Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๓๓. กมฺมากมฺมวินิจฺฉยกถา
33. Kammākammavinicchayakathā
๒๔๙. กมฺมากมฺมนฺติ เอตฺถ (ปริ. ๔๘๒-๔๘๔) ปน กมฺมานิ จตฺตาริ – อปโลกนกมฺมํ ญตฺติกมฺมํ ญตฺติทุติยกมฺมํ ญตฺติจตุตฺถกมฺมนฺติฯ อิมานิ จตฺตาริ กมฺมานิ กติหากาเรหิ วิปชฺชนฺติ? ปญฺจหากาเรหิ วิปชฺชนฺติ – วตฺถุโต วา ญตฺติโต วา อนุสฺสาวนโต วา สีมโต วา ปริสโต วาฯ
249.Kammākammanti ettha (pari. 482-484) pana kammāni cattāri – apalokanakammaṃ ñattikammaṃ ñattidutiyakammaṃ ñatticatutthakammanti. Imāni cattāri kammāni katihākārehi vipajjanti? Pañcahākārehi vipajjanti – vatthuto vā ñattito vā anussāvanato vā sīmato vā parisato vā.
กถํ วตฺถุโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ? สมฺมุขากรณียํ กมฺมํ อสมฺมุขา กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ ปฎิปุจฺฉากรณียํ กมฺมํ อปฎิปุจฺฉา กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ ปฎิญฺญาย กรณียํ กมฺมํ อปฎิญฺญาย กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ สติวินยารหสฺส อมูฬฺหวินยํ เทติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ อมูฬฺหวินยารหสฺส ตสฺส ปาปิยสิกกมฺมํ กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ ตสฺส ปาปิยสิกกมฺมารหสฺส ตชฺชนียกมฺมํ กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ ตชฺชนียกมฺมารหสฺส นิยสฺสกมฺมํ กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ นิยสฺสกมฺมารหสฺส ปพฺพาชนียกมฺมํ กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ ปพฺพาชนียกมฺมารหสฺส ปฎิสารณียกมฺมํ กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ ปฎิสารณียกมฺมารหสฺส อุเกฺขปนียกมฺมํ กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ อุเกฺขปนียกมฺมารหสฺส ปริวาสํ เทติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ ปริวาสารหสฺส มูลาย ปฎิกสฺสติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ มูลายปฎิกสฺสนารหสฺส มานตฺตํ เทติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ มานตฺตารหํ อเพฺภติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ อพฺภานารหํ อุปสมฺปาเทติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ อนุโปสเถ อุโปสถํ กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ อปวารณาย ปวาเรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ ปณฺฑกํ อุปสมฺปาเทติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ เถยฺยสํวาสกํ, ติตฺถิยปกฺกนฺตกํ, ติรจฺฉานคตํ, มาตุฆาตกํ, ปิตุฆาตกํ, อรหนฺตฆาตกํ, ภิกฺขุนิทูสกํ, สงฺฆเภทกํ, โลหิตุปฺปาทกํ, อุภโตพฺยญฺชนกํ, อูนวีสติวสฺสํ ปุคฺคลํ อุปสมฺปาเทติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํฯ เอวํ วตฺถุโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ
Kathaṃ vatthuto kammāni vipajjanti? Sammukhākaraṇīyaṃ kammaṃ asammukhā karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Paṭipucchākaraṇīyaṃ kammaṃ apaṭipucchā karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Paṭiññāya karaṇīyaṃ kammaṃ apaṭiññāya karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Sativinayārahassa amūḷhavinayaṃ deti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Amūḷhavinayārahassa tassa pāpiyasikakammaṃ karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Tassa pāpiyasikakammārahassa tajjanīyakammaṃ karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Tajjanīyakammārahassa niyassakammaṃ karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Niyassakammārahassa pabbājanīyakammaṃ karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Pabbājanīyakammārahassa paṭisāraṇīyakammaṃ karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Paṭisāraṇīyakammārahassa ukkhepanīyakammaṃ karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Ukkhepanīyakammārahassa parivāsaṃ deti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Parivāsārahassa mūlāya paṭikassati, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Mūlāyapaṭikassanārahassa mānattaṃ deti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Mānattārahaṃ abbheti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Abbhānārahaṃ upasampādeti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Anuposathe uposathaṃ karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Apavāraṇāya pavāreti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Paṇḍakaṃ upasampādeti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Theyyasaṃvāsakaṃ, titthiyapakkantakaṃ, tiracchānagataṃ, mātughātakaṃ, pitughātakaṃ, arahantaghātakaṃ, bhikkhunidūsakaṃ, saṅghabhedakaṃ, lohituppādakaṃ, ubhatobyañjanakaṃ, ūnavīsativassaṃ puggalaṃ upasampādeti, vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ. Evaṃ vatthuto kammāni vipajjanti.
กถํ ญตฺติโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ? ปญฺจหากาเรหิ ญตฺติโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ – วตฺถุํ น ปรามสติ, สงฺฆํ น ปรามสติ, ปุคฺคลํ น ปรามสติ, ญตฺติํ น ปรามสติ, ปจฺฉา วา ญตฺติํ ฐเปติฯ อิเมหิ ปญฺจหากาเรหิ ญตฺติโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ
Kathaṃ ñattito kammāni vipajjanti? Pañcahākārehi ñattito kammāni vipajjanti – vatthuṃ na parāmasati, saṅghaṃ na parāmasati, puggalaṃ na parāmasati, ñattiṃ na parāmasati, pacchā vā ñattiṃ ṭhapeti. Imehi pañcahākārehi ñattito kammāni vipajjanti.
กถํ อนุสฺสาวนโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ? ปญฺจหากาเรหิ อนุสฺสาวนโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ – วตฺถุํ น ปรามสติ, สงฺฆํ น ปรามสติ, ปุคฺคลํ น ปรามสติ, สาวนํ หาเปติ, อกาเล วา สาเวติฯ อิเมหิ ปญฺจหากาเรหิ อนุสฺสาวนโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ
Kathaṃ anussāvanato kammāni vipajjanti? Pañcahākārehi anussāvanato kammāni vipajjanti – vatthuṃ na parāmasati, saṅghaṃ na parāmasati, puggalaṃ na parāmasati, sāvanaṃ hāpeti, akāle vā sāveti. Imehi pañcahākārehi anussāvanato kammāni vipajjanti.
กถํ สีมโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ? เอกาทสหิ อากาเรหิ สีมโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ – อติขุทฺทกํ สีมํ สมฺมนฺนติ, อติมหติํ สีมํ สมฺมนฺนติ, ขณฺฑนิมิตฺตํ สีมํ สมฺมนฺนติ, ฉายานิมิตฺตํ สีมํ สมฺมนฺนติ, อนิมิตฺตํ สีมํ สมฺมนฺนติ, พหิสีเม ฐิโต สีมํ สมฺมนฺนติ, นทิยา สีมํ สมฺมนฺนติ, สมุเทฺท สีมํ สมฺมนฺนติ, ชาตสฺสเร สีมํ สมฺมนฺนติ, สีมาย สีมํ สมฺภินฺทติ, สีมาย สีมํ อโชฺฌตฺถรติฯ อิเมหิ เอกาทสหิ อากาเรหิ สีมโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ
Kathaṃ sīmato kammāni vipajjanti? Ekādasahi ākārehi sīmato kammāni vipajjanti – atikhuddakaṃ sīmaṃ sammannati, atimahatiṃ sīmaṃ sammannati, khaṇḍanimittaṃ sīmaṃ sammannati, chāyānimittaṃ sīmaṃ sammannati, animittaṃ sīmaṃ sammannati, bahisīme ṭhito sīmaṃ sammannati, nadiyā sīmaṃ sammannati, samudde sīmaṃ sammannati, jātassare sīmaṃ sammannati, sīmāya sīmaṃ sambhindati, sīmāya sīmaṃ ajjhottharati. Imehi ekādasahi ākārehi sīmato kammāni vipajjanti.
กถํ ปริสโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ? ทฺวาทสหิ อากาเรหิ ปริสโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติ – จตุวคฺคกรณีเย กเมฺม ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา เต อนาคตา โหนฺติ, ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อนาหโฎ โหติ, สมฺมุขีภูตา ปฎิโกฺกสนฺติ, จตุวคฺคกรเณ กเมฺม ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เต อาคตา โหนฺติ, ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อนาหโฎ โหติ, สมฺมุขีภูตา ปฎิโกฺกสนฺติ, จตุวคฺคกรเณ กเมฺม ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เต อาคตา โหนฺติ, ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อาหโฎ โหติ, สมฺมุขีภูตา ปฎิโกฺกสนฺติฯ
Kathaṃ parisato kammāni vipajjanti? Dvādasahi ākārehi parisato kammāni vipajjanti – catuvaggakaraṇīye kamme yāvatikā bhikkhū kammappattā te anāgatā honti, chandārahānaṃ chando anāhaṭo hoti, sammukhībhūtā paṭikkosanti, catuvaggakaraṇe kamme yāvatikā bhikkhū kammappattā, te āgatā honti, chandārahānaṃ chando anāhaṭo hoti, sammukhībhūtā paṭikkosanti, catuvaggakaraṇe kamme yāvatikā bhikkhū kammappattā, te āgatā honti, chandārahānaṃ chando āhaṭo hoti, sammukhībhūtā paṭikkosanti.
ปญฺจวคฺคกรเณ กเมฺม…เป.… ทสวคฺคกรเณ กเมฺม…เป.… วีสติวคฺคกรเณ กเมฺม ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เต อนาคตา โหนฺติ, ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อนาหโฎ โหติ, สมฺมุขีภูตา ปฎิโกฺกสนฺติ, วีสติวคฺคกรเณ กเมฺม ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เต อาคตา โหนฺติ, ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อนาหโฎ โหติ, สมฺมุขีภูตา ปฎิโกฺกสนฺติ, วีสติวคฺคกรเณ กเมฺม ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เต อาคตา โหนฺติ, ฉนฺทารหานํ ฉโนฺท อาหโฎ โหติ, สมฺมุขีภูตา ปฎิโกฺกสนฺติฯ อิเมหิ ทฺวาทสหิ อากาเรหิ ปริสโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ
Pañcavaggakaraṇe kamme…pe… dasavaggakaraṇe kamme…pe… vīsativaggakaraṇe kamme yāvatikā bhikkhū kammappattā, te anāgatā honti, chandārahānaṃ chando anāhaṭo hoti, sammukhībhūtā paṭikkosanti, vīsativaggakaraṇe kamme yāvatikā bhikkhū kammappattā, te āgatā honti, chandārahānaṃ chando anāhaṭo hoti, sammukhībhūtā paṭikkosanti, vīsativaggakaraṇe kamme yāvatikā bhikkhū kammappattā, te āgatā honti, chandārahānaṃ chando āhaṭo hoti, sammukhībhūtā paṭikkosanti. Imehi dvādasahi ākārehi parisato kammāni vipajjanti.
จตุวคฺคกรเณ กเมฺม จตฺตาโร ภิกฺขู ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา, อวเสสา ปกตตฺตา ฉนฺทารหาฯ ยสฺส สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, โส เนว กมฺมปฺปโตฺต นาปิ ฉนฺทารโห, อปิจ กมฺมารโหฯ ปญฺจวคฺคกรเณ กเมฺม ปญฺจ ภิกฺขู ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา, อวเสสา ปกตตฺตา ฉนฺทารหาฯ ยสฺส สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, โส เนว กมฺมปฺปโตฺต นาปิ ฉนฺทารโห, อปิจ กมฺมารโห ฯ ทสวคฺคกรเณ กเมฺม ทส ภิกฺขู ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา, อวเสสา ปกตตฺตา ฉนฺทารหาฯ ยสฺส สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, โส เนว กมฺมปฺปโตฺต นาปิ ฉนฺทารโห, อปิจ กมฺมารโหฯ วีสติวคฺคกรเณ กเมฺม วีสติ ภิกฺขู ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา, อวเสสา ปกตตฺตา ฉนฺทารหาฯ ยสฺส สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, โส เนว กมฺมปฺปโตฺต นาปิ ฉนฺทารโห, อปิจ กมฺมารโหฯ
Catuvaggakaraṇe kamme cattāro bhikkhū pakatattā kammappattā, avasesā pakatattā chandārahā. Yassa saṅgho kammaṃ karoti, so neva kammappatto nāpi chandāraho, apica kammāraho. Pañcavaggakaraṇe kamme pañca bhikkhū pakatattā kammappattā, avasesā pakatattā chandārahā. Yassa saṅgho kammaṃ karoti, so neva kammappatto nāpi chandāraho, apica kammāraho . Dasavaggakaraṇe kamme dasa bhikkhū pakatattā kammappattā, avasesā pakatattā chandārahā. Yassa saṅgho kammaṃ karoti, so neva kammappatto nāpi chandāraho, apica kammāraho. Vīsativaggakaraṇe kamme vīsati bhikkhū pakatattā kammappattā, avasesā pakatattā chandārahā. Yassa saṅgho kammaṃ karoti, so neva kammappatto nāpi chandāraho, apica kammāraho.
๒๕๐. อปโลกนกมฺมํ กติ ฐานานิ คจฺฉติ? ญตฺติกมฺมํ, ญตฺติทุติยกมฺมํ, ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ กติ ฐานานิ คจฺฉติ? อปโลกนกมฺมํ ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติฯ ญตฺติกมฺมํ นว ฐานานิ คจฺฉติฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ
250.Apalokanakammaṃ kati ṭhānāni gacchati? Ñattikammaṃ, ñattidutiyakammaṃ, ñatticatutthakammaṃ kati ṭhānāni gacchati? Apalokanakammaṃ pañca ṭhānāni gacchati. Ñattikammaṃ nava ṭhānāni gacchati. Ñattidutiyakammaṃ satta ṭhānāni gacchati. Ñatticatutthakammaṃ satta ṭhānāni gacchati.
อปโลกนกมฺมํ กตมานิ ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติ? โอสารณํ นิสฺสารณํ ภณฺฑุกมฺมํ พฺรหฺมทณฺฑํ กมฺมลกฺขณเญฺญว ปญฺจมํฯ อปโลกนกมฺมํ อิมานิ ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติฯ
Apalokanakammaṃ katamāni pañca ṭhānāni gacchati? Osāraṇaṃ nissāraṇaṃ bhaṇḍukammaṃ brahmadaṇḍaṃ kammalakkhaṇaññeva pañcamaṃ. Apalokanakammaṃ imāni pañca ṭhānāni gacchati.
ญตฺติกมฺมํ กตมานิ นว ฐานานิ คจฺฉติ? โอสารณํ นิสฺสารณํ อุโปสถํ ปวารณํ สมฺมุติํ ทานํ ปฎิคฺคหณํ ปจฺจุกฺกฑฺฒนํ กมฺมลกฺขณเญฺญว นวมํฯ ญตฺติกมฺมํ อิมานิ นว ฐานานิ คจฺฉติฯ
Ñattikammaṃ katamāni nava ṭhānāni gacchati? Osāraṇaṃ nissāraṇaṃ uposathaṃ pavāraṇaṃ sammutiṃ dānaṃ paṭiggahaṇaṃ paccukkaḍḍhanaṃ kammalakkhaṇaññeva navamaṃ. Ñattikammaṃ imāni nava ṭhānāni gacchati.
ญตฺติทุติยกมฺมํ กตมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติ? โอสารณํ นิสฺสารณํ สมฺมุติํ ทานํ อุทฺธรณํ เทสนํ กมฺมลกฺขณเญฺญว สตฺตมํฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ อิมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ
Ñattidutiyakammaṃ katamāni satta ṭhānāni gacchati? Osāraṇaṃ nissāraṇaṃ sammutiṃ dānaṃ uddharaṇaṃ desanaṃ kammalakkhaṇaññeva sattamaṃ. Ñattidutiyakammaṃ imāni satta ṭhānāni gacchati.
ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ กตมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติ? โอสารณํ นิสฺสารณํ สมฺมุติํ ทานํ นิคฺคหํ สมนุภาสนํ กมฺมลกฺขณเญฺญว สตฺตมํฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ อิมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ อยํ ตาว ปาฬินโยฯ
Ñatticatutthakammaṃ katamāni satta ṭhānāni gacchati? Osāraṇaṃ nissāraṇaṃ sammutiṃ dānaṃ niggahaṃ samanubhāsanaṃ kammalakkhaṇaññeva sattamaṃ. Ñatticatutthakammaṃ imāni satta ṭhānāni gacchati. Ayaṃ tāva pāḷinayo.
