา ‘ขยํ คมิสฺสติ, วยํ คมิสฺสตี’ติ สมฺมสนํ ปฎฺฐเปติ ตทา ภาวนามยํ โหติฯ
Bherisaddādīsu hi rajanīyasaddaṃ ārammaṇaṃ katvā heṭṭhā vuttanayeneva tīhi niyamehetaṃ kusalaṃ uppajjati. Tattha saddaṃ kandamūlaṃ viya uppāṭetvā nīluppalahatthakaṃ viya ca hatthe ṭhapetvā dātuṃ nāma na sakkā, savatthukaṃ pana katvā dento saddadānaṃ deti nāma. Tasmā yadā ‘saddadānaṃ dassāmī’ti bherimudiṅgādīsu aññataratūriyena tiṇṇaṃ ratanānaṃ upahāraṃ karoti, ‘saddadānaṃ me’ti bheriādīni ṭhapāpeti, dhammakathikabhikkhūnaṃ sarabhesajjatelaphāṇitādīni deti, dhammasavanaṃ ghoseti, sarabhaññaṃ bhaṇati, dhammakathaṃ katheti, upanisinnakakathaṃ anumodanakathaṃ karoti, tadā dānamayaṃyeva hoti. Yadā etadeva vidhānaṃ kulavaṃsādivasena vattavasena karoti tadā sīlamayaṃ hoti. Yadā sabbampetaṃ katvā ayaṃ ettako saddo brahmalokappamāṇopi hutvā ‘khayaṃ gamissati, vayaṃ gamissatī’ti sammasanaṃ paṭṭhapeti tadā bhāvanāmayaṃ hoti.
ตตฺถ ทานมยํ ตาว ยทา เภริอาทีนิ คเหตฺวา สหตฺถา อุปหารํ กโรติ, นิจฺจุปหารตฺถาย ฐเปโนฺตปิ สหตฺถา ฐเปติ, ‘สทฺททานํ เม’ติ ธมฺมสวนํ โฆเสตุํ คจฺฉติ, ธมฺมกถํ สรภญฺญํ กาตุํ วา คจฺฉติ, ตทา กายกมฺมํ โหติฯ ยทา ‘คจฺฉถ, ตาตา, อมฺหากํ สทฺททานํ ติณฺณํ รตนานํ อุปหารํ กโรถา’ติ อาณาเปติ, ‘สทฺททานํ เม’ติ เจติยงฺคเณสุ ‘อิมํ เภริํ, อิมํ มุทิงฺคํ ฐเปถา’ติ อาณาเปติ, สยเมว ธมฺมสวนํ โฆเสติ, ธมฺมกถํ กเถติ, สรภญฺญํ ภณติ, ตทา วจีกมฺมํ โหติฯ ยทา กายงฺควาจงฺคานิ อโจเปตฺวา ‘สทฺททานํ ทสฺสามี’ติ วิชฺชมานกวตฺถุํ มนสา ปริจฺจชติ, ตทา มโนกมฺมํ โหติฯ
Tattha dānamayaṃ tāva yadā bheriādīni gahetvā sahatthā upahāraṃ karoti, niccupahāratthāya ṭhapentopi sahatthā ṭhapeti, ‘saddadānaṃ me’ti dhammasavanaṃ ghosetuṃ gacchati, dhammakathaṃ sarabhaññaṃ kātuṃ vā gacchati, tadā kāyakammaṃ hoti. Yadā ‘gacchatha, tātā, amhākaṃ saddadānaṃ tiṇṇaṃ ratanānaṃ upahāraṃ karothā’ti āṇāpeti, ‘saddadānaṃ me’ti cetiyaṅgaṇesu ‘imaṃ bheriṃ, imaṃ mudiṅgaṃ ṭhapethā’ti āṇāpeti, sayameva dhammasavanaṃ ghoseti, dhammakathaṃ katheti, sarabhaññaṃ bhaṇati, tadā vacīkammaṃ hoti. Yadā kāyaṅgavācaṅgāni acopetvā ‘saddadānaṃ dassāmī’ti vijjamānakavatthuṃ manasā pariccajati, tadā manokammaṃ hoti.
