Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā

    กมฺมกถาวณฺณนา

    Kammakathāvaṇṇanā

    เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรตีติ เอตฺถ ยสฺมา ปุริมเจตนาย เจตยิตฺวา สนฺนิฎฺฐานกมฺมํ กโรติ, ตสฺมา เจตนาปุพฺพกํ กมฺมํ ตํเจตนาสภาวเมวาติ เจตนํ อหํ กมฺมํ วทามีติ อโตฺถฯ อถ วา สมานกาลเตฺตปิ การณกิริยา ปุพฺพกาลา วิย วตฺตุํ ยุตฺตา, ผลกิริยา จ อปรกาลา วิยฯ ยสฺมา จ เจตนาย เจตยิตฺวา กายวาจาหิ โจปนกิริยํ มนสา จ อภิชฺฌาทิกิริยํ กโรติ, ตสฺมา ตสฺสา กิริยาย การิกํ เจตนํ อหํ กมฺมํ วทามีติ อโตฺถฯ กาเย วาติ กายวิญฺญตฺติสงฺขาเต กาเย วาฯ สตีติ ธรมาเน, อนิโรธิเต วาฯ กายสมุฎฺฐาปิกา เจตนา กายสเญฺจตนาฯ เอตฺถ จ สุขทุกฺขุปฺปาทเกน กเมฺมน ภวิตพฺพํ, เจตนา จ สุขทุกฺขุปฺปาทิกา วุตฺตาติ ตสฺสา กมฺมภาโว สิโทฺธ โหติฯ สเญฺจตนิยนฺติ สเญฺจตนสภาววนฺตํฯ สมิทฺธิเตฺถเรน ‘‘สเญฺจตนิยํ, อาวุโส…เป.… มนสา สุขํ โส เวทยตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๐๐; กถา. ๕๓๙) อวิภชิตฺวา พฺยากโตฯ สุขเวทนียนฺติอาทินา ปน วิภชิตฺวา พฺยากาตโพฺพ โส ปโญฺห, ตสฺมา สมฺมา พฺยากโต นาม น โหติฯ อิตรทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ ยถา ปน สุตฺตานิ ฐิตานิ, ตถา โจปนกิริยานิสฺสยภูตา กายวาจา อภิชฺฌาทิกิริยานิสฺสโย จ มโนทฺวารานิ, ยาย ปน เจตนาย เตหิ กายาทีหิ กรณภูเตหิ โจปนาภิชฺฌาทิกิริยํ กโรนฺติ วาสิอาทีหิ วิย เฉทนาทิํ, สา เจตนา กมฺมนฺติ ทฺวารปฺปวตฺติยมฺปิ กมฺมทฺวาราเภทนญฺจ กมฺมทฺวารววตฺถานญฺจ ทิสฺสติ, เอวญฺจ สติ ‘‘กาเยน เจ กตํ กมฺม’’นฺติอาทิคาถาโย (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑ กายกมฺมทฺวาร) อติวิย ยุชฺชนฺติฯ