๒๕๑. อยํ ปเนตฺถ อาทิโต ปฎฺฐาย วินิจฺฉยกถา (ปริ. อฎฺฐ. ๔๘๒) – อปโลกนกมฺมํ นาม สีมฎฺฐกสงฺฆํ โสเธตฺวา ฉนฺทารหานํ ฉนฺทํ อาหริตฺวา สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา กตฺตพฺพกมฺมํฯ ญตฺติกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา กตฺตพฺพกมฺมํฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา เอกาย จ อนุสฺสาวนายาติ เอวํ ญตฺติทุติยาย อนุสฺสาวนาย กตฺตพฺพกมฺมํฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา ตีหิ จ อนุสฺสาวนาหีติ เอวํ ญตฺติจตุตฺถาหิ ตีหิ อนุสฺสาวนาหิ กตฺตพฺพกมฺมํฯ
251. Ayaṃ panettha ādito paṭṭhāya vinicchayakathā (pari. aṭṭha. 482) – apalokanakammaṃ nāma sīmaṭṭhakasaṅghaṃ sodhetvā chandārahānaṃ chandaṃ āharitvā samaggassa saṅghassa anumatiyā tikkhattuṃ sāvetvā kattabbakammaṃ. Ñattikammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā kattabbakammaṃ. Ñattidutiyakammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā ekāya ca anussāvanāyāti evaṃ ñattidutiyāya anussāvanāya kattabbakammaṃ. Ñatticatutthakammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā tīhi ca anussāvanāhīti evaṃ ñatticatutthāhi tīhi anussāvanāhi kattabbakammaṃ.
ตตฺร อปโลกนกมฺมํ อปโลเกตฺวาว กาตพฺพํ, ญตฺติกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ญตฺติกมฺมมฺปิ เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวาว กาตพฺพํ, อปโลกนกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ ปน อปโลเกตฺวา กาตพฺพมฺปิ อกาตพฺพมฺปิ อตฺถิฯ ตตฺถ สีมาสมฺมุติ สีมาสมูหนํ กถินทานํ กถินุทฺธาโร กุฎิวตฺถุเทสนา วิหารวตฺถุเทสนาติ อิมานิ ฉกมฺมานิ ครุกานิ อปโลเกตฺวา กาตุํ น วฎฺฎติ, ญตฺติทุติยกมฺมวาจํ สาเวตฺวาว กาตพฺพานิฯ อวเสสา เตรส สมฺมุติโย เสนาสนคฺคาหกมตกจีวรทานาทิสมฺมุติโย จาติ เอตานิ ลหุกกมฺมานิ, อปโลเกตฺวาปิ กาตุํ วฎฺฎนฺติ, ญตฺติกมฺมญตฺติจตุตฺถกมฺมวเสน ปน น กาตพฺพเมวฯ ‘‘ญตฺติจตุตฺถกมฺมวเสน กยิรมานํ ทฬฺหตรํ โหติ, ตสฺมา กาตพฺพ’’นฺติ เอกเจฺจ วทนฺติฯ เอวํ ปน สติ กมฺมสงฺกโร โหติ, ตสฺมา น กาตพฺพนฺติ ปฎิกฺขิตฺตเมวฯ สเจ ปน อกฺขรปริหีนํ วา ปทปริหีนํ วา ทุรุตฺตปทํ วา โหติ, ตสฺส โสธนตฺถํ ปุนปฺปุนํ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อิทํ อกุปฺปกมฺมสฺส ทฬฺหีกมฺมํ โหติ, กุปฺปกเมฺม กมฺมํ หุตฺวา ติฎฺฐติฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ ญตฺติญฺจ ติโสฺส จ กมฺมวาจาโย สาเวตฺวาว กาตพฺพํ, อปโลกนกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ
Tatra apalokanakammaṃ apaloketvāva kātabbaṃ, ñattikammādivasena na kātabbaṃ. Ñattikammampi ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvāva kātabbaṃ, apalokanakammādivasena na kātabbaṃ. Ñattidutiyakammaṃ pana apaloketvā kātabbampi akātabbampi atthi. Tattha sīmāsammuti sīmāsamūhanaṃ kathinadānaṃ kathinuddhāro kuṭivatthudesanā vihāravatthudesanāti imāni chakammāni garukāni apaloketvā kātuṃ na vaṭṭati, ñattidutiyakammavācaṃ sāvetvāva kātabbāni. Avasesā terasa sammutiyo senāsanaggāhakamatakacīvaradānādisammutiyo cāti etāni lahukakammāni, apaloketvāpi kātuṃ vaṭṭanti, ñattikammañatticatutthakammavasena pana na kātabbameva. ‘‘Ñatticatutthakammavasena kayiramānaṃ daḷhataraṃ hoti, tasmā kātabba’’nti ekacce vadanti. Evaṃ pana sati kammasaṅkaro hoti, tasmā na kātabbanti paṭikkhittameva. Sace pana akkharaparihīnaṃ vā padaparihīnaṃ vā duruttapadaṃ vā hoti, tassa sodhanatthaṃ punappunaṃ vattuṃ vaṭṭati. Idaṃ akuppakammassa daḷhīkammaṃ hoti, kuppakamme kammaṃ hutvā tiṭṭhati. Ñatticatutthakammaṃ ñattiñca tisso ca kammavācāyo sāvetvāva kātabbaṃ, apalokanakammādivasena na kātabbaṃ.
สมฺมุขากรณียํ กมฺมํ อสมฺมุขา กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมนฺติ เอตฺถ ปน อตฺถิ กมฺมํ สมฺมุขากรณียํ, อตฺถิ กมฺมํ อสมฺมุขากรณียํฯ ตตฺถ อสมฺมุขากรณียํ นาม ทูเตนูปสมฺปทา, ปตฺตนิกฺกุชฺชนํ, ปตฺตุกฺกุชฺชนํ, อุมฺมตฺตกสฺส ภิกฺขุโน อุมฺมตฺตกสมฺมุติ, เสกฺขานํ กุลานํ เสกฺขสมฺมุติ, ฉนฺนสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทโณฺฑ, เทวทตฺตสฺส ปกาสนียกมฺมํ, อปสาทนียํ ทเสฺสนฺตสฺส ภิกฺขุโน ภิกฺขุนิสเงฺฆน กาตพฺพํ อวนฺทิยกมฺมนฺติ อฎฺฐวิธํ โหติฯ อิทํ อฎฺฐวิธมฺปิ กมฺมํ อสมฺมุขา กตํ สุกตํ โหติ อกุปฺปํ, เสสานิ สพฺพกมฺมานิ สมฺมุขา เอว กาตพฺพานิฯ สงฺฆสมฺมุขตา ธมฺมสมฺมุขตา วินยสมฺมุขตา ปุคฺคลสมฺมุขตาติ อิมํ จตุพฺพิธํ สมฺมุขาวินยํ อุปเนตฺวาว กาตพฺพานิฯ เอวํ กตานิ หิ สุกตานิ โหนฺติ, เอวํ อกตานิ ปเนตานิ อิมํ สมฺมุขาวินยสงฺขาตํ วตฺถุํ วินา กตตฺตา วตฺถุวิปนฺนานิ นาม โหนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สมฺมุขากรณียํ กมฺมํ อสมฺมุขา กโรติ, วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺม’’นฺติฯ ปฎิปุจฺฉากรณียาทีสุปิ ปฎิปุจฺฉาทิกรณเมว วตฺถุ, ตํ วตฺถุํ วินา กตตฺตา เตสมฺปิ วตฺถุวิปนฺนตา เวทิตพฺพาฯ อปิจ อูนวีสติวสฺสํ วา อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนปุพฺพํ วา เอกาทสสุ วา อภพฺพปุคฺคเลสุ อญฺญตรํ อุปสมฺปาเทนฺตสฺสปิ วตฺถุวิปนฺนํ อธมฺมกมฺมํ โหติฯ อยํ วตฺถุโต กมฺมวิปตฺติยํ วินิจฺฉโยฯ
Sammukhākaraṇīyaṃ kammaṃ asammukhā karoti, vatthuvipannaṃ adhammakammanti ettha pana atthi kammaṃ sammukhākaraṇīyaṃ, atthi kammaṃ asammukhākaraṇīyaṃ. Tattha asammukhākaraṇīyaṃ nāma dūtenūpasampadā, pattanikkujjanaṃ, pattukkujjanaṃ, ummattakassa bhikkhuno ummattakasammuti, sekkhānaṃ kulānaṃ sekkhasammuti, channassa bhikkhuno brahmadaṇḍo, devadattassa pakāsanīyakammaṃ, apasādanīyaṃ dassentassa bhikkhuno bhikkhunisaṅghena kātabbaṃ avandiyakammanti aṭṭhavidhaṃ hoti. Idaṃ aṭṭhavidhampi kammaṃ asammukhā kataṃ sukataṃ hoti akuppaṃ, sesāni sabbakammāni sammukhā eva kātabbāni. Saṅghasammukhatā dhammasammukhatā vinayasammukhatā puggalasammukhatāti imaṃ catubbidhaṃ sammukhāvinayaṃ upanetvāva kātabbāni. Evaṃ katāni hi sukatāni honti, evaṃ akatāni panetāni imaṃ sammukhāvinayasaṅkhātaṃ vatthuṃ vinā katattā vatthuvipannāni nāma honti. Tena vuttaṃ ‘‘sammukhākaraṇīyaṃ kammaṃ asammukhā karoti, vatthuvipannaṃ adhammakamma’’nti. Paṭipucchākaraṇīyādīsupi paṭipucchādikaraṇameva vatthu, taṃ vatthuṃ vinā katattā tesampi vatthuvipannatā veditabbā. Apica ūnavīsativassaṃ vā antimavatthuṃ ajjhāpannapubbaṃ vā ekādasasu vā abhabbapuggalesu aññataraṃ upasampādentassapi vatthuvipannaṃ adhammakammaṃ hoti. Ayaṃ vatthuto kammavipattiyaṃ vinicchayo.
ญตฺติโต วิปตฺติยํ ปน วตฺถุํ น ปรามสตีติ ยสฺส อุปสมฺปทาทิกมฺมํ กโรติ, ตํ น ปรามสติ, ตสฺส นามํ น คณฺหาติฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วทติฯ เอวํ วตฺถุํ น ปรามสติฯ
Ñattito vipattiyaṃ pana vatthuṃ na parāmasatīti yassa upasampadādikammaṃ karoti, taṃ na parāmasati, tassa nāmaṃ na gaṇhāti. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vadati. Evaṃ vatthuṃ na parāmasati.
สงฺฆํ น ปรามสตีติ สงฺฆสฺส นามํ น คณฺหาติฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ วทติฯ เอวํ สงฺฆํ น ปรามสติฯ
Saṅghaṃ na parāmasatīti saṅghassa nāmaṃ na gaṇhāti. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me, bhante, ayaṃ dhammarakkhito’’ti vadati. Evaṃ saṅghaṃ na parāmasati.
ปุคฺคลํ น ปรามสตีติ โย อุปสมฺปทาเปกฺขสฺส อุปชฺฌาโย, ตํ น ปรามสติ, ตสฺส นามํ น คณฺหาติฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วทติฯ เอวํ ปุคฺคลํ น ปรามสติฯ
Puggalaṃ na parāmasatīti yo upasampadāpekkhassa upajjhāyo, taṃ na parāmasati, tassa nāmaṃ na gaṇhāti. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito upasampadāpekkho’’ti vadati. Evaṃ puggalaṃ na parāmasati.
ญตฺติํ น ปรามสตีติ สเพฺพน สพฺพํ ญตฺติํ น ปรามสติ, ญตฺติทุติยกเมฺม ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา ทฺวิกฺขตฺตุํ กมฺมวาจาย เอว อนุสฺสาวนกมฺมํ กโรติ, ญตฺติจตุตฺถกเมฺมปิ ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา จตุกฺขตฺตุํ กมฺมวาจาย เอว อนุสฺสาวนกมฺมํ กโรติฯ เอวํ ญตฺติํ น ปรามสติฯ
Ñattiṃ na parāmasatīti sabbena sabbaṃ ñattiṃ na parāmasati, ñattidutiyakamme ñattiṃ aṭṭhapetvā dvikkhattuṃ kammavācāya eva anussāvanakammaṃ karoti, ñatticatutthakammepi ñattiṃ aṭṭhapetvā catukkhattuṃ kammavācāya eva anussāvanakammaṃ karoti. Evaṃ ñattiṃ na parāmasati.
ปจฺฉา วา ญตฺติํ ฐเปตีติ ปฐมํ กมฺมวาจาย อนุสฺสาวนกมฺมํ กตฺวา ‘‘เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺวา ‘‘ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ วทติฯ เอวํ ปจฺฉา ญตฺติํ ฐเปติฯ อิติ อิเมหิ ปญฺจหากาเรหิ ญตฺติโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ
Pacchā vā ñattiṃ ṭhapetīti paṭhamaṃ kammavācāya anussāvanakammaṃ katvā ‘‘esā ñattī’’ti vatvā ‘‘khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti vadati. Evaṃ pacchā ñattiṃ ṭhapeti. Iti imehi pañcahākārehi ñattito kammāni vipajjanti.
อนุสฺสาวนโต วิปตฺติยํ ปน วตฺถุอาทีนิ ตาว วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ เอวํ ปน เนสํ อปรามสนํ โหติ – ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ’’ติ ปฐมานุสฺสาวนาย วา ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิฯ สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ’’ติ ทุติยตติยานุสฺสาวนาสุ วา ‘‘อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺสา’’ติ วทโนฺต วตฺถุํ น ปรามสติ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ วทโนฺต สงฺฆํ น ปรามสติ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺสา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วทโนฺต ปุคฺคลํ น ปรามสติ นามฯ
Anussāvanato vipattiyaṃ pana vatthuādīni tāva vuttanayeneva veditabbāni. Evaṃ pana nesaṃ aparāmasanaṃ hoti – ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho’’ti paṭhamānussāvanāya vā ‘‘dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi. Suṇātu me, bhante, saṅgho’’ti dutiyatatiyānussāvanāsu vā ‘‘ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, āyasmato buddharakkhitassā’’ti vadanto vatthuṃ na parāmasati nāma. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me, bhante, ayaṃ dhammarakkhito’’ti vadanto saṅghaṃ na parāmasati nāma. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassā’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito upasampadāpekkho’’ti vadanto puggalaṃ na parāmasati nāma.
สาวนํ หาเปตีติ สเพฺพน สพฺพํ กมฺมวาจาย อนุสฺสาวนํ น กโรติ, ญตฺติทุติยกเมฺม ทฺวิกฺขตฺตุํ ญตฺติเมว ฐเปติ, ญตฺติจตุตฺถกเมฺม จตุกฺขตฺตุํ ญตฺติเมว ฐเปติฯ เอวํ สาวนํ หาเปติฯ โยปิ ญตฺติทุติยกเมฺม เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวา เอกํ กมฺมวาจํ อนุสฺสาเวโนฺต อกฺขรํ วา ฉเฑฺฑติ, ปทํ วา ทุรุตฺตํ กโรติ, อยมฺปิ สาวนํ หาเปติเยวฯ ญตฺติจตุตฺถกเมฺม ปน เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวา สกิเมว วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา กมฺมวาจาย อนุสฺสาวนํ กโรโนฺตปิ อกฺขรํ วา ปทํ วา ฉเฑฺฑโนฺตปิ ทุรุตฺตํ กโรโนฺตปิ อนุสฺสาวนํ หาเปติเยวาติ เวทิตโพฺพฯ
Sāvanaṃ hāpetīti sabbena sabbaṃ kammavācāya anussāvanaṃ na karoti, ñattidutiyakamme dvikkhattuṃ ñattimeva ṭhapeti, ñatticatutthakamme catukkhattuṃ ñattimeva ṭhapeti. Evaṃ sāvanaṃ hāpeti. Yopi ñattidutiyakamme ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvā ekaṃ kammavācaṃ anussāvento akkharaṃ vā chaḍḍeti, padaṃ vā duruttaṃ karoti, ayampi sāvanaṃ hāpetiyeva. Ñatticatutthakamme pana ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvā sakimeva vā dvikkhattuṃ vā kammavācāya anussāvanaṃ karontopi akkharaṃ vā padaṃ vā chaḍḍentopi duruttaṃ karontopi anussāvanaṃ hāpetiyevāti veditabbo.