สีลมยมฺปิ ‘สทฺททานํ นาม มยฺหํ กุลวํโส กุลตนฺติ กุลปฺปเวณี’ติ เภริอาทีหิ สหตฺถา อุปหารํ กโรนฺตสฺส, เภริอาทีนิ สหตฺถา เจติยงฺคณาทีสุ ฐเปนฺตสฺส, ธมฺมกถิกานํ สรเภสชฺชํ สหตฺถา ททนฺตสฺส, วตฺตสีเสน ธมฺมสวนโฆสนธมฺมกถากถนสรภญฺญภณนตฺถาย จ คจฺฉนฺตสฺส กายกมฺมํ โหติฯ ‘สทฺททานํ นาม อมฺหากํ กุลวํโส กุลตนฺติ กุลปฺปเวณี, คจฺฉถ , ตาตา, พุทฺธรตนาทีนํ อุปหารํ กโรถา’ติ อาณาเปนฺตสฺส กุลวํสวเสเนว อตฺตนา ธมฺมกถํ วา สรภญฺญํ วา กโรนฺตสฺส จ วจีกมฺมํ โหติฯ ‘สทฺททานํ นาม มยฺหํ กุลวํโส สทฺททานํ ทสฺสามี’ติ กายงฺควาจงฺคานิ อโจเปตฺวา มนสาว วิชฺชมานกวตฺถุํ ปริจฺจชนฺตสฺส มโนกมฺมํ โหติฯ
Sīlamayampi ‘saddadānaṃ nāma mayhaṃ kulavaṃso kulatanti kulappaveṇī’ti bheriādīhi sahatthā upahāraṃ karontassa, bheriādīni sahatthā cetiyaṅgaṇādīsu ṭhapentassa, dhammakathikānaṃ sarabhesajjaṃ sahatthā dadantassa, vattasīsena dhammasavanaghosanadhammakathākathanasarabhaññabhaṇanatthāya ca gacchantassa kāyakammaṃ hoti. ‘Saddadānaṃ nāma amhākaṃ kulavaṃso kulatanti kulappaveṇī, gacchatha , tātā, buddharatanādīnaṃ upahāraṃ karothā’ti āṇāpentassa kulavaṃsavaseneva attanā dhammakathaṃ vā sarabhaññaṃ vā karontassa ca vacīkammaṃ hoti. ‘Saddadānaṃ nāma mayhaṃ kulavaṃso saddadānaṃ dassāmī’ti kāyaṅgavācaṅgāni acopetvā manasāva vijjamānakavatthuṃ pariccajantassa manokammaṃ hoti.
ภาวนามยมฺปิ ยทา จงฺกมโนฺต สเทฺท ขยวยํ ปฎฺฐเปติ ตทา กายกมฺมํ โหติฯ กายงฺคํ ปน อโจเปตฺวา วาจาย สมฺมสนฺตสฺส วจีกมฺมํ โหติฯ กายงฺควาจงฺคํ อโจเปตฺวา มนสาว สทฺทายตนํ สมฺมสนฺตสฺส มโนกมฺมํ โหติฯ เอวํ สทฺทารมฺมณมฺปิ กุสลํ ติวิธปุญฺญกิริยวตฺถุวเสน นวหิ กมฺมทฺวาเรหิ ภาเชตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ
Bhāvanāmayampi yadā caṅkamanto sadde khayavayaṃ paṭṭhapeti tadā kāyakammaṃ hoti. Kāyaṅgaṃ pana acopetvā vācāya sammasantassa vacīkammaṃ hoti. Kāyaṅgavācaṅgaṃ acopetvā manasāva saddāyatanaṃ sammasantassa manokammaṃ hoti. Evaṃ saddārammaṇampi kusalaṃ tividhapuññakiriyavatthuvasena navahi kammadvārehi bhājetvā dassesi dhammarājā.