    Cetayitvākammaṃ karotīti ettha yasmā purimacetanāya cetayitvā sanniṭṭhānakammaṃ karoti, tasmā cetanāpubbakaṃ kammaṃ taṃcetanāsabhāvamevāti cetanaṃ ahaṃ kammaṃ vadāmīti attho. Atha vā samānakālattepi kāraṇakiriyā pubbakālā viya vattuṃ yuttā, phalakiriyā ca aparakālā viya. Yasmā ca cetanāya cetayitvā kāyavācāhi copanakiriyaṃ manasā ca abhijjhādikiriyaṃ karoti, tasmā tassā kiriyāya kārikaṃ cetanaṃ ahaṃ kammaṃ vadāmīti attho. Kāye vāti kāyaviññattisaṅkhāte kāye vā. Satīti dharamāne, anirodhite vā. Kāyasamuṭṭhāpikā cetanā kāyasañcetanā. Ettha ca sukhadukkhuppādakena kammena bhavitabbaṃ, cetanā ca sukhadukkhuppādikā vuttāti tassā kammabhāvo siddho hoti. Sañcetaniyanti sañcetanasabhāvavantaṃ. Samiddhittherena ‘‘sañcetaniyaṃ, āvuso…pe… manasā sukhaṃ so vedayatī’’ti (ma. ni. 3.300; kathā. 539) avibhajitvā byākato. Sukhavedanīyantiādinā pana vibhajitvā byākātabbo so pañho, tasmā sammā byākato nāma na hoti. Itaradvayepi eseva nayo. Yathā pana suttāni ṭhitāni, tathā copanakiriyānissayabhūtā kāyavācā abhijjhādikiriyānissayo ca manodvārāni, yāya pana cetanāya tehi kāyādīhi karaṇabhūtehi copanābhijjhādikiriyaṃ karonti vāsiādīhi viya chedanādiṃ, sā cetanā kammanti dvārappavattiyampi kammadvārābhedanañca kammadvāravavatthānañca dissati, evañca sati ‘‘kāyena ce kataṃ kamma’’ntiādigāthāyo (dha. sa. aṭṭha. 1 kāyakammadvāra) ativiya yujjanti.

    โลกุตฺตรมโคฺค อิธ โลกิยกมฺมกถายํ อนธิเปฺปโตปิ ภชาปิยมาโน ตีณิ กมฺมานิ ภชติฯ มเนน ทุสฺสีลฺยนฺติ กายิกวาจสิกวีติกฺกมวชฺชํ สพฺพํ อกุสลํ สงฺคณฺหาติ, มิจฺฉาทิฎฺฐิสงฺกปฺปวายามสติสมาธิํ วาฯ ตมฺปิ เจตํ ‘‘มนสา สํวโร สาธู’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๑๖; ธ. ป. ๓๖๑) วุตฺตสฺส สํวรสฺส ปฎิปกฺขวเสน วุตฺตํ, น สีลวิปตฺติวเสนฯ น หิ สา มานสิกา อตฺถีติ มคฺคเสฺสว ภชาปนํ มหาวิสยตฺตาฯ โพชฺฌงฺคา หิ มโนกมฺมเมว ภเชยฺยุํ, น จ น สกฺกา มคฺคภชาปเนเนว เตสํ ภชาปนํ วิญฺญาตุนฺติฯ

    Lokuttaramaggo idha lokiyakammakathāyaṃ anadhippetopi bhajāpiyamāno tīṇi kammāni bhajati. Manena dussīlyanti kāyikavācasikavītikkamavajjaṃ sabbaṃ akusalaṃ saṅgaṇhāti, micchādiṭṭhisaṅkappavāyāmasatisamādhiṃ vā. Tampi cetaṃ ‘‘manasā saṃvaro sādhū’’ti (saṃ. ni. 1.116; dha. pa. 361) vuttassa saṃvarassa paṭipakkhavasena vuttaṃ, na sīlavipattivasena. Na hi sā mānasikā atthīti maggasseva bhajāpanaṃ mahāvisayattā. Bojjhaṅgā hi manokammameva bhajeyyuṃ, na ca na sakkā maggabhajāpaneneva tesaṃ bhajāpanaṃ viññātunti.

    กมฺมปถํ อปฺปตฺตานมฺปิ ตํตํทฺวาเร สํสนฺทนํ อวโรธนํ ทฺวารนฺตเร กมฺมนฺตรุปฺปตฺติยมฺปิ กมฺมทฺวาราเภทนญฺจ ทฺวารสํสนฺทนํ นามฯ ‘‘ติวิธา, ภิกฺขเว, กายสเญฺจตนา อกุสลํ กายกมฺม’’นฺติอาทินา (กถา. ๕๓๙) กมฺมปถปฺปตฺตาว สนฺนิฎฺฐาปกเจตนา กมฺมนฺติ วุตฺตาติ ปุริมเจตนา สพฺพา กายกมฺมํ น โหตีติ วุตฺตํฯ อาณาเปตฺวา…เป.… อลภนฺตสฺสาติ อาณเตฺตหิ อมาริตภาวํ สนฺธาย วุตฺตํ, วจีทุจฺจริตํ นาม โหติ อกมฺมปถภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อิเม สตฺตา หญฺญนฺตู’’ติ ปวตฺตพฺยาปาทวเสน เจตนาปกฺขิกา วา ภวนฺติ กายกมฺมโวหารลาภาฯ อโพฺพหาริกา วา มโนกมฺมโวหารวิรหาฯ สสมฺภารปถวีอาทีสุ อาปาทโย เอตฺถ นิทสฺสนํฯ