๒๕๒. ‘‘ทุรุตฺตํ กโรตี’’ติ เอตฺถ ปน อยํ วินิจฺฉโยฯ โย หิ อญฺญสฺมิํ อกฺขเร วตฺตเพฺพ อญฺญํ วทติ, อยํ ทุรุตฺตํ กโรติ นามฯ ตสฺมา กมฺมวาจํ กโรเนฺตน ภิกฺขุนา ยฺวายํ –
252. ‘‘Duruttaṃ karotī’’ti ettha pana ayaṃ vinicchayo. Yo hi aññasmiṃ akkhare vattabbe aññaṃ vadati, ayaṃ duruttaṃ karoti nāma. Tasmā kammavācaṃ karontena bhikkhunā yvāyaṃ –
‘‘สิถิลํ ธนิตญฺจ ทีฆรสฺสํ, ครุกํ ลหุกญฺจ นิคฺคหิตํ;
‘‘Sithilaṃ dhanitañca dīgharassaṃ, garukaṃ lahukañca niggahitaṃ;
สมฺพนฺธํ ววตฺถิตํ วิมุตฺตํ, ทสธา พฺยญฺชนพุทฺธิยา ปเภโท’’ติฯ –
Sambandhaṃ vavatthitaṃ vimuttaṃ, dasadhā byañjanabuddhiyā pabhedo’’ti. –
วุโตฺต, อยํ สุฎฺฐุ อุปลเกฺขตโพฺพฯ เอตฺถ หิ สิถิลํ นาม ปญฺจสุ วเคฺคสุ ปฐมตติยํฯ ธนิตํ นาม เตเสฺวว ทุติยจตุตฺถํฯ ทีฆนฺติ ทีเฆน กาเลน วตฺตพฺพอาการาทิฯ รสฺสนฺติ ตโต อุปฑฺฒกาเลน วตฺตพฺพอการาทิฯ ครุกนฺติ ทีฆเมว, ยํ วา ‘‘อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตเตฺถรสฺส ยสฺส นกฺขมตี’’ติ เอวํ สํโยคปรํ กตฺวา วุจฺจติฯ ลหุกนฺติ รสฺสเมว, ยํ วา ‘‘อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตเตฺถรสฺส ยสฺส น ขมตี’’ติ เอวํ อสํโยคปรํ กตฺวา วุจฺจติฯ นิคฺคหิตนฺติ ยํ กรณานิ นิคฺคเหตฺวา อวิสฺสเชฺชตฺวา อวิวเฎน มุเขน สานุนาสิกํ กตฺวา วตฺตพฺพํฯ สมฺพนฺธนฺติ ยํ ปรปเทน สมฺพนฺธิตฺวา ‘‘ตุณฺหิสฺสา’’ติ วา ‘‘ตุณฺหสฺสา’’ติ วา วุจฺจติฯ ววตฺถิตนฺติ ยํ ปรปเทน อสมฺพนฺธํ กตฺวา วิจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘ตุณฺหี อสฺสา’’ติ วา ‘‘ตุณฺห อสฺสา’’ติ วา วุจฺจติฯ วิมุตฺตนฺติ ยํ กรณานิ อนิคฺคเหตฺวา วิสฺสเชฺชตฺวา วิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ อกตฺวา วุจฺจติฯ
Vutto, ayaṃ suṭṭhu upalakkhetabbo. Ettha hi sithilaṃ nāma pañcasu vaggesu paṭhamatatiyaṃ. Dhanitaṃ nāma tesveva dutiyacatutthaṃ. Dīghanti dīghena kālena vattabbaākārādi. Rassanti tato upaḍḍhakālena vattabbaakārādi. Garukanti dīghameva, yaṃ vā ‘‘āyasmato buddharakkhitattherassa yassa nakkhamatī’’ti evaṃ saṃyogaparaṃ katvā vuccati. Lahukanti rassameva, yaṃ vā ‘‘āyasmato buddharakkhitattherassa yassa na khamatī’’ti evaṃ asaṃyogaparaṃ katvā vuccati. Niggahitanti yaṃ karaṇāni niggahetvā avissajjetvā avivaṭena mukhena sānunāsikaṃ katvā vattabbaṃ. Sambandhanti yaṃ parapadena sambandhitvā ‘‘tuṇhissā’’ti vā ‘‘tuṇhassā’’ti vā vuccati. Vavatthitanti yaṃ parapadena asambandhaṃ katvā vicchinditvā ‘‘tuṇhī assā’’ti vā ‘‘tuṇha assā’’ti vā vuccati. Vimuttanti yaṃ karaṇāni aniggahetvā vissajjetvā vivaṭena mukhena anunāsikaṃ akatvā vuccati.
ตตฺถ ‘‘สุณาตุ เม’’ติ วตฺตเพฺพ ต-การสฺส ถ-การํ กตฺวา ‘‘สุณาถุ เม’’ติ วจนํ สิถิลสฺส ธนิตกรณํ นาม, ตถา ‘‘ปตฺตกลฺลํ เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ปตฺถกลฺลํ เอสา ญตฺถี’’ติอาทิวจนํฯ ‘‘ภเนฺต สโงฺฆ’’ติ วตฺตเพฺพ ภ-การฆ-การานํ พ-การค-กาเร กตฺวา ‘‘พเนฺต สํโค’’ติ วจนํ ธนิตสฺส สิถิลกรณํ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม’’ติ วิวเฎน มุเขน วตฺตเพฺพ ปน ‘‘สุณํตุ เม’’ติ วา ‘‘เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘เอสํ ญตฺตี’’ติ วา อวิวเฎน มุเขน อนนุนาสิกํ กตฺวา วจนํ วิมุตฺตสฺส นิคฺคหิตวจนํ นามฯ ‘‘ปตฺตกลฺล’’นฺติ อวิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ กตฺวา วตฺตเพฺพ ‘‘ปตฺตกลฺลา’’ติ วิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ อกตฺวา วจนํ นิคฺคหิตสฺส วิมุตฺตวจนํ นามฯ อิติ สิถิเล กตฺตเพฺพ ธนิตํ, ธนิเต กตฺตเพฺพ สิถิลํ, วิมุเตฺต กตฺตเพฺพ นิคฺคหิตํ, นิคฺคหิเต กตฺตเพฺพ วิมุตฺตนฺติ อิมานิ จตฺตาริ พฺยญฺชนานิ อโนฺตกมฺมวาจาย กมฺมํ ทูเสนฺติฯ เอวํ วทโนฺต หิ อญฺญสฺมิํ อกฺขเร วตฺตเพฺพ อญฺญํ วทติ, ทุรุตฺตํ กโรตีติ วุจฺจติฯ
Tattha ‘‘suṇātu me’’ti vattabbe ta-kārassa tha-kāraṃ katvā ‘‘suṇāthu me’’ti vacanaṃ sithilassa dhanitakaraṇaṃ nāma, tathā ‘‘pattakallaṃ esā ñattī’’ti vattabbe ‘‘patthakallaṃ esā ñatthī’’tiādivacanaṃ. ‘‘Bhante saṅgho’’ti vattabbe bha-kāragha-kārānaṃ ba-kāraga-kāre katvā ‘‘bante saṃgo’’ti vacanaṃ dhanitassa sithilakaraṇaṃ nāma. ‘‘Suṇātu me’’ti vivaṭena mukhena vattabbe pana ‘‘suṇaṃtu me’’ti vā ‘‘esā ñattī’’ti vattabbe ‘‘esaṃ ñattī’’ti vā avivaṭena mukhena ananunāsikaṃ katvā vacanaṃ vimuttassa niggahitavacanaṃ nāma. ‘‘Pattakalla’’nti avivaṭena mukhena anunāsikaṃ katvā vattabbe ‘‘pattakallā’’ti vivaṭena mukhena anunāsikaṃ akatvā vacanaṃ niggahitassa vimuttavacanaṃ nāma. Iti sithile kattabbe dhanitaṃ, dhanite kattabbe sithilaṃ, vimutte kattabbe niggahitaṃ, niggahite kattabbe vimuttanti imāni cattāri byañjanāni antokammavācāya kammaṃ dūsenti. Evaṃ vadanto hi aññasmiṃ akkhare vattabbe aññaṃ vadati, duruttaṃ karotīti vuccati.
อิตเรสุ ปน ทีฆรสฺสาทีสุ ฉสุ พฺยญฺชเนสุ ทีฆฎฺฐาเน ทีฆเมว, รสฺสฎฺฐาเน รสฺสเมวาติ เอวํ ยถาฐาเน ตํ ตเทว อกฺขรํ ภาสเนฺตน อนุกฺกมาคตํ ปเวณิํ อวินาเสเนฺตน กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ สเจ ปน เอวํ อกตฺวา ทีเฆ วตฺตเพฺพ รสฺสํ, รเสฺส วา วตฺตเพฺพ ทีฆํ วทติ, ตถา ครุเก วตฺตเพฺพ ลหุกํ, ลหุเก วา วตฺตเพฺพ ครุกํ วทติ, สมฺพเนฺธ วา ปน วตฺตเพฺพ ววตฺถิตํ, ววตฺถิเต วา วตฺตเพฺพ สมฺพนฺธํ วทติ, เอวํ วุเตฺตปิ กมฺมวาจา น กุปฺปติฯ อิมานิ หิ ฉ พฺยญฺชนานิ กมฺมํ น โกเปนฺติฯ ยํ ปน สุตฺตนฺติกเตฺถรา ‘‘ท-กาโร ต-การมาปชฺชติ, ต-กาโร ท-การมาปชฺชติ, จ-กาโร ช-การมาปชฺชติ, ช-กาโร จ-การมาปชฺชติ, ย-กาโร ก-การมาปชฺชติ, ก-กาโร ย-การมาปชฺชติ, ตสฺมา ท-การาทีสุ วตฺตเพฺพสุ ต-การาทิวจนํ น วิรุชฺฌตี’’ติ วทนฺติ, ตํ กมฺมวาจํ ปตฺวา น วฎฺฎติฯ ตสฺมา วินยธเรน เนว ท-กาโร ต-กาโร กาตโพฺพ…เป.… น ก-กาโร ย-กาโรฯ ยถาปาฬิยา นิรุตฺติํ โสเธตฺวา ทสวิธาย พฺยญฺชนนิรุตฺติยา วุตฺตโทเส ปริหรเนฺตน กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ อิตรถา หิ สาวนํ หาเปติ นามฯ
Itaresu pana dīgharassādīsu chasu byañjanesu dīghaṭṭhāne dīghameva, rassaṭṭhāne rassamevāti evaṃ yathāṭhāne taṃ tadeva akkharaṃ bhāsantena anukkamāgataṃ paveṇiṃ avināsentena kammavācā kātabbā. Sace pana evaṃ akatvā dīghe vattabbe rassaṃ, rasse vā vattabbe dīghaṃ vadati, tathā garuke vattabbe lahukaṃ, lahuke vā vattabbe garukaṃ vadati, sambandhe vā pana vattabbe vavatthitaṃ, vavatthite vā vattabbe sambandhaṃ vadati, evaṃ vuttepi kammavācā na kuppati. Imāni hi cha byañjanāni kammaṃ na kopenti. Yaṃ pana suttantikattherā ‘‘da-kāro ta-kāramāpajjati, ta-kāro da-kāramāpajjati, ca-kāro ja-kāramāpajjati, ja-kāro ca-kāramāpajjati, ya-kāro ka-kāramāpajjati, ka-kāro ya-kāramāpajjati, tasmā da-kārādīsu vattabbesu ta-kārādivacanaṃ na virujjhatī’’ti vadanti, taṃ kammavācaṃ patvā na vaṭṭati. Tasmā vinayadharena neva da-kāro ta-kāro kātabbo…pe… na ka-kāro ya-kāro. Yathāpāḷiyā niruttiṃ sodhetvā dasavidhāya byañjananiruttiyā vuttadose pariharantena kammavācā kātabbā. Itarathā hi sāvanaṃ hāpeti nāma.
อกาเล วา สาเวตีติ สาวนาย อกาเล อโนกาเส ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา ปฐมํเยว อนุสฺสาวนกมฺมํ กตฺวา ปจฺฉา ญตฺติํ ฐเปติฯ อิติ อิเมหิ ปญฺจหากาเรหิ อนุสฺสาวนโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺติฯ
Akāle vā sāvetīti sāvanāya akāle anokāse ñattiṃ aṭṭhapetvā paṭhamaṃyeva anussāvanakammaṃ katvā pacchā ñattiṃ ṭhapeti. Iti imehi pañcahākārehi anussāvanato kammāni vipajjanti.
๒๕๓. สีมโต วิปตฺติยํ ปน อติขุทฺทกสีมา นาม ยา เอกวีสติ ภิกฺขู น คณฺหาติ ฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘ยตฺถ เอกวีสติ ภิกฺขู นิสีทิตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา ยา เอวรูปา สีมา, อยํ สมฺมตาปิ อสมฺมตา คามเขตฺตสทิสาว โหติ, ตตฺถ กตํ กมฺมํ กุปฺปติฯ เอส นโย เสสสีมาสุปิฯ เอตฺถ ปน อติมหตี นาม ยา เกสคฺคมเตฺตนปิ ติโยชนํ อติกฺกมิตฺวา สมฺมตา โหติฯ ขณฺฑนิมิตฺตา นาม อฆฎิตนิมิตฺตา วุจฺจติฯ ปุรตฺถิมาย ทิสาย นิมิตฺตํ กิเตฺตตฺวา อนุกฺกเมเนว ทกฺขิณาย ปจฺฉิมาย อุตฺตราย ทิสาย กิเตฺตตฺวา ปุน ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปุพฺพกิตฺติตํ นิมิตฺตํ ปฎิกิเตฺตตฺวา ฐเปตุํ วฎฺฎติ, เอวํ อขณฺฑนิมิตฺตา โหติฯ สเจ ปน อนุกฺกเมน อาหริตฺวา อุตฺตราย ทิสาย นิมิตฺตํ กิเตฺตตฺวา ตเตฺถว ฐเปติ, ขณฺฑนิมิตฺตา โหติฯ อปราปิ ขณฺฑนิมิตฺตา นาม ยา อนิมิตฺตุปคํ ตจสารรุกฺขํ วา ขาณุกํ วา ปํสุปุญฺชํ วา วาลุกปุญฺชํ วา อญฺญตรํ อนฺตรา เอกํ นิมิตฺตํ กตฺวา สมฺมตา โหติฯ ฉายานิมิตฺตา นาม ยา ปพฺพตจฺฉายาทีนํ ยํ กิญฺจิ ฉายํ นิมิตฺตํ กตฺวา สมฺมตา โหติฯ อนิมิตฺตา นาม ยา สเพฺพน สพฺพํ นิมิตฺตานิ อกิเตฺตตฺวา สมฺมตา โหติฯ พหิสีเม ฐิโต สีมํ สมฺมนฺนติ นาม นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา นิมิตฺตานํ พหิ ฐิโต สมฺมนฺนติฯ นทิยา สมุเทฺท ชาตสฺสเร สีมํ สมฺมนฺนตีติ เอเตสุ นทีอาทีสุ ยํ สมฺมนฺนติ, สา เอวํ สมฺมตาปิ ‘‘สพฺพา, ภิกฺขเว, นที อสีมา, สโพฺพ สมุโทฺท อสีโม, สโพฺพ ชาตสฺสโร อสีโม’’ติ (มหาว. ๑๔๗) วจนโต อสมฺมตาว โหติฯ สีมาย สีมํ สมฺภินฺทตีติ อตฺตโน สีมาย ปเรสํ สีมํ สมฺภินฺทติฯ สีมาย สีมํ อโชฺฌตฺถรตีติ อตฺตโน สีมาย ปเรสํ สีมํ อโชฺฌตฺถรติฯ ตตฺถ ยถา สเมฺภโท จ อโชฺฌตฺถรณญฺจ โหติ, ตํ สพฺพํ สีมากถายํ วุตฺตเมวฯ อิติ อิมา เอกาทสปิ สีมา อสีมา คามเขตฺตสทิสา เอว, ตาสุ นิสีทิตฺวา กตํ กมฺมํ กุปฺปติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิเมหิ เอกาทสหิ อากาเรหิ สีมโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺตี’’ติฯ
253.Sīmatovipattiyaṃ pana atikhuddakasīmā nāma yā ekavīsati bhikkhū na gaṇhāti . Kurundiyaṃ pana ‘‘yattha ekavīsati bhikkhū nisīdituṃ na sakkontī’’ti vuttaṃ. Tasmā yā evarūpā sīmā, ayaṃ sammatāpi asammatā gāmakhettasadisāva hoti, tattha kataṃ kammaṃ kuppati. Esa nayo sesasīmāsupi. Ettha pana atimahatī nāma yā kesaggamattenapi tiyojanaṃ atikkamitvā sammatā hoti. Khaṇḍanimittā nāma aghaṭitanimittā vuccati. Puratthimāya disāya nimittaṃ kittetvā anukkameneva dakkhiṇāya pacchimāya uttarāya disāya kittetvā puna puratthimāya disāya pubbakittitaṃ nimittaṃ paṭikittetvā ṭhapetuṃ vaṭṭati, evaṃ akhaṇḍanimittā hoti. Sace pana anukkamena āharitvā uttarāya disāya nimittaṃ kittetvā tattheva ṭhapeti, khaṇḍanimittā hoti. Aparāpi khaṇḍanimittā nāma yā animittupagaṃ tacasārarukkhaṃ vā khāṇukaṃ vā paṃsupuñjaṃ vā vālukapuñjaṃ vā aññataraṃ antarā ekaṃ nimittaṃ katvā sammatā hoti. Chāyānimittā nāma yā pabbatacchāyādīnaṃ yaṃ kiñci chāyaṃ nimittaṃ katvā sammatā hoti. Animittā nāma yā sabbena sabbaṃ nimittāni akittetvā sammatā hoti. Bahisīme ṭhito sīmaṃ sammannati nāma nimittāni kittetvā nimittānaṃ bahi ṭhito sammannati. Nadiyā samudde jātassare sīmaṃ sammannatīti etesu nadīādīsu yaṃ sammannati, sā evaṃ sammatāpi ‘‘sabbā, bhikkhave, nadī asīmā, sabbo samuddo asīmo, sabbo jātassaro asīmo’’ti (mahāva. 147) vacanato asammatāva hoti. Sīmāya sīmaṃ sambhindatīti attano sīmāya paresaṃ sīmaṃ sambhindati. Sīmāya sīmaṃ ajjhottharatīti attano sīmāya paresaṃ sīmaṃ ajjhottharati. Tattha yathā sambhedo ca ajjhottharaṇañca hoti, taṃ sabbaṃ sīmākathāyaṃ vuttameva. Iti imā ekādasapi sīmā asīmā gāmakhettasadisā eva, tāsu nisīditvā kataṃ kammaṃ kuppati. Tena vuttaṃ ‘‘imehi ekādasahi ākārehi sīmato kammāni vipajjantī’’ti.