มูลคนฺธาทีสุปิ รชนียคนฺธํ อารมฺมณํ กตฺวา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ตีหิ นิยเมเหตํ กุสลํ อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถ ยทา มูลคนฺธาทีสุ ยํกิญฺจิ คนฺธํ ลภิตฺวา คนฺธวเสน อาภุชิตฺวา ‘คนฺธทานํ มยฺห’นฺติ พุทฺธรตนาทีนิ ปูเชติ, ตทา ทานมยํ โหตีติ สพฺพํ วณฺณทาเน วุตฺตนเยเนว วิตฺถารโต เวทิตพฺพํฯ เอวํ คนฺธารมฺมณมฺปิ กุสลํ ติวิธปุญฺญกิริยวตฺถุวเสน นวหิ กมฺมทฺวาเรหิ ภาเชตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ
Mūlagandhādīsupi rajanīyagandhaṃ ārammaṇaṃ katvā heṭṭhā vuttanayeneva tīhi niyamehetaṃ kusalaṃ uppajjati. Tattha yadā mūlagandhādīsu yaṃkiñci gandhaṃ labhitvā gandhavasena ābhujitvā ‘gandhadānaṃ mayha’nti buddharatanādīni pūjeti, tadā dānamayaṃ hotīti sabbaṃ vaṇṇadāne vuttanayeneva vitthārato veditabbaṃ. Evaṃ gandhārammaṇampi kusalaṃ tividhapuññakiriyavatthuvasena navahi kammadvārehi bhājetvā dassesi dhammarājā.
มูลรสาทีสุ ปน รชนียรสํ อารมฺมณํ กตฺวา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ตีหิ นิยเมเหตํ กุสลํ อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถ ยทา มูลรสาทีสุ ยํกิญฺจิ รชนียํ รสวตฺถุํ ลภิตฺวา รสวเสน อาภุชิตฺวา ‘รสทานํ มยฺห’นฺติ เทติ ปริจฺจชติ, ตทา ทานมยํ โหตีติ สพฺพํ วณฺณทาเน วุตฺตนเยเนว วิตฺถารโต เวทิตพฺพํฯ สีลมเย ปเนตฺถ ‘สงฺฆสฺส อทตฺวา ปริภุญฺชนํ นาม อมฺหากํ น อาจิณฺณ’นฺติ ทฺวาทสนฺนํ ภิกฺขุสหสฺสานํ ทาเปตฺวา สาทุรสํ ปริภุตฺตสฺส ทุฎฺฐคามณิอภยรโญฺญ วตฺถุํ อาทิํ กตฺวา มหาอฎฺฐกถายํ วตฺถูนิ อาคตานิฯ อยเมว วิเสโสฯ เอวํ รสารมฺมณมฺปิ กุสลํ ติวิธปุญฺญกิริยวตฺถุวเสน นวหิ กมฺมทฺวาเรหิ ภาเชตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ
Mūlarasādīsu pana rajanīyarasaṃ ārammaṇaṃ katvā heṭṭhā vuttanayeneva tīhi niyamehetaṃ kusalaṃ uppajjati. Tattha yadā mūlarasādīsu yaṃkiñci rajanīyaṃ rasavatthuṃ labhitvā rasavasena ābhujitvā ‘rasadānaṃ mayha’nti deti pariccajati, tadā dānamayaṃ hotīti sabbaṃ vaṇṇadāne vuttanayeneva vitthārato veditabbaṃ. Sīlamaye panettha ‘saṅghassa adatvā paribhuñjanaṃ nāma amhākaṃ na āciṇṇa’nti dvādasannaṃ bhikkhusahassānaṃ dāpetvā sādurasaṃ paribhuttassa duṭṭhagāmaṇiabhayarañño vatthuṃ ādiṃ katvā mahāaṭṭhakathāyaṃ vatthūni āgatāni. Ayameva viseso. Evaṃ rasārammaṇampi kusalaṃ tividhapuññakiriyavatthuvasena navahi kammadvārehi bhājetvā dassesi dhammarājā.