    Kammapathaṃ appattānampi taṃtaṃdvāre saṃsandanaṃ avarodhanaṃ dvārantare kammantaruppattiyampi kammadvārābhedanañca dvārasaṃsandanaṃ nāma. ‘‘Tividhā, bhikkhave, kāyasañcetanā akusalaṃ kāyakamma’’ntiādinā (kathā. 539) kammapathappattāva sanniṭṭhāpakacetanā kammanti vuttāti purimacetanā sabbā kāyakammaṃ na hotīti vuttaṃ. Āṇāpetvā…pe… alabhantassāti āṇattehi amāritabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ, vacīduccaritaṃ nāma hoti akammapathabhāvatoti adhippāyo. ‘‘Ime sattā haññantū’’ti pavattabyāpādavasena cetanāpakkhikā vā bhavanti kāyakammavohāralābhā. Abbohārikā vā manokammavohāravirahā. Sasambhārapathavīādīsu āpādayo ettha nidassanaṃ.

    กุลุมฺพสฺสาติ คพฺภสฺส, กุลเสฺสว วาฯ ติโสฺสปิ สงฺคีติโย อารุฬฺหตาย อนนุชานนโต ‘‘ตว สุตฺตสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ ทสวิธา อิทฺธิ ปฎิสมฺภิทามเคฺค อิทฺธิกถาย คเหตพฺพาฯ ภาวนามยนฺติ อธิฎฺฐานิทฺธิํ สนฺธาย วทติฯ ฆฎเภโท วิย ปรูปฆาโต, อุทกวินาโส วิย อิทฺธิวินาโส จ โหตีติ อุปมา สํสนฺทติฯ ตว ปโญฺหติ ภาวนามยาย ปรูปฆาโต โหตีติ วุโตฺต ญาเปตุํ อิจฺฉิโต อโตฺถฯ อาถพฺพณิทฺธิ วิชฺชามยิทฺธิ โหติฯ สตฺตเม ปเทติ มณฺฑลาทิโต สตฺตเม ปเทฯ

    Kulumbassāti gabbhassa, kulasseva vā. Tissopi saṅgītiyo āruḷhatāya ananujānanato ‘‘tava suttassā’’ti vuttaṃ. Dasavidhā iddhi paṭisambhidāmagge iddhikathāya gahetabbā. Bhāvanāmayanti adhiṭṭhāniddhiṃ sandhāya vadati. Ghaṭabhedo viya parūpaghāto, udakavināso viya iddhivināso ca hotīti upamā saṃsandati. Tava pañhoti bhāvanāmayāya parūpaghāto hotīti vutto ñāpetuṃ icchito attho. Āthabbaṇiddhi vijjāmayiddhi hoti. Sattame padeti maṇḍalādito sattame pade.

    วจนนฺตเรน คเมตพฺพตฺถํ เนยฺยตฺถํ, สยเมว คมิตพฺพตฺถํ นีตตฺถํฯ กิริยโต สมุฎฺฐาติ, อุทาหุ อกิริยโตติ เตนาธิเปฺปตํ สมฺปชานมุสาวาทํ สนฺธาย ปุจฺฉติ, น อุโปสถกฺขนฺธเก วุตฺตํฯ ตตฺถ อวุตฺตเมว หิ โส อนริยโวหารํ วุตฺตนฺติ คเหตฺวา โวหรตีติฯ วาจาคิรนฺติ วาจาสงฺขาตํ คิรํ, วาจานุจฺจารณํ วาฯ

    Vacanantarena gametabbatthaṃ neyyatthaṃ, sayameva gamitabbatthaṃ nītatthaṃ. Kiriyato samuṭṭhāti, udāhu akiriyatoti tenādhippetaṃ sampajānamusāvādaṃ sandhāya pucchati, na uposathakkhandhake vuttaṃ. Tattha avuttameva hi so anariyavohāraṃ vuttanti gahetvā voharatīti. Vācāgiranti vācāsaṅkhātaṃ giraṃ, vācānuccāraṇaṃ vā.