ปริสโต กมฺมวิปตฺติยํ ปน กิญฺจิ อนุตฺตานํ นาม นตฺถิฯ ยมฺปิ ตตฺถ กมฺมปฺปตฺตฉนฺทารหลกฺขณํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตมฺปิ ปรโต ‘‘จตฺตาโร ภิกฺขู ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา’’ติอาทินา นเยน วุตฺตเมวฯ ตตฺถ ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตาติ จตุวคฺคกรเณ กเมฺม จตฺตาโร ปกตตฺตา อนุกฺขิตฺตา อนิสฺสาริตา ปริสุทฺธสีลา จตฺตาโร ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา กมฺมสฺส อรหา อนุจฺฉวิกา สามิโนฯ น เตหิ วินา ตํ กมฺมํ กรียติ, น เตสํ ฉโนฺท วา ปาริสุทฺธิ วา เอติ, อวเสสา ปน สเจปิ สหสฺสมตฺตา โหนฺติ, สเจ สมานสํวาสกา สเพฺพ ฉนฺทารหาว โหนฺติ, ฉนฺทปาริสุทฺธิํ ทตฺวา อาคจฺฉนฺตุ วา มา วา, กมฺมํ ปน ติฎฺฐติฯ ยสฺส ปน สโงฺฆ ปริวาสาทิกมฺมํ กโรติ, โส เนว กมฺมปฺปโตฺต นาปิ ฉนฺทารโห, อปิจ ยสฺมา ตํ ปุคฺคลํ วตฺถุํ กตฺวา สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, ตสฺมา กมฺมารโหติ วุจฺจติฯ เสสกเมฺมสุปิ เอเสว นโยฯ
Parisato kammavipattiyaṃ pana kiñci anuttānaṃ nāma natthi. Yampi tattha kammappattachandārahalakkhaṇaṃ vattabbaṃ siyā, tampi parato ‘‘cattāro bhikkhū pakatattā kammappattā’’tiādinā nayena vuttameva. Tattha pakatattā kammappattāti catuvaggakaraṇe kamme cattāro pakatattā anukkhittā anissāritā parisuddhasīlā cattāro bhikkhū kammappattā kammassa arahā anucchavikā sāmino. Na tehi vinā taṃ kammaṃ karīyati, na tesaṃ chando vā pārisuddhi vā eti, avasesā pana sacepi sahassamattā honti, sace samānasaṃvāsakā sabbe chandārahāva honti, chandapārisuddhiṃ datvā āgacchantu vā mā vā, kammaṃ pana tiṭṭhati. Yassa pana saṅgho parivāsādikammaṃ karoti, so neva kammappatto nāpi chandāraho, apica yasmā taṃ puggalaṃ vatthuṃ katvā saṅgho kammaṃ karoti, tasmā kammārahoti vuccati. Sesakammesupi eseva nayo.
๒๕๔. อปโลกนกมฺมํ กตมานิ ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติ, โอสารณํ นิสฺสารณํ ภณฺฑุกมฺมํ พฺรหฺมทณฺฑํ กมฺมลกฺขณเญฺญว ปญฺจมนฺติ เอตฺถ ‘‘โอสารณํ นิสฺสารณ’’นฺติ ปทสิลิฎฺฐตาเยตํ วุตฺตํ, ปฐมํ ปน นิสฺสารณา โหติ, ปจฺฉา โอสารณาฯ ตตฺถ ยา สา กณฺฎกสฺส สามเณรสฺส ทณฺฑกมฺมนาสนา, สา นิสฺสารณาติ เวทิตพฺพาฯ ตสฺมา เอตรหิ สเจปิ สามเณโร พุทฺธสฺส วา ธมฺมสฺส วา สงฺฆสฺส วา อวณฺณํ ภณติ, อกปฺปิยํ ‘‘กปฺปิย’’นฺติ ทีเปติ, มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, อนฺตคฺคาหิกาย ทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต, โส ยาวตติยํ นิวาเรตฺวา ตํ ลทฺธิํ วิสฺสชฺชาเปตโพฺพฯ โน เจ วิสฺสเชฺชติ, สงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘วิสฺสเชฺชหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ โน เจ วิสฺสเชฺชติ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา อปโลกนกมฺมํ กตฺวา นิสฺสาเรตโพฺพฯ เอวญฺจ ปน กมฺมํ กาตพฺพํ –
254.Apalokanakammaṃ katamāni pañca ṭhānāni gacchati, osāraṇaṃ nissāraṇaṃ bhaṇḍukammaṃ brahmadaṇḍaṃ kammalakkhaṇaññeva pañcamanti ettha ‘‘osāraṇaṃ nissāraṇa’’nti padasiliṭṭhatāyetaṃ vuttaṃ, paṭhamaṃ pana nissāraṇā hoti, pacchā osāraṇā. Tattha yā sā kaṇṭakassa sāmaṇerassa daṇḍakammanāsanā, sā nissāraṇāti veditabbā. Tasmā etarahi sacepi sāmaṇero buddhassa vā dhammassa vā saṅghassa vā avaṇṇaṃ bhaṇati, akappiyaṃ ‘‘kappiya’’nti dīpeti, micchādiṭṭhiko hoti, antaggāhikāya diṭṭhiyā samannāgato, so yāvatatiyaṃ nivāretvā taṃ laddhiṃ vissajjāpetabbo. No ce vissajjeti, saṅghaṃ sannipātetvā ‘‘vissajjehī’’ti vattabbo. No ce vissajjeti, byattena bhikkhunā apalokanakammaṃ katvā nissāretabbo. Evañca pana kammaṃ kātabbaṃ –
‘‘สงฺฆํ, ภเนฺต, ปุจฺฉามิ ‘อยํ อิตฺถนฺนาโม สามเณโร พุทฺธสฺส ธมฺมสฺส สงฺฆสฺส อวณฺณวาที มิจฺฉาทิฎฺฐิโก, ยํ อเญฺญ สามเณรา ลภนฺติ ทิรตฺตติรตฺตํ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สหเสยฺยํ, ตสฺสา อลาภาย นิสฺสารณา รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’ติฯ ทุติยมฺปิฯ ตติยมฺปิ ภเนฺต สงฺฆํ ปุจฺฉามิ ‘อยํ อิตฺถนฺนาโม สามเณโร…เป.… รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’ติ, จร ปิเร วินสฺสา’’ติฯ
‘‘Saṅghaṃ, bhante, pucchāmi ‘ayaṃ itthannāmo sāmaṇero buddhassa dhammassa saṅghassa avaṇṇavādī micchādiṭṭhiko, yaṃ aññe sāmaṇerā labhanti dirattatirattaṃ bhikkhūhi saddhiṃ sahaseyyaṃ, tassā alābhāya nissāraṇā ruccati saṅghassā’ti. Dutiyampi. Tatiyampi bhante saṅghaṃ pucchāmi ‘ayaṃ itthannāmo sāmaṇero…pe… ruccati saṅghassā’ti, cara pire vinassā’’ti.
โส อปเรน สมเยน ‘‘อหํ, ภเนฺต, พาลตาย อญาณตาย อลกฺขิกตาย เอวํ อกาสิํ, สฺวาหํ สงฺฆํ ขมาเปมี’’ติ ขมาเปโนฺต ยาวตติยํ ยาจาเปตฺวา อปโลกนกเมฺมเนว โอสาเรตโพฺพ, เอวญฺจ ปน โอสาเรตโพฺพฯ สงฺฆมเชฺฌ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา สงฺฆสฺส อนุมติยา สาเวตพฺพํ –
So aparena samayena ‘‘ahaṃ, bhante, bālatāya añāṇatāya alakkhikatāya evaṃ akāsiṃ, svāhaṃ saṅghaṃ khamāpemī’’ti khamāpento yāvatatiyaṃ yācāpetvā apalokanakammeneva osāretabbo, evañca pana osāretabbo. Saṅghamajjhe byattena bhikkhunā saṅghassa anumatiyā sāvetabbaṃ –
‘‘สงฺฆํ , ภเนฺต, ปุจฺฉามิ ‘อยํ อิตฺถนฺนาโม สามเณโร พุทฺธสฺส ธมฺมสฺส สงฺฆสฺส อวณฺณวาที มิจฺฉาทิฎฺฐิโก, ยํ อเญฺญ สามเณรา ลภนฺติ ทิรตฺตติรตฺตํ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สหเสยฺยํ, ตสฺสา อลาภาย นิสฺสาริโต, สฺวายํ อิทานิ โสรโต นิวาตวุตฺติ ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกโนฺต หิโรตฺตเปฺป ปติฎฺฐิโต กตทณฺฑกโมฺม อจฺจยํ เทเสติ, อิมสฺส สามเณรสฺส ยถา ปุเร กายสโมฺภคสามคฺคิทานํ รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’’’ติฯ
‘‘Saṅghaṃ , bhante, pucchāmi ‘ayaṃ itthannāmo sāmaṇero buddhassa dhammassa saṅghassa avaṇṇavādī micchādiṭṭhiko, yaṃ aññe sāmaṇerā labhanti dirattatirattaṃ bhikkhūhi saddhiṃ sahaseyyaṃ, tassā alābhāya nissārito, svāyaṃ idāni sorato nivātavutti lajjidhammaṃ okkanto hirottappe patiṭṭhito katadaṇḍakammo accayaṃ deseti, imassa sāmaṇerassa yathā pure kāyasambhogasāmaggidānaṃ ruccati saṅghassā’’’ti.
เอวํ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ เอวํ อปโลกนกมฺมํ โอสารณญฺจ นิสฺสารณญฺจ คจฺฉติฯ ภณฺฑุกมฺมํ ปพฺพชฺชาวินิจฺฉยกถาย วุตฺตเมวฯ
Evaṃ tikkhattuṃ vattabbaṃ. Evaṃ apalokanakammaṃ osāraṇañca nissāraṇañca gacchati. Bhaṇḍukammaṃ pabbajjāvinicchayakathāya vuttameva.
พฺรหฺมทโณฺฑ ปน น เกวลํ ฉนฺนเสฺสว ปญฺญโตฺต, โย อโญฺญปิ ภิกฺขุ มุขโร โหติ, ภิกฺขู ทุรุตฺตวจเนหิ ฆเฎฺฎโนฺต ขุํเสโนฺต วเมฺภโนฺต วิหรติ, ตสฺสปิ ทาตโพฺพ, เอวญฺจ ปน ทาตโพฺพฯ สงฺฆมเชฺฌ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา สงฺฆสฺส อนุมติยา สาเวตพฺพํ –
Brahmadaṇḍo pana na kevalaṃ channasseva paññatto, yo aññopi bhikkhu mukharo hoti, bhikkhū duruttavacanehi ghaṭṭento khuṃsento vambhento viharati, tassapi dātabbo, evañca pana dātabbo. Saṅghamajjhe byattena bhikkhunā saṅghassa anumatiyā sāvetabbaṃ –
‘‘ภเนฺต, อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ มุขโร, ภิกฺขู ทุรุตฺตวจเนหิ ฆเฎฺฎโนฺต ขุํเสโนฺต วเมฺภโนฺต วิหรติ, โส ภิกฺขุ ยํ อิเจฺฉยฺย, ตํ วเทยฺย, ภิกฺขูหิ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ เนว วตฺตโพฺพ, น โอวทิตโพฺพ น อนุสาสิตโพฺพ, สงฺฆํ, ภเนฺต, ปุจฺฉามิ ‘อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑสฺส ทานํ รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’ติฯ ทุติยมฺปิ ปุจฺฉามิ…เป.… ตติยมฺปิ ปุจฺฉามิ ‘อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑสฺส ทานํ รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’’’ติฯ
‘‘Bhante, itthannāmo bhikkhu mukharo, bhikkhū duruttavacanehi ghaṭṭento khuṃsento vambhento viharati, so bhikkhu yaṃ iccheyya, taṃ vadeyya, bhikkhūhi itthannāmo bhikkhu neva vattabbo, na ovaditabbo na anusāsitabbo, saṅghaṃ, bhante, pucchāmi ‘itthannāmassa bhikkhuno brahmadaṇḍassa dānaṃ ruccati saṅghassā’ti. Dutiyampi pucchāmi…pe… tatiyampi pucchāmi ‘itthannāmassa bhikkhuno brahmadaṇḍassa dānaṃ ruccati saṅghassā’’’ti.
ตสฺส อปเรน สมเยน สมฺมา วตฺติตฺวา ขมาเปนฺตสฺส พฺรหฺมทโณฺฑ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตโพฺพ, เอวญฺจ ปน ปฎิปฺปสฺสเมฺภตโพฺพฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา สงฺฆมเชฺฌ สาเวตพฺพํ –
Tassa aparena samayena sammā vattitvā khamāpentassa brahmadaṇḍo paṭippassambhetabbo, evañca pana paṭippassambhetabbo. Byattena bhikkhunā saṅghamajjhe sāvetabbaṃ –
‘‘ภเนฺต, ภิกฺขุสโงฺฆ อสุกสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑํ อทาสิ, โส ภิกฺขุ โสรโต นิวาตวุตฺติ ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกโนฺต หิโรตฺตเปฺป ปติฎฺฐิโต ปฎิสงฺขา อายติํ สํวเร ติฎฺฐติ, สงฺฆํ, ภเนฺต, ปุจฺฉามิ ‘ตสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิ รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’’’ติฯ
‘‘Bhante, bhikkhusaṅgho asukassa bhikkhuno brahmadaṇḍaṃ adāsi, so bhikkhu sorato nivātavutti lajjidhammaṃ okkanto hirottappe patiṭṭhito paṭisaṅkhā āyatiṃ saṃvare tiṭṭhati, saṅghaṃ, bhante, pucchāmi ‘tassa bhikkhuno brahmadaṇḍassa paṭippassaddhi ruccati saṅghassā’’’ti.
เอวํ ยาวตติยํ วตฺวา อปโลกนกเมฺมเนว พฺรหฺมทโณฺฑ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตโพฺพติฯ
Evaṃ yāvatatiyaṃ vatvā apalokanakammeneva brahmadaṇḍo paṭippassambhetabboti.
กมฺมลกฺขณเญฺญว ปญฺจมนฺติ ยํ ตํ ภควตา ภิกฺขุนิกฺขนฺธเก –
Kammalakkhaṇaññevapañcamanti yaṃ taṃ bhagavatā bhikkhunikkhandhake –
‘‘เตน โข ปน สมเยน ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย กทฺทโมทเกน โอสิญฺจนฺติ ‘อเปฺปว นาม อเมฺหสุ สารเชฺชยฺยุ’นฺติ, กายํ วิวริตฺวา ภิกฺขุนีนํ ทเสฺสนฺติ, อูรุํ วิวริตฺวา ภิกฺขุนีนํ ทเสฺสนฺติ, องฺคชาตํ วิวริตฺวา ภิกฺขุนีนํ ทเสฺสนฺติฯ ภิกฺขุนิโย โอภาเสนฺติ, ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ สมฺปโยเชนฺติ ‘อเปฺปว นาม อเมฺหสุ สารเชฺชยฺยุ’’’นฺติ (จูฬว. ๔๑๑) –
‘‘Tena kho pana samayena chabbaggiyā bhikkhū bhikkhuniyo kaddamodakena osiñcanti ‘appeva nāma amhesu sārajjeyyu’nti, kāyaṃ vivaritvā bhikkhunīnaṃ dassenti, ūruṃ vivaritvā bhikkhunīnaṃ dassenti, aṅgajātaṃ vivaritvā bhikkhunīnaṃ dassenti. Bhikkhuniyo obhāsenti, bhikkhunīhi saddhiṃ sampayojenti ‘appeva nāma amhesu sārajjeyyu’’’nti (cūḷava. 411) –
อิเมสุ วตฺถูสุ เยสํ ภิกฺขูนํ ทุกฺกฎํ ปญฺญเปตฺวา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตสฺส ภิกฺขุโน ทณฺฑกมฺมํ กาตุ’’นฺติ วตฺวา ‘‘กิํ นุ โข ทณฺฑกมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติ สํสเย อุปฺปเนฺน ‘‘อวนฺทิโย โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ภิกฺขุนิสเงฺฆน กาตโพฺพ’’ติ เอวํ อวนฺทิยกมฺมํ อนุญฺญาตํ, ตํ กมฺมลกฺขณเญฺญว ปญฺจมํ, อิมสฺส อปโลกนกมฺมสฺส ฐานํ โหติฯ ตสฺส หิ กมฺมเญฺญว ลกฺขณํ, น โอสารณาทีนิ, ตสฺมา กมฺมลกฺขณนฺติ วุจฺจติฯ ตสฺส กรณํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา สทฺธิํ วิตฺถารโต ทสฺสยิสฺสามฯ ภิกฺขุนุปสฺสเย สนฺนิปติตสฺส ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อนุมติยา พฺยตฺตาย ภิกฺขุนิยา สาเวตพฺพํ –
Imesu vatthūsu yesaṃ bhikkhūnaṃ dukkaṭaṃ paññapetvā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tassa bhikkhuno daṇḍakammaṃ kātu’’nti vatvā ‘‘kiṃ nu kho daṇḍakammaṃ kātabba’’nti saṃsaye uppanne ‘‘avandiyo so, bhikkhave, bhikkhu bhikkhunisaṅghena kātabbo’’ti evaṃ avandiyakammaṃ anuññātaṃ, taṃ kammalakkhaṇaññeva pañcamaṃ, imassa apalokanakammassa ṭhānaṃ hoti. Tassa hi kammaññeva lakkhaṇaṃ, na osāraṇādīni, tasmā kammalakkhaṇanti vuccati. Tassa karaṇaṃ paṭippassaddhiyā saddhiṃ vitthārato dassayissāma. Bhikkhunupassaye sannipatitassa bhikkhunisaṅghassa anumatiyā byattāya bhikkhuniyā sāvetabbaṃ –
‘‘อเยฺย, อสุโก นาม อโยฺย ภิกฺขุนีนํ อปาสาทิกํ ทเสฺสติ, เอตสฺส อยฺยสฺส อวนฺทิยกรณํ รุจฺจตี’’ติ ภิกฺขุนิสงฺฆํ ปุจฺฉามิฯ ‘อเยฺย, อสุโก นาม อโยฺย ภิกฺขุนีนํ อปาสาทิกํ ทเสฺสติ, เอตสฺส อยฺยสฺส อวนฺทิยกรณํ รุจฺจตี’ติ ทุติยมฺปิฯ ตติยมฺปิ ภิกฺขุนิสงฺฆํ ปุจฺฉามี’’ติฯ
‘‘Ayye, asuko nāma ayyo bhikkhunīnaṃ apāsādikaṃ dasseti, etassa ayyassa avandiyakaraṇaṃ ruccatī’’ti bhikkhunisaṅghaṃ pucchāmi. ‘Ayye, asuko nāma ayyo bhikkhunīnaṃ apāsādikaṃ dasseti, etassa ayyassa avandiyakaraṇaṃ ruccatī’ti dutiyampi. Tatiyampi bhikkhunisaṅghaṃ pucchāmī’’ti.
เอวํ ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา อปโลกนกเมฺมน อวนฺทิยกมฺมํ กาตพฺพํฯ
Evaṃ tikkhattuṃ sāvetvā apalokanakammena avandiyakammaṃ kātabbaṃ.
ตโต ปฎฺฐาย โส ภิกฺขุ ภิกฺขุนีหิ น วนฺทิตโพฺพฯ สเจ อวนฺทิยมาโน หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา สมฺมา วตฺตติ, เตน ภิกฺขุนิโย ขมาเปตพฺพาฯ ขมาเปนฺตน ภิกฺขุนุปสฺสยํ อคนฺตฺวา วิหาเรเยว สงฺฆํ วา คณํ วา เอกํ ภิกฺขุํ วา อุปสงฺกมิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ปฎิสงฺขา อายติํ สํวเร ติฎฺฐามิ, น ปุน อปาสาทิกํ ทเสฺสสฺสามิ, ภิกฺขุนิสโงฺฆ มยฺหํ ขมตู’’ติ ขมาเปตพฺพํฯ เตน สเงฺฆน วา คเณน วา เอกํ ภิกฺขุํ เปเสตฺวา เอกภิกฺขุนา วา สยเมว คนฺตฺวา ภิกฺขุนิโย วตฺตพฺพา ‘‘อยํ ภิกฺขุ ปฎิสงฺขา อายติํ สํวเร ฐิโต, อิมินา อจฺจยํ เทเสตฺวา ภิกฺขุนิสโงฺฆ ขมาปิโต, ภิกฺขุนิสโงฺฆ อิมํ ภิกฺขุํ วนฺทิยํ กโรตู’’ติฯ โส วนฺทิโย กาตโพฺพ, เอวญฺจ ปน กาตโพฺพฯ ภิกฺขุนุปสฺสเย สนฺนิปติตสฺส ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อนุมติยา พฺยตฺตาย ภิกฺขุนิยา สาเวตพฺพํ –
Tato paṭṭhāya so bhikkhu bhikkhunīhi na vanditabbo. Sace avandiyamāno hirottappaṃ paccupaṭṭhapetvā sammā vattati, tena bhikkhuniyo khamāpetabbā. Khamāpentana bhikkhunupassayaṃ agantvā vihāreyeva saṅghaṃ vā gaṇaṃ vā ekaṃ bhikkhuṃ vā upasaṅkamitvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘ahaṃ, bhante, paṭisaṅkhā āyatiṃ saṃvare tiṭṭhāmi, na puna apāsādikaṃ dassessāmi, bhikkhunisaṅgho mayhaṃ khamatū’’ti khamāpetabbaṃ. Tena saṅghena vā gaṇena vā ekaṃ bhikkhuṃ pesetvā ekabhikkhunā vā sayameva gantvā bhikkhuniyo vattabbā ‘‘ayaṃ bhikkhu paṭisaṅkhā āyatiṃ saṃvare ṭhito, iminā accayaṃ desetvā bhikkhunisaṅgho khamāpito, bhikkhunisaṅgho imaṃ bhikkhuṃ vandiyaṃ karotū’’ti. So vandiyo kātabbo, evañca pana kātabbo. Bhikkhunupassaye sannipatitassa bhikkhunisaṅghassa anumatiyā byattāya bhikkhuniyā sāvetabbaṃ –
‘‘อเยฺย, อสุโก นาม อโยฺย ภิกฺขุนีนํ อปาสาทิกํ ทเสฺสตีติ ภิกฺขุนิสเงฺฆน อวนฺทิโย กโต, โส ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกมิตฺวา ปฎิสงฺขา อายติํ สํวเร ฐิโต, อจฺจยํ เทเสตฺวา ภิกฺขุนิสงฺฆํ ขมาเปสิ, ตสฺส อยฺยสฺส วนฺทิยกรณํ รุจฺจตีติ ภิกฺขุนิสงฺฆํ ปุจฺฉามี’’ติ –
‘‘Ayye, asuko nāma ayyo bhikkhunīnaṃ apāsādikaṃ dassetīti bhikkhunisaṅghena avandiyo kato, so lajjidhammaṃ okkamitvā paṭisaṅkhā āyatiṃ saṃvare ṭhito, accayaṃ desetvā bhikkhunisaṅghaṃ khamāpesi, tassa ayyassa vandiyakaraṇaṃ ruccatīti bhikkhunisaṅghaṃ pucchāmī’’ti –
ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ เอวํ อปโลกนกเมฺมเนว วนฺทิโย กาตโพฺพฯ
Tikkhattuṃ vattabbaṃ. Evaṃ apalokanakammeneva vandiyo kātabbo.
๒๕๕. อยํ ปเนตฺถ ปาฬิมุตฺตโกปิ กมฺมลกฺขณวินิจฺฉโย (ปริ. อฎฺฐ. ๔๙๕-๔๙๖)ฯ อิทญฺหิ กมฺมลกฺขณํ นาม ภิกฺขุนิสงฺฆมูลกํ ปญฺญตฺตํ, ภิกฺขุสงฺฆสฺสปิ ปเนตํ ลพฺภติเยวฯ ยญฺหิ ภิกฺขุสโงฺฆ สลากภตฺตอุโปสถเคฺคสุ จ อปโลกนกมฺมํ กโรติ, เอตมฺปิ กมฺมลกฺขณเมวฯ อจฺฉินฺนจีวรชิณฺณจีวรนฎฺฐจีวรานญฺหิ สงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ยาวตติยํ สาเวตฺวา อปโลกนกมฺมํ กตฺวา จีวรํ ทาตุํ วฎฺฎติฯ อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชเกน ปน จีวรํ กโรนฺตสฺส ปจฺจยภาชนียกถายํ วุตฺตปฺปเภทานิ สูจิอาทีนิ อนปโลเกตฺวาปิ ทาตพฺพานิฯ เตสํ ทาเน โสเยว อิสฺสโร, ตโต อติเรกํ เทเนฺตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ ตโต หิ อติเรกทาเน สโงฺฆ สามีฯ คิลานเภสชฺชมฺปิ ตตฺถ วุตฺตปฺปการํ สยเมว ทาตพฺพํ, อติเรกํ อิจฺฉนฺตสฺส อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ โยปิ จ ทุพฺพโล วา ฉินฺนิริยาปโถ วา ปจฺฉินฺนภิกฺขาจารปโถ วา มหาคิลาโน, ตสฺส มหาวาเสสุ ตตฺรุปฺปาทโต เทวสิกํ นาฬิ วา อุปฑฺฒนาฬิ วา, เอกทิวสํเยว วา ปญฺจ วา ทส วา ตณฺฑุลนาฬิโย เทเนฺตน อปโลกนกมฺมํ กตฺวาว ทาตพฺพาฯ เปสลสฺส ภิกฺขุโน ตตฺรุปฺปาทโต อิณปลิโพธมฺปิ พหุสฺสุตสฺส สงฺฆภารนิตฺถรกสฺส ภิกฺขุโน อนุฎฺฐาปนียเสนาสนมฺปิ สงฺฆกิจฺจํ กโรนฺตานํ กปฺปิยการกาทีนํ ภตฺตเวตนมฺปิ อปโลกนกเมฺมน ทาตุํ วฎฺฎติฯ
255. Ayaṃ panettha pāḷimuttakopi kammalakkhaṇavinicchayo (pari. aṭṭha. 495-496). Idañhi kammalakkhaṇaṃ nāma bhikkhunisaṅghamūlakaṃ paññattaṃ, bhikkhusaṅghassapi panetaṃ labbhatiyeva. Yañhi bhikkhusaṅgho salākabhattauposathaggesu ca apalokanakammaṃ karoti, etampi kammalakkhaṇameva. Acchinnacīvarajiṇṇacīvaranaṭṭhacīvarānañhi saṅghaṃ sannipātetvā byattena bhikkhunā yāvatatiyaṃ sāvetvā apalokanakammaṃ katvā cīvaraṃ dātuṃ vaṭṭati. Appamattakavissajjakena pana cīvaraṃ karontassa paccayabhājanīyakathāyaṃ vuttappabhedāni sūciādīni anapaloketvāpi dātabbāni. Tesaṃ dāne soyeva issaro, tato atirekaṃ dentena apaloketvā dātabbaṃ. Tato hi atirekadāne saṅgho sāmī. Gilānabhesajjampi tattha vuttappakāraṃ sayameva dātabbaṃ, atirekaṃ icchantassa apaloketvā dātabbaṃ. Yopi ca dubbalo vā chinniriyāpatho vā pacchinnabhikkhācārapatho vā mahāgilāno, tassa mahāvāsesu tatruppādato devasikaṃ nāḷi vā upaḍḍhanāḷi vā, ekadivasaṃyeva vā pañca vā dasa vā taṇḍulanāḷiyo dentena apalokanakammaṃ katvāva dātabbā. Pesalassa bhikkhuno tatruppādato iṇapalibodhampi bahussutassa saṅghabhāranittharakassa bhikkhuno anuṭṭhāpanīyasenāsanampi saṅghakiccaṃ karontānaṃ kappiyakārakādīnaṃ bhattavetanampi apalokanakammena dātuṃ vaṭṭati.
จตุปจฺจยวเสน ทินฺนตตฺรุปฺปาทโต สงฺฆิกํ อาวาสํ ชคฺคาเปตุํ วฎฺฎติ, ‘‘อยํ ภิกฺขุ อิสฺสรวตาย วิจาเรตี’’ติ กถาปจฺฉินฺทนตฺถํ ปน สลากคฺคาทีสุ วา อนฺตรสนฺนิปาเต วา สงฺฆํ อาปุจฺฉิตฺวาว ชคฺคาเปตโพฺพฯ จีวรปิณฺฑปาตตฺถาย โอทิสฺส ทินฺนตตฺรุปฺปาทโตปิ อปโลเกตฺวา อาวาโส ชคฺคาเปตโพฺพ, อนปโลเกตฺวาปิ วฎฺฎติ, ‘‘สูโร วตายํ ภิกฺขุ จีวรปิณฺฑปาตตฺถาย โอทิสฺส ทินฺนโต อาวาสํ ชคฺคาเปตี’’ติ เอวํ อุปฺปนฺนกถาปเจฺฉทนตฺถํ ปน อปโลกนกมฺมเมว กตฺวา ชคฺคาเปตโพฺพฯ
Catupaccayavasena dinnatatruppādato saṅghikaṃ āvāsaṃ jaggāpetuṃ vaṭṭati, ‘‘ayaṃ bhikkhu issaravatāya vicāretī’’ti kathāpacchindanatthaṃ pana salākaggādīsu vā antarasannipāte vā saṅghaṃ āpucchitvāva jaggāpetabbo. Cīvarapiṇḍapātatthāya odissa dinnatatruppādatopi apaloketvā āvāso jaggāpetabbo, anapaloketvāpi vaṭṭati, ‘‘sūro vatāyaṃ bhikkhu cīvarapiṇḍapātatthāya odissa dinnato āvāsaṃ jaggāpetī’’ti evaṃ uppannakathāpacchedanatthaṃ pana apalokanakammameva katvā jaggāpetabbo.
เจติเย ฉตฺตํ วา เวทิกํ วา โพธิฆรํ วา อาสนฆรํ วา อกตํ วา กโรเนฺตน ชิณฺณํ วา ปฎิสงฺขโรเนฺตน สุธากมฺมํ วา กโรเนฺตน มนุเสฺส สมาทเปตฺวา กาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ การโก นตฺถิ, เจติยสฺส อุปนิเกฺขปโต กาเรตพฺพํฯ อุปนิเกฺขเปปิ อสติ อปโลกนกมฺมํ กตฺวา ตตฺรุปฺปาทโต กาเรตพฺพํ, สงฺฆิเกนปิ อปโลเกตฺวา เจติยกิจฺจํ กาตุํ วฎฺฎติฯ เจติยสฺส สนฺตเกน อปโลเกตฺวาปิ สงฺฆิกกิจฺจํ น วฎฺฎติ, ตาวกาลิกํ ปน คเหตฺวา ปฎิปากติกํ กาตุํ วฎฺฎติฯ เจติเย สุธากมฺมาทีนิ กโรเนฺตหิ ปน ภิกฺขาจารโต วา สงฺฆโต วา ยาปนมตฺตํ อลภเนฺตหิ เจติยสนฺตกโต ยาปนมตฺตํ คเหตฺวา ปริภุญฺชเนฺตหิ วตฺตํ กาตุํ วฎฺฎติ, ‘‘วตฺตํ กโรมา’’ติ มจฺฉมํสาทีหิ สงฺฆภตฺตํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ
Cetiye chattaṃ vā vedikaṃ vā bodhigharaṃ vā āsanagharaṃ vā akataṃ vā karontena jiṇṇaṃ vā paṭisaṅkharontena sudhākammaṃ vā karontena manusse samādapetvā kātuṃ vaṭṭati. Sace kārako natthi, cetiyassa upanikkhepato kāretabbaṃ. Upanikkhepepi asati apalokanakammaṃ katvā tatruppādato kāretabbaṃ, saṅghikenapi apaloketvā cetiyakiccaṃ kātuṃ vaṭṭati. Cetiyassa santakena apaloketvāpi saṅghikakiccaṃ na vaṭṭati, tāvakālikaṃ pana gahetvā paṭipākatikaṃ kātuṃ vaṭṭati. Cetiye sudhākammādīni karontehi pana bhikkhācārato vā saṅghato vā yāpanamattaṃ alabhantehi cetiyasantakato yāpanamattaṃ gahetvā paribhuñjantehi vattaṃ kātuṃ vaṭṭati, ‘‘vattaṃ karomā’’ti macchamaṃsādīhi saṅghabhattaṃ kātuṃ na vaṭṭati.
เย วิหาเร โรปิตา ผลรุกฺขา สเงฺฆน ปริคฺคหิตา โหนฺติ, ชคฺคนกมฺมํ ลภนฺติฯ เยสํ ผลานิ ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ภาเชตฺวา ปริภุญฺชนฺติ, เตสุ อปโลกนกมฺมํ น กาตพฺพํฯ เย ปน อปริคฺคหิตา, เตสุ อปโลกนกมฺมํ กาตพฺพํ, ตํ ปน สลากคฺคยาคคฺคภตฺตคฺคอนฺตรสออาปาเตสุปิ กาตุํ วฎฺฎติ, อุโปสถเคฺค ปน วฎฺฎติเยวฯ ตตฺถ หิ อนาคตานมฺปิ ฉนฺทปาริสุทฺธิ อาหรียติ, ตสฺมา ตํ สุวิโสธิตํ โหติฯ เอวญฺจ ปน กาตพฺพํ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ภิกฺขุสงฺฆสฺส อนุมติยา สาเวตพฺพํ –
Ye vihāre ropitā phalarukkhā saṅghena pariggahitā honti, jagganakammaṃ labhanti. Yesaṃ phalāni ghaṇṭiṃ paharitvā bhājetvā paribhuñjanti, tesu apalokanakammaṃ na kātabbaṃ. Ye pana apariggahitā, tesu apalokanakammaṃ kātabbaṃ, taṃ pana salākaggayāgaggabhattaggaantarasaaāpātesupi kātuṃ vaṭṭati, uposathagge pana vaṭṭatiyeva. Tattha hi anāgatānampi chandapārisuddhi āharīyati, tasmā taṃ suvisodhitaṃ hoti. Evañca pana kātabbaṃ, byattena bhikkhunā bhikkhusaṅghassa anumatiyā sāvetabbaṃ –
‘‘ภเนฺต, ยํ อิมสฺมิํ วิหาเร อโนฺตสีมาย สงฺฆสนฺตกํ มูลตจปตฺตองฺกุรปุปฺผผลขาทนียาทิ อตฺถิ, ตํ สพฺพํ อาคตาคตานํ ภิกฺขูนํ ยถาสุขํ ปริภุญฺชิตุํ รุจฺจตีติ สงฺฆํ ปุจฺฉามี’’ติ –
‘‘Bhante, yaṃ imasmiṃ vihāre antosīmāya saṅghasantakaṃ mūlatacapattaaṅkurapupphaphalakhādanīyādi atthi, taṃ sabbaṃ āgatāgatānaṃ bhikkhūnaṃ yathāsukhaṃ paribhuñjituṃ ruccatīti saṅghaṃ pucchāmī’’ti –
ติกฺขตฺตุํ ปุจฺฉิตพฺพํฯ
Tikkhattuṃ pucchitabbaṃ.
จตูหิ ปญฺจหิ ภิกฺขูหิ กตํ สุกตเมวฯ ยสฺมิมฺปิ วิหาเร เทฺว ตโย ชนา วสนฺติ, เตหิ นิสีทิตฺวา กตมฺปิ สเงฺฆน กตสทิสเมวฯ ยสฺมิํ ปน เอโก ภิกฺขุ โหติ, เตน ภิกฺขุนา อุโปสถทิวเส ปุพฺพกรณปุพฺพกิจฺจํ กตฺวา นิสิเนฺนน กตมฺปิ กติกวตฺตํ สเงฺฆน กตสทิสเมว โหติฯ กโรเนฺตน ปน ผลวาเรน กาตุมฺปิ จตฺตาโร มาเส ฉ มาเส เอกสํวจฺฉรนฺติ เอวํ ปริจฺฉินฺทิตฺวาปิ อปริจฺฉินฺทิตฺวาปิ กาตุํ วฎฺฎติฯ ปริจฺฉิเนฺน ยถาปริเจฺฉทํ ปริภุญฺชิตฺวา ปุน กาตพฺพํฯ อปริจฺฉิเนฺน ยาว รุกฺขา ธรนฺติ, ตาว วฎฺฎติฯ เยปิ เตสํ รุกฺขานํ พีเชหิ อเญฺญ รุกฺขา โรปิตา โหนฺติ, เตสมฺปิ สา เอว กติกาฯ
Catūhi pañcahi bhikkhūhi kataṃ sukatameva. Yasmimpi vihāre dve tayo janā vasanti, tehi nisīditvā katampi saṅghena katasadisameva. Yasmiṃ pana eko bhikkhu hoti, tena bhikkhunā uposathadivase pubbakaraṇapubbakiccaṃ katvā nisinnena katampi katikavattaṃ saṅghena katasadisameva hoti. Karontena pana phalavārena kātumpi cattāro māse cha māse ekasaṃvaccharanti evaṃ paricchinditvāpi aparicchinditvāpi kātuṃ vaṭṭati. Paricchinne yathāparicchedaṃ paribhuñjitvā puna kātabbaṃ. Aparicchinne yāva rukkhā dharanti, tāva vaṭṭati. Yepi tesaṃ rukkhānaṃ bījehi aññe rukkhā ropitā honti, tesampi sā eva katikā.
สเจ ปน อญฺญสฺมิํ วิหาเร โรปิตา โหนฺติ, เตสํ ยตฺถ โรปิตา, ตสฺมิํเยว วิหาเร สโงฺฆ สามีฯ เยปิ อญฺญโต พีชานิ อาหริตฺวา ปุริมวิหาเร ปจฺฉา โรปิตา, เตสุ อญฺญา กติกา กาตพฺพา, กติกาย กตาย ปุคฺคลิกฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺติ, ยถาสุขํ ผลาทีนิ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎนฺติฯ สเจ ปเนตฺถ ตํ ตํ โอกาสํ ปริกฺขิปิตฺวา ปริเวณานิ กตฺวา ชคฺคนฺติ, เตสํ ภิกฺขูนํ ปุคฺคลิกฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺติ, อเญฺญ ปริภุญฺชิตุํ น ลภนฺติฯ เตหิ ปน สงฺฆสฺส ทสมภาคํ ทตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพานิฯ โยปิ มเชฺฌวิหาเร รุกฺขํ สาขาหิ ปริวาเรตฺวา รกฺขติ, ตสฺสปิ เอเสว นโยฯ
Sace pana aññasmiṃ vihāre ropitā honti, tesaṃ yattha ropitā, tasmiṃyeva vihāre saṅgho sāmī. Yepi aññato bījāni āharitvā purimavihāre pacchā ropitā, tesu aññā katikā kātabbā, katikāya katāya puggalikaṭṭhāne tiṭṭhanti, yathāsukhaṃ phalādīni paribhuñjituṃ vaṭṭanti. Sace panettha taṃ taṃ okāsaṃ parikkhipitvā pariveṇāni katvā jagganti, tesaṃ bhikkhūnaṃ puggalikaṭṭhāne tiṭṭhanti, aññe paribhuñjituṃ na labhanti. Tehi pana saṅghassa dasamabhāgaṃ datvā paribhuñjitabbāni. Yopi majjhevihāre rukkhaṃ sākhāhi parivāretvā rakkhati, tassapi eseva nayo.
โปราณกวิหารํ คตสฺส สมฺภาวนียภิกฺขุโน ‘‘เถโร อาคโต’’ติ ผลาผลํ อาหรนฺติ, สเจ ตตฺถ มูเล สพฺพปริยตฺติธโร พหุสฺสุตภิกฺขุ วิหาสิ, ‘‘อทฺธา เอตฺถ ทีฆา กติกา กตา ภวิสฺสตี’’ติ นิกฺกุกฺกุเจฺจน ปริภุญฺชิตพฺพํฯ วิหาเร ผลาผลํ ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติ, ธุตงฺคํ น โกเปติฯ สามเณรา อตฺตโน อาจริยุปชฺฌายานํ พหูนิ ผลานิ เทนฺติ, อเญฺญ ภิกฺขู อลภนฺตา ขิยฺยนฺติ, ขิยฺยนมตฺตเมว ตํ โหติฯ สเจ ทุพฺภิกฺขํ โหติ, เอกํ ปนสรุกฺขํ นิสฺสาย สฎฺฐิปิ ชนา ชีวนฺติ, ตาทิเส กาเล สเพฺพสํ สงฺคหกรณตฺถาย ภาเชตฺวา ขาทิตพฺพํฯ อยํ สามีจิฯ ยาว ปน กติกวตฺตํ น ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, ตาว เตหิ ขายิตํ สุขายิตเมวฯ กทา ปน กติกวตฺตํ ปฎิปฺปสฺสมฺภติ? ยทา สมโคฺค สโงฺฆ สนฺนิปติตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ภาเชตฺวา ขาทนฺตู’’ติ สาเวภิ, เอกภิกฺขุเก ปน วิหาเร เอเตน สาวิเตปิ ปุริมกติกา ปฎิปฺปสฺสมฺภติเยว ฯ สเจ ปฎิปฺปสฺสทฺธาย กติกาย สามเณรา เนว รุกฺขโต ปาเตนฺติ, น ภูมิโต คเหตฺวา ภิกฺขูนํ เทนฺติ, ปติตผลานิ ปาเทหิ ปหรนฺตา วิจรนฺติ, เตสํ ทสมภาคโต ปฎฺฐาย ยาว อุปฑฺฒผลภาเคน ผาติกมฺมํ กาตพฺพํฯ อทฺธา ผาติกมฺมโลเภน อาหริตฺวา ทเสฺสนฺติ, ปุน สุภิเกฺข ชาเต กปฺปิยการเกสุ อาคนฺตฺวา สาขาปริวาราทีนิ กตฺวา รุเกฺข รกฺขเนฺตสุ สามเณรานํ ผาติกมฺมํ น กาตพฺพํ, ภาเชตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ
Porāṇakavihāraṃ gatassa sambhāvanīyabhikkhuno ‘‘thero āgato’’ti phalāphalaṃ āharanti, sace tattha mūle sabbapariyattidharo bahussutabhikkhu vihāsi, ‘‘addhā ettha dīghā katikā katā bhavissatī’’ti nikkukkuccena paribhuñjitabbaṃ. Vihāre phalāphalaṃ piṇḍapātikānampi vaṭṭati, dhutaṅgaṃ na kopeti. Sāmaṇerā attano ācariyupajjhāyānaṃ bahūni phalāni denti, aññe bhikkhū alabhantā khiyyanti, khiyyanamattameva taṃ hoti. Sace dubbhikkhaṃ hoti, ekaṃ panasarukkhaṃ nissāya saṭṭhipi janā jīvanti, tādise kāle sabbesaṃ saṅgahakaraṇatthāya bhājetvā khāditabbaṃ. Ayaṃ sāmīci. Yāva pana katikavattaṃ na paṭippassambhati, tāva tehi khāyitaṃ sukhāyitameva. Kadā pana katikavattaṃ paṭippassambhati? Yadā samaggo saṅgho sannipatitvā ‘‘ito paṭṭhāya bhājetvā khādantū’’ti sāvebhi, ekabhikkhuke pana vihāre etena sāvitepi purimakatikā paṭippassambhatiyeva . Sace paṭippassaddhāya katikāya sāmaṇerā neva rukkhato pātenti, na bhūmito gahetvā bhikkhūnaṃ denti, patitaphalāni pādehi paharantā vicaranti, tesaṃ dasamabhāgato paṭṭhāya yāva upaḍḍhaphalabhāgena phātikammaṃ kātabbaṃ. Addhā phātikammalobhena āharitvā dassenti, puna subhikkhe jāte kappiyakārakesu āgantvā sākhāparivārādīni katvā rukkhe rakkhantesu sāmaṇerānaṃ phātikammaṃ na kātabbaṃ, bhājetvā paribhuñjitabbaṃ.
‘‘วิหาเร ผลาผลํ อตฺถี’’ติ สามนฺตคาเมหิ มนุสฺสา คิลานานํ วา คพฺภินีนํ วา อตฺถาย อาคนฺตฺวา ‘‘เอกํ นาฬิเกรํ เทถ, อมฺพํ เทถ, ลพุชํ เทถา’’ติ ยาจนฺติ, ทาตพฺพํ, น ทาตพฺพนฺติ? ทาตพฺพํฯ อทียมาเน หิ เต โทมนสฺสิกา โหนฺติฯ เทเนฺตน ปน สงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ยาวตติยํ สาเวตฺวา อปโลกนกมฺมํ กตฺวาว ทาตพฺพํ, กติกวตฺตํ วา กตฺวา ฐเปตพฺพํ, เอวญฺจ ปน กาตพฺพํฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา สงฺฆสฺส อนุมติยา สาเวตพฺพํ –
‘‘Vihāre phalāphalaṃ atthī’’ti sāmantagāmehi manussā gilānānaṃ vā gabbhinīnaṃ vā atthāya āgantvā ‘‘ekaṃ nāḷikeraṃ detha, ambaṃ detha, labujaṃ dethā’’ti yācanti, dātabbaṃ, na dātabbanti? Dātabbaṃ. Adīyamāne hi te domanassikā honti. Dentena pana saṅghaṃ sannipātetvā yāvatatiyaṃ sāvetvā apalokanakammaṃ katvāva dātabbaṃ, katikavattaṃ vā katvā ṭhapetabbaṃ, evañca pana kātabbaṃ. Byattena bhikkhunā saṅghassa anumatiyā sāvetabbaṃ –
‘‘สามนฺตคาเมหิ มนุสฺสา อาคนฺตฺวา คิลานาทีนํ อตฺถาย ผลาผลํ ยาจนฺติ, เทฺว นาฬิเกรานิ เทฺว ตาลผลานิ เทฺว ปนสานิ ปญฺจ อมฺพานิ ปญฺจ กทลิผลานิ คณฺหนฺตานํ อนิวารณํ, อสุกรุกฺขโต จ อสุกรุกฺขโต จ ผลํ คณฺหนฺตานํ อนิวารณํ รุจฺจติ ภิกฺขุสงฺฆสฺสา’’ติ –
‘‘Sāmantagāmehi manussā āgantvā gilānādīnaṃ atthāya phalāphalaṃ yācanti, dve nāḷikerāni dve tālaphalāni dve panasāni pañca ambāni pañca kadaliphalāni gaṇhantānaṃ anivāraṇaṃ, asukarukkhato ca asukarukkhato ca phalaṃ gaṇhantānaṃ anivāraṇaṃ ruccati bhikkhusaṅghassā’’ti –
ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ ตโต ปฎฺฐาย คิลานาทีนํ นามํ คเหตฺวา ยาจนฺตา ‘‘คณฺหถา’’ติ น วตฺตพฺพา , วตฺตํ ปน อาจิกฺขิตพฺพํ ‘‘นาฬิเกราทีนิ อิมินา นาม ปริเจฺฉเทน คณฺหนฺตานํ อสุกรุกฺขโต จ อสุกรุกฺขโต จ ผลํ คณฺหนฺตานํ อนิวารณํ กต’’นฺติฯ อนุวิจริตฺวา ปน ‘‘อยํ มธุรผโล อโมฺพ, อิโต คณฺหถา’’ติปิ น วตฺตพฺพาฯ
Tikkhattuṃ vattabbaṃ. Tato paṭṭhāya gilānādīnaṃ nāmaṃ gahetvā yācantā ‘‘gaṇhathā’’ti na vattabbā , vattaṃ pana ācikkhitabbaṃ ‘‘nāḷikerādīni iminā nāma paricchedena gaṇhantānaṃ asukarukkhato ca asukarukkhato ca phalaṃ gaṇhantānaṃ anivāraṇaṃ kata’’nti. Anuvicaritvā pana ‘‘ayaṃ madhuraphalo ambo, ito gaṇhathā’’tipi na vattabbā.
ผลภาชนกาเล ปน อาคตานํ สมฺมเตน อุปฑฺฒภาโค ทาตโพฺพ, อสมฺมเตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ ขีณปริพฺพโย วา มคฺคคมิยสตฺถวาโห วา อโญฺญ วา อิสฺสโร อาคนฺตฺวา ยาจติ, อปโลเกตฺวาว ทาตพฺพํ, พลกฺกาเรน คเหตฺวา ขาทโนฺต น วาเรตโพฺพฯ กุโทฺธ หิ โส รุเกฺขปิ ฉิเนฺทยฺย, อญฺญมฺปิ อนตฺถํ กเรยฺยฯ ปุคฺคลิกปริเวณํ อาคนฺตฺวา คิลานสฺส นาเมน ยาจโนฺต ‘‘อเมฺหหิ ฉายาทีนํ อตฺถาย โรปิตํ, สเจ อตฺถิ, ตุเมฺห ชานาถา’’ติ วตฺตโพฺพฯ ยทิ ปน ผลภริตาว รุกฺขา โหนฺติ, กณฺฎเก พนฺธิตฺวา ผลวาเรน คณฺหนฺติ, อปจฺจาสีสเนฺตน หุตฺวา ทาตพฺพํ, พลกฺกาเรน คณฺหโนฺต น วาเรตโพฺพฯ ปุเพฺพ วุตฺตเมเวตฺถ การณํฯ
Phalabhājanakāle pana āgatānaṃ sammatena upaḍḍhabhāgo dātabbo, asammatena apaloketvā dātabbaṃ. Khīṇaparibbayo vā maggagamiyasatthavāho vā añño vā issaro āgantvā yācati, apaloketvāva dātabbaṃ, balakkārena gahetvā khādanto na vāretabbo. Kuddho hi so rukkhepi chindeyya, aññampi anatthaṃ kareyya. Puggalikapariveṇaṃ āgantvā gilānassa nāmena yācanto ‘‘amhehi chāyādīnaṃ atthāya ropitaṃ, sace atthi, tumhe jānāthā’’ti vattabbo. Yadi pana phalabharitāva rukkhā honti, kaṇṭake bandhitvā phalavārena gaṇhanti, apaccāsīsantena hutvā dātabbaṃ, balakkārena gaṇhanto na vāretabbo. Pubbe vuttamevettha kāraṇaṃ.
สงฺฆสฺส ผลาราโม โหติ, ปฎิชคฺคนํ น ลภติฯ สเจ ตํ โกจิ วตฺตสีเสน ชคฺคติ, สงฺฆเสฺสว โหติฯ อถาปิ กสฺสจิ ปฎิพลสฺส ภิกฺขุโน ‘‘อิมํ สปฺปุริส ชคฺคิตฺวา เทหี’’ติ สโงฺฆ ภารํ กโรติ, โส เจ วตฺตสีเสน ชคฺคติ, เอวมฺปิ สงฺฆเสฺสว โหติฯ ผาติกมฺมํ ปจฺจาสีสนฺตสฺส ปน ตติยภาเคน วา อุปฑฺฒภาเคน วา ผาติกมฺมํ กาตพฺพํฯ ‘‘ภาริยํ กมฺม’’นฺติ วตฺวา เอตฺตเกน อนิจฺฉโนฺต ปน ‘‘สพฺพํ ตเวว สนฺตกํ กตฺวา มูลภาคํ ทสมภาคมตฺตํ ทตฺวา ชคฺคาหี’’ติปิ วตฺตโพฺพ, ครุภณฺฑตฺตา ปน น มูลเจฺฉชฺชวเสน ทาตพฺพํฯ โส มูลภาคํ ทตฺวา ขาทโนฺต อกตาวาสํ วา กตฺวา กตาวาสํ วา ชคฺคิตฺวา นิสฺสิตกานํ อารามํ นิยฺยาเตติ, เตหิปิ มูลภาโค ทาตโพฺพวฯ
Saṅghassa phalārāmo hoti, paṭijagganaṃ na labhati. Sace taṃ koci vattasīsena jaggati, saṅghasseva hoti. Athāpi kassaci paṭibalassa bhikkhuno ‘‘imaṃ sappurisa jaggitvā dehī’’ti saṅgho bhāraṃ karoti, so ce vattasīsena jaggati, evampi saṅghasseva hoti. Phātikammaṃ paccāsīsantassa pana tatiyabhāgena vā upaḍḍhabhāgena vā phātikammaṃ kātabbaṃ. ‘‘Bhāriyaṃ kamma’’nti vatvā ettakena anicchanto pana ‘‘sabbaṃ taveva santakaṃ katvā mūlabhāgaṃ dasamabhāgamattaṃ datvā jaggāhī’’tipi vattabbo, garubhaṇḍattā pana na mūlacchejjavasena dātabbaṃ. So mūlabhāgaṃ datvā khādanto akatāvāsaṃ vā katvā katāvāsaṃ vā jaggitvā nissitakānaṃ ārāmaṃ niyyāteti, tehipi mūlabhāgo dātabbova.
ยทา ปน ภิกฺขู สยํ ชคฺคิตุํ ปโหนฺติ, อถ เตสํ ชคฺคิตุํ น ทาตพฺพํ, ชคฺคิตกาเล ปน น วาเรตพฺพา, ชคฺคนกาเลเยว วาเรตพฺพาฯ ‘‘พหุ ตุเมฺหหิ ขายิตํ, อิทานิ มา ชคฺคิตฺถ, ภิกฺขุสโงฺฆเยว ชคฺคิสฺสตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ ปน เนว วตฺตสีเสน ชคฺคโนฺต อตฺถิ, น ผาติกเมฺมน, น สโงฺฆ ชคฺคิตุํ ปโหติ, เอโก อนาปุจฺฉิตฺวาว ชคฺคิตฺวา ผาติกมฺมํ วเฑฺฒตฺวา ปจฺจาสีสติ, อปโลกนกเมฺมน ผาติกมฺมํ วเฑฺฒตฺวาว ทาตพฺพํฯ อิติ อิมํ สพฺพมฺปิ กมฺมลกฺขณเมว โหติฯ อปโลกนกมฺมํ อิมานิ ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติฯ
Yadā pana bhikkhū sayaṃ jaggituṃ pahonti, atha tesaṃ jaggituṃ na dātabbaṃ, jaggitakāle pana na vāretabbā, jagganakāleyeva vāretabbā. ‘‘Bahu tumhehi khāyitaṃ, idāni mā jaggittha, bhikkhusaṅghoyeva jaggissatī’’ti vattabbaṃ. Sace pana neva vattasīsena jagganto atthi, na phātikammena, na saṅgho jaggituṃ pahoti, eko anāpucchitvāva jaggitvā phātikammaṃ vaḍḍhetvā paccāsīsati, apalokanakammena phātikammaṃ vaḍḍhetvāva dātabbaṃ. Iti imaṃ sabbampi kammalakkhaṇameva hoti. Apalokanakammaṃ imāni pañca ṭhānāni gacchati.
๒๕๖. ญตฺติกมฺมฎฺฐานเภเท ปน (ปริ. อฎฺฐ. ๔๙๕-๔๙๖) –
256.Ñattikammaṭṭhānabhede pana (pari. aṭṭha. 495-496) –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อายสฺมโต อุปสมฺปทาเปโกฺข, อนุสิโฎฺฐ โส มยา, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อาคเจฺฉยฺย, ‘อาคจฺฉาหี’ติ วตฺตโพฺพ’’ติ –
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, itthannāmo itthannāmassa āyasmato upasampadāpekkho, anusiṭṭho so mayā, yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo āgaccheyya, ‘āgacchāhī’ti vattabbo’’ti –
เอวํ อุปสมฺปทาเปกฺขสฺส โอสารณา โอสารณา นามฯ
Evaṃ upasampadāpekkhassa osāraṇā osāraṇā nāma.
‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ ธมฺมกถิโก, อิมสฺส เนว สุตฺตํ อาคจฺฉติ, โน สุตฺตวิภโงฺค, โส อตฺถํ อสลฺลเกฺขตฺวา พฺยญฺชนจฺฉายาย อตฺถํ ปฎิพาหติ, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ วุฎฺฐาเปตฺวา อวเสสา อิมํ อธิกรณํ วูปสเมยฺยามา’’ติ –
‘‘Suṇantu me āyasmantā, ayaṃ itthannāmo bhikkhu dhammakathiko, imassa neva suttaṃ āgacchati, no suttavibhaṅgo, so atthaṃ asallakkhetvā byañjanacchāyāya atthaṃ paṭibāhati, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, itthannāmaṃ bhikkhuṃ vuṭṭhāpetvā avasesā imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasameyyāmā’’ti –
เอวํ อุพฺพาหิกวินิจฺฉเย ธมฺมกถิกสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสารณา นิสฺสารณา นามฯ
Evaṃ ubbāhikavinicchaye dhammakathikassa bhikkhuno nissāraṇā nissāraṇā nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อชฺชุโปสโถ ปนฺนรโส, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อุโปสถํ กเรยฺยา’’ติ –
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ajjuposatho pannaraso, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho uposathaṃ kareyyā’’ti –
เอวํ อุโปสถกมฺมวเสน ฐปิตา ญตฺติ อุโปสโถ นามฯ
Evaṃ uposathakammavasena ṭhapitā ñatti uposatho nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อชฺช ปวารณา ปนฺนรสี, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ ปวาเรยฺยา’’ติ –
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ajja pavāraṇā pannarasī, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho pavāreyyā’’ti –
เอวํ ปวารณกมฺมวเสน ฐปิตา ญตฺติ ปวารณา นามฯ
Evaṃ pavāraṇakammavasena ṭhapitā ñatti pavāraṇā nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อายสฺมโต อุปสมฺปทาเปโกฺข, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ อนุสาเสยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ อนุสาเสยฺยา’’ติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ อนฺตรายิเก ธเมฺม ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ อนฺตรายิเก ธเมฺม ปุเจฺฉยฺยา’’ติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ วินยํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ วินยํ ปุเจฺฉยฺยา’’ติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนาเมน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนาเมน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺยา’’ติ –
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, itthannāmo itthannāmassa āyasmato upasampadāpekkho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ anusāseyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ anusāseyyā’’ti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ antarāyike dhamme puccheyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ antarāyike dhamme puccheyyā’’ti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ vinayaṃ puccheyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ vinayaṃ puccheyyā’’ti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyya’’nti, ‘‘yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyyā’’ti –
เอวํ อตฺตานํ วา ปรํ วา สมฺมนฺนิตุํ ฐปิตา ญตฺติ สมฺมุติ นามฯ
Evaṃ attānaṃ vā paraṃ vā sammannituṃ ṭhapitā ñatti sammuti nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อิทํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสคฺคิยํ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยา’’ติ, ‘‘ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อายสฺมนฺตา อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยุ’’นฺติ –
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, idaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno nissaggiyaṃ saṅghassa nissaṭṭhaṃ, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyā’’ti, ‘‘yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, āyasmantā imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyu’’nti –
เอวํ นิสฺสฎฺฐจีวรปตฺตาทีนํ ทานํ ทานํ นามฯ
Evaṃ nissaṭṭhacīvarapattādīnaṃ dānaṃ dānaṃ nāma.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺติํ สรติ วิวรติ อุตฺตานิํ กโรติ เทเสติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’’นฺติ, ‘‘ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’’นฺติ, เตน วตฺตโพฺพ ‘‘ปสฺสสี’’ติฯ อาม, ปสฺสามีติฯ ‘‘อายติํ สํวเรยฺยาสี’’ติ –
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu āpattiṃ sarati vivarati uttāniṃ karoti deseti, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpattiṃ paṭiggaṇheyya’’nti, ‘‘yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpattiṃ paṭiggaṇheyya’’nti, tena vattabbo ‘‘passasī’’ti. Āma, passāmīti. ‘‘Āyatiṃ saṃvareyyāsī’’ti –
เอวํ อาปตฺติปฎิคฺคโห ปฎิคฺคโห นามฯ
Evaṃ āpattipaṭiggaho paṭiggaho nāma.
‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา อาวาสิกา, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม กาเฬ ปวาเรยฺยามา’’ติฯ
‘‘Suṇantu me āyasmantā āvāsikā, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame kāḷe pavāreyyāmā’’ti.
เต เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ภณฺฑนการกา กลหการกา วิวาทการกา ภสฺสการกา สเงฺฆ อธิกรณการกา ตํ กาฬํ อนุวเสยฺยุํ, อาวาสิเกน ภิกฺขุนา พฺยเตฺตน ปฎิพเลน อาวาสิกา ภิกฺขู ญาเปตพฺพา –
Te ce, bhikkhave, bhikkhū bhaṇḍanakārakā kalahakārakā vivādakārakā bhassakārakā saṅghe adhikaraṇakārakā taṃ kāḷaṃ anuvaseyyuṃ, āvāsikena bhikkhunā byattena paṭibalena āvāsikā bhikkhū ñāpetabbā –
‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา อาวาสิกา, ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม ชุเณฺห ปวาเรยฺยามา’’ติ –
‘‘Suṇantu me āyasmantā āvāsikā, yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame juṇhe pavāreyyāmā’’ti –
เอวํ กตา ปวารณาปจฺจุกฺกฑฺฒนา ปจฺจุกฺกฑฺฒนา นามฯ
Evaṃ katā pavāraṇāpaccukkaḍḍhanā paccukkaḍḍhanā nāma.
สเพฺพเหว เอกชฺฌํ สนฺนิปติตพฺพํ, สนฺนิปติตฺวา พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –
Sabbeheva ekajjhaṃ sannipatitabbaṃ, sannipatitvā byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อมฺหากํ ภณฺฑนชาตานํ กลหชาตานํ วิวาทาปนฺนานํ วิหรตํ พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํ, สเจ มยํ อิมาหิ อาปตฺตีหิ อญฺญมญฺญํ กาเรสฺสาม, สิยาปิ ตํ อธิกรณํ กกฺขฬตฺตาย วาฬตฺตาย เภทาย สํวเตฺตยฺย, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ อธิกรณํ ติณวตฺถารเกน วูปสเมยฺย ฐเปตฺวา ถุลฺลวชฺชํ ฐเปตฺวา คิหิปฺปฎิสํยุตฺต’’นฺติ –
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, amhākaṃ bhaṇḍanajātānaṃ kalahajātānaṃ vivādāpannānaṃ viharataṃ bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ, sace mayaṃ imāhi āpattīhi aññamaññaṃ kāressāma, siyāpi taṃ adhikaraṇaṃ kakkhaḷattāya vāḷattāya bhedāya saṃvatteyya, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ adhikaraṇaṃ tiṇavatthārakena vūpasameyya ṭhapetvā thullavajjaṃ ṭhapetvā gihippaṭisaṃyutta’’nti –
เอวํ ติณวตฺถารกสมเถน กตฺวา สพฺพปฐมา สพฺพสงฺคาหิกญตฺติ กมฺมลกฺขณํ นามฯ
Evaṃ tiṇavatthārakasamathena katvā sabbapaṭhamā sabbasaṅgāhikañatti kammalakkhaṇaṃ nāma.
ตถา ตโต ปรา เอเกกสฺมิํ ปเกฺข เอเกกํ กตฺวา เทฺว ญตฺติโยฯ อิติ ยถาวุตฺตปฺปเภทํ โอสารณํ นิสฺสารณํ…เป.… กมฺมลกฺขณเญฺญว นวมนฺติ ญตฺติกมฺมํ อิมานิ นว ฐานานิ คจฺฉติฯ
Tathā tato parā ekekasmiṃ pakkhe ekekaṃ katvā dve ñattiyo. Iti yathāvuttappabhedaṃ osāraṇaṃ nissāraṇaṃ…pe… kammalakkhaṇaññeva navamanti ñattikammaṃ imāni nava ṭhānāni gacchati.
๒๕๗. ญตฺติทุติยกมฺมฎฺฐานเภเท (ปริ. อฎฺฐ. ๔๙๕-๔๙๖) ปน วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิโน ปตฺตนิกฺกุชฺชนวเสน ขนฺธเก วุตฺตา นิสฺสารณา, ตเสฺสว ปตฺตุกฺกุชฺชนวเสน ขนฺธเก วุตฺตา โอสารณา จ เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ (จูฬว. ๒๖๕-๒๖๖) –
257.Ñattidutiyakammaṭṭhānabhede (pari. aṭṭha. 495-496) pana vaḍḍhassa licchavino pattanikkujjanavasena khandhake vuttā nissāraṇā, tasseva pattukkujjanavasena khandhake vuttā osāraṇā ca veditabbā. Vuttañhetaṃ (cūḷava. 265-266) –
‘‘อฎฺฐหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส อุปาสกสฺส ปโตฺต นิกฺกุชฺชิตโพฺพฯ ภิกฺขูนํ อลาภาย ปริสกฺกติ, ภิกฺขูนํ อนตฺถาย ปริสกฺกติ, ภิกฺขูนํ อวาสาย ปริสกฺกติ, ภิกฺขู อโกฺกสติ ปริภาสติ, ภิกฺขู ภิกฺขูหิ เภเทติ, พุทฺธสฺส อวณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส อวณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส อวณฺณํ ภาสติฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อิเมหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส อุปาสกสฺส ปตฺตํ นิกฺกุชฺชิตุํฯ
‘‘Aṭṭhahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgatassa upāsakassa patto nikkujjitabbo. Bhikkhūnaṃ alābhāya parisakkati, bhikkhūnaṃ anatthāya parisakkati, bhikkhūnaṃ avāsāya parisakkati, bhikkhū akkosati paribhāsati, bhikkhū bhikkhūhi bhedeti, buddhassa avaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa avaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa avaṇṇaṃ bhāsati. Anujānāmi, bhikkhave, imehi aṭṭhahi aṅgehi samannāgatassa upāsakassa pattaṃ nikkujjituṃ.
เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว นิกฺกุชฺชิตโพฺพฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –
Evañca pana bhikkhave nikkujjitabbo. Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, วโฑฺฒ ลิจฺฉวี อายสฺมนฺตํ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ อมูลิกาย สีลวิปตฺติยา อนุทฺธํเสติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปตฺตํ นิกฺกุเชฺชยฺย, อสโมฺภคํ สเงฺฆน กเรยฺย, เอสา ญตฺติฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, vaḍḍho licchavī āyasmantaṃ dabbaṃ mallaputtaṃ amūlikāya sīlavipattiyā anuddhaṃseti, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho vaḍḍhassa licchavissa pattaṃ nikkujjeyya, asambhogaṃ saṅghena kareyya, esā ñatti.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, วโฑฺฒ ลิจฺฉวี อายสฺมนฺตํ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ อมูลิกาย สีลวิปตฺติยา อนุทฺธํเสติ, สโงฺฆ วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปตฺตํ นิกฺกุชฺชติ, อสโมฺภคํ สเงฺฆน กโรติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปตฺตสฺส นิกฺกุชฺชนา อสโมฺภคํ สเงฺฆน กรณํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, vaḍḍho licchavī āyasmantaṃ dabbaṃ mallaputtaṃ amūlikāya sīlavipattiyā anuddhaṃseti, saṅgho vaḍḍhassa licchavissa pattaṃ nikkujjati, asambhogaṃ saṅghena karoti, yassāyasmato khamati vaḍḍhassa licchavissa pattassa nikkujjanā asambhogaṃ saṅghena karaṇaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.
‘‘นิกฺกุชฺชิโต สเงฺฆน วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปโตฺต อสโมฺภโค สเงฺฆน, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติฯ
‘‘Nikkujjito saṅghena vaḍḍhassa licchavissa patto asambhogo saṅghena, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti.
อฎฺฐหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส อุปาสกสฺส ปโตฺต อุกฺกุชฺชิตโพฺพฯ น ภิกฺขูนํ อลาภาย ปริสกฺกติ, น ภิกฺขูนํ อนตฺถาย ปริสกฺกติ…เป.… น สงฺฆสฺส อวณฺณํ ภาสติฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อิเมหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส อุปาสกสฺส ปตฺตํ อุกฺกุชฺชิตุํฯ
Aṭṭhahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgatassa upāsakassa patto ukkujjitabbo. Na bhikkhūnaṃ alābhāya parisakkati, na bhikkhūnaṃ anatthāya parisakkati…pe… na saṅghassa avaṇṇaṃ bhāsati. Anujānāmi, bhikkhave, imehi aṭṭhahi aṅgehi samannāgatassa upāsakassa pattaṃ ukkujjituṃ.
เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อุกฺกุชฺชิตโพฺพฯ เตน, ภิกฺขเว, วเฑฺฒน ลิจฺฉวินา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย –
Evañca pana, bhikkhave, ukkujjitabbo. Tena, bhikkhave, vaḍḍhena licchavinā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo –
‘‘สเงฺฆน เม, ภเนฺต, ปโตฺต นิกฺกุชฺชิโต, อสโมฺภโคมฺหิ สเงฺฆน, โสหํ, ภเนฺต, สมฺมา วตฺตามิ, โลมํ ปาเตมิ, เนตฺถารํ วตฺตามิ, สงฺฆํ ปตฺตุกฺกุชฺชนํ ยาจามี’’ติฯ
‘‘Saṅghena me, bhante, patto nikkujjito, asambhogomhi saṅghena, sohaṃ, bhante, sammā vattāmi, lomaṃ pātemi, netthāraṃ vattāmi, saṅghaṃ pattukkujjanaṃ yācāmī’’ti.
ทุติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ ตติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ
Dutiyampi yācitabbo. Tatiyampi yācitabbo.
พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –
Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, สเงฺฆน วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปโตฺต นิกฺกุชฺชิโต, อสโมฺภโค สเงฺฆน, โส สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, สงฺฆํ ปตฺตุกฺกุชฺชนํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปตฺตํ อุกฺกุเชฺชยฺย, สโมฺภคํ สเงฺฆน กเรยฺย, เอสา ญตฺติฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, saṅghena vaḍḍhassa licchavissa patto nikkujjito, asambhogo saṅghena, so sammā vattati, lomaṃ pāteti, netthāraṃ vattati, saṅghaṃ pattukkujjanaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho vaḍḍhassa licchavissa pattaṃ ukkujjeyya, sambhogaṃ saṅghena kareyya, esā ñatti.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, สเงฺฆน วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปโตฺต นิกฺกุชฺชิโต, อสโมฺภโค สเงฺฆน, โส สมฺมา วตฺตติ, โลมํ ปาเตติ, เนตฺถารํ วตฺตติ, สงฺฆํ ปตฺตุกฺกุชฺชนํ ยาจติ, สโงฺฆ วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปตฺตํ อุกฺกุชฺชติ, สโมฺภคํ สเงฺฆน กโรติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปตฺตสฺส อุกฺกุชฺชนา สโมฺภคํ สเงฺฆน กรณํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, saṅghena vaḍḍhassa licchavissa patto nikkujjito, asambhogo saṅghena, so sammā vattati, lomaṃ pāteti, netthāraṃ vattati, saṅghaṃ pattukkujjanaṃ yācati, saṅgho vaḍḍhassa licchavissa pattaṃ ukkujjati, sambhogaṃ saṅghena karoti, yassāyasmato khamati vaḍḍhassa licchavissa pattassa ukkujjanā sambhogaṃ saṅghena karaṇaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.
‘‘อุกฺกุชฺชิโต สเงฺฆน วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิสฺส ปโตฺต สโมฺภโค สเงฺฆน, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติฯ
‘‘Ukkujjito saṅghena vaḍḍhassa licchavissa patto sambhogo saṅghena, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti.
เอตฺถ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๖๕) จ อฎฺฐสุ อเงฺคสุ เอกเกนปิ อเงฺคน สมนฺนาคตสฺส ปตฺตนิกฺกุชฺชนกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติ, อโนฺตสีมาย วา นิสฺสีมํ คนฺตฺวา นทีอาทีสุ วา นิกฺกุชฺชิตุํ วฎฺฎติเยวฯ เอวํ นิกฺกุชฺชิเต ปน ปเตฺต ตสฺส เคเห โกจิ เทยฺยธโมฺม น คเหตโพฺพ, ‘‘อสุกสฺส เคเห ภิกฺขํ มา คณฺหิตฺถา’’ติ อญฺญวิหาเรสุปิ เปเสตพฺพํฯ อุกฺกุชฺชนกาเล ปน ยาวตติยํ ยาจาเปตฺวา หตฺถปาสํ วิชหาเปตฺวา ญตฺติทุติยกเมฺมน อุกฺกุชฺชิตโพฺพฯ
Ettha (cūḷava. aṭṭha. 265) ca aṭṭhasu aṅgesu ekakenapi aṅgena samannāgatassa pattanikkujjanakammaṃ kātuṃ vaṭṭati, antosīmāya vā nissīmaṃ gantvā nadīādīsu vā nikkujjituṃ vaṭṭatiyeva. Evaṃ nikkujjite pana patte tassa gehe koci deyyadhammo na gahetabbo, ‘‘asukassa gehe bhikkhaṃ mā gaṇhitthā’’ti aññavihāresupi pesetabbaṃ. Ukkujjanakāle pana yāvatatiyaṃ yācāpetvā hatthapāsaṃ vijahāpetvā ñattidutiyakammena ukkujjitabbo.
สีมาสมฺมุติ, ติจีวเรน อวิปฺปวาสสมฺมุติ, สนฺถตสมฺมุติ, ภตฺตุเทฺทสกเสนาสนคฺคาหาปกภณฺฑาคาริยจีวรปฎิคฺคาหกจีวรภาชกยาคุภาชกขชฺชภาชกผลภาชกอปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชกสาฎิยคฺคาหาปกปตฺตคฺคาหาปกอารามิกเปสกสามเณรเปสกสมฺมุตีติ เอตาสํ สมฺมุตีนํ วเสน สมฺมุติ เวทิตพฺพาฯ กถินจีวรทานมตกจีวรทานวเสน ทานํ เวทิตพฺพํฯ กถินุทฺธารวเสน อุทฺธาโร เวทิตโพฺพฯ กุฎิวตฺถุวิหารวตฺถุเทสนาวเสน เทสนา เวทิตพฺพาฯ ยา ปน ติณวตฺถารกสมเถ สพฺพสงฺคาหิกญตฺติญฺจ เอเกกสฺมิํ ปเกฺข เอเกกญตฺติญฺจาติ ติโสฺส ญตฺติโย ฐเปตฺวา ปุน เอเกกสฺมิํ ปเกฺข เอเกกาติ เทฺว ญตฺติทุติยกมฺมวาจา วุตฺตา, ตาสํ วเสน กมฺมลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ อิติ ญตฺติทุติยกมฺมํ อิมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ
Sīmāsammuti, ticīvarena avippavāsasammuti, santhatasammuti, bhattuddesakasenāsanaggāhāpakabhaṇḍāgāriyacīvarapaṭiggāhakacīvarabhājakayāgubhājakakhajjabhājakaphalabhājakaappamattakavissajjakasāṭiyaggāhāpakapattaggāhāpakaārāmikapesakasāmaṇerapesakasammutīti etāsaṃ sammutīnaṃ vasena sammuti veditabbā. Kathinacīvaradānamatakacīvaradānavasena dānaṃ veditabbaṃ. Kathinuddhāravasena uddhāro veditabbo. Kuṭivatthuvihāravatthudesanāvasena desanā veditabbā. Yā pana tiṇavatthārakasamathe sabbasaṅgāhikañattiñca ekekasmiṃ pakkhe ekekañattiñcāti tisso ñattiyo ṭhapetvā puna ekekasmiṃ pakkhe ekekāti dve ñattidutiyakammavācā vuttā, tāsaṃ vasena kammalakkhaṇaṃ veditabbaṃ. Iti ñattidutiyakammaṃ imāni satta ṭhānāni gacchati.
๒๕๘. ญตฺติจตุตฺถกมฺมฎฺฐานเภเท ปน ตชฺชนียกมฺมาทีนํ สตฺตนฺนํ กมฺมานํ วเสน นิสฺสารณา, เตสํเยว จ กมฺมานํ ปฎิปฺปสฺสมฺภนวเสน โอสารณา เวทิตพฺพาฯ ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติวเสน สมฺมุติ เวทิตพฺพาฯ ปริวาสทานมานตฺตทานวเสน ทานํ เวทิตพฺพํฯ มูลายปฎิกสฺสนกมฺมวเสน นิคฺคโห เวทิตโพฺพฯ อุกฺขิตฺตานุวตฺติกา, อฎฺฐ ยาวตติยกา, อริโฎฺฐ, จณฺฑกาฬี จ อิเมเต ยาวตติยกาติ อิมาสํ เอกาทสนฺนํ สมนุภาสนานํ วเสน สมนุภาสนา เวทิตพฺพาฯ อุปสมฺปทกมฺมอพฺภานกมฺมวเสน กมฺมลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ อิติ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ อิมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ เอวํ กมฺมานิ จ กมฺมวิปตฺติ จ เตสํ กมฺมานํ การกสงฺฆปริเจฺฉโท จ วิปตฺติวิรหิตานํ กมฺมานํ ฐานเภทคมนญฺจ เวทิตพฺพํฯ
258.Ñatticatutthakammaṭṭhānabhede pana tajjanīyakammādīnaṃ sattannaṃ kammānaṃ vasena nissāraṇā, tesaṃyeva ca kammānaṃ paṭippassambhanavasena osāraṇā veditabbā. Bhikkhunovādakasammutivasena sammuti veditabbā. Parivāsadānamānattadānavasena dānaṃ veditabbaṃ. Mūlāyapaṭikassanakammavasena niggaho veditabbo. Ukkhittānuvattikā, aṭṭha yāvatatiyakā, ariṭṭho, caṇḍakāḷī ca imete yāvatatiyakāti imāsaṃ ekādasannaṃ samanubhāsanānaṃ vasena samanubhāsanā veditabbā. Upasampadakammaabbhānakammavasena kammalakkhaṇaṃ veditabbaṃ. Iti ñatticatutthakammaṃ imāni satta ṭhānāni gacchati. Evaṃ kammāni ca kammavipatti ca tesaṃ kammānaṃ kārakasaṅghaparicchedo ca vipattivirahitānaṃ kammānaṃ ṭhānabhedagamanañca veditabbaṃ.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
กมฺมากมฺมวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Kammākammavinicchayakathā samattā.
ปกิณฺณกกณฺฑมาติกา
Pakiṇṇakakaṇḍamātikā
คณโภชํ ปรมฺปรํ, นาปุจฺฉา ปํสุกูลกํ;
Gaṇabhojaṃ paramparaṃ, nāpucchā paṃsukūlakaṃ;
อจฺฉินฺนํ ปฎิภานญฺจ, วิปฺปกตอุทฺทิสนํฯ
Acchinnaṃ paṭibhānañca, vippakatauddisanaṃ.
ติวสฺสนฺตํ ทีฆาสนํ, คิลานุปฎฺฐวณฺณนํ;
Tivassantaṃ dīghāsanaṃ, gilānupaṭṭhavaṇṇanaṃ;
อตฺตปาตมนเวกฺขํ, สิลาปวิชฺฌลิมฺปนํฯ
Attapātamanavekkhaṃ, silāpavijjhalimpanaṃ.
มิจฺฉาทิฎฺฐิโคปทานํ, ธมฺมิการกฺขุจฺจาราทิ;
Micchādiṭṭhigopadānaṃ, dhammikārakkhuccārādi;
นฺหานฆํสํ ปณฺฑกาทิ, ทีฆเกสาทฺยาทาสาทิฯ
Nhānaghaṃsaṃ paṇḍakādi, dīghakesādyādāsādi.
นจฺจาทงฺคเฉทนิทฺธิ, ปโตฺต สพฺพปํสุกูลํ;
Naccādaṅgachedaniddhi, patto sabbapaṃsukūlaṃ;
ปริสฺสาวนํ นโคฺค จ, ปุปฺผคนฺธอาสิตฺตกํฯ
Parissāvanaṃ naggo ca, pupphagandhaāsittakaṃ.
มโฬริเกกภาชนํ, เจลปฎิ ปาทฆํสี;
Maḷorikekabhājanaṃ, celapaṭi pādaghaṃsī;
พีชนี ฉตฺตนขาทิ, กายพนฺธนิวาสนํฯ
Bījanī chattanakhādi, kāyabandhanivāsanaṃ.
กาชหรํ ทนฺตกฎฺฐํ, รุกฺขาโรโห ฉนฺทาโรโป;
Kājaharaṃ dantakaṭṭhaṃ, rukkhāroho chandāropo;
โลกายตํ ขิปิตโก, ลสุณํ นกฺกมิตพฺพํฯ
Lokāyataṃ khipitako, lasuṇaṃ nakkamitabbaṃ.
อวนฺทิโย ตูลภิสิ, พิโมฺพหนอาสนฺทาทิ;
Avandiyo tūlabhisi, bimbohanaāsandādi;
อุจฺจาสนมหาสนํ, จีวรอธโมฺมกาโสฯ
Uccāsanamahāsanaṃ, cīvaraadhammokāso.
สทฺธาเทยฺยํ สนฺตุตฺตรํ, นิเกฺขโป สตฺถกมฺมาทิ;
Saddhādeyyaṃ santuttaraṃ, nikkhepo satthakammādi;
นหาปิโต ทสภาโค, ปาเถยฺยํ มหาปเทโส;
Nahāpito dasabhāgo, pātheyyaṃ mahāpadeso;
อานิสํโสติ มาติกาฯ
Ānisaṃsoti mātikā.