โผฎฺฐพฺพารมฺมเณปิ ปถวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ ตีณิ มหาภูตานิ โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ นามฯ อิมสฺมิํ ฐาเน เอเตสํ วเสน โยชนํ อกตฺวา มญฺจปีฐาทิวเสน กาตพฺพาฯ ยทา หิ มญฺจปีฐาทีสุ ยํกิญฺจิ รชนียํ โผฎฺฐพฺพวตฺถุํ ลภิตฺวา โผฎฺฐพฺพวเสน อาภุชิตฺวา ‘โผฎฺฐพฺพทานํ มยฺห’นฺติ เทติ ปริจฺจชติ, ตทา ทานมยํ โหตีติ สพฺพํ วณฺณทาเน วุตฺตนเยเนว วิตฺถารโต เวทิตพฺพํฯ เอวํ โผฎฺฐพฺพารมฺมณมฺปิ กุสลํ ติวิธปุญฺญกิริยวตฺถุวเสน นวหิ กมฺมทฺวาเรหิ ภาเชตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ
Phoṭṭhabbārammaṇepi pathavīdhātu tejodhātu vāyodhātūti tīṇi mahābhūtāni phoṭṭhabbārammaṇaṃ nāma. Imasmiṃ ṭhāne etesaṃ vasena yojanaṃ akatvā mañcapīṭhādivasena kātabbā. Yadā hi mañcapīṭhādīsu yaṃkiñci rajanīyaṃ phoṭṭhabbavatthuṃ labhitvā phoṭṭhabbavasena ābhujitvā ‘phoṭṭhabbadānaṃ mayha’nti deti pariccajati, tadā dānamayaṃ hotīti sabbaṃ vaṇṇadāne vuttanayeneva vitthārato veditabbaṃ. Evaṃ phoṭṭhabbārammaṇampi kusalaṃ tividhapuññakiriyavatthuvasena navahi kammadvārehi bhājetvā dassesi dhammarājā.
ธมฺมารมฺมเณ ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ, ตีณิ ลกฺขณานิ, ตโย อรูปิโน ขนฺธา, ปนฺนรส สุขุมรูปานิ, นิพฺพานปญฺญตฺตีติ อิเม ธมฺมายตเน ปริยาปนฺนา จ, อปริยาปนฺนา จ, ธมฺมา ธมฺมารมฺมณํ นามฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน เอเตสํ วเสน โยชนํ อกตฺวา โอชทานปานทานชีวิตทานวเสน กาตพฺพาฯ โอชาทีสุ หิ รชนียํ ธมฺมารมฺมณํ อารมฺมณํ กตฺวา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ตีหิ นิยเมเหตํ กุสลํ อุปฺปชฺชติฯ
Dhammārammaṇe cha ajjhattikāni āyatanāni, tīṇi lakkhaṇāni, tayo arūpino khandhā, pannarasa sukhumarūpāni, nibbānapaññattīti ime dhammāyatane pariyāpannā ca, apariyāpannā ca, dhammā dhammārammaṇaṃ nāma. Imasmiṃ pana ṭhāne etesaṃ vasena yojanaṃ akatvā ojadānapānadānajīvitadānavasena kātabbā. Ojādīsu hi rajanīyaṃ dhammārammaṇaṃ ārammaṇaṃ katvā heṭṭhā vuttanayeneva tīhi niyamehetaṃ kusalaṃ uppajjati.
ตตฺถ ยทา ‘โอชทานํ มยฺห’นฺติ สปฺปินวนีตาทีนิ เทติ, ปานทานนฺติ อฎฺฐ ปานานิ เทติ, ชีวิตทานนฺติ สลากภตฺตสงฺฆภตฺตาทีนิ เทติ, อผาสุกานํ ภิกฺขูนํ เภสชฺชํ เทติ, เวชฺชํ ปจฺจุปฎฺฐาเปติ, ชาลํ ผาลาเปติ, กุมีนํ วิทฺธํสาเปติ, สกุณปญฺชรํ วิทฺธํสาเปติ, พนฺธนโมกฺขํ การาเปติ, มาฆาตเภริํ จราเปติ, อญฺญานิปิ ชีวิตปริตฺตาณตฺถํ เอวรูปานิ กมฺมานิ กโรติ ตทา ทานมยํ โหติฯ ยทา ปน ‘โอชทานปานทานชีวิตทานานิ มยฺหํ กุลวํโส กุลตนฺติ กุลปฺปเวณี’ติ วตฺตสีเสน โอชทานาทีนิ ปวเตฺตติ ตทา สีลมยํ โหติฯ ยทา ธมฺมารมฺมณสฺมิํ ขยวยํ ปฎฺฐเปติ ตทา ภาวนามยํ โหติฯ
Tattha yadā ‘ojadānaṃ mayha’nti sappinavanītādīni deti, pānadānanti aṭṭha pānāni deti, jīvitadānanti salākabhattasaṅghabhattādīni deti, aphāsukānaṃ bhikkhūnaṃ bhesajjaṃ deti, vejjaṃ paccupaṭṭhāpeti, jālaṃ phālāpeti, kumīnaṃ viddhaṃsāpeti, sakuṇapañjaraṃ viddhaṃsāpeti, bandhanamokkhaṃ kārāpeti, māghātabheriṃ carāpeti, aññānipi jīvitaparittāṇatthaṃ evarūpāni kammāni karoti tadā dānamayaṃ hoti. Yadā pana ‘ojadānapānadānajīvitadānāni mayhaṃ kulavaṃso kulatanti kulappaveṇī’ti vattasīsena ojadānādīni pavatteti tadā sīlamayaṃ hoti. Yadā dhammārammaṇasmiṃ khayavayaṃ paṭṭhapeti tadā bhāvanāmayaṃ hoti.