    ขนฺทสิวาทโย เสฎฺฐาติ ขนฺทาติ กุมาราฯ สิวาติ มเหสฺสรา, มิจฺฉาทิฎฺฐิยา นิทสฺสนตฺถมิทํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ นตฺถิกทิฎฺฐาทโย เอว หิ กมฺมปถปฺปตฺตา กมฺมนฺติฯ เจตนา ปเนตฺถ อโพฺพหาริกาติ กายทฺวาเร วจีทฺวาเร จ สมุฎฺฐิตาปิ กายกมฺมํ วจีกมฺมนฺติ จ โวหารํ น ลภติ อภิชฺฌาทิปฺปธานตฺตาฯ ‘‘ติวิธา, ภิกฺขเว, มโนสเญฺจตนา อกุสลํ มโนกมฺม’’นฺติ ปน วจนโต สภาเวเนว สา มโนกมฺมํ, น อภิชฺฌาทิปกฺขิกตฺตาติ ‘‘อภิชฺฌาทิปกฺขิกาวา’’ติ น วุตฺตํฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน กายงฺควาจงฺคานิ อโจเปตฺวา จินฺตนกาเล เจตนาปิ เจตนาสมฺปยุตฺตธมฺมาปิ มโนทฺวาเร เอว สมุฎฺฐหนฺติ, ตสฺมา เจตนาย อโพฺพหาริกภาโว กถญฺจิ นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ

    Khandasivādayo seṭṭhāti khandāti kumārā. Sivāti mahessarā, micchādiṭṭhiyā nidassanatthamidaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Natthikadiṭṭhādayo eva hi kammapathappattā kammanti. Cetanā panettha abbohārikāti kāyadvāre vacīdvāre ca samuṭṭhitāpi kāyakammaṃ vacīkammanti ca vohāraṃ na labhati abhijjhādippadhānattā. ‘‘Tividhā, bhikkhave, manosañcetanā akusalaṃ manokamma’’nti pana vacanato sabhāveneva sā manokammaṃ, na abhijjhādipakkhikattāti ‘‘abhijjhādipakkhikāvā’’ti na vuttaṃ. Imasmiṃ pana ṭhāne kāyaṅgavācaṅgāni acopetvā cintanakāle cetanāpi cetanāsampayuttadhammāpi manodvāre eva samuṭṭhahanti, tasmā cetanāya abbohārikabhāvo kathañci natthīti adhippāyo.

    ‘‘ติวิธา , ภิกฺขเว, กายสเญฺจตนา กุสลํ กายกมฺม’’นฺติอาทิวจนโต (กถา. ๕๓๙) ปาณาติปาตาทิปฎิปกฺขภูตา ตพฺพิรติวิสิฎฺฐา เจตนาว ปาณาติปาตวิรติอาทิกา โหนฺตีติ ‘‘เจตนาปกฺขิกา วา’’ติ วุตฺตํ, น ‘‘วิรติปกฺขิกา’’ติฯ รกฺขตีติ อวินาเสตฺวา กเถติฯ ภินฺทตีติ วินาเสตฺวา กเถติฯ

    ‘‘Tividhā , bhikkhave, kāyasañcetanā kusalaṃ kāyakamma’’ntiādivacanato (kathā. 539) pāṇātipātādipaṭipakkhabhūtā tabbirativisiṭṭhā cetanāva pāṇātipātaviratiādikā hontīti ‘‘cetanāpakkhikā vā’’ti vuttaṃ, na ‘‘viratipakkhikā’’ti. Rakkhatīti avināsetvā katheti. Bhindatīti vināsetvā katheti.

    กมฺมกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kammakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    จกฺขุวิญฺญาณทฺวารนฺติ จกฺขุวิญฺญาณสฺส ทฺวารํฯ จกฺขุ จ ตํ วิญฺญาณทฺวารญฺจาติ วา จกฺขุวิญฺญาณทฺวารํฯ จกฺขุ วิญฺญาณทฺวารนฺติ วา อสมาสนิเทฺทโสฯ ตํ ปน จกฺขุเมวฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ‘‘จกฺขุนา สํวโร สาธู’’ติอาทิกาย (ธ. ป. ๓๖๐) คาถาย ปสาทกายโจปนกายสํวเร เอกชฺฌํ กตฺวา กาเยน สํวโร วุโตฺต, ตํ อิธ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐ สํวรา, ตปฺปฎิปกฺขภาเวน อสํวรา อฎฺฐ กถิตาฯ สีลสํวราทโยปิ ปเญฺจว สํวรา สพฺพทฺวาเรสุ อุปฺปชฺชมานาปิ, ตปฺปฎิปกฺขภาเวน ทุสฺสีลฺยาทีนิ อสํวราติ วุตฺตานิฯ ตตฺถ ทุสฺสีลฺยํ ปาณาติปาตาทิเจตนาฯ มุฎฺฐสฺสจฺจํ สติปฎิปกฺขา อกุสลา ธมฺมาฯ ปมาทนฺติ เกจิฯ สีตาทีสุ ปฎิโฆ อกฺขนฺติฯ ถินมิทฺธํ โกสชฺชํ

    Cakkhuviññāṇadvāranti cakkhuviññāṇassa dvāraṃ. Cakkhu ca taṃ viññāṇadvārañcāti vā cakkhuviññāṇadvāraṃ. Cakkhu viññāṇadvāranti vā asamāsaniddeso. Taṃ pana cakkhumeva. Esa nayo sesesupi. ‘‘Cakkhunā saṃvaro sādhū’’tiādikāya (dha. pa. 360) gāthāya pasādakāyacopanakāyasaṃvare ekajjhaṃ katvā kāyena saṃvaro vutto, taṃ idha bhinditvā aṭṭha saṃvarā, tappaṭipakkhabhāvena asaṃvarā aṭṭha kathitā. Sīlasaṃvarādayopi pañceva saṃvarā sabbadvāresu uppajjamānāpi, tappaṭipakkhabhāvena dussīlyādīni asaṃvarāti vuttāni. Tattha dussīlyaṃ pāṇātipātādicetanā. Muṭṭhassaccaṃ satipaṭipakkhā akusalā dhammā. Pamādanti keci. Sītādīsu paṭigho akkhanti. Thinamiddhaṃ kosajjaṃ.

    วินา วจีทฺวาเรน สุทฺธํ กายทฺวารสงฺขาตนฺติ อิทํ วจีทฺวารสลฺลกฺขิตสฺส มุสาวาทาทิโนปิ กายทฺวาเร ปวตฺติสพฺภาวา อสุทฺธตา อตฺถีติ ตํนิวารณตฺถํ วุตฺตํฯ น หิ ตํ กายกมฺมํ โหติฯ สุทฺธวจีทฺวาโรปลกฺขิตํ ปน วจีกมฺมเมว โหตีติฯ เอตฺถ อสํวโรติ เอเตน สุทฺธกายทฺวาเรน อุปลกฺขิโต อสํวโร ทฺวารนฺตเร อุปฺปชฺชมาโนปิ วุโตฺตฯ ทฺวารนฺตรานุปลกฺขิตํ สพฺพํ ตํทฺวาริกากุสลเญฺจติ เวทิตพฺพํฯ เอวญฺจ กตฺวา กมฺมปถสํสนฺทเน ‘‘โจปนกายอสํวรทฺวารวเสน อุปฺปชฺชมาโน อสํวโร อกุสลํ กายกมฺมเมว โหตี’’ติอาทิ ‘‘อกุสลํ กายกมฺมํ โจปนกายอสํวรทฺวารวเสน วจีอสํวรวเสน จ อุปฺปชฺชตี’’ติอาทินา สห อวิรุทฺธํ โหติฯ อสํวโร หิ ทฺวารนฺตเร อุปฺปชฺชมาโนปิ สทฺวาเร เอวาติ วุจฺจติ, สทฺวารวเสน อุปฺปโนฺนติ จ, กมฺมํ อญฺญทฺวาเร อญฺญทฺวารวเสน จาติ เอวํ อวิรุทฺธํฯ