ทานมยํ ปน หุตฺวา ปวตฺตมานมฺปิ ยทา โอชทานปานทานชีวิตทานานิ สหตฺถา เทติ, ตทา กายกมฺมํ โหติฯ ยทา ปุตฺตทาราทโย อาณาเปตฺวา ทาเปติ, ตทา วจีกมฺมํ โหติฯ ยทา กายงฺควาจงฺคานิ อโจเปตฺวา โอชทานปานทานชีวิตทานวเสน วิชฺชมานกวตฺถุํ ‘ทสฺสามี’ติ มนสา จิเนฺตติ, ตทา มโนกมฺมํ โหติฯ
Dānamayaṃ pana hutvā pavattamānampi yadā ojadānapānadānajīvitadānāni sahatthā deti, tadā kāyakammaṃ hoti. Yadā puttadārādayo āṇāpetvā dāpeti, tadā vacīkammaṃ hoti. Yadā kāyaṅgavācaṅgāni acopetvā ojadānapānadānajīvitadānavasena vijjamānakavatthuṃ ‘dassāmī’ti manasā cinteti, tadā manokammaṃ hoti.
ยทา ปน วุตฺตปฺปการํ วิชฺชมานกวตฺถุํ กุลวํสาทิวเสน สหตฺถา เทติ, ตทา สีลมยํ กายกมฺมํ โหติฯ ยทา กุลวํสาทิวเสเนว ปุตฺตทาราทโย อาณาเปตฺวา ทาเปติ, ตทา วจีกมฺมํ โหติฯ ยทา กุลวํสาทิวเสเนว วุตฺตปฺปการํ วิชฺชมานกวตฺถุํ ‘ทสฺสามี’ติ มนสาว จิเนฺตติ, ตทา มโนกมฺมํ โหติฯ
Yadā pana vuttappakāraṃ vijjamānakavatthuṃ kulavaṃsādivasena sahatthā deti, tadā sīlamayaṃ kāyakammaṃ hoti. Yadā kulavaṃsādivaseneva puttadārādayo āṇāpetvā dāpeti, tadā vacīkammaṃ hoti. Yadā kulavaṃsādivaseneva vuttappakāraṃ vijjamānakavatthuṃ ‘dassāmī’ti manasāva cinteti, tadā manokammaṃ hoti.
จงฺกมิตฺวา ธมฺมารมฺมเณ ขยวยํ ปฎฺฐเปนฺตสฺส ปน ภาวนามยํ กายกมฺมํ โหติฯ กายงฺคํ อโจเปตฺวา วาจาย ขยวยํ ปฎฺฐเปนฺตสฺส วจีกมฺมํ โหติฯ กายงฺควาจงฺคานิ อโจเปตฺวา มนสาว ธมฺมารมฺมเณ ขยวยํ ปฎฺฐเปนฺตสฺส มโนกมฺมํ โหติฯ เอวํ ภาวนามยํ กายวจีมโนกมฺมวเสน ติวิธํ โหติฯ เอวเมตํ ธมฺมารมฺมณมฺปิ กุสลํ ติวิธปุญฺญกิริยวตฺถุวเสน นวหิ กมฺมทฺวาเรหิ ภาเชตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ
Caṅkamitvā dhammārammaṇe khayavayaṃ paṭṭhapentassa pana bhāvanāmayaṃ kāyakammaṃ hoti. Kāyaṅgaṃ acopetvā vācāya khayavayaṃ paṭṭhapentassa vacīkammaṃ hoti. Kāyaṅgavācaṅgāni acopetvā manasāva dhammārammaṇe khayavayaṃ paṭṭhapentassa manokammaṃ hoti. Evaṃ bhāvanāmayaṃ kāyavacīmanokammavasena tividhaṃ hoti. Evametaṃ dhammārammaṇampi kusalaṃ tividhapuññakiriyavatthuvasena navahi kammadvārehi bhājetvā dassesi dhammarājā.
เอวมิทํ จิตฺตํ นานาวตฺถูสุ นานารมฺมณวเสน ทีปิตํฯ อิทํ ปน เอกวตฺถุสฺมิมฺปิ นานารมฺมณวเสน ลพฺภติเยวฯ กถํ? จตูสุ หิ ปจฺจเยสุ จีวเร ฉ อารมฺมณานิ ลพฺภนฺติ – นวรตฺตสฺส หิ จีวรสฺส วโณฺณ มนาโป โหติ ทสฺสนีโย, อิทํ วณฺณารมฺมณํฯ ปริโภคกาเล ปฎปฎสทฺทํ กโรติ, อิทํ สทฺทารมฺมณํฯ โย ตตฺถ กาฬกจฺฉกาทิคโนฺธ, อิทํ คนฺธารมฺมณํฯ รสารมฺมณํ ปน ปริโภครสวเสน กถิตํฯ ยา ตตฺถ สุขสมฺผสฺสตา, อิทํ โผฎฺฐพฺพารมฺมณํฯ จีวรํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนา สุขา เวทนา, ธมฺมารมฺมณํฯ ปิณฺฑปาเต รสารมฺมณํ นิปฺปริยาเยเนว ลพฺภติฯ เอวํ จตูสุ ปจฺจเยสุ นานารมฺมณวเสน โยชนํ กตฺวา ทานมยาทิเภโท เวทิตโพฺพฯ
Evamidaṃ cittaṃ nānāvatthūsu nānārammaṇavasena dīpitaṃ. Idaṃ pana ekavatthusmimpi nānārammaṇavasena labbhatiyeva. Kathaṃ? Catūsu hi paccayesu cīvare cha ārammaṇāni labbhanti – navarattassa hi cīvarassa vaṇṇo manāpo hoti dassanīyo, idaṃ vaṇṇārammaṇaṃ. Paribhogakāle paṭapaṭasaddaṃ karoti, idaṃ saddārammaṇaṃ. Yo tattha kāḷakacchakādigandho, idaṃ gandhārammaṇaṃ. Rasārammaṇaṃ pana paribhogarasavasena kathitaṃ. Yā tattha sukhasamphassatā, idaṃ phoṭṭhabbārammaṇaṃ. Cīvaraṃ paṭicca uppannā sukhā vedanā, dhammārammaṇaṃ. Piṇḍapāte rasārammaṇaṃ nippariyāyeneva labbhati. Evaṃ catūsu paccayesu nānārammaṇavasena yojanaṃ katvā dānamayādibhedo veditabbo.
อิมสฺส ปน จิตฺตสฺส อารมฺมณเมว นิพทฺธํ, วินา อารมฺมเณน อนุปฺปชฺชนโตฯ ทฺวารํ ปน อนิพทฺธํฯ กสฺมา? กมฺมสฺส อนิพทฺธตฺตาฯ กมฺมสฺมิญฺหิ อนิพเทฺธ ทฺวารมฺปิ อนิพทฺธเมว โหติฯ
Imassa pana cittassa ārammaṇameva nibaddhaṃ, vinā ārammaṇena anuppajjanato. Dvāraṃ pana anibaddhaṃ. Kasmā? Kammassa anibaddhattā. Kammasmiñhi anibaddhe dvārampi anibaddhameva hoti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / กามาวจรกุสลํ • Kāmāvacarakusalaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / กามาวจรกุสลปทภาชนียวณฺณนา • Kāmāvacarakusalapadabhājanīyavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / กามาวจรกุสลปทภาชนียวณฺณนา • Kāmāvacarakusalapadabhājanīyavaṇṇanā