    Vinā vacīdvārena suddhaṃ kāyadvārasaṅkhātanti idaṃ vacīdvārasallakkhitassa musāvādādinopi kāyadvāre pavattisabbhāvā asuddhatā atthīti taṃnivāraṇatthaṃ vuttaṃ. Na hi taṃ kāyakammaṃ hoti. Suddhavacīdvāropalakkhitaṃ pana vacīkammameva hotīti. Ettha asaṃvaroti etena suddhakāyadvārena upalakkhito asaṃvaro dvārantare uppajjamānopi vutto. Dvārantarānupalakkhitaṃ sabbaṃ taṃdvārikākusalañceti veditabbaṃ. Evañca katvā kammapathasaṃsandane ‘‘copanakāyaasaṃvaradvāravasena uppajjamāno asaṃvaro akusalaṃ kāyakammameva hotī’’tiādi ‘‘akusalaṃ kāyakammaṃ copanakāyaasaṃvaradvāravasena vacīasaṃvaravasena ca uppajjatī’’tiādinā saha aviruddhaṃ hoti. Asaṃvaro hi dvārantare uppajjamānopi sadvāre evāti vuccati, sadvāravasena uppannoti ca, kammaṃ aññadvāre aññadvāravasena cāti evaṃ aviruddhaṃ.

    อถ วา เอตฺถาติ สุทฺธํ อสุทฺธนฺติ เอตํ อวิจาเรตฺวา เอตสฺมิํ โจปเนติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ สติ ทฺวารนฺตโรปลกฺขิตํ กมฺมปถภาวปฺปตฺตตาย วจีมโนกมฺมํ โจปนกายอสํวรทฺวาเร อุปฺปนฺนํ, เสสํ สพฺพํ ตํทฺวารุปฺปนฺนากุสลํ วิย ‘‘โจปนกายอสํวโร’’ติ วุจฺจติฯ กมฺมปถภาวปฺปตฺติยา ทฺวารนฺตรุปฺปนฺนํ กายกมฺมญฺจ ตถา น วุจฺจตีติ กมฺมปถสํสนฺทนวิโรโธ สิยา, ตทวิโรธํ ตเตฺถว วกฺขามฯ สีลสํวราทโย ปญฺจ นิเกฺขปกเณฺฑ อาวิ ภวิสฺสนฺติฯ ตตฺถ ญาณสํวเร ปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีลสฺส, วีริยสํวเร จ อาชีวปาริสุทฺธิยา อโนฺตคธตา ทฎฺฐพฺพาฯ

    Atha vā etthāti suddhaṃ asuddhanti etaṃ avicāretvā etasmiṃ copaneti vuttaṃ hoti. Evaṃ sati dvārantaropalakkhitaṃ kammapathabhāvappattatāya vacīmanokammaṃ copanakāyaasaṃvaradvāre uppannaṃ, sesaṃ sabbaṃ taṃdvāruppannākusalaṃ viya ‘‘copanakāyaasaṃvaro’’ti vuccati. Kammapathabhāvappattiyā dvārantaruppannaṃ kāyakammañca tathā na vuccatīti kammapathasaṃsandanavirodho siyā, tadavirodhaṃ tattheva vakkhāma. Sīlasaṃvarādayo pañca nikkhepakaṇḍe āvi bhavissanti. Tattha ñāṇasaṃvare paccayasannissitasīlassa, vīriyasaṃvare ca ājīvapārisuddhiyā antogadhatā daṭṭhabbā.







    Related texts:



    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / กมฺมกถาวณฺณนา • Kammakathